หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย
เนื่องจากพวกเราก็ได้ยินได้ฟังกันมาเหลือเกินแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านก็มาโปรดมาปรานพวกเรา พวกเราก็เข้าใจดีในลัทธิข้อปฏิบัติ อันนี้ก็ขอให้พวกเราเร่งรัดข้อปฏิบัติให้ดูเถอะ ว่าใครสามารถมีความดีขึ้นมาได้ยังไงบ้าง ก็พยายามพิสูจน์กันอยู่ แต่ก็ยังไม่มีอะไรเกินขึ้นมา เพราะฉะนั้นอยากให้พวกเราเร่งบำเพ็ญกัน
และก็โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเราก็ไม่ใช่ฝ่ายปริยัติ ก็ไม่จำเป็นอะไรที่จะต้องมาสอนกันซ้ำซากๆเหมือนทางปริยัติ อย่างปริยัติสอนกันซ้ำซากๆ จนจบได้ ๙ ประโยค แต่ในเมื่อไม่ประพฤติปฏิบัติ ไม่บำเพ็ญก็ไม่ได้อะไร ก็ไม่มีอะไรถมไป ผู้ที่เรียนได้ ๘ ๙ ประโยค แล้วคุณธรรมความดีทั้งหลายเหล่านั้น ไม่ได้มาเป็นคุณสมบัติของตัวเองเลย รู้กันแค่ประสาทสมองเท่านั้น ไม่ได้รู้เข้าถึงใจ อันนั้นไม่เป็นไปเพื่อความสำเร็จได้
พวกเราศึกษาธรรมะปฏิบัตินั้นก็ไม่มีอะไร เหมือนสมัยพระพุทธเจ้าสอนยุคสมัยกระโน้น ไม่ใช่จะมาเสียเวลากัน ๙ ปี ๑๐ ปี ๒๐ ปี บางทีท่านนั่งอบรมอยู่ บางทีไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำไป เขาเข้าใจหลักสูตรข้อปฏิบัติแล้วก็ไปบำเพ็ญ ก็ได้สำเร็จมรรคผล บางท่านบางองค์ในเมื่อเกิดความสงสัยก็เข้ามากราบเรียนต่อ พระพุทธเจ้าก็สอนต่อ ก็ไปบำเพ็ญกัน เท่าที่สังเกตดูแต่ละองค์ รู้สึกไม่ได้ศึกษามากมายเลย
นอกจากพระอานนท์เถระเจ้าซึ่งเป็นผู้เป็นพหูสูตรนั่นน่ะ ได้ศึกษามากเพราะขอพระพุทธเจ้าว่า พระองค์ไปเทศน์ ณ สถานที่ใด อานนท์ไม่มีโอกาสติดตามไปด้วย กลับมาถึงอารามแล้ว จะดึกแสนดึกก็ต้องสอนธรรมะซะก่อน พระพุทธองค์ก็รับ แล้วก็ปฏิบัติตามอย่างนั้น แต่แล้วก็เป็นผู้ได้สำเร็จล่าช้าที่สุด จนพระพุทธเจ้านิพพานซะแล้ว ถึงสามเดือน จึงได้เป็นไปเพื่อความสำเร็จ อันนี้เป็นอย่างนั้น
แต่แท้ที่จริงแล้วก็ไม่จำเป็นอะไรที่เราจะต้องไปดูฝอย คือตำราของจริงได้ประสบมาแล้ว ทั้งตัวของเราเองและทั้งผู้อื่น เราก็ได้ประจักษ์มาแล้ว ทั้งสายหูและสายตาและจิตใจ ก็พอที่จะเอามาพิจารณาได้ว่าดีหรือชั่ว น่าหลงมั้ย ที่เค้าหลงกันนั้นน่าสุขมั้ย ที่เค้าสุขกันนั้น
เมื่อเช้านี้ไปเจอสองสาย อยากจะเข้ามาพรมน้ำมนต์ก็ต้องไล่กลับ บอกให้ไป เดี๋ยวไปเอากันมา เดี๋ยวไปกอดร้องไห้กันเสียก่อนให้พอแล้วก็ค่อยมานะ เดี๋ยวพรมน้ำมนต์ให้ เรื่องของเรื่องคือ อีกฝ่ายหนึ่งก็สามีซื้อพลอยไป ก็ซื้อจากคุณเผือกนี่เอง เกิดไปได้กำไร ซื้อไปแล้วไปขายได้กำไร ไม่เอาแม่บ้านมาทานอาหารด้วย กลับไปเอาคนอื่นๆหรือแฟนใหม่เค้า เพื่อนฝูงมาทานอาหาร แม่บ้านอยู่ที่บ้านก็น้อยอกน้อยใจเสียใจว่า ทำไมเวลาทุกข์ก็มาทุกข์อยู่ด้วยกัน ทุกสิ่งทุกอย่างลำบากด้วยกัน ปัจจุบันนี้มันฝืดแสนสาหัส ไหนจะต้องค่าเทอมของเด็ก ไหนจะต้องเสียค่าเช่าบ้านค่าน้ำค่าไฟสารพัด ทำไมไม่คำนึงนึกถึงเหตุการณ์อันนี้ พอขายพลอยได้กำไรแล้วพากันไปทานอาหารกัน อึกกระทึกครึกโครม เพื่อนฝูงญาติมิตร ทั้งของใหม่ด้วย คนที่อยู่ทางบ้านก็กลุ้มอกกลุ้มใจและเสียใจ พอเสร็จเรียบร้อย อิ่มเมากลับมาก็มาจวกกัน ก็เลยต้องแยกทางเดินกัน แยกทางกันเดิน บอกว่าทำไมไม่ไล่มาวัด ไม่มาแล้ว เค้าหนีไปอยู่กับเพื่อนเค้าแล้ว เลิกกันไปซะแล้ว
อีกเจ้าหนึ่งกำลังจะคลอด ท้องใหญ่โย้อยู่ ก็นั่นก็อีกเหมือนกัน อีกฝ่ายหนึ่งกำลังไปติดอีกฝ่ายหนึ่ง อีกฝ่ายหนึ่งกำลังจะคลอด น้อยอกน้อยใจเสียใจว่าทำไมหละ ถึงไม่เห็นความทุกข์ กำลังจะคลอดอยู่แล้ว อีกสองสามวันนี้ ทำไมถึงไปมัวเพลิดเพลินไปในสิ่งที่ไม่ชอบไม่ควรอย่างนั้น ทะเลาะกัน เอ้า แตกกันอีกไปรายนึง ก็เลยแยกกันทั้งสองคู่เมื่อเช้านี้ ก็เลยบอกว่าจะเอายังไงกันหละ ไป เดี๋ยวกลับไป ไปเอากันมาพรมน้ำมนต์ เค้าไม่กล้าเพราะเค้าท้อง บอก ไม่เป็นไร ไปเอากันมา เดี๋ยวเข้าไปในห้องเสียก่อน กอดคอกันร้องไห้ให้พอเลย แล้วก็กลับมา เดี๋ยวพรมน้ำมนต์กัน
สิ่งจริงๆเหล่านี้แหละ เราเอามาคุยกัน ไอ้เรื่องตำราที่ไปยกมาว่าพระพุทธเจ้าสอนอย่างนู้น พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ ไปกำหนดตามตำรับตำรานั้น มันไม่ใช่ของจริง เราผู้ปฏิบัติเราเอาของจริงๆมาคุยกัน ทุกคนก็เห็นมาแล้ว ของจริงเหล่านั้น มองดูความเป็นอยู่ในโลกแล้ว จะตำหนิโลกซะเลยหรือ มันก็ดูจะไม่ถูก เพราะบางคนไม่เข้าใจว่าโลกคืออะไร เข้าใจว่าโลกคือก้อนดินนี้
ความเป็นจริงโลกคือฝูงสัตว์ต่างหาก หรือโลกคือโลกธรรม ๘ ต่างหาก เป็นโลกของธรรมะ จะก่อให้เกิดความเศร้าสลดจิต แล้วมองเห็นสภาพความเป็นจริงของโลก ซึ่งเราเคยหลงใหล คนอื่นหลงใหล มันน่าหลงใหลมั้ย มันดีตรงไหน เราเอาเรื่องของจริงๆมาคุยกัน โลกนี้คือฝูงสัตว์ สรุปให้มันได้ความซะ โลกนี้คือโลกมายา เอางั้นน่ะ มันมายาโลกนี้ มันมีอะไรจริงจังนัก ดูเอง อันนี้ดูกันให้ดี อ่านกันให้ดีๆ
เราเกิดมากี่ล้านกี่แสนชาติมาแล้ว ความทุกข์ทั้งหลายที่เราเผชิญอยู่นี้ ไม่ใช่เฉพาะชาติเดี๋ยวนี้ มาทุกภพทุกชาติ แต่เรื่องอะไรที่เราจะมาทรมานกันอยู่อย่างนี้ ทั้งกายและทั้งใจ มันน่าจะจบจะสิ้นกันซะทีแล้ว เพราะเราก็เกิดมากันเหลือเกินแล้ว เกิดแล้วก็ตายๆ มาเผชิญความทุกข์ทางกายทางใจ ตายไป เกิดมาอีก ไปเผชิญความทุกข์ทางกายทางใจอีก ตายไปอีก เกิดมาอีก มันจะจบเมื่อไหร่
เพราะฉะนั้นพวกเราดึงเอาสิ่งที่พวกเราหลง ก่อให้พวกเรามาเผชิญกับสิ่งเหล่านี้นั้นมาคุยกันซักทีซิว่ามันเป็นยังไง คณะอาจารย์หญิงก็สันทัดอยู่แล้วเรื่องเหล่านี้ ก็ดึงเอามาสอนลูกน้องตัวเอง ว่าสภาพของความเป็นจริงในโลกนี่มันมีอะไร โลกนี้มันโลกมายาต่างหาก ไม่สมควรที่เราผู้เป็นธรรมะจะต้องไปหลงใหลกับเขา เราก็มาสอนกันสิ เรื่องความทุกข์ความทรมานต่างๆมีอะไรบ้าง ไล่กันมาเถอะ ไล่ขึ้นมา ความเอาอกเอาใจผู้อื่นตลอดความเป็นอยู่ของตัวเอง อุ้มท้องคลอดลูก เลี้ยงลูก สังคมไม่เสมอเหมือนเขา เขาเอาเปรียบเรา เราทุกข์ยังไงบ้าง เอามาคุยสู่กันฟังซิ อย่างนี้หรือมันสุข อะไรมันสุขอยู่ตรงไหน ลองเอามาคุยกันซิ ดึงขึ้นมาให้มันหมด เอามาวิจัยกัน
สรุปแล้วเกิดมาเพื่อทุกข์ มาแบกความทุกข์ มาเผชิญกับความทุกข์ อันนี้มันแน่นอนเหลือเกิน เพราะฉะนั้นพวกเรามามองให้มันเห็นสิ ในเมื่อมองเข้าไปแล้ว มันเห็นสภาพความเป็นจริงแล้ว มันน่าหลงที่ตรงไหน หรือเค้าว่ามันสวยมันงาม อะไรมันสวย อะไรมันงาม ก็ลองคุยกันดูซิ อะไรมันสวยอะไรมันงาม
หน้ามันสวย ตัดคอมาตั้งไว้ที่นอน ให้เค้าไปนอนจูบนี่ เอาได้มั้ย ก็เอาไม่ได้อีก ทำไมเอาไม่ได้ มันแยกออกมาซะแล้ว แขนมันงาม นิ้วมือมันงาม ตัดแขนมาวางไว้ที่ที่นอน ให้ไปนอนกอดนอนจูบดูซิ แยกออกมาเป็นส่วนๆดูซิ มันเอาได้มั้ย เอาไม่ได้ แยกออกมาแล้ว เป็นสิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัวทั้งนั้น แล้วเวลามันรวมมันต่อกันทำไมว่ามันดีเล่า อยากกอด อยากจูบมัน มันเป็นเรื่องอะไร ในเมื่อแยกออกมาแล้วทำไมน่าเกลียด มองดูซิ ให้มันเข้าใจซิ
ถ้ามันเป็นตนเป็นตัวอยู่ทีนี้ ลมหายใจเข้าออกไม่มี มันขาดไปซะอย่างนึง ไม่มีลมหายใจเข้าออก ให้ไปนอนกอดนอนจูบดูสิ ก็ไม่เอาอีก ทำไมไม่เอา พอลมหมดแล้วก็น่าเกลียดทั้งนั้น ไม่อยากถูกไม่อยากแตะ ก็มองเห็นมันเป็นของสกปรกไปซะอีก แน่ะ!
เพราะฉะนั้นสรุปแล้วก็หมายความว่ามันหลงเพราะความรวมกันอยู่ ในเมื่อแยกน่ะมันไม่หลง ถ้ามันรวมกันอยู่ทั้งหมดก็มองแล้วก็เกิดรักกัน แต่มันแยกออกไปซะ อันใดที่แยกออกไป ไม่ควรเลย หรือร่างกายสังขารอันนี้แค่ลมมันแยกออกไปน่ะ ทุกอย่างมันมีอยู่ ก็สะอิดสะเอียน แล้วกลัวด้วย เกลียดด้วย นี่เรามองดูดีๆ
เพราะฉะนั้นบรรดาผู้เป็นอาจารย์หญิงทั้งหลายก็พยายามสอน เอาเรื่องจริงๆนี่มาเลย มาเล่าสู่กันฟัง ว่าเราเผชิญกันมากี่ร้อยชาติแสนชาติแล้ว แล้วเราจะไปอีกเท่าไหร่ เราจะยอมให้ชาติความเกิดยังมีอยู่ร่ำไปหรือ หรือเราจะยุติกันซะเลย ก็มาคุยกันดู
ถ้าจะยุตินั้น ก็มองเห็นสภาพความเป็นจริงอันนี้ แล้วจิตเนี่ยเห็นความเป็นจริงอันนี้จนเกิดโลกะวิทูของจริง แล้วความรู้หยั่งฐานเข้าไปมันจะลึกลงไปเป็นลำดับ แล้วเราจะมองเห็นจุดจบในทันทีว่าจุดจบมันอยู่ตรงไหน
อันเนี้ย เพราะฉะนั้นจึงอยากให้บรรดาพวกเราผู้ปฏิบัติเอาเรื่องจริงๆเนี่ย ดึงเข้ามาเลย เอามาคุยกัน คนเกิด คนตาย คนทะเลาะกัน เรื่องสารพัดทุกอย่าง คนมีทุกข์มีสุขเอามาคุยกัน นี่หละคือของจริงๆเนี่ยเอามาคุยกัน งัดแงะเกี่ยวแกะเอาธรรมะจริงๆมาคุยกัน อย่าเอาตำรามาคุยกัน เอาขี้ฝอยมาคุยกัน มันเอาฝอยมาคุย ไม่ใช่เรื่องจริง ไอ้เรื่องของจริงๆ คือความจริงที่ปรากฏอยู่นี่เรียกว่าของจริง ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย สภาพของความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อันนี้จึงเรียกว่าของจริง เอาสิ่งเหล่านี้มาคุยกัน นี่เรียกว่าผู้ปฏิบัติ
ผู้ปฏิบัติยังจะไปงมเอาตำราว่าธรรมะหมวดนี้มากจากอันนี้ บาลีอันนี้เป็นอย่างโน้น พระพุทธเจ้าสอนอย่างโน้นอย่างนี้ ไปกำหนดเอาตามตำรามาคุยกัน เอาเรื่องขี้ฝอยมาคุยกัน ไม่ใช่เรื่องจริง ไอ้เรื่องจริงๆ เราประสบอะไรดึงออกมาสิ เราไปเห็นอะไร ดึงออกมา มาคุยสู่กันฟัง นั่นแหละ เรียกว่าเอาของจริงมาแชร์ เอาของจริงมาแสดง ให้เราเห็นสภาพความเป็นจริงอย่างจริงๆที่มันปรากฏอยู่นั้น มันน่ารักมั้ย มันสวยมั้ย มันดีมั้ย มันสุขจริงมั้ย เอาขึ้นมาแชร์กันดู
อันนี้เรียกว่าผู้ปฏิบัติต้องเอาเรื่องจริงๆมาว่ากัน แล้วเราจะเข้าใจความจริง จิตจะยอมรับสภาพความเป็นจริง การบำเพ็ญของเราก็ได้ผล ถ้าไม่งั้นพวกเราก็จมอยู่ในกองเลนคือกิเลส ล่อกแล่กๆ อยู่นี้แหละ เพราะฉะนั้นเราอย่ามาหลงในโลกมายาเล้ย! เลิกกันเสียที ขอให้พวกเราตั้งอกตั้งใจเตรียมตัวเตรียมใจรีบปฏิบัติเข้าสู่นิพพานซะเถอะ อย่ามาวุ่นวายเลย อันนี้วันนี้เล่าสู่ฟังแค่เนี้ย แล้วก็ขอให้พวกเราไปประพฤติปฏิบัติกัน ตั้งใจกันให้ดีก็แล้วกัน ต่อจากนี้ไปก็เลิกกัน