Skip to content

ความไม่ประมาทในความตาย

หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย

| PDF | YouTube | AnyFlip |

ท่านพ่อวัดสิงห์ท่านเทศน์ให้เราฟังในวันที่ไปเผาศพคุณแจ๋ว ท่านเล่าเข้าท่าดีเหมือนกัน ท่านบอกว่าความตายนี่มันติดตามเราอยู่ทุกเมื่อ เราเข้าเมืองก็เข้าด้วย เราเข้าป่ามันก็เข้าด้วย นั่งก็นั่งด้วย นอนก็นอนด้วย บริโภคขบฉันมันก็ทั้งนั้นแหละ ท่านบอกมันติดตามอยู่ทุกระยะ อันนี้เป็นความจริง เราต้องพิจารณาให้ดีๆ จึงจะเห็นได้ว่าความตายมันติดตามเราอยู่ตลอดเวลา 

และความตายสมัยนี้มันมีหลายด้านหลายทางที่ทำให้ตายง่ายขึ้น เรามองดูเถิด เปรียบเทียบสมัยพ่อสมัยแม่ สมัยเก่าก่อนโน้น กับสมัยปัจจุบันเนี้ยผิดกัน สมัยก่อนเก่าโน้นความสะดวกอย่างนี้ก็ไม่มี ไอ้ความสะดวกไม่มีเช่น ยวดยานพาหนะสมัยก่อน เกวียนเป็นยวดยานพาหนะ จะไปไหนมาไหนขนข้าวขนของใส่เกวียน แล้วก็ไปกัน ก็ไม่ค่อยปรากฏว่าเกวียนนี่ วัวมันตื่นวิ่ง คนตกเกวียนตายนี่ น้อยเหลือเกิน 

แต่ทุกวันนี้ไอ้เรื่องการเกิดอุบัติเหตุเกี่ยวกับยวดยานพาหนะรถรา ไม่ว่ารถยนต์มอเตอร์ไซค์ไม่เว้นแต่ละวันมันมีอยู่เสมอ เรามองดูละกัน พวกเราก็ไปไหนมาไหนก็ไปด้วยยวดยานพาหนะ ความตายมันจึงง่ายดาย ถ้าจะมองแล้ว ยิ่งจะมองไปอีก สิ่งที่บั่นทอนชีวิตซึ่งจะทำให้ตายง่ายขึ้น ก็มีหลายแบบหลายอย่าง 

นอกจากยวดยานพาหนะแล้ว อาหารการบริโภค มนุษย์ทั้งหลายก็ผลิตกันขึ้นมา อยากจะเงินอยากจะได้ทอง ทางที่มันเป็นเงินเป็นทองมีทางใดบ้าง ถึงแม้จะเป็นการบั่นทอนชีวิตเพื่อนมนุษย์ก็สุดแล้วแต่ ขอให้มนุษย์เหล่านั้นนิยมแล้วกัน ยาเสพติดต่างๆ แม้แต่เฮโรอีน เค้าก็ยังผลิตขึ้นมา 

อีกอย่างหนึ่ง อาหารการบริโภคก็แข่งกัน ใครทำเอร็ด ใครทำอร่อยก็ขายดิบขายดี แต่สิ่งปะปนลงไปนั้นน่ะ จะเป็นสิ่งที่บั่นทอนชีวิตมนุษย์หรือไม่ ไม่คำนึง ใส่ผงชูรสบ้าง สมัยก่อนพ่อแม่เรามีที่ไหน สมัยนี้ที่มันมี แต่ก็นั่นแหละ ผงชูรสนั่นแหละ อันนึงหละเหตุใหญ่ เพราะฉะนั้นมนุษย์เวลานี้ เอะอะ ท้องบวม เอะอะ โรคมะเร็ง สารพัดสารพันที่จะเป็นขึ้นมา โดยสาเหตุแล้วก็มาจากอาหารเป็นส่วนมาก 

เพราะฉะนั้นเรามองไปหลายด้านหลายทาง ยิ่งมองยิ่งเห็น ล้วนแต่อายุของเรามันจะสั้นเข้าทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเราควรคำนึงถึงความตายให้มากเพื่อจะทำให้เรานี่ไม่ทะเยอะทะยานในสิ่งที่เราไม่ควรทะเยอะทะยานเกินไป ควรที่จะรีบละ กลับมาประพฤติปฏิบัติทางด้านสมาธิ เพื่อจะก้าวไปสู่มรรคผลเสีย ไม่ควรไปทะเยอทะยานในสิ่งต่างๆ อันที่พวกเราเคยได้ยินได้ฟังกันเยอะละว่า สิ่งเหล่านั้นก็ท่านพ่อวัดสิงห์ท่านก็เทศน์นี่ ก็ว่ามันไม่เที่ยงอยู่แล้ว ว่างั้นก็แล้วกัน ก็ไม่จำเป็นจะต้องไปทะเยอทะยานอะไร เพราะถึงแม้จะได้มามากมายก่ายกองซักเท่าไรก็ตามเถอะ ในเมื่อความตายมาถึงแล้วก็ สมบัติเหล่านั้นก็กลายเป็นสมบัติของโลก เราก็ไม่ได้หอบไม่ได้หาบไปที่ไหนหรอก นอกจากความดีและความชั่ว ซึ่งสิ่งที่เราประกอบไปแล้วปฏิเสธไม่ได้ ดีก็ดี ชั่วก็ดี ปฏิเสธไม่ได้ ย่อมเป็นของเรา อันนี้แน่นอน 

เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่เราจะต้องมาคำนึงถึงข้อปฏิบัติของเรา อันที่จะเป็นผลแท้จริงของเราที่ติดตามตัวของเราไปเนี่ย สำคัญกว่า บาปก็ดีบุญก็ดี ทำไปแล้ว เราปฏิเสธลงไปไม่ได้ แต่บุญกับบาปสองอย่าง ผลจะให้แตกต่างกัน บาปเราไปก่อในทางทุจริตในทางกายและวาจาทั้งทางใจ สิ่งเหล่านี้ที่ประกอบลงไปแล้วผลจะส่งให้ต้องไปสู่ทุคติภพ ความดีทั้งหลายแหล่ที่ประกอบขึ้นทางไตรทวารเช่นกัน ผลส่งให้ไปสู่สุคติภพ เพราะฉะนั้นจึงว่าความชั่วนำพาไปทรมานทุกข์ ความดีนำพาไปสู่ความสุข มันก็แตกต่างกันอย่างนั้น 

หรือเราจะมองเห็นความแตกต่าง เฮ้ย เกิดมาเป็นมนุษย์ก็เหมือนกัน จริงอยู่เกิดมาเป็นมนุษย์มันเหมือนกัน แต่มันไม่เหมือนกัน เราเห็นว่ามนุษย์มันเหมือนกันตรงไหน ที่ว่าเหมือน มันเหมือนแค่อาการรวมๆเท่านั้น ถ้าจะว่าให้พิสดารออกไป มันไมเหมือนกันนี่ ถ้ามันเหมือนกันถึงรู้ว่า โอ้ อันโน้นเสียงคนโน้น อันนี้เสียงคนนี้ แม้แต่เสียงยังไม่เหมือนกัน อย่างรู้ไอ้นั่นเสียงคนนั้น ไอ้นี่เสียงคนนี้ เรายังรู้ รูปร่างลักษณะหละ ถ้ามันเหมือนกัน ทำไมจึงจำกันได้ เราจำกันได้เพราะมันไม่เหมือนกัน ความสูงความต่ำ ความดำความขาว ขี้เหร่สวยงามเหล่านี้เป็นต้น มันแตกต่างกัน มันไม่เหมือนกัน ไอ้สิ่งที่แตกต่างกันเหล่าเนี้ยมาจากอะไร เพราะทำความดีไม่เสมอเหมือนกัน ยิ่งหย่อนกว่ากัน ความเป็นอยู่ทุกอย่างมันถึงได้แตกต่างกัน แม้แต่รูปร่างและเสียง มันก็แตกต่างกัน อันนี้มันมีเหตุมาจากความดีและความชั่วเบื้องหลัง ที่เราประกอบมาแล้ว อันนี้เป็นสิ่งที่แน่นอน 

แต่นั้นในเมื่อเรามองเข้ามาในรูปอย่างนี้นั้น พวกเราคงจะไม่ชอบกับไอ้สิ่งที่มันไม่ดี ถ้าไม่ชอบในสิ่งที่มันไม่ดี เราก็ละเว้นเสียซะสิ เราเว้นความไม่ดี เราหันมาประพฤติดีซะทีสิ ประกอบในทางที่ดีซะที การประกอบดำเนินไงหละ กายกรรม ๓​ วจีกรรม ๔ มโนกรรม ๓ ไงหละ 

กายก็อย่าไปลักทรัพย์เขาสิ อย่าประพฤติผิดในกามสิ อย่าไปฆ่าสัตว์สิ มันก็เป็นกายกรรม ๓​ ถ้าเราไม่ประกอบ มันก็เป็นกรรมสุจริต ถ้าเราประกอบก็เป็นกรรมทุจริต เป็นการเบียดเบียนข่มเหงผู้อื่น 

วจีกรรม ๔ เราก็อย่าไปโกหกเขาสิ เราอย่าไปพูดคำหยาบสิ เราอย่าไปพูดคำเพ้อเจ้อเหลวไหลสิ เราต้องคำนึงถึงคำพูดของเรา อย่าว่าเลยนะ คำพูดปดเนี่ยคนอื่นมาปดเราก็ยังไม่ชอบ คนอื่นพูดคำหยาบ เราฟัง เรายังเกลียดนะ พูดเพ้อเจอเหลวไหล เราฟังแล้วยังไม่ดี หลอกลวงผู้อื่นอย่างนี้มันดีที่ไหน เรายังไม่ชอบ เขาก็เหมือนกัน 

ส่วนมโนกรรม ๓  เราก็คิดเอาสิ อย่าไปเพ่งเอาของผู้อื่นสิ อย่าไปอาฆาตคนอื่นเขาสิ อย่าคิดผิดทำนองคลองธรรม มันก็เป็นมโนสุจริต ถ้าเราประกอบอย่างนี้ เป็นมโนสุจริต บุญกุศลและบาปมันเกิดขึ้นทั้ง ๓ ด้าน มันเกิดทั้ง ๑๐ ด้าน เรียกว่ากุศลกรรมบท ๑๐ อันนี้มันเป็นอย่างนั้น 

เพราะฉะนั้นขอให้พวกเราทั้งหลายตั้งใจละเว้นในสิ่งที่มันชั่วซะ ประกอบในสิ่งที่มันดีเสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาธิจิตนี่ก็เป็นของควรรีบเร่ง เป็นอุบายวิธีที่จะทำลายกิเลส เป็นอุบายวิธีที่จะทำลายภพของจิต เป็นอุบายวิธีที่จะทำให้หมดจดโดยไม่ต้องมาเกิด มาแก่ มาได้รับความทรมานอย่างปัจจุบันที่เราเป็นอยู่ 

เราเกิดมามันมีแต่ความทุกข์ เกิดมาในเบื้องต้นก็อยู่ในความบังคับบัญชาของพ่อแม่ โอ้ อันนี้ก็พยายามที่สุดที่จะเอาอกเอาใจพ่อแม่ แต่ความเอาอกเอาใจผู้อื่น การพยายามที่สุดที่จะให้ถูกอกถูกใจผู้อื่นน่ะมันยาก เพราะโตขึ้นมาหน่อย ไปเรียน ก็ต้องเอาอกเอาใจครูบาอาจารย์ด้วย เพิ่มขึ้นไปอีกทั้งพ่อแม่ พอสำเร็จเรียบร้อยแล้วก็ต้องเอาอกเอาใจเจ้านาย สูงขึ้นไปอีกก็ต้องเอาอกเอาใจผู้ที่ครองกัน และก็ต้องพยายามทุกวิถีทางที่ต้องรับผิดชอบในเรื่องลูกเต้า ทุกสิ่งทุกอย่างมันเต็มไปด้วยความทุกข์ความทรมานทั้งกายและใจ และการกดขี่ข่มเห่งกันในโลกนี้ มันก็ละเว้นไม่ได้ มันก็ต้องมี เราไม่ทำเขา เขาก็ทำเรา มันวุ่นวายเหลือเกิน 

ในเมื่อพวกเราหลับตามองแล้วมันเห็นเต็มไปด้วยความทุกข์ แล้วพวกเราต้องการหรือ ถ้าไม่ต้องการแล้ว ถ้าพวกเราไม่ทำลายภพของจิตซะแล้ว มันจะต้องมาเกิดร่ำไป ในเมื่อมาเกิด สิ่งเหล่านี้เราต้องเผชิญอีกร่ำไปเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเมื่อเราต้องการที่จะให้ถึงที่สุดแห่งภพซะแล้วละก็ ให้มันหมดจดจากสิ่งเหล่านี้แล้ว เราก็ต้องบำเพ็ญ เป็นอุบายวิธีที่เข้าไปทำลายภพของจิตได้อย่างดี 

เพราะฉะนั้นก็ขอให้พวกเราดำเนินตามสูตรที่แนะนำมาตั้งแต่เบื้องต้นนู้น หลายปีสืบมาเป็นลำดับ อธิบายสู่กันฟังแล้ว ปฏิปทาข้อปฏิบัติ อุบายวิธีที่จะให้หมดจดจากภพชาติชเร เป็นอุบายวิธีที่จะดำเนินให้ถูกต้องตามหลักของสมาธินั้น เราสอนกันเหลือเกินแล้ว เข้าใจกันดีแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องไปนั่งสมาธิ เกิดกายลหุตา จิตลหุตา กายเบาจิตเบามีความสุข เอาอานิสงส์ของสมาธิแค่นั้นๆ ใช้ไม่ได้ 

นั่งลงไปแล้วเห็นผีเห็นเทวดา มาพูดกันเรื่องผีเรื่องเทวดา นั่งไปแล้วรู้สึกขนพองสยองเกล้า เอามาคุยกันเป็นคุณของสมาธินั้น พวกเราไม่นิยม การนิยมของพวกเรานั้นเป็นการเอาชนะจิตเราเอง สามารถบังคับจิตของเราอยู่ในถึงจุดหรือเป้าที่เรากำหนดขึ้นมา เรากำหนดอยู่ในเป้า จนอำนาจส่วนสร้างขึ้นมาสมบูรณ์จริงๆ สามารถประคองจิตของเราอยู่ในอำนาจส่วนบังคับจริงๆ อยู่ในเป้าที่เราต้องการจริงๆ 

จนกระทั่งที่สุด อำนาจส่วนสร้างสมบูรณ์ สามารถบังคับจิตได้อย่างเต็มที่แล้ว เราถึงจะโอปนยิกธรรม น้อมของจริงเข้ามาพิจารณาสภาพของจริงนั้นคืออะไร เราก็รู้อยู่แล้ว สภาพของความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาน่ะ มันง่ายๆ หญ้าปากคอกเอามาพิจารณาสิ จิตของเรายอมรับไหมหละ ที่เราไปเห็นเขาตาย เป็นยังไงบ้าง ใจของเราว่ายังไง ไปเห็นเขาเจ็บเป็นยังไงบ้าง ไปเห็นเขาทุกข์ เป็นยังไงบ้างหละ ทุกสิ่งทุกอย่างเราพิจารณาดูเองตามสภาพของแต่ละสิ่งนั้น ใจของเรายอมไหม ในเมื่อใจของเรายอมแล้วมันจะเปลี่ยนความรู้สึกทันทีหละ ถ้าไม่ยอมก็คือไม่ยอม มันก็ไม่เปลี่ยน ถ้าจิตของเรายอมรับอันนี้ อันอื่นต่อไปหละ ก็ยอมรับ 

ลักษณะคำว่า โลกะวิทูแห่งจิตนั้น คือรู้สภาพความเป็นจริงเหล่านี้ จึงเรียกว่าโลกะวิทูแห่งจิต ไม่ใช่ไปรู้ว่า เอ้อ พรุ่งนี้คนนั้นจะมา วันมะรืนคนนี้จะมา หวยจะออกตัวนั้นตัวนี้ อันนั้นไม่ใช่ทางที่จะไปเพื่อความพ้นทุกข์ เป็นแค่อภิญญาสมาบัติชนิดหนึ่ง อาจจะทำให้เรานี่หลง หรืออาจจะเป็นผีหลอกก็ได้ ไม่ใช่คุณสมบัติอันแท้จริง เป็นเพียงผลพลอยได้ เราต้องตัดทิ้ง ถ้าเราต้องการก้าวไปสู่ความสำเร็จ 

ฉะนั้นขอให้เราทุกท่านตั้งอกตั้งใจดำเนินขึ้นมา สร้างอำนาจส่วนที่เราสร้างขึ้นมาเนี่ยให้สมบูรณ์ขึ้นมาเถิด จนกว่าจะชนะกับจิตของเราอย่างสมบูรณ์แล้วนั่น การโอปนยิกธรรม น้อมสภาพความเป็นจริงเหล่านี้มาให้จิตของเรารับว่า อันนี้เป็นทุกข์ ก็จะยอมรับว่าทุกข์ อันนี้ไม่เที่ยง คือก็เห็นว่าไม่เที่ยงจริงๆ อันนี้ไม่ใช่อาตมะตัวตนเราเขาอะไรเลย เขาเหล่านี้ต้องสลายไปตามกำลังของธาตุโลก เราก็ย่อมเห็นคนตาย 

มันเป็นยังไงหละ ในป่าช้าเห็นกระดูก เห็นเศษกระดูก เห็นอะไรต่ออะไรต่างๆน่ะ เราก็จะเอามาเป็นพยานได้เต็มที่ จิตก็ยอมรับว่าเรารู้สึกเช่นนั้น ทุกวันนี้เราก็ยืมวันอยู่เท่านั้น ถ้าเราเกิดเข้าใจหรือยอมรับอย่างนี้ การเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจต้องเปลี่ยนเข้าสู่ธรรมะเรื่อยไป สามารถที่จะมองเห็นความละเอียดของความเป็นจริง ละเอียดเข้าไปเป็นลำดับ จนกระทั่งจิตไปหลงภพยังไง ลักษณะของภพนี่จะละเอียดขึ้นเป็นลำดับ อันนี้เป็นเรื่องของเราที่ต้องเห็น 

เราไม่ต้องการในเรื่องผีเรื่องเทวดา เรื่องหวยเรื่องเบอร์เองอะไรไม่ต้อง เราต้องการอย่างนี้ต่างหากสำหรับพวกเรา เพื่อจะแก้ไขความหลงของเรา หลงรัก หลงชัง ให้มันพ้นไปเสีย มันก็มีแค่นั้น เพราะฉะนั้นก็ขอให้พวกเราผู้ปฏิบัติทั้งหลาย จงแยกกันไปบำเพ็ญกัน