หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย
ความจริงอาตมานี่เป็นหลานศิษย์ ไม่ใช่ลูกศิษย์ เป็นหลานศิษย์ของหลวงปู่มั่น เคยไปอาศัยท่านอยู่เมื่อตอนญี่ปุ่นจะเข้าเมืองไทยอ้ะ ปี พ.ศ. ๒๔๘๗ อาตมาจำพรรษาอยู่ทางบ้านพรรษาเดียว ออกพรรษาแล้วก็ออกเดินทางไปสู่สำนักของหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ ก็จะเล่าประวัติของตัวเองนิดๆประกอบไปด้วย เพื่อจะได้เข้าใจว่าทำไมถึงได้เป็นลูกหลวงปู่มั่น ในระหว่างที่อาตมาออกไปบวชเป็นสามเณร เป็นสามเณรนะ อาตมาบวชเป็นสามเณรอายุ ๒๐ จนถึง ๒๑ ปี ถึงจะบวชเป็นพระ อยู่ซะสองปี
ทีนี้ระหว่างที่เป็นบวชเป็นสามเณรแล้วเนี่ย ในเรื่องการเข้าถึงศาสนาในเบื้องต้นก็น้อยไป ก็ย่อมไม่สะดวก อย่างที่เล่าประวัติให้ฟัง เพราะอาตมาเองก็อาภัพด้วยการเกิดมาก เนื่องจากว่าเกิดในตระกูลที่มีลัทธิต่างพุทธศาสนา ตระกูลของอาตมาหลวงเสนา ท่านเป็นศาสดาหรือหัวหน้าใหญ่ของอีกลัทธินึง ในฐานะอาตมาเป็นหลานของท่าน ก็ต้องเชื่อฟัง การกระทำอะไรทั้งปวง ก็ไม่ให้เป็นผลกระทบกระเทือนหรือเป็นผลเสียต่อท่าน อันนี้ก็ต้องพยายาม จึงเป็นเหตุให้ศึกษาทางด้านพุทธนี่น้อยเหลือเกิน แต่ก็มีความพยายามสูง แต่ก็ไม่ได้รับความสะดวกเท่าที่ควร เพราะว่าทำมากนักก็เป็นผลกระทบกระเทือนบรรพบุรุษผู้สำคัญของเรา ถ้าจะไม่ทำ ใจมันก็อยาก ก็ต้องมีความพยายามเล็ดรอดออกไปศึกษาอยู่เสมอ อันนี้ย่อมไม่สะดวก เรียกว่าเป็นผู้อาภัพในการเกิดมาก
ทีนี้ต่อมาได้จังหวะดี ในเมื่อท่านเสียชีวิตไปแล้ว ก็ได้เอาตนบรรพชาเข้ามาในบวรพุทธศาสนา แล้วก็ตั้งใจประพฤติปฏิบัติอยู่ ในระหว่างนั้นความเข้าใจจากตำราที่เข้าใจแล้วนึกว่า การเข้าไปใกล้ผ้าเหลืองนี่คงจะเต็มไปด้วยความสุข เราอยู่เป็นฆราวาสนี่มันอยู่รอรับทุกข์ทุกวัน มันมีความทุกข์เผาเข้ามาทุกวันทั้งกายและใจ มีความดิ้นรนพยายามอะไรต่ออะไรต่างๆนานับประการ อย่างที่ท่านทั้งหลายทราบ อยู่ดีๆเท่านั้นเอง ทีนี้ความเข้าใจอันนี้แหละ
ในเมื่อเราบวชแล้ว เข้าไปอยู่ใกล้กับผ้าเหลือง มันกลับผิดซะแล้ว ผิดในตอนนั้นเข้าไป รู้สึกว่าลูกเต้าบอกไม่นอน สอนไม่ได้ตัดหางปล่อยวัด ส่วนมากมักจะเป็นอย่างนั้น ในเมื่อไปรวมตัวกันเยอะๆแล้ว ตอนนั้นมีสามเณรอยู่ด้วยกันถึง ๒๕ เณร ไม่ใช่น้อย มันก็มีแต่ความวุ่นวาย มีแต่ความทะเลาะเบาะแว้งกัน การเดินจงกรมนั่งสมาธิซึ่งเราเนี่ย ตั้งใจไว้เป็นอย่างดี เข้าไปก็ตั้งหน้าบำเพ็ญ ก็ไม่ได้รับความสะดวกเท่าที่ควร เพราะสามเณรเหล่านั้นมาก่อกวน บางทีเดินจงกรมอยู่ดีๆ มาเตะขาเราซะล้ม บางทีก็นึกโมโหวูบขึ้นมา
แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่า ถ้าเรากระทำอะไรไม่ดีในระหว่างห่มผ้าเหลืองอย่างนี้ เป็นผลเสียมาก เพราะบัดนี้เราเป็นลูกพระตถาคต พ่อของเราวิเศษเหลือเกิน เราต้องประพฤติตัวของเรานี่ให้ดีพอสมควร คิดได้อย่างนั้น ก็พยายามอดทนสู้อยู่อย่างเนี้ยตลอดมา
จนกระทั่งวันหนึ่งหลวงปู่บัว หลวงปู่บัวนี่ท่านได้ทราบจากใครไม่ทราบ ว่าหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระนี่เป็นพระอรหันต์ พอได้ยินคำว่าอรหันต์ซึ่งตัวเองบวชมาเพื่ออรหันต์ เพื่ออยากจะเห็นอรหันต์ เพื่ออยากจะเห็นคุณสมบัติของพระอรหันต์ ว่าวิเศษแค่ไหน แต่ในเมื่อดูในตำราแล้ว วิเศษแน่ ตามมโนภาพที่แสดงออก แต่ในเมื่อเราประพฤติเข้าไปถึง จะเป็นยังไงบ้าง อยากจะฟัง อยากจะดูจะรู้จะเห็น พอได้ยินว่าหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระเป็นพระอรหันต์ เท่านั้นแหละ ก็รู้สึกว่าเกิดความปลื้มใจขึ้นมามาก
เสร็จแล้วก็ขออนุญาตลาท่านอาจารย์ว่า กระผมจะขอลาไปอยู่กับหลวงปู่มั่น อาจารย์ไม่ยอม ลาเท่าไรก็ไม่ยอม ลายังไงก็ไม่ยอม นิสัยสันดานเดิมของอาตมานี่ไม่ค่อยฝ่าฝืนผู้ใหญ่ ก็มักจะมีความพยายามหาอุบายวิธีต่างๆเข้าไปคุย ก็ไม่สำเร็จ ในเมื่อไม่สำเร็จก็ต้องฝ่าฝืนกันบ้างหละ โดยขโมยหนี คิดว่าอย่างนั้น พอเสร็จแบ่งของแล้ว ก็ออกหลังวัดเลย เผ่นเลย หนีเลยก็แล้วกัน ไปอยู่กับหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ ตั้งหน้าบุกขึ้นไป
ในระหว่างทางที่เราเดินไปนี่แหละ สมัยนั้นไม่มีรถ เดินก็ป่าดงมันมากเหลือเกินสมัยนั้น ช้างเสือมันชุม เราก็เดินบุกป่าไป ในระหว่างที่ไปด้วยกันก็มีพระไปด้วยกัน ๔ องค์ แล้วก็มีสามเณรคืออาตมาเป็นผู้อุปัฏฐากไป ในเมื่อไปตามทางก็ได้ยินข่าวว่า พระอาจารย์แดง กาฬสินธุ์นี่ สมัยนั้นท่านอยู่ที่บ้านคำคา ก็รู้สึกว่าเป็นผู้มีฌานประพฤติดี เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น ก็ได้เข้าไปหาหลวงปู่ พอเข้าไปดูปฏิปทาข้อปฏิบัติแล้ว ไม่เกิดความเลื่อมใส อึดอัดใจว่า ถ้าเราอุตส่าห์พยายามไปถึงสำนึกหลวงปู่มั่น หากเป็นอย่างที่เราเห็นนี้ เราจะเสียใจที่สุด
ก็คิดว่าสึกแน่ ถ้าไม่ดีเราก็ต้องสึก ถ้าเราได้ความดี เราก็อยู่ สิ่งที่มันไม่ดี เราจะฝืนอยู่ไม่ได้เด็ดขาด ต้องรีบสึกแน่นอน ใจก็ชักเฝอเยอะ พอไปเห็นที่นั้นแล้วรู้สึกว่า ชักๆจะยังไงก็ไม่รู้ ก็เลยออกเดินทางเรื่อยไป เรื่อยไปๆ ก็ได้ยินข่าวท่านนึงว่าดังที่สุด ก็ได้แก่หลวงพ่อศร ทางเมืองอีสานเค้าเรียกว่าผู้ค้อ ดังที่สุดแต่ท่านเป็นฝ่ายมหานิกาย โอ้โห โด่งดังจริงๆ อาตมาไม่ถือธรรมยุตินิกาย ขอให้ดีซะอย่าง เราขอถวายตัวเป็นลูกศิษย์
คำว่า ยุติ(ธรรมยุต) กาย(มหานิกาย)นี่ไม่ได้อยู่ในสมองอาตมาเลย คือไม่สนใจในคำนี้ อาตมาไม่อยากได้ยินด้วยซ้ำ เค้าว่า ธรรมยุต มหานิกาย อยากได้ยินคำเดียว พระสงฆ์ไทย ใจไม่ชอบ แหม จะแยกกันอะไรกัน ไม่ชอบมาแต่ไหนแต่ไรมา ถือว่าไม่น่าเป็นอย่างนี้ ลูกพระตถาคต คิดว่าอย่างนั้น นี่ไม่ชอบตั้งแต่สมัยบวชใหม่ๆเลย ไม่ชอบจริงๆ
จนกระทั่งไปอยู่กับหลวงปู่ ไปดูปฏิปทาข้อปฏิบัติแล้ว ผีบ้าเยอะ ท่านรักษามาก เมืองอีสานมีผีปอบเยอะ ก็คนเป็นปอบก็มารักษากัน ไปดูท่านทำแล้ว เอ มันบาปไม๊วะ ตีเขาบ้าง อะไรเค้ามั่ง ตีบ้าบ้าง ตีคนเป็นปอบบ้างอะไรเหล่านี้ ไม่ได้เรื่อง ต่อนี้ไปก็ทำให้ใจเขวมากเลยทีนี้ เขวมาก เอ๊ะ ถ้าเราไปถึงสำนักหลวงปู่มั่นเป็นอย่างนี้ เราทำไง ตั้งปัญหาถามตัวเอง ถ้าไปถึงปุ๊บ เป็นอย่างนี้ไม่พัก ก็เลยกลับแน่นอน กลับมาสึก ไม่อยู่ ตัดสินใจไม่อยู่แน่
ก็พยายามไปหาท่านอาจารย์สนธิ์ อาจารย์สนธิ์อยู่ที่ถ้ำพระเวส อำเภอนาแก พอไปถึงทางโน้นก็ดู อื้ม เข้าขั้นเข้ามานิดนึง ทำให้ใจนี่สบายขึ้นนิดนึง ก็หวนกลับเรื่อยมา
ผ่านมาถึงท่านอาจารย์กู่ พอมาถึงอาจารย์กู่ อาจารย์กู่ “เข้าไปไม่ได้อย่างนี้ เข้าไปไม่ได้” ถามเป็นยังไง “ยังไม่เรียบร้อยนี่ เข้าไปไม่ได้” ชักดีใจขึ้นมาเป็นกอง ท่าจะดีแน่เลยเว้ย ก็เลยตัดสินใจฝึกอยู่กับท่านเป็นเวลาพอสมควร ท่านบอกว่า “เรียบร้อยแล้วนะ สมควรแล้ว เข้าได้” เออ ถ้าอย่างนั้นก็ เอาละ ตกลง คือหมายความว่าสมัยนั้นก่อนจะเข้าไปหาหลวงปู่มั่นนี่ ถ้าไม่ดีพอสมควร ครูบาอาจารย์ซึ่งอยู่ในด่านหน้ากันนี่จะไม่ยอมปล่อย ต้องมองเห็นว่าสมควรจึงจะยอมปล่อย เห็นว่าไม่ดีท่านไล่กลับเลย ท่านไม่เอาหรอก
สมัยนั้นคล้ายๆกับว่า ไม่มีคำว่าเกรงใจ ไม่มีคำว่าเห็นแก่องค์โน้นองค์นี้ ไม่ คือต้องพิจารณาตามสมควรว่าด่านไหนก็แล้วแต่ หากปล่อยพระไม่สมบูรณ์เข้าไปนั้น ด่านนั้นจะต้องถูกว่าไม่น่าปล่อยอย่างนี้เข้าไปให้ท่านไม่สะดวกสบาย ก่อกวนท่าน เพราะฉะนั้นเราต้องไปฝึกก่อน พอได้ยินแค่นี้ก็สบายแล้ว สบาย ฝึกจนกระทั่งแน่ใจตัวเองว่าเราก็สมควรแล้ว ท่านก็บอกทันทีว่า “สมควรแล้วนะ เข้าได้” ก็เข้าทันที
พอเข้าไปนะ ไปถึงบ้านหนองผือปุ๊บ คนในหมู่บ้าน เด็กเท่าหัวกำปั้นก็มี ว่าอย่างนั้นก็แล้วกันเถิด มันแตกต่างจากเด็กอื่นๆมากเหลือเกิน พอเห็นพระเจ้าพระสงฆ์ แม้แต่อยู่บนบ้านลงมาไม่ทำ อยู่นอกกระชาน มายกมือหัวสลอน มันยิ่งทำให้เราทึ่งเข้าไปอีกนะ คนเฒ่าคนแก่ เห็น มายกมือไหว้ แม้แต่ผู้หญิงกำลังตักน้ำ ทางนั้นผู้หญิงชอบตักน้ำกัน อาบน้ำกัน วางหาบน้ำทันทีนั่งพนมมือ เอ๊ะ สิ่งที่เราไม่เคยได้เห็นได้ยิน เห็นซะแล้ว ชักทำให้ใจสบายขึ้นมา
จนกระทั่งออกเดินทางข้ามทุ่งนาเล็กๆ ทุ่งนานึง เข้าไปมีต้นมะม่วง เป็นสัญลักษณ์อยู่ประตูวัดเลย พอเหลือบเข้าไปเห็นทรายขาวสะอาด ใจเปี่ยมความรู้สึก เปี่ยมทันทีเลย พอเดินเข้าไปถึงวัดปุ๊บ มองถึงความเป็นอยู่ของพระสงฆ์ มองหา ไม่มี ไม่รู้ไปไหนกันหมด พอเข้าไปถึงกลางวัด เห็นความสะอาดสะอ้าน ทรายขาวงาม ใบไม้ซักใบนึงจะหล่นลงไปก็ไม่มี เพราะท่านปัดกวาดเสร็จใหม่ๆ โอ้โห ใจนี่มันเป็นกองเลย สบายมาก
พอเดินเข้าไปใกล้ศาลาเล็กๆอยู่หลังหนึ่ง ปูด้วยฟากไม้ไผ่ เค้าบอกท่านครูบาใหญ่มาแล้ว สมัยนั้นเรียกครูบาใหญ่ ท่านครูบาใหญ่มาแล้ว เหลือบไปเห็น ท่านเดินมา โอ้โฮ ใจเนี่ย ดีใจเป็นกองเป็นกือ การเดินเหินของท่านเรียบร้อย ถึงแม้อายุท่านสมัยนั้น ๗๐ ปีอะไรเหล่านี้นะ ก็มาดูกิริยาอาการของท่านสมบูรณ์ดี พอเข้าไปถึงปั๊บ ท่านเดินขึ้นไปศาลา หับด้วยฟากไม้ไผ่แล้วเดินขึ้นไป กุ้มก้ำๆๆ คนแก่เดินขึ้นไปนี่ ท่านก็เรียบร้อยพอสมควร ไปเห็นกิริยาอาการ การกราบ การไหว้ มันประทับใจไปหมด
ความรู้สึกมันเปลี่ยนไปๆ เปลี่ยนตามอย่างไร คือความเชื่อถือนั่นเอง เชื่อเลยว่าน่านะ น่าเป็นพระอรหันต์ เกิดมั่นใจอย่างนี้ พอเสร็จเรียบร้อยไปกราบท่าน ท่านเอ่ยคำพูดขึ้นมาว่า “มาแต่ไหน จุดประสงค์มาธุระอะไร” ท่านถามออกมาแต่ละประโยค เราก็ตอบๆๆ พอเราตอบว่า “ตั้งใจอยากจะมาศึกษาธรรมะปฏิบัติกับครูบาอาจารย์” ท่านบอก ดีแล้ว
ท่านก็แนะแนวให้เลยว่า “นะ เอาเถอะ เฮ้ย นี่มีที่บ้างมั้ยหละ” ว่าอย่างนั้น เค้าบอกว่า มี นี่ไงตรงโน้นว่าง ท่านชี้ไปข้างๆว่าตรงโน้นว่าง พอลงไปเสร็จ แทนที่เราจะขึ้นไปบนกุฏิ กลับพระไปส่งในดินเลย อ้าว อะไรกันนะ ถามว่าเนี่ยพระเพิ่งออกไปนะ เพิ่งออกไปวันนี้เอง เพิ่งจะว่าง คือกอไผ่นะ ไม้ไผ่ไร่น่ะ มันคลุมข้างบนเนี่ย ข้างล่างไม่มีแดด เราเดินจงกรมได้สบาย
มองไปแล้วเนี่ย มองไกลๆเห็นกลดเรียงกันเป็นแถวเลย โอ้โห ยิ่งไปเห็นอย่างนั้นใจก็ยิ่งเป็นกองเป็นกือขึ้นมา ก็เข้าไปปักกลดทันที พอปักกลดกางมุ้งกางอะไรเสร็จเรียบร้อย เราก็รอจังหวะออกมาถาม ถามว่าเราจะเอายังไงบ้าง ท่านก็บอกว่า กิจวัตรประจำวันมีอะไรบ้าง ท่านก็มาซักไซ้ไล่เรียง แล้วก็มาสอนเราหมด โอ้ โหย สบายใจ
พอถึงตอนค่ำพ่อพระคุณ ท่านจะมีการเทศนาทุกวัน เราไม่ได้อยู่โรงเรียนปริยัติหรอก แต่เราได้ยินครูบาอาจารย์สอนทุกวันนี่ เกิดความเข้าใจปฏิปทาข้อปฏิบัติพอสมควร เพราะฉะนั้นพอถึงตอนค่ำเราก็ไปฟังเทศน์ ยิ่งไปฟังเทศน์ ยิ่งประทับใจเข้า ยิ่งอยู่หลายวันมากวัน ยิ่งเห็นความดีของท่านสูงขึ้นๆเป็นลำดับ อันนี้เป็นสิ่งประหลาดอยู่อันหนึ่ง
วันหนึ่งอาตมาเคยเล่าให้อาจารย์ฟัง อาตมาประหลาดใจอยู่อันหนึ่ง คืออาตมาเป็นสามเณร ตอนนั้นไปมันหน้าหนาวนี่ หนาวจัดจริงๆ ทีนี้พอถึงตอนค่ำ เราจะต้องต้มน้ำร้อนน้ำชานี่นะ ไปถวายพระ แล้วพระท่านฉัน แล้วเราอยู่ใต้ถุน ไม่มีสิทธิ์ขึ้นข้างบน เรานั่งฟังธรรมะต้องอยู่ใต้ถุนกุฏิ ต้องเอียงหูฟัง ถ้าท่านพูดเบา ก็ต้องยืนขึ้นเอียงฟัง เราก็อยากได้ยินได้ฟัง เค้าว่าศิษย์ใหม่เหมือนยักษ์กระหายเลือดงั้นเถอะ อยากได้ยินได้ฟังเหลือเกิน
พอดีไฟเต็มที่เสร็จแล้ว เราก็เข้าไปฟัง น้ำกำลังเดือด ทีนี้ก็ให้เพื่อนกัน เฮ้ย ไปดูหน่อยสิ ก็ไม่มีใครไป ต่างองค์ก็ต่างสนใจธรรมะ เอียงกันเต็มที่เอาแต่ฟัง จบ จบลงไปแล้วเสร็จนะ ความหนาวไม่รู้มันมาจากไหน หนาวขนาดไหน เรียกว่านิ้วมือนี่กำไม่เข้า หูนี่หยิกไม่เจ็บเลย เอางั้นก็แล้วกัน จับหูนี่เหมือนน้ำแข็ง ผ้าห่มไม่มี เรายืนฟังเอียงกัน
โอ้โห จนไปถึงหม้อเสร็จแล้ว ร้าวซะแล้ว นายดวง ตอนนั้นก็เป็นสามเณรดวง เฮ้ยนี่ เราเป็นหัวหน้าใหญ่เขานะ เราต้องเป็นคนรับผิดชอบ โยนให้ เราก็ต้องรับ พออาตมาเป็นเณรใหญ่นี่ต้องรับ เป็นหัวหน้าเค้า ต้องรับ ยังไงก็ต้องยอม รับรองพรุ่งนี้กระเด็น ถามเป็นไง ถูกไล่แน่นอน
“เอาวะ ไล่ยังไงวะ ผมอุตส่าห์มา อยากจะฟังธรรมะ ผมเพิ่งจะมาฟังธรรมะไม่กี่คำนี่ ไล่หนีผมก็แย่นะสิ ผมเสียสละมาไกลขนาดนี้” ว่าอย่างนั้น
“จะไล่ผมได้ยังไง ผมก็อยากจะฟังธรรมะนี่หว่า” เอาแน่หละ ทีนี้เสร็จเรียบร้อยดีแล้วก็ อาจารย์มหาบัว อาจารย์วัน อาจารย์ทองคำเดินมา
“นี่ รู้หรือเปล่าตัวเองผิด”
“เกล้ากระผมรู้”
“ถ้าหาหม้อไม่ได้นะ ให้รีบเตรียมตัว”
ไปหาที่ไหน พ่อก็ไม่มี แม่ก็ไม่มี เพิ่งจะมา จะไปรู้จักใครเล่า จะไปขอใครเล่า ตายสิ อุ้ย ตายเลย หลวงปู่เดินด้อมๆลงมา คุยกันก็ไม่ใช่ใกล้ แล้วก็ไม่ได้ว่าอะไรแรงเลย ก็ลงมาพอดี เดินด้อมๆมาถึง
“อะไรเว้ย แหม เมื่อคืนนี้ หม้อร้าวซะแล้วหรือ” ว่าอย่างนั้น ท่านหัวเราะขึกๆๆ ตกใจน่ะมันขาอ่อนมาพูดถึงหม้อ ตายแล้วเว้ย เราคงไปแน่ๆแล้วว่ะ นี่ดวงบอกแล้วนี่ พรุ่งนี้กระเด็นแล้วหวะ พอเสร็จแล้วท่านบอกว่า
“อื้ม ดีแล้ว ไม่เป็นไรหรอก ธรรมะเนี่ย หาฟังยากนะ ได้ยินได้ฟังแล้ว เราต้องพยายามฟัง ฟังให้เข้าใจ แล้วเราจะปฏิบัติถูก การปฏิบัติธรรมะมันดาบสองคมนะ ถ้าเราฟังไม่เข้าใจ กระทำนี่ มันอาจเป็นอันตรายต่อตัวเองได้ ศึกษาเถอะ ไม่เป็นไรหรอก ไอ้หม้อน่ะ ปัดโถ่ วัตถุนอกกาย” ว่าอย่างนั้น
โอ้โห พอท่านพูดขึ้นมาแค่นี้ ขาอ่อนเลยผม นั่งยกมือเลยทีนี้ ดีอกดีใจ เราไม่ได้ไปแน่แล้วเล้ย ดีใจยกมือ เกิดบังเอิญมีสิ่งที่ไม่ขายหน้า ผู้ใหญ่บ้านมา อายุรุ่นเดียว ผู้ใหญ่บ้านคนนั้นอายุรุ่นเดียว ผู้ใหญ่บ้านที่หนุ่มที่สุดนั่นแหละเข้ามา ถามว่า
“เฮ้ย ผู้ใหญ่ หม้อแตกว่ะ หม้อต้มยาแล้วแตกเว้ย ตอนเย็นนี่ไม่มีหม้อต้มยาถวายพระแล้วว่ะ มีบ้างมั้ย” เค้าบอกว่า หม้อสาหรอก ก็หมายความว่าเค้าเลี้ยงหม่อน แล้วมีไหมน่ะ เค้าสาวไหม แล้วเค้าเรียกว่าหม้อหรอก เค้าว่าง่ายๆอย่างนั้น “ของบ้านผมมีใหม่ๆ เอามายังไม่ได้ต้ม มีอยู่ใบหนึ่ง” “เออ ถ้านั้นจัดการเลย” “ครับ” พอครับปุ๊บแกก็วิ่งเลย แหม ใจเป็นกองเป็นกือ อะไรมันมาช่วยมั่งก็ไม่รู้ ก็เลยเอาหม้ออันนี้มา ก็เลยมาต้มน้ำได้ต่อ พวกที่กำลังจะกระทืบเรา ก็กลับหงอยไป ถ้าไม่งั้นคงอร่อยเลยหละ คงอร่อยแน่ๆ ผลที่สุดได้อยู่ต่อ นี่สิ่งประหลาดที่เกิดขึ้นเบื้องต้น กระทำให้ได้เห็น เข้าขั้นนะ เข้าขั้น
ทีนี้ต่อมาก็อยู่เรื่อยมาๆๆ เป็นเวลานานพอสมควร ก็แยกออกไปจำพรรษา แต่ก็จำพรรษาไม่ได้จำที่นั้น ไปจำที่อื่น เสร็จเรียบร้อยจนถึงอายุครบ หลวงปู่ท่านจัดบริขารให้ ท่านก็เรียกแม่นุ่มมา แล้วก็เรียกหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่กงมาว่าให้หลวงปู่ฝั้นเป็นอาจารย์สวด หลวงปู่กงมาเป็นอาจารย์สวด ไปเอาพระธรรมเจดีย์จูม “ลูกศิษย์เรามาเป็นอุปัชฌาย์นะ สามเณรนี้คงจะทำประโยชน์ได้ดีมาก” ท่านก็บรรยายของท่านไปตามเรื่องของท่านนั่นแหละ เอาเถอะ เป็นสิ่งที่เราไม่ควรพูด เอาเถอะ
ท่านเล่าพอสมควรเสร็จ เราฟังก็ อื้ม ซึ้งใจ ท่านหลอกให้เด็กขยันนี่หว่า คิดว่าอย่างนั้น เราก็จะบุกนี่น่ะ ท่านบอก เราก็บุกหละ ผลที่สุดพอบวชเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว ก็หวนเข้ามาอยู่กับท่าน ไปจำพรรษากับหลวงปู่ฝั้นก่อน แล้วก็หวนกลับเข้ามา พอมาอยู่เสร็จเรียบร้อยดีแล้ว ได้เวลาพอสมควร เราก็จะออกไปบำเพ็ญ จะออกไปบำเพ็ญต่อ เสร็จเรียบร้อยก็บำเพ็ญเวียนไปเวียนมาจนกระทั่งปีที่ท่านจะมรณภาพ ก็เวียนเข้าเวียนออกห้าปีกว่าเกือบหกปีหละ
เข้าไป เข้าไปก็ไปนวดขาท่านอยู่ นวดไปนวดมา นวดมานวดไป ก็คิดว่า ก่อนเราจะออกบำเพ็ญคราวนี้นั้น เราควรไปบอกลาแม่นุ่ม ซึ่งเป็นผู้จัดบริขารให้คู่หลวงปู่ และต้องไปกราบลาครูอาจารย์หลวงปู่ฝั้น แล้วก็อาจารย์กงมา แล้วก็ไปกราบลาพระเดชพระคุณจูมพระธรรมเจดีย์ เพราะท่านอนุญาตก่อน จึงจะออกไปบำเพ็ญต่อ ตัดสินใจว่าอย่างนั้นแหละ
ทีนี้นวดขาก็จะดึกหน่อย วันนั้นท่านเทศน์ดึก เหนื่อย แต่คิดว่าเราจะข้ามเขานี่นับได้เลย จากนี่จะไปบ้านนาใน ข้ามเขาเรื่อยไปจนกระทั่งถึงลาดกระเฌอ แล้วก็ข้ามเขานางแก้ว ลงข้ามไปพระนคร สามลูกเขาใหญ่ๆ เหนื่อยน่าดู ว่างั้นเถอะ คิดว่าคงเหนื่อยน่าดู วันนี้ควรจะนอนแต่วันๆหน่อยจะดีนะ คิดอย่างนั้น คิดไว้ในใจ
หลวงปู่ท่านนอนอยู่ ท่านพูดลอยๆขึ้นมาว่า
“เฮ้ย จริงนะ สังขารไม่น่าหักโหมเลย ข้ามเขานี่ สามลูก ไม่ใช่เล่นนะ ถ้ากำลังไม่ดีจะเป็นลมไปซะ เพราะมันก็แดดนี่หละ”
ท่านพูดลอยๆอย่างนั้น ไม่รู้ว่าพูดกับใคร ก็ตกใจ เฮ้ย นี่ ท่านพูดกับใครวะ คือตกใจ มันงงๆ มันงงแบบว่า ทุกอย่างที่เราอ่านมันเป็นนิยาย ไอ้เรื่องนิยายมันจะจริงได้ยังไง หรือมันจริงขึ้นมาแล้วนี่ ถามตัวเองว่าอย่างนั้น ทีนี้ เอ้า นวดขาต่อวะ นวดไปก็คิดไป นวดไปก็คิดไป ทีนี้คิดเรื่องไอ้ปัญหานี้
“อื้ม อันนี้น่าจะจริงแล้ววะ” พอดีเราคิดจบก็ (หลวงปู่มั่น)เอ่ยคำนี้ขึ้นมานี่นะ เอ๊ ถ้าอย่างนั้นเราจะพยายามเอาวิชานี้ให้ได้ ขออุทิศชีวิต ตายก็ตาย ถ้าเราไม่ได้ดี ตายนะ ถ้าไม่ตายขอให้ได้อันนี้ เอาให้ได้ชาตินี้ คิดว่าอย่างนั้น
พอคิดจบ ท่านพูดมาเลยว่า “เอาจริงหรือ”
อะไรกันวะ “เอาจริงหรือ เอ้อ ถ้าเอาจริงก็ดีนะ พยายามนะ” ว่าอย่างนั้นนะ
“พยายามนะ ต้องตั้งใจ”
เอ๊ อะไรกันนะ อะไรกันแน่ ถามตัวเองตลอดว่า อะไรกันแน่ มั่นใจแล้วหรือยัง ก็เลยเกิดทำให้เรามองถึงนิยายต่างๆที่อ่านตั้งแต่เป็นเด็ก ชอบเหลือเกิน นิยายของฤาษี นิยายของอริยบุคคล และมาดูตามอนุพุทธประวัติต่างๆ บรรดาสาวกของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์มียังไงบ้าง เราอ่านก็ไม่ได้ติดใจอะไรมาก ก็นึกว่าคงจะเป็นนิยายซะมากกว่า อะไรเหล่านี้ แต่ในเมื่อมาประสบอันนี้ เอ๊ะ อะไรนะ อะไรนะมันจริงได้หรือ มันก็ทำให้เกิดเชื่อว่าจริง สิ่งเหล่านี้มีจริงซะแล้ว
ก็เลยตั้งปณิธานไว้ในใจ เอาแล้ว ชาตินี้ ขอสู้ที่สุด เอาเถอะ ถ้าไม่ดี ให้มันตายซะดีกว่า ถ้าไม่ตาย ให้ดี ถ้าเราจะมานั่งกอดเข่ารอวันตายเหมือนหลวงตาทั่วๆไปที่เราเห็นๆนี่ เราไม่อยู่เด็ดขาด เอ้อ ว่าอย่างนั้นในใจ เสร็จแล้ว ท่านก็ดีนะ เสร็จแล้วก็ตื่นเช้าขึ้นมา ก็มากราบลา ท่านก็สอนต่อเสริม ก่อนออกอนุญาตออกเดินทาง ไปลาครูบาอาจารย์ ก็เป็นอันว่าทุกท่านไม่ได้ขัดข้อง ยินยอมให้ไปประพฤติปฏิบัติ จึงได้หนีไปปฏิบัติ หนีไปปฏิบัติ เร่งปฏิบัติ
พอไปเร่งปฏิบัติอีก โอ้โห เร่ง ไม่ใช่เล่นๆเหมือนกันนะ สามเดือนไม่เคยเอาหลังแตะพื้นเลย บุกจริงๆ จนกระทั่งไข้ขึ้นนั่นน่ะ ทนไม่ไหว เอนบ้าง อยู่ตั้งแต่เดือน ๑๑ ออกพรรษาแล้วในเดือน ๑๑ แรมนะ ออกพรรษาแล้วไม่มีกฐิน เผ่นเลย ไปอยู่จนกระทั่งเดือน ๘ ไข้ป่ามันขึ้นแรง กลับมาอยู่กับอาจารย์สีลา อิสสโร
โอ๋ มาเป็นไข้สลบ ๑๕ ชั่วโมงกว่า เนี่ยที่มันจะประจักษ์จริงๆ อาตมาไปอยู่สวรรค์สิบชั่วโมงกว่า สลบโอ้ย สนุก ตอนสลบนี่สนุก แต่ตัวเองไม่รู้ว่าตัวเองตายหรอก มันไม่รู้ยังไงนะ มันไม่รู้เพราะว่ามันเป็นอย่างนี้
ในระหว่างความทุกขเวทนากำลังบีบคั้นเราอยู่นั้น มันกระวนกระวายที่สุด ไม่รู้จะเอาใจไปไว้ตรงไหน ทั้งๆที่เราก็มีสมาธิอยู่ แต่มันวางไม่ลงเลย ทุกขเวทนามันบังคับเรา ว่างั้นก็แล้วกัน จนกระทั่ง เอ๊ เอายังไงดีน้อ ประคองท้องมากที่สุด ทำไมถึงประคองท้องมาก ท้องของเรามันเหมือนเอาหินก้อนหนักๆมาทับ ยุบลงๆ หายใจออก ไม่ออก ไส้มันหมุนตัว อัดขึ้นมา อัดขึ้นมาคอหอย โอ้โห ความเจ็บปวดไม่มีอะไรเทียบเลย
พอซักเดี๋ยว มันสะอึก สะอึกกึ้ก สะดุดอึ้ก ตัวเองรู้สึกว่าไอ้ความเวทนามันหลุดพลัวะ พอมันหลุดพลัวะลงไป มันก็หมดนะสิ ไม่มีทุกข์ เอ๊ะ นี่เราหายได้ยังไงวะ ลุกขึ้นมานั่ง มาคิดว่า เออ เนาะ สะอึกทีเดียวมันหล่นได้ไงวะ เอ๊ หายได้ยังไง ก็เรานี่อะไรไม่เข้าเลย แปดวันแปดคืน อะไรเข้าไม่ได้เลย อะไรเข้าไปก็อาเจียนลูกเดียว มันเข้าไม่ได้ซักอย่าง และอีบทจะหายมันก็หายไม่มีเหตุมีผลเลย สะอึกทีเดียวหาย
ก็เลยคิดว่า เอ้อ ไปเยี่ยมเณรหน่อยวะ ก็เลยลุก ลุกไป ไปเยี่ยมเณร เณรไปบำเพ็ญมาด้วยกัน ป่วย เณรนั้นก็นอนแบบภาวนา ขึ้นไปดูแล้ว ก็ไปยืนมองเณร ทีนี้ตามประสาที่อาตมาก็เรียนมานิดๆหน่อยๆ ไอ้หมอนี่ก็เพราะเป็นหมอเถื่อนได้นิดๆ เราก็เป็นหมอประจำวัดรักษาพระตามประสา สมัยนั้นไม่ค่อยจะมีหมอน้่นหนะ ทีนี้ก็เห็นสามเณรหายใจยาวปกติธรรมดาก็หลับดีแล้ว ก็ก้มลงไปจะไปแตะดูคางซะหน่อยนะ มันเย็นดีหรือยัง แต่ว่าถ้าไปแตะนี่ถ้าเณรตกใจตื่นขึ้นมาหละ เกิดความไม่สบายจะเป็นไง ก็เลยยืนขึ้นมา ยืนคิด เอ๊ะ ไม่เอาดีกว่า
คิดไปคิดมาตามประสาของคนสนใจ ก็อยากจะแตะดูชีพจร ว่ามันเต้นจังหวะดีมั้ย อาการเป็นยังไง เร็วช้ายังไง ไอ้ตามประสาคนที่มีความรู้นิดหน่อย มันก็อยากจะเอาบ้าง ก้มลงไป เอ๊ะไอ้นี่ การจับเฉยๆไม่รู้ ต้องกดนิดนึง ถ้ากดนิดนึง ถ้าเณรตกใจจะทำยังไง อย่าดีกว่านะ เลยยืน พอยืนขึ้นมาเสร็จ เอาอย่างนี้ดีกว่า กลับดีกว่า เสร็จเรียบร้อยดีแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เราไม่ไปบิณฑบาตหรอก เราจะมาจัดอาหารถวายเณรแล้วตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป จะเป็นหมอประจำเณรนี้อย่างดี จะพยาบาลให้เณรนี้หาย เพราะเณรนี้ไปทรมานมาด้วยกัน
เท่านี้แหละ กลับดีกว่า พอกำลังจะกลับปุ๊บ เกิดความรู้สึก เอ๊ะ ผิดปกติซะแล้ว คือเวลานี้เป็นเวลาวิกาล ตอนอาการจะสะอึกอยู่ในระหว่างอาจารย์ท่านไหว้พระ ในระหว่างอาจารย์ไหว้พระสมัยนั้นก็อยู่ประมาณเกือบทุ่มนึง ประมาณเกือบทุ่มนึงท่านไหว้พระใช่มั้ย ตอนนั้นยังได้ยินอยู่เสียงไหว้พระ อันนี้มันเป็นตอนค่ำ แล้วทำไมเรามองสามเณรนี่ปกติทุกอย่าง เห็นเนี่ยเหมือนแสงอย่างเนี้ย เป็นสลัวอย่างเนี้ย แต่มันชัดเจนเหมือนเรามองเห็นอย่างนี้ มันเป็นได้ยังไง เพราะกุฏิมันก็ปิด ไฟก็ไม่มี มันเป็นได้ยังไง แค่เนี้ยเป็นเหตุที่ทำให้เราตกใจ รีบกลับกุฏิด่วน
พอกลับกุฏิเสร็จปุ๊บ อาตมาก็สันดานไม่ดี คือมีหมาตัวนึงมันนอนอยู่ แล้วหมาตัวนี้เป็นเครื่องมือ คืออาตมาสร้างอำนาจส่วนนี้ขึ้นมา ก็เหมือนนักจิตวิทยาสร้างอำนาจขึ้นมาเพื่อสะกดคน เราก็สร้างอำนาจส่วนนี้ขึ้นมาเพื่อบังคับจิตเรา แต่แล้วก็ทดลองกับหมาที่นี้เสมอว่า นอนลง ลุก เดินไป กลับมา ซ้ายขวา จนกระทั่งดีแล้ว เราเอาอำนาจอันนี้มาบังคับประสบการณ์ประจำวัน
เค้าชมเรา มันจะเบิกบานรับ อันนี้โลกธรรม แต่ของเราก็วางไป พอเค้าด่าเรา มันชักวูบวาบเข้ามาซะแล้ว โลกธรรมมันครอบหัวเราอยู่ สัตว์มนุษย์ทั้งหลายอยู่ใต้อำนาจโลกธรรม เหมือนไก่ที่ถูกสุ่มครอบ มันก็เวียนอยู่แค่ในสุ่ม เพราะฉะนั้นจะไปไหนก็ไม่ได้ เหมือนคนโลกธรรมครอบ ก็ไม่มีวันที่จะพ้นจากโลกไปได้ หมายความว่าเป็นโลกุตตรจิตไปไม่ได้ ก็เป็นว่ามีเกิดร่ำไป อะไรอย่างนี้ เราก็ว่ามัน พอว่าปุ๊บมันหยุด เราอาศัยอำนาจนี้คอยจี้มัน คอยว่ามัน อยู่ตลอดเวลา
ทีนี้หมาตัวนี้มันทำให้เราได้กำลังส่วนนี้มากเหลือเกิน ก็เลยเดินเข้าไปหาหมาตัวนี้อีก ไอ้สันดานเสียของคน พอเดินเข้าไปหาหมาตัวนี้ หมาตัวนี้วิ่งหนีเลย อันนี้เราสันนิษฐานอีกอันหนึ่งนะ อันนี้แปลก อาตมายังคิดอยู่ทุกวันนี้ พอเดินเข้าไป หมาตัวนี้มันวิ่งเข้าไปถึงใต้ถุนกุฏิ อาตมาตามเข้าไปอีก ตามเข้าไปอีก วิ่งรอดไปทางโน้น หางจุกตูด แต่ก็ไม่เห่า คิดว่า เอ้อ เอาน่า เดี๋ยวเดินๆไปมันจะวิ่งตาม ว่าอย่างนั้น เดินเข้าไป มันก็ไม่วิ่งตาม
เวียนไปจนกระทั่งถึงศาลาใหญ่ มีประตู อาตมาไปจับประตูฟัง ท่านอาจารย์กำลังสรรเสริญอยู่ว่าคุณสมชายนี่เธอให้เราได้เข้าใจธรรมะปฏิบัติดี เราชอบไปสนทนากับเธอ เป็นเวลาหลายสัปดาห์มาแล้ว เข้าใจดี ท่านผู้นี้มีความพยายามสูง ผมว่าถ้าเค้าไม่ตายก่อน เค้าต้องได้ของดี นอกจากตายก่อน แต่เชื่อว่าต้องตายก่อน เพราะเค้าพยายามเหลือเกิน ไม่เป็นอันหลับอันนอน ว่าอย่างนั้น หรือตายไปแล้วก็ไม่รู้ ว่าไปนั่นซะอีก หรือตายแล้วก็ไม่รู้หวะ เธอบอกว่าอย่าให้ใครไปใกล้นะ เอาน้ำใส่กา เธอห้ามเด็ดขาด ผีเทวดาห้ามเข้า ถ้ามีกลิ่นเหม็น เธอสั่งว่าให้ฝัง ไม่ต้องเผา ดูซิ เธอไม่ต้องการอยากให้เป็นภาระของพระสงฆ์ ห้ามส่งจดหมายไปที่บ้านเด็ดขาด ว่าอย่างนั้น ตั้งแต่เธอบวชมายังไม่เคยส่งจดหมายไปที่บ้านเลย เธอว่าอย่างนั้น ว่าอย่างนั้น
พอดีนึกได้ โอ้ นี่ เราไปแอบฟังพระคุยกัน ไม่ได้อยู่ในหัตถบาสนี่ มันเป็นอาบัตินี่หว่า ตกใจ ถอยหลังเปิดหนีเลยทีนี้ หนีจนกระทั่งไปถึงกุฏิ
พอไปถึงเห็นตัวเองนอนอ้าปากตาเหลือก เอ๊ะ อะไรกันนะ ที่นี่นะ ก็มาดูตัวเอง มาจับดู มาดูทุกอย่าง คือเราก็คือคนนั่นเอง มันก็เรียบร้อยทุกอย่าง อันนั้นมันอะไร มองก็คือเรา อะไรกันแน่นะ เนี่ยสาเหตุวุ่นวายอยู่พักใหญ่นะ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองตาย นึกว่าสะอึกแล้วมันหายไป ก็ลุกไปเลย ไม่ได้สันนิษฐานอะไรมาก ก็เลยไม่รู้ว่าตัวเองตาย นี่มันเป็นอย่างนั้น
ผลที่สุด คิดไปคิดมา มีคนเข้ามาสองคน แต่ว่าเข้าใจว่าคนสองคนชุดสีขาว เข้ามาถึงเสร็จชวน
“ไป ไปๆ เดี๋ยวจะพาไปบ้าน”
“ไปบ้านไหน” ก็ซักดู บอกว่า “ไปไม่ได้หรอก ลองให้เราเข้าใจอันนี้สิว่า ไอ้ที่นอนอยู่นี่ก็เรา ไอ้นี่ก็เรา มันเป็นไปได้ยังไง ให้เราเข้าใจ”
“ไม่เข้าใจหรอก ถ้าไปกับผมถึงจะสิ้นสงสัย”
“แน่นะ”
“แน่สิ แน่” ไปเลย
ปรากฏว่าเหาะไป ไปเข้าดาวเพชรนะ ตามความเข้าใจนะ แต่จริงเท็จยังไงไม่ทราบ เข้าไปในดาวเพชร ตามความเข้าใจ เพราะมองไปทางด้านตะวันออกมีดาวเพชรนี่กำลังขึ้นมา ถามว่าจะไปไหน ก็ชี้ปุ๊บ ก็เหาะตามลิ่วๆๆเข้าไปเลย
พอเข้าไปถึงปุ๊บก็เหมือนบ้านเรา แต่ต้นไม้เค้าสูง กิ่งเค้าก็ยาว แล้วก็มองขึ้นไปนี่เหลืองเหมือนไฟนีออน เค้าถึงบอกว่าขึ้นไปบนสวรรค์ท้องฟ้าสีทอง กิ่งไม้ใบไม้มันสีทอง ไม่ใช่ท้องฟ้าสีทอง สูงงาม แล้วก็ข้างล่างนี่ความสันนิษฐานนึกว่าหญ้าแห้วหมู เหมือนหญ้าแห้วหมู คลุมไม่เห็นดินเลย แล้วเหยียบก็เหยียบหญ้าแห้วหมูนุ่มไปเลย
ตลอดไปถึงเห็นบ้านตัวเอง บ้านตัวเองคือหลังแรกของเทพเจ้า ถ้าเป็นมนุษย์คือขอทานนั่นเอง ขอทาน ผลที่สุดเสร็จแล้วก็ไปเอาหละสิทีนี้ อ้าว นี่บ้านฉันใครสร้าง ทำไมฉันไม่รู้ บอกว่าท่านรู้หรือเปล่านี่โลกทิพย์ ของเป็นเอง เกิดมาเพราะอานิสงส์แห่งความดี
พูดแค่นี้ระลึกได้ว่า เอ๊ะ ตายแล้วมั้งนี่หว่า “เราตายใช่มั้ย” บอกว่าใช่ โอ้โถ ถ้าตายอย่างนี้ฉันกลัวทำไมวะ ไม่น่ากลัวนี่นา ฉันไม่รู้นี่ จึงอย่างเค้าว่าถ้าไปจะสิ้นสงสัย เค้าอธิบายยังไงก็ไม่สิ้นสงสัย ถ้าไปถึงจะสิ้น จริงๆ สิ้นสงสัย เอ้อ นี่ตายเนาะ
พอเริ่มมาตายเกิดเสียใจแล้วทีนี้ เริ่มเสียใจสูงขึ้นแล้ว เสียใจสูงขึ้น เพราะมองถึงความเป็นอยู่ของเราแย่ ถ้าเรารู้อย่างนี้นะ เราต้องทำความดี แต่แล้วทำไมนะ ตอนที่ไปเรียนเค้าก็หลอกเราว่าตายแล้วสูญซะอีก โห แย่ ผลที่สุดเค้าก็พาเราไปเที่ยวในโลกทิพย์ ยิ่งที่ไปเห็นเค้ามีอานิสงส์มากๆ มีสิ่งประดับบารมีมาก ยิ่งทำให้อาตมาร้องไห้ลูกเดียว ร้องไห้ตลอดเลย จึงจะต้องหวนกลับมาถึงบ้านตัวเอง ตั้งใจอธิษฐานว่า ขอให้เทพเจ้าเหล่าเนี้ย เชื่อข้าพเจ้าเถอะ ถ้าข้าพเจ้ากลับได้นะ จะสร้างความดีใหญ่ที่สุด เสร็จแล้วพอมาถึงบ้านตัวเอง อาตมาหันหน้ากลับนี่ อย่างพวกท่านทั้งหลาย หัวสลอนอย่างเนี้ย เต็มไปหมดอย่างเนี้ย อาตมาก็ประนมมือว่า
“ถ้าข้าพเจ้ามีบุญบารมีเหมือนหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระนั่นแล้ว ขอให้เทพเจ้าเหล่านี้เชื่อข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าไม่มีบุญบารมีซึ่งจะสร้างความดีได้ อย่างท่านปรารภไว้ ที่นี้อาจจะเป็นศูนย์วิปัสสนากรรมฐาน สถานที่อาตมาจะไปอยู่เนี่ย ท่านปรารภอย่างนั้น ถ้ามันเป็นจริงได้สามารถที่จะทำประโยชน์ให้กับพระศาสนาได้ เทพเจ้าเหล่านี้ให้เชื่อข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าไม่มีบุญญาธิการที่จะทำได้นั้น ก็ขอให้เทพเจ้าเหล่านี้อย่ายอมก็แล้วกัน”
อธิษฐานเสร็จก็ยกมือขึ้นบอกว่า “ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าเกิดมาชาตินี้ เกิดในพาเหียรลัทธิ เกิดในลัทธินอกพุทธศาสนา ข้าพเจ้าเสียใจมาก เพราะฉะนั้นขอให้ข้าพเจ้ากลับไปแก้ตัวอีกซักครั้งเถิด” แค่นี้แหละยกมือพร้อมกันพรึบ “สาธุ” แหม ขนลุกซ่าเลยทีเดียว ดีใจ
เสร็จ โอ้ เค้าสอนเราดีเหลือเกิน สอนให้ดูที่ดวงดาวทั้งหมดเนี่ย ดวงดาวทั้งหมดแสนโกฏิดวง เวลาเนี้ยเรานับได้แค่สิบหมื่นเป็นแสน สิบแสนเป็นล้าน อันนี้โกฏินะ สิบล้านนี่ก็เป็นโกฏิ เพราะฉะนั้นแสนโกฏิดวงทั้งหมด แยกออกเป็นสองประเภท ประเภทหนึ่งจะมีแสงกะพริบๆ พริบๆๆ เค้าชี้ให้ดู นี่ดวงนี้ อันนี้ก็โลกพระอาทิตย์ มีหน้าที่ให้แสงสว่างและความอบอุ่นกับโลกอื่นเท่านั้น แต่มีโลกอีกโลกหนึ่ง เค้าก็ชี้ให้ดูนี่ แสงนี่เหมือนเราอยู่ในโลกมนุษย์มองถึงโลกพระจันทร์ มีแสงนี้ อันนั้นเป็นอีกประเภทนึง พวกนี้มีวิญญาณของสัตว์และสัตว์อยู่ เช่นดุจในโลกมนุษย์ที่เรามาเมื่อกี๊ ก็คือดาวดวงนี้ เค้าก็ชี้ดาวดวงนี้ ผมจะส่งท่านไปนี้ ดูให้ดีๆคือดวงนี้
ทั้งหมดนี่ อันนี้เมื่อเราตายแล้วเราจะเวียนว่ายในดวงดาวเนี่ย ไปตามกำลังของกรรม จนกว่าจะเวียนมาสู่ดาวมนุษย์โลกได้ โอกาสมาเจอพระพุทธเจ้าหรือมาเจอศาสนาของพระพุทธเจ้านั้นยากที่สุด งมเข็มในมหาสมุทร มีความหมายกว่า อันนี้ยากที่สุด เรามาเจอแล้ว ให้รีบพยายาม
โอ้โห ดีใจเหลือเกิน ผลที่สุดก็ดิ่ง เค้าก็พามา ก็ดิ่ง เหาะมา พอเหาะมาเนี่ย มามองโลกมนุษย์นะ พอมาถึงปุ๊บนะ ทางด้านถึงขวามือ เป็นจุดใหญ่ๆ จุดเล็กๆ ทางที่ด้านซ้ายมือนี่เหมือนรูปแผนที่ประเทศไทย หัวโตๆแล้วก็เรียวลงมามันด้วนสุดขาด ตรงกลางนี่ขาวโพลน ไม่เหมือนเรามองโลกพระจันทร์ พลั๊วะ เข้าไปก็ถึงพอดีเลย
พอถึงก็เข้าไปกุฏิ ไปถึงก็ตัวเองก็อ้าปากอยู่อย่างเดิม ผลที่สุดเค้าสอนเราอยู่พักนึงก็หลับตา พอหลับตาปุ๊บก็เข้าร่างพอดี พอเข้าร่างพอดี เสร็จก็ยังแข็งเด่อยู่ จนกระทั่งที่หลังมือมันพับได้ ก็มาลูบตา ตากระพริบได้ มองอะไรเห็นก็มาบีบปาก หุบได้ ลุกได้ แต่ขานี่ยังแข็ง ถอยหลังตุ้บๆๆ ถอยหลังออกไปตากแดด ของอาตมาอยู่ที่ กุฏิ เป็นกุฏิที่ตั้งศพ ศาลาหลังเล็กๆหลังหนึ่งเท่านั้น ออกไปหาแดดก็ดี พอซักพักหนึ่งพอความร้อนได้ดีก็งอขาได้ กลับมาใส่กับข้าวเดินไปศาลา ฉันจังหันเสร็จเที่ยงพอดี
ตั้งแต่เวลาประมาณทุ่มนึง อาตมาสลบ หมายความว่าฉันจังหันแล้วก็ไม่ได้นอนอะไรเลย เที่ยงพอดี ก็กินอย่างน้อยก็ประมาณ ๑๕ถึง ๑๖ ชั่วโมง ที่สลบไป อันเนี้ยอาตมาเสียใจมาก ที่อาตมาไปเห็นว่าตัวเองมีอานิสงส์น้อยที่สุดคือ ขอทาน ถ้าจะเทียบถึงมนุษย์ ขอทาน จึงได้เสียใจมากเพราะว่าคนเค้าหลอกว่าตายแล้วสูญ ทำให้เรานี่ทำอะไรไม่เต็มที่ ทุกอย่างอาตมาจำได้ อาตมาสร้างโบสถ์ อาตมาคนขยัน สร้างโบสถ์ สร้างกุฏิไว้มาก ก็ไปทวงเค้าว่า ฉันทำอันนั้นๆ เค้าบอกว่า “สักแต่ว่าทำ” แหม เข็ดจริงอันนี้ ต่อนี้ไปจะไม่เอานะ “สักแต่ว่าทำ”
แต่มันก็มีเป็นบางโอกาสอยู่นะ เดี๋ยวคนนั้นไปขอเรี่ยไรผ้าป่า ขอเรี่ยไรกฐิน แหม ไอ้มันทำโดยเสียไม่ได้ ทำแบบน้อมลง ไม่รู้จะน้อมลงยังไง มันไม่มีอะไรจะให้เราน้อมลงไปได้ก็ทำไปเสียไม่ได้ด้วยสังคม มันก็ยังมี แต่ถ้าโอกาสที่เราจะทำจริงๆแล้วเราก็มุ่งที่จะต้องเป็นจุดที่เราแน่ใจ ก็ไปทำที่นั้น อย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้นขอให้พวกเรานะเตรียมตัวเตรียมใจนะ จะไปเสียใจร้องไห้อย่างอาตมานะ ถ้าพวกเรามัวคิดว่าตายแล้วมาเกิดจริงหรือ เกิดได้จริงหรือ อะไรเป็นเครื่องพิสูจน์ อย่านะ อย่าไปคิดนะ ถ้าคิดละก็ เดี๋ยวจะเสียเวลา ให้รีบทำความดี
เวลานี้อาตมาเนี่ยมรณานุสติขึ้นสมองแล้ว ทำไมเป็นงั้น เวลานี้ของอาตมานี่มันยืมวันอยู่ นักโทษประหารชีวิต ๑๕ วัน รอวันฆ่า เค้ายังมีช่วงนั้นเค้าจะวางใจได้ อาตมาไม่มีเลย เพราะเวลานี้ไม่แน่ใจว่าวันไหน เพราะตอนหลังนี้ปี พ.ศ. ๒๕๑๓ เค้ามาตามอาตมาแล้ว ได้เวลาแล้ว แต่โชคดีเหลือเกิน อาตมาเช่ารถมาห้าคัน มีเงินสมัยนั้น ๔๕,๐๐๐ ก็มากแล้ว เสื่อจันทบูร ๑๒๐ ผืน ยังมีเงาะทุเรียนไปถวายหลวงพ่อศรี ผลที่สุดอาตมาก็จับจุดได้ พวกนี้กลัวบาป บอกคำเดียว บาป เพราะเวลานี้อาตมาเตรียมแล้วบุญ จะไปถวายท่านหลวงพ่อศรี ถ้าอาตมาตายใครจะเอาไปหละ ถ้าเสียกองบุญ บาปนะ
หน้าถอดสีเลย ก็เลยบอกว่านี่ สมเด็จพระสังฆราชวางศิลาฤกษ์ไว้แล้ว โบสถ์หลังนี้นะ โบสถ์หลังนี้เสร็จเมื่อไรให้มานะ ฉันไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้น แต่ถ้าโบสถ์หลังนี้ยังไม่เสร็จ อย่ามานะ ฉันไม่ไปนะ เค้าก็ไม่ได้รับเราเลย แต่ว่าหันหลังแล้วก็หนีไปเลย อันนี้สิมันเสียใจที่สุด
ปากก็บอกว่า เออ น่า ทำให้เสร็จซะนะ เดี๋ยวผมจะกลับมา เออ อย่างนี้นะ เราก็จะต้องทำ ทำก็ทำยังไงใช่มั้ย ไม่ให้มันเสร็จก็ได้ มนุษย์เรานี่มันมีมายานี่วะ เอ้อ มันมีมายา ไม่เหมือนเทพเจ้านี่ เราจะทำซักไว้มุมนึง เหลือไว้อีกมุมนึง หรืออาจจะทำไอ้นี่ให้เสร็จ เหลือไอ้ลูกกรงมั่ง กำแพงแก้ว มั่ง ว่ามันไปตามเรื่อง อ้างมันดะ จนอายุมันเต็มที มันง่ำแล้วก็ช่างมันทีนี้ ให้เสร็จแล้วก็ตายๆไป ใช่มั้ย
แต่ทีนี้เค้าไม่ว่ากับเรา เค้าก็หันเลย หันหลังก็เผ่น ด้วยความเสียใจว่า “บาปนะ” หน้าถอดสีเลย พูดส่งท้ายว่าวางศิลาฤกษ์แล้วนะ โบสถ์นั้นนะ โบสถ์ไม่เสร็จฉันไม่ไปนะ โบสถ์เสร็จเมื่อไร มานะ เค้าก็ไม่ได้เออได้อออะไรกับเรา เค้าก็เสียใจกับคำว่าบาป ไปเลย
อันนี้แหละมาคิดว่า อาตมานี้มันยิ่งกว่านักโทษรอประหารชีวิตซะแล้ว เทวบุตรเทวดาจะเอาอะไรมาให้อาตมาซักมากมายแค่ไหนก็ตามเวลานี้ รสชาติที่เคยออกไปมีความสุขเพลิดเพลินกับสิ่งที่ได้ที่เป็น อย่างที่เป็นอยู่สมัยก่อน หมดซะแล้ว หมดซะแล้ว คำว่าตายมันตัดหมดเลย ตาย เราต้องตายจากสิ่งเหล่านี้ ตายคำเดียว ไอ้ความรู้สึกที่จะวู่วามออกไปรับให้มันเกิดความเพลิดเพลินนั่น มันถูกอีโต้ใหญ่มาตัด คำว่าตายคำเดียว มันขึ้นไปเลย สิ่งที่วิ่งออกไปมีความสุขก็หดพลัวะๆเข้ามา มันเป็นอย่างนี้ตลอดเป็นอาจิณเลย
เพราะฉะนั้นจึงว่าเวลานี้อาตมายิ่งกว่านักโทษรอประหารชีวิต ว่าอย่างนั้น อันนี้บอกเล่าเก้าสิบสู่กันฟัง อย่าประมาท พวกเราตั้งใจ เวลานี้เค้าด่าอาตมาว่าบ้าบุญ ช่างมั๊น ช่างมัน สู้มันถึงที่สุด เอาเถอะ ใครจะว่าไงไม่ฟังหละ ขอให้อาตมาได้ทำความดี เพราะว่าได้ปฏิญาณจากเทพเจ้ามาแล้วว่าจะสู้ให้ถึงที่สุด ไม่ถอยเด็ดขาด บุญที่ไหนจะบุกเข้า บาปที่ไหนจะวิ่งหนี อันนี้ปฏิญาณมาแล้ว เพราะฉะนั้นพวกเราก็ขอให้เป็นอย่างอาจารย์ก็แล้วกัน เอาหละ ทีนี้ก็จบแล้ว