หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย
เคยทดสอบทดลอง บางคนที่ไม่เข้าใจหรือครูบาอาจารย์บางองค์ที่ไม่เข้าใจในอุบายวิธี การกระทำอาจจะเดินหน้าเดียว เค้าเรียกว่าเดินธรรมะหน้าเดียว อาจจะไม่เข้าใจว่าการทำแบบนี้จะเกิดถึงโทษหรือถึงคุณ อาจจะไม่ได้พิสูจน์มาก จึงไม่รู้จักการวิธีวางจิต และไม่ฉลาดในการเข้า ท่านถึงวางหลักในวสีทั้ง ๕ (ดูหมายเหตุข้างล่าง) การเข้าการออกให้ชำนาญ การพลิกเหลี่ยมของจิตในชำนาญ
ทีนี้การพลิกเหลี่ยมถึงจิตเนี่ย ถ้าจะพูดกันโดยที่เรียกว่าพูดแล้วให้ระมัดระวัง อย่าเอาออกข้างนอก เราเก็บไว้เป็นส่วนภายใน อันนี้เป็นจุดสำคัญ เค้าเรียกว่ากุญแจในหรือว่าเป็นความรู้ลึกลับทางด้านศาสนา มันมีสิ่งที่ควรพิจารณาได้หลายอย่าง ในสมัยหนึ่งอาตมาเองก็ได้เคยสังเกตการพลิกเหลี่ยมของจิต แต่มันก็พลิกไม่ถูก เดี๋ยวนี้ก็ยังพลิกไม่ถูก คือเมื่อเข้าไปสู่สมาธิแล้ว จิตของเราที่พลิกเนี่ย มันพลิกไปได้หลายเหลี่ยมหลายล็อค เมื่อพลิกไปแบบนี้ มันจะมีผลแบบนี้ปรากฏขึ้นมาเป็นลำดับไป เช่นจะเอาตัวอย่างมาเล่าสู่กันฟัง ซึ่งถ้าใครฟังไม่เข้าใจ อาจจะเข้าใจว่าอวดอุตริมนุสสธรรม แต่นี้เอาเรื่องจริงมาเล่าสู่ฟังเลย
ในวันหนึ่งตอนกลางวัน อาตมาก็อยู่เนี่ย ทำกุฏิพระสังฆราช โดยบังเอิญวันนั้นพระเณรก็ไปธุระกันซะเกือบจะหมด เหลืออยู่ไม่กี่องค์ เอ้ ลูกกุญแจไม่ได้เอาไว้ อันนี้จะเล่าถึงเหลี่ยมของจิตสามารถเป็นได้ให้ฟัง ทีนี้ก็อยากจะได้ของ ตั้งแต่สมัยก่อนห้องน้ำที่ข้างกุฏิหลวงพ่อเป็นพัสดุตอนที่เอาเครื่องออกแล้ว ทีนี้อยากจะได้เครื่องมาทำงานแต่ก็เปิดเข้าไปไม่ได้ ถ้าจะงัดรึ มันก็ไม่ดี ถ้าจะเปิด ไม่มีลูกกุญแจ ส่วนช่างก็ด่วน จะทำยังไง
ทีนี้ความรู้สึกของจิตเนี่ย มันอยู่ในอันดับของสมาธิ ถ้าจะเทียบเท่าตอนที่อยู่ในคราวนั้น พอที่จะคลำถูกว่า อยู่เพียงแค่ขณิกะเท่านั้นเอง ไม่ได้ลึกเลย อยู่แค่ขณิกสมาธิ นี่เทียบนะ แต่ว่าครึ่งสำนึกก็ไม่ถูก อยู่ในระหว่างครึ่งสำนึกกับเหนือสำนึกต่อกันเท่านั้นเอง จิตเป็นสมาธิเพียงแค่นั้น ทีนี้ส่วนอำนาจพลังของจิตเนี่ยมันแปลก ซึ่งได้ประสบมา ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกเสียด้วย นี้พอจิตมันรู้สึกมันเข้าล็อคแปลกๆว่า เอ๊ พอจิตพลิกล็อคไปแบบนี้ รู้สึกความแน่ในใจว่าถ้าเราต้องการอะไรดูเหมือนจะสำเร็จได้ ตามความเข้าใจ ก็เดินดุ่ยไปเลย ว่าไม่มีกุญแจก็ดูมีหวังเอาออกมาได้อะไรทำนองนี้ เพราะจิตมันเข้าล็อค
ทีนี้พอเดินไปถึงปุ๊บ มือจับกระชากทีเดียวกุญแจหลุดออกมาทันที ปลดล็อคออกมา เอ๊…มานึกถึงคาถาวิชาที่เค้าเรียนสะเดาะกัน เค้าคงจะวางจิตแบบนี้ ซึ่งมีความเชื่อถือว่ามันแน่อยู่ แล้วก็สามารถเปิดกุญแจโดยไม่ต้องใช้ลูก งัดสามารถเปิดออกมาได้ก็เพราะอันนี้ละมั้ง ก็อยากจะลองความจริง อันนี้พูดถึงเรื่องไอ้การลอง ก็ตบเข้าไปอีกทีนึง ถอยออกมา จิตมันยังปกติอยู่ เดินเข้าไปกระตุกลองดู ตบเข้าไปอีก ลองดึงดู มันมั่นดูแล้วถอยออกมา ลองดูอีกทีซิ เข้าไปกระตุก หลุดเป็นครั้งที่สาม
พอถอยออกมาครั้งที่สี่ กำลังมาสังเกตว่าจุดที่เราอยู่นี่อยู่จุดไหน สูงต่ำแค่ไหน ก็จับได้ว่านี่ขณิกะแน่ ไม่ผิด เพราะรูปลักษณะและความเป็นอยู่นี่ ขณิกะแน่นอน ไม่ถึงอุปจาระและไม่ถึงอัปปนาด้วย แค่ขณิกะนั่นเอง สามารถมีอำนาจปาฏิหาริย์ได้ ยืนงงอยู่พักหนึ่ง ก็ เอ้า ตัดสินใจว่าที่นี้จะเอาเครื่องช่างเค้าทำงาน โดยบังเอิญมีแขกมาพอดีเรียกอาจารย์ เอาซะแล้ว จิตวอกแวกซะแล้ว
ออกไปมองแขก แขกมาแล้ว พอแขกมาเท่านี้ จิตก็ออกจากล็อคแว้บ พยายามประคองจิตหาล็อค ไม่เข้า เพราะไหนจะต้องรีบด่วนไปต้อนรับแขก อะไรต่ออะไรมันวุ่นวายขึ้นมา เอ๊ะ พยายามปล้ำอยู่ตั้งนาน จะเอาเข้าล็อคไม่เข้า แต่เขาก็โดยบังเอิญเสียด้วย เดินไปกันแทนที่จะเตลิดเข้าไปใต้ถุน ก็ไม่ไป ยังจะยืนรออยู่อีก เลยเป็นเหตุให้เอาเครื่องมือออกไม่ได้ แทนที่จะเอาเครื่องมือออกมาก่อนจึงค่อยทดลอง ก็ไม่เอาอีกหละด้วยความเผลอ
มันไม่ใช่ความเผลออย่างเดียว อยากจะทดสอบทดลองว่า หากในเมื่อจิตเราได้แค่นี้ เราคิดแบบไหน เข้าอยู่ในอันดับยังไง จึงเป็นเหตุให้มีพลังแบบนี้ แล้วต่อไปจะได้สอนบรรดาผู้ที่บำเพ็ญทั้งหลายหากอยากจะได้ของเล่นซักบางอย่าง ซึ่งเป็นของที่น่าประจักษ์ แล้วก็จะได้แนะนำ ความต้องการมันมีอย่างนี้จึงเป็นเหตุให้เผลอไม่เอาออกมา อันนี้หมายถึงเรื่องการพลิกจิต
ทีนี้นอกจากนั้นไปอีก เคยทดลองหลายอย่าง เช่นบางทีเรากำหนดลมหายใจเข้าออกที่ปลายจมูก พุทโธๆๆ กำหนดจับจ้อง มันรู้สึกว่ามันกดดันตรงประสาทในสมองเนี่ย มืดตื้อยังไงชอบกล ทีนี้อันนี้มันก็มีวิธีที่จะพลิกออกเหมือนกัน คือว่าเราจะวางแบบไหน จะทำให้มันโปร่งสบาย พอเราจิตถูกเท่านั้นเอง โล่งโปร่งสบายทันทีเลย
เพราะฉะนี้เราต้องหาวิธีวางให้ได้ คือว่าอันนี้เป็นอันดับที่สองนา ถ้าอันดับแรก เราไม่ต้องไปพลิกล็อคมันหรอก หรือว่าต้องเปลี่ยนจุดทันทีเลย ต้องเปลี่ยนจุดซะ ไปเรื่อยๆ ทีนี้ถ้าสติของเราแก่กล้าดีแล้ว เราไม่จำเป็นจะต้องไปเปลี่ยนจุด เราต้องหาวิธีวางนั่นเอง ว่าเราจะวางแบบไหนมันจะโปร่งขึ้นมา เราหาวิธีวาง จะกำหนดของเก่าน่ะแหละ แต่ว่าหาวิธีวาง อย่าให้กด อย่าให้เพ่ง อย่าให้บีบตัวเอง คือว่าหาวิธีวาง โดยที่ว่าปล่อยธรรมดานี่ เราจะวางได้ยังไง ถ้าเราวางถูก รู้สึกมันจะโปร่งเบาขึ้นมาทันทีเลย เราก็จำไว้ ทีหลังเราให้ทำแบบนั้น อันนี้อันหนึ่ง
ทีนี้อีกอันหนึ่งถ้าว่าเรากำหนดที่ท่ามกลางอกนี่ จังหวะการเต้นของห้วใจจะผิดเลย มันจะรวนๆ รวนๆ ชอบกล อาจจะหยุดๆเต้นๆ และบางทีอาจจะเบาน้อยลงๆ หรือบางทีมันเหมือนถูกบีบให้หัวใจสั่นดิ๊กๆๆๆ น้อยลงๆๆ เหมือนจะขาดใจตาย อันนี้ถ้าหากว่าสังเกตดูว่าสติของเราแก่กล้าดีแล้ว เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปกำหนดเคลื่อนหนีหรอก เราก็เปลี่ยนเหมือนกันหละ หาวิธีลองวางดู เราจะวางยังไง จะทำความรู้สึกภายในจิตของเรายังไง มันจึงจะสบายโล่ง หายจากการบีบ หรือกดดันอะไรอย่างนี้ เราต้องหาวิธีเปลี่ยนซะ มันจะโล่งสบายเพราะเราวาง ทีนี้ส่วนอื่นๆเหมือนกัน เมื่อหากเราไปกำหนดตรงไหนก็ตาม ถ้ามีอาการวิปริตเกิดขึ้น ผิดปกติแล้วเราต้องเปลี่ยนอย่างนี้เสมอ ต้องเปลี่ยนให้ได้ ถ้าเราเปลี่ยนอย่างนี้ได้แล้ว จะเล่าถึงประโยชน์ให้ฟัง
เรื่องประโยชน์การเปลี่ยนนี่เนี่ยนะ แต่ว่าไม่ใช่สอน เออนี่ ฉันจะไปโลกีย์แล้ว ไม่ใช่นะ คือว่าเป็นอุบายวิธีที่เรียกว่าเดินจิตอีกแบบหนึ่ง ซึ่งจะทำให้เราสะดวกในการบำเพ็ญต่อไป โดยประโยชน์อันสูงส่งจริงๆแล้วก็เป็นวิธีที่จะประหารกิเลสเหมือนกัน แต่บางทีมันมีอุปสรรค บางสิ่งบางอย่างนี่ มันอาจจะทำไม่ให้สะดวกในการบำเพ็ญก็ได้ เรามัวแต่ไปเปลี่ยนอิริยาบถ หรือว่าไปเปลี่ยนวิธีอย่างโน้นอย่างนี้อยู่ มันอาจจะทำให้ไม่สะดวกในการกระทำ
สันตติการสืบต่อในระหว่างสติสัมปะชัญญะหรือปัญญาเนี่ย มันสืบต่อเพราะความเคลื่อนไหวของจิต มันอาจจะไม่ทันกันก็ได้ เพราะฉะนั้นจึงอยากให้หาวิธีพลิกแพลง และจะเอาประโยชน์จากวิธีพลิกแพลงมาใช้เป็นอย่างอื่นได้อีก เช่นอย่างที่เรียกว่า เราเจ็บปวด นั่งนานๆมันปวดตรงหัวเข่า ปวดตรงโน้น ปวดตรงนี้นี่ มันมีวิธีเหมือนกันนะ มีวิธี คือเช่นเราวางจิตของเราได้ยังไง เราทำความรู้สึกแบบเดียวกัน เข้าไปสู่ตรงจุดนั่น แพล๊บเดียว มันเหมือนเอายาทิพย์มาชะโลม มันจะหายวูบทันทีเลย ความเจ็บปวดอันนั้นเราไม่ต้องไปนวด เราไม่ต้องไปเหยียดไปเปลี่ยนมันหรอก
ถ้ามันปวดอยู่ตรงเข่าตรงขาก็ดี เราทำความรู้สึกอย่างที่เราทำความรู้สึกเมื่อกี้เนี่ย มันบีบตรงหัวใจเรานี่ พอเราทำความรู้สึกแบบเนี้ย มันเปลี่ยนทันทีแล้วมันหาย เราเอาความรู้สึกแบบเนี้ย เข้าไปสู่ตรงจุดที่เรากำลังเจ็บปวดอยู่นี่ มันจะเป็นยังไง ถ้าหากกำลังตัวนี้ดี แล้วก็การวางของเราถูก จะหายทันทีเลย เหมือนหยิบทิ้งไปเดี๋ยวนี้แหละ
ฉะนั้นอันเนี้ยย่อมจะเป็นประโยชน์สำหรับเราผู้บำเพ็ญ จึงได้แนะวิธีให้ ซึ่งเป็นวิธีอีกวิธีนึง ทีนี้ถ้าเราทำได้อย่างนี้ ไอ้ความกังวลในการเจ็บปวดต่างๆ หรือความกังวลในทางอื่นจะไม่มี มีแต่ทางที่จะรวมกำลังทั้งหมด เข้ามาสังเกตการเคลื่อนไหวของจิตที่มันแสดงต่อภพ ที่มีอำนาจฝ่ายต่ำเข้ามาแทรกกระตุ้นให้เป็นไปตามอำนาจฝ่ายต่ำ ชักนำให้มีความรู้สึกเป็นไปเพื่อความเสียหาย เรียกว่าหายนะ
เช่นเกิดการท้อแท้ต่อการบำเพ็ญก็ดี มีความคิดเห็นออกไปทางโลกียวิสัย อันที่จะเป็นเหตุให้เราเลิกร่วมจากการบำเพ็ญก็ดี อะไรแล้วแต่เหอะ ซึ่งมันจะชวนไปในทางผิด เป็นไปเพื่อความเศร้าหมองประกอบด้วยโทษต่างๆแล้ว เราจะได้สังเกตเห็นให้ชัดประจักษ์อยู่ทุกเมื่อที่มีความรู้สึกออกไป แล้วเราจะได้เอากำลังตัวนี้ประหาร รีบทำลายภพของจิต ไม่ให้จิตของเราแสดงปฏิกิริยา หรือต่อภพของมันได้ หรือความรู้สึกที่เรียกว่าอำนาจฝ่ายต่ำคือกิเลสตัณหาก็ดี หรืออารมณ์แบบโลกๆธรรมดาก็ดี หรือเป็นไปโดยธรรมชาติธรรมดาก็ดี เราจะได้ใช้อำนาจส่วนเนี่ยทำลายซะ ไม่ได้มีอย่างนั้นอีกต่อไป ก็เป็นอันว่าการทอดสะพานหาภพของจิตจะหมด เป็นอันว่าภพชาติของจิตไม่มีโอกาสที่จะต่อไปได้
คำที่ว่ากิเลสตัณหา อันเป็นอำนาจฝ่ายต่ำ ที่จะความรู้สึกของจิตให้เป็นไปตามอำนาจของมันนั้น จะไม่มีโอกาสมาแย่งเอาความรู้สึกเราไปได้เลย เป็นเอาว่าคุณของอริยมัคคุเทศก์ที่เราสร้างขึ้นมาเนี่ยสามารถที่จะคุมหรือรักษาความรู้สึกของจิตให้เข้าสู่ระบบของอริยมัคคุเทสก์ได้เต็มที่ เพราะฉะนั้นขอให้เราผู้ปฏิบัติเนี่ย จงพยายามดำเนินเถอะ ให้เป็นไปในรูปนี้ ย่อมจะเป็นประโยชน์ ดีมากสำหรับผู้ประพฤติปฏิบัติ
ทีนี้พูดถึงเรื่องอย่างอื่นๆอีกหละ มันก็ไม่ยากเหมือนกัน วิธีพลิกล็อค วิธีการดำเนิน ทีนี้อันนี้ขอสงวนก็แล้วกัน แต่จะขอเล่าในเรื่องจุดสำคัญๆนี้ให้ฟังเพื่อเป็นการประดับความรู้ หรือต่อไปอาจจะหาวิธีดำเนินเพื่อเป็นการป้องกันเป็นบางสิ่งบางอย่าง หรืออาจจะทำให้เราเนี่ยแน่ใจว่าการบำเพ็ญนี้ย่อมมีผลดีอย่างนี้ๆให้ฟัง คือวิธีพลิกจิตนี่เราจะรู้ได้เหมือนกันเช่น เมื่อจิตของเราไม่สู้จะลึกในอันดับที่ว่าขณิกสมาธิแค่เนี้ย เราสามารถจะพลิกไปได้อีกเหมือนกัน
เช่นจะเอาตัวอย่างมาเล่าสู่กันฟัง ในสมัยตอนที่วัดของพวกเรามีเรื่องอะไรกัน อาตมาเคยใช้ในสมัยที่มีเจ้าหน้าที่มาในสมัยหนึ่ง แต่ขอสงวนเป็นอย่างมากนะ คืออาตมาเองก็มานึกว่า แย่แล้ว ถ้าหากเราไม่มีส่วนได้ช่วยตัวเองแล้ว ลำบาก ถ้าเราโดนไปขังไว้ หากในเมื่อบ้านเมืองสงบสุขเมื่อไร ค่อยไปสอบสวน ถ้าไม่อย่างนั้นก็ขังลืมไว้ อาจจะไปตายในคุกในตาราง แล้วก็การบำเพ็ญธรรมของเราเนี่ยอาจจะไม่มีโอกาสที่จะบำเพ็ญให้สะดวกอย่างที่เราทำ ถึงแม้บำเพ็ญใน ณ สถานที่นั้น ก็อาจจะบำเพ็ญได้แต่ไม่สะดวก เพราะฉะนั้นก่อนที่เราจะเป็นไปได้อย่างนั้น ก็หาวิธีแก้ไขซะบ้างเถิด
มานึกอย่างนี้ แล้วก็มานึกถึงความดีของตัวเองที่ทำมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กมา จนกระทั่งเป็นสามเณรหรือเป็นพระ ความดีหรือบารมีทั้งหลายที่กระทำมาก็พยายามนึกถึง แล้วก็บารมีความดีที่กระทำมาตั้งแต่ชาติก่อน พอที่จะมองเห็นได้บ้างนิดๆหน่อยๆอะไรเหล่านี้ ก็พยายามอธิษฐานถึงความดีที่ตัวเองกระทำมา ด้วยอานุภาพแห่งความดีหรือบารมีธรรมที่กระทำมาซึ่งเป็นสิ่งที่มีความศักดิ์สิทธิ์เหนือกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในโลก ขอจงมาช่วยให้สำเร็จอย่างที่ตั้งใจปรารถนาเอาไว้นี้ให้ได้ นี่ความตั้งใจอันหนึ่ง
ทีนี้มายืนสังเกต การเคลื่อนไหวของจิต พอนึกถึงภาพในสมัยที่เปิดกุญแจ จิตของเราจะมีทางเข้าล็อคอย่างนั้นได้หรือไม่ ก็พยายามกำหนด รู้สึกความรู้สึกของจิตมันพลิกแว้บเข้าไป มันเกิดมีความรู้สึกชนิดหนึ่งขึ้นมาว่า อำนาจปาฏิหาริย์อันที่รวมมานี้สามารถยังผลสำเร็จได้ทุกอย่าง ความรู้สึกมันเข้ามาในอันดับเดิม ทีนี้ก็มานึกว่า หากในเมื่อเราตั้งใจเอาอำนาจของสมาธิจิตอันเนี้ย ป้องกันไม่ให้สายตาธรรมดามองเห็นเราได้เนี่ย จะมีทางบ้างมั้ย จิตมันเกิดเข้าล็อคอีกล็อคนึง แต่ว่าอยู่ในอันดับเดียวกัน แต่ว่าเปลี่ยนความรู้สึกแว้บ รู้สึกมันเกิดแน่ขึ้นมาว่าได้
ก็เดินดุ่มๆเข้าไป จึงเป็นเหตุให้นั่งอยู่ในกลางวงของเจ้าหน้าที่ แล้วก็ฟังถึงเจ้าหน้าที่เค้าคุยถึงเรื่องอะไรต่ออะไรได้เรียบร้อยทุกอย่าง ผลสุดท้ายพอเจ้าหน้าที่เค้าไปรู้ว่าเข้าไปนั่งฟังอยู่ในวงกลาง เป็นเหตุให้บรรดาเจ้าหน้าที่ทั้งหลายตะลึงกันหมด จึงเป็นเหตุให้รอดจากภัยพิบัติขึ้นมาได้ ก็เพราะวิธีพลิกล็อคของจิตอันนี้
เพราะฉะนั้นอันนี้ถ้าหากเรามีไว้ในตัวของเราแล้ว หากในเมื่อเข้าตาอับจน หรือมีเหตุอันใดเกิดขึ้นอย่างที่พวกเราไม่ประสงค์นี่ อาจจะช่วยเหลือตัวเองได้ อันนี้ก็มาจากอำนาจปาฏิหาริย์ของสมาธิจิต ฉะนั้นอำนาจปาฏิหาริย์ของสมาธิจิตแล้วแต่เราจะฉลาดเล่น ถ้าเราฉลาดเล่นแล้วรู้สึกว่า แหม วันๆนี้ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ ทำสมาธิจิตอย่างเดียว เดินบ้าง นั่งบ้าง เราก็มีสิ่งที่เรียกว่าเราเล่นได้ สบายที่สุด ดีที่สุด
ไม่จำเป็นที่ว่าเราจะต้องไปดูหนังหรอก ไม่จำเป็นที่เราจะต้องไปดูละคร ไม่จำเป็นที่เราจะต้องไปตากอากาศในสถานที่ตากอากาศต่างๆ ไม่ต้องไปทัศนาจรดูสิ่งต่างๆ ซึ่งบรรดาชาวโลกเค้าทัศนาจรกันหรอก เอาเถอะ เราท่องเที่ยวอยู่ในธรรม ดูความเป็นอยู่ของจิต และดูสิ่งต่างๆที่อำนาจสมาธิจิตบันดาลให้สำเร็จมาได้ ก็รู้สึกว่าจะพออยู่แล้ว ไม่จำเป็นทีเดียวที่จะพออยู่แล้ว ไม่จำเป็นทีเดียวที่เราจะต้องไปทางอื่น อันนี้จึงเรียกว่าเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มาก
อำนาจสมาธิจิตนี้ จึงอยากจะให้บรรดาพวกเราผู้ประพฤติปฏิบัติทั้งหลาย ขอให้สร้างกำลังของอริยมัคคุเทสก์นี่ขึ้นมาให้พอตามต้องการเถิด เราจะสอนวิธีพลิกล็อคและหาวิธีวางจิตเพื่อต้องการจะนำของเล่นมาเพื่อจะได้เล่นสบายเพลินๆ โดยไม่จำเป็นจะต้องไปเที่ยวเตร่หาอะไรมาเล่นกันหรอก อันนี้เป็นอุบายที่แนะนำในวันนี้ซึ่งอยากให้เข้าใจว่า อำนาจปาฏิหาริย์ทางด้านจิต เป็นไปได้ นอกจากว่าเราจะแสดงหรือไม่ เราบ้าบอเห่อเหิมในอำนาจจิตหรือไม่ก็เท่านั้นเอง
ถ้าเราบ้าบอแล้วเราอาจจะแสดงไม่รู้เรื่องรู้ราว ถ้าเรารู้เท่าในวาระในอำนาจของเหล่านี้แล้ว เราก็ไม่ตื่นเต้น ธรรมดาๆ ปกติ ถึงแม้จะแสดงก็ในเมื่อมีเหตุจำเป็นจริงๆ จึงจะแสดง ไม่จำเป็นต้องไปแสดงสะเปะสะปะ
เพราะฉะนั้นอันนี้อธิบายถึงเรื่องหลักสำคัญให้ฟังก็เนื่องจากว่า บรรดาพวกเราเหล่าท่านผู้ประพฤติปฏิบัติทั้งหลาย ก็มุ่งหวังที่จะดำเนินตัวของตัวเองให้ถึงที่สุดแห่งภพอยู่แล้ว จึงได้แนะนำวิธีพลิกล็อคของจิตหลายวิธี นอกจากจะเรียกว่าวิธีพลิกล็อคของจิตเอาของเล่นแล้ว ยังมีวิธีที่จะก้าวเข้าไปสู่ความหลุดพ้นที่เรียกว่า อาสวขยักวิชาซึ่งเป็นวิธีที่จะต้องมองถึงการเคลื่อนไหวของจิต ว่าอะไรภพของจิต ว่าอะไรอำนาจฝ่ายต่ำมาแทรกซึ่งจะทำให้เราเนี่ยเสียการบำเพ็ญ ซึ่งเป็นอุบายของมารหรือกิเลสทั้งหลาย มันต้องการอยากให้เรานี่เกิดอยู่ในโลก และอำนาจฝ่ายต่ำหรือความชั่วทั้งหลายที่เรากระทำมา มันจะได้บั่นทอนเรา ลงโทษเราให้สมกับที่เรากระทำอะไรบางสิ่งบางอย่างไว้ แล้วแต่กำลังของมันที่จะมาบันดาลหรือป้องกันเรา
แต่หากในเมื่อเรามีอุบายดำเนินทางด้านสมาธิจิตดีแล้ว อำนาจทั้งหลายแหล่เรียกว่า มาร จะเป็นกิเลสมารก็ดี จะขันธมารก็ดี หรืออุบายวิธีต่างๆที่จะผูกมัดให้เราติดอยู่ในโลกนี้ หากอำนาจปาฏิหาริย์ส่วนนี้พอแล้ว จะไม่มีโอกาสเข้ามาแทรกซึมเราได้เป็นอันขาด เป็นอันว่าเราสามารถจะกำจัดมันได้ ตั้งแต่ตัวโตที่สุดถึงละเอียดที่สุด ไม่มีโอกาสที่จะนำพาให้เราเป็นตามระบบมันได้เลย
เป็นอันว่าอำนาจของธรรมหรืออริยมัคคุเทสก์จะกระตุ้นหรือนำพาความรู้สึกของเราให้เข้าสู่ระบบของธรรมตลอดเวลา ก็เป็นอันว่าภพชาติไม่มีโอกาสจะกินเราได้ เมื่อเราทำได้เช่นนี้หมายความว่ายังไง คำที่ว่าอริยบุคคล เราไม่ต้องการ เราก็ต้องได้ แดนอมตมหานฤพาน องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้พระบิดา หรือพระอรหันตขีณาสพ ผู้ท่านไปก่อนพวกเรา สมบัติหรือแดนที่พวกท่านทั้งหลายเหล่านั้นไปอยู่ พวกเราก็มีโอกาสที่ต้องไปอยู่ได้ เพราะเหตุใดเพราะเหตุเราเป็นผู้หมดจดจากภพชาติ ก็มีโอกาสจะเข้าไปสู่แดนอันนั้นได้
คำที่ว่าทุกข์ โศก โรค ภัย หรือสิ่งที่พวกเราได้เผชิญอยู่ในโลก อย่างที่พวกเราต่างประจักษ์ความเป็นอยู่ของโลกนี้ ก็ไม่มีโอกาสตามไปถึงเราได้ เป็นอันว่าเราขนไปหมด ก็มีความแน่นอนอยู่อย่างเดียวว่า บรมสุข ซึ่งเป็นผลแห่งนิพพาน เราจะต้องได้เสวยอยู่นิรันดร ไม่มีการกลับกลอก
เพราะฉะนั้นขอให้พวกเราผู้บำเพ็ญทั้งหลาย จงพยายามรวมเอากำลังทั้งหลายเข้ามาเพื่อประหารภพของจิต หรือทำลายอำนาจฝ่ายต่ำ ได้แก่อารมณ์โลก จะเป็นไปเพื่อโทษ เป็นไปเพื่อความเศร้าหมอง จะชวนให้เราเป็นไปในทางที่เสีย คือหายนะ เราจะได้เอากำลังส่วนนี้ประหารเสียให้หมด เมื่อพวกเรากำจัดสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ซึ่งเป็นเชื้อใยของโลกหมดแล้ว เราก็ได้ความว่า โลกุตตระ ผู้คนจะพ้นเสียจากโลกได้ เมื่อเราพ้นเสียจากโลกได้แล้ว เราจะไปอยู่ ณ สถานที่ใด ก็คือแดนอมตมหานฤพาน ย่อมเป็นสมบัติของพวกเราผู้กระทำได้เช่นนั้นแน่นอน
เพราะฉะนั้นพวกเราท่านทั้งหลายผู้บำเพ็ญมุ่งหวังความดี จงพยายามดำเนินดังกล่าวนี้ แล้วพวกเราจะก้าวไปสู่ความสิ้นสุดแห่งภพได้ ขอให้ตั้งอกตั้งใจกันเถอะ นี่อาตมาให้นัยเพื่ออยากจะให้บรรดาพวกเราผู้ประพฤติปฏิบัติทั้งหลายได้เข้าใจในอุบายวิธีอย่างที่ได้พรรณนาสู่ฟังดังนี้ หากในเมื่อพวกเราต้องการหรือเข้าใจในเหตุผลที่แนะนำนี้ ไม่ว่าจะเป็นไปเพื่อผลประโยชน์อันดีงามและก็ขอให้จงนำไปประพฤติปฏิบัติ ดำเนินตัวของตัวเองให้เป็นไปตามร่องรอยหรือปฏิปทาที่แนะนำนี้ รับรองว่าพวกเราจะมีความเจริญงอกงามในบวรพุธศาสนาต่อไป อธิบายมาเหตุผลมาสมควร ก็ขอยุติเพียงแค่นี้ เอวัง
หมายเหตุ
วสีทั้ง ๕
วสี ความชำนาญ มี ๕ อย่าง คือ
๑. อาวัชชนวสี ความชำนาญคล่องแคล่วในการนึก ตรวจองค์ฌานที่ตนได้ออกมาแล้ว
๒. สมาปัชชนวสี ความชำนาญคล่องแคล่วในการที่เข้าฌานได้รวดเร็วทันที
๓. อธิฏฐานวสี ความชำนาญคล่องแคล่วในการที่จะรักษาไว้มิให้ฌานจิตต์นั้นตกภวังค์
๔. วุฏฐานวสี ความชำนาญคล่องแคล่วในการจะออกจากฌานเมื่อใดก็ได้ตามต้องการ
๕. ปัจจเวกขณวสี ความชำนาญคล่องแคล่วในการพิจารณาทบทวนองค์ฌาน
ข้อมูลจาก พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)