Skip to content

อานาปานสติ ทางลัด ทางตรงสู่วิมุตติ

หลวงปู่หลวง กตปุญโญ

เทศน์งานกฐินวัดเทพเนรมิต วันที่ ๓๐ ต.ค. ๒๕๔๔

| PDF | YouTube | AnyFlip |

นั่งครั้งแรกต้องสูดลมหายใจก่อน หายใจแรงๆซักสามครั้ง เจ็ดครั้ง ยังค่อยเข้าปกติ สูดลมหายใจแรงๆยาวๆ ให้รู้ลมเข้าลมออกก่อน แล้วจึงเข้าปกติ คือตั้งจิตอธิษฐานก่อน อธิษฐานในจิตว่า ข้าพเจ้าจะปฏิบัติบูชา คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ปฏิบัติบูชาคุณบิดามารดา ครูบาอาจารย์ ขอบุญบารมมีคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ จงมาดลบันดลประสาทพรให้จิตใจข้าพเจ้าตั้งมั่นเป็นสมาธิ พุทโธสมาธิ ธัมโมสมาธิ สังโฆสมาธิ จิตตั้งสมาธิ แล้วก็ว่าพุทโธ ธัมโม สังโฆ แล้วก็พุทโธไปเรื่อยๆ ทำใจให้สบาย

พวกเราเกิดมาในยุคนี้ ในยุคนี้ในชาตินี้เป็นผู้ที่มีโชคดีวาสนาดี ดีอย่างใด ดีมาเกิดในเมืองไทย มีพุทธศาสนาวัดวาอารามครูบาอาจารย์ แล้วเราก็ได้สดับรับฟังศึกษาอรรถธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอริยเจ้าเข้าใจพอสมควรแล้วก็เกิดความเชื่อความเลื่อมใสศรัทธา จึงได้เสียสละ มาสู่สถานที่นี่ ปฏิบัติบูชา เหตุนั้นจึงว่าเรามีโชคลาภมาก ได้มาเกิดเมืองไทย ได้มาพบปะพุทธศาสนา แล้วได้พบครูบาอาจารย์ชี้ช่องบอกทางแนวทางปฏิบัติ เดินทางลัดตัดทางตรง

ครูบาอาจารย์เบื้องต้นในยุคนี้ก็คือพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เป็นผู้ปฏิบัติฝึกหัดปฏิบัติศีลธรรมกรรมฐานภาวนา ฝึกหัดปฏิบัติอยู่ได้ ๒๗ พรรษา ธุดงค์กรรมฐานภาวนา มาภาคเหนือก็ถึงแค่สวรรคโลก เดินธุดงค์ภาคอีสานถึงราชสีมา ภาคกลางก็เมืองเพชรบุรี เดินธุดงค์ ปฏิบัติศีลธรรมกรรมฐาน ฉันข้าวมื้อเดียวเทียวจงกรม คือ ร. ๔ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือผู้ปฏิบัติศีลธรรมกรรมฐาน แล้วก็ฟื้นศีลธรรมกรรมฐานขึ้นมาในยุคนี้ก็ว่าได้ 

ต่อมาก็มีภาคอีสานก็มีท่านเจ้าคุณอุบาลี หลวงปู่จันทร์ จังหวัดอุบล เป็นคนที่ได้มาศึกษาเล่าเรียนธรรมะที่กรุงเทพกรุงไทย ก็ได้มาพบปะ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ เป็นผู้ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ก็เลื่อมใสศรัทธา จึงได้มาญัตติจากคณะ เขาสมมุติว่านิกายมาเป็นคณะธรรมยุต แล้วท่านพระเจ้าคุณอุบาลีนี้ก็มีทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ พร้อมหมด ก็มาเผยแผ่ภาคอีสาน จังหวัดอุบล สร้างวัดสุปัฏน์ นครพนม วัดศรีเทพ อุดร วัดโพธิสมภรณ์ ขอนแก่น วัดศรีจันทร์ นครราชสีมา วัดสุทัศน์จินดา ห้าวัดครั้งแรก ห้าจุดเผยแผ่พุทธศาสนา

เหตุนั้นครูบาอาจารย์จึงเป็นพระอีสานเป็นผู้ปฏิบัติศีลธรรมกรรมฐานสืบมาเป็นลำดับ บัดนี้ก็ขึ้นมาภาคเหนือ เหตุที่กรรมฐานขึ้นมาภาคเหนือนี้ ก็ด้วยเหตุพระยาเจ้าเมืองเชียงใหม่เนี่ยแหละ ไปกรุงเทพกรุงไทย ไปว่าราชการ ก็ได้ไปฟังเทศน์เจ้าคุณอุบาลีที่ราชวังในสมัยร. ๖ แล้วฟังแล้วก็เกิดรู้ได้เข้าใจในศีลธรรมคำสอนพระพุทธเจ้า เลื่อมใสศรัทธา จึงได้อาราธนาเจ้าคุณอุบาลี หลวงปู่จันทร์ สิริจันโท ขึ้นมาภาคเหนือ มอบวัดให้ถวายที่วัดให้ ที่วัดเจดีย์หลวง วัด? จึงได้สร้างวัดเจดีย์หลวงขึ้น สร้างขึ้นแล้วก็ปฏิบัติศีลธรรมกรรมฐานอยู่ภาคเหนือ 

ต่อมาก็มีลูกศิษย์ลูกหาเดินมา ตามมาปฏิบัติคือหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต แล้วหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม หลวงปู่แหวน สุจิณโณ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี คือว่าครูบาอาจารย์หลวงตาบัว หลวงปู่หลายหลวงปู่มาปฏิบัติศีลธรรมกรรมฐานจากวัดเจดีย์หลวง จากเมืองเชียงใหม่ อย่างนี้เป็นต้น จึงได้สืบมาสร้างวัดวาศาสนาเผยแผ่ต่อสู้ เพราะเจ้าคุณอุบาลีนั้นเพิ่นประกาศว่า หน้าแผ่นดินที่เราอาศัยนี้ไม่ใช่ของใคร เป็นของเราทุกคนที่มาเกิดสร้างบารมี ฉะนั้นอยู่ในสถานที่ใด ไปในสถานที่ใดให้พากันสร้างคุณงามความดี สร้างบารมี ไม่ถือว่าบ้านเขาบ้านเรา อันนี้บ้านเรา อันนี้บ้านเขา ไม่มี 

เหตุนั้นเจ้าคุณอุบาลีเป็นต้นก็มาสร้าง ครั้งแรกก็มาสร้างที่ภาคกลาง ราชบุรี ลพบุรี มีวัดมณีชลขันธ์เป็นต้น มีหลายวัด ก็มาสร้างพระใหญ่อีกในประเทศไทย เขาพระงาม ใหญ่ อันนี้ต่อมาก็ลูกศิษย์ลูกหาเพิ่นก็มาเผยแผ่ แล้วก็ยุคปัจจุบันนี้ ยุคปัจจุบันนี้ก็ลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์หลายองค์หลายท่านใจใหญ่ ใจกว้าง ใจขวาง ใจมองเห็นอนาคตที่จะเชิดชูพระศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป ลงมากรุงเทพกรุงไทยก็อาจารย์วิริยังค์ วัดธรรมมงคล สร้างเจดีย์ใหญ่โต สร้างพระหยกใหญ่ที่สุดในโลกด้วยอย่างนี้เป็นต้น

ต่อมาก็หลายองค์ที่หนองคายก็หลวงปู่เหรียญ ที่อุดรก็อาจารย์ทูล ที่ร้อยเอ็ดก็อาจารย์ศรี มหาวีโร สร้างเจดีย์ใหญ่ที่สุด สูง ๑๐๙ เมตร กว้าง ๑๐๑ เมตร เจดีย์ใหญ่โต อันนี้ก็ด้วยบุญบารมีของหลวงปู่มั่นหรือลูกศิษย์ลูกหาของครูบาอาจารย์ในยุคนี้ ได้ทำประโยชน์ในศาสนาเผยแผ่มาเป็นลำดับๆ ฉะนั้นเมืองเชียงใหม่ก็มาสร้างวัดวาศาสนาหลายวัด สืบมาเป็นลำดับๆ สืบมาเรื่อยจนมาถึงทุกวันนี้ ก็มีลูกหลานลูกเหลน ด้วยเดชะพระบารมีเจ้าคุณอุบาลีนั่นน่ะ เพราะเจ้าคุณอุบาลีนั่นท่านพูดกล่าวดังที่ว่านั่นแหละ ส่วนมากมันถือเขาถือเรา ถือบ้านเขาบ้านเรา ไม่ใช่เมืองเราบ้านเราจะไปสร้างทำไม อย่างนี้เป็นต้น เจ้าคุณอุบาลีว่าหน้าแผ่นดินเป็นที่เกิดสร้างบารมีของเราทุกคน ไปที่ไหนจงทำประโยชน์สถานที่นั้น เพราะว่าเราทุกคนมาเกิดมาตาย เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในมนุษยโลกเนี้ยมากมายก่ายกองนับไม่ได้ เป็นหลายกัปป์หลายกัลป์มาแล้ว 

พระพุทธเจ้าเข้านิพพานสร้างบารมีเพื่อจะชักจูงพวกสัตว์โลกทั้งหลายคือพวกเรานี่แหละให้พ้นทุกข์พ้นภัยไปนิพพาน ก็หลาย ๒,๕๘๔,๑๐๐ พระพุทธเจ้า ก็ไม่ใช่น้อยเหมือนกันน่ะ มาสร้างบารมีเพื่อให้สัตว์ทั้งหลาย คือพวกเรานี่แหละไปพระนิพพานพ้นทุกข์ แต่ก็แสดงว่ายังไปบ่ได้ อินทรีย์บารมีมันอ่อน หรือว่าไปอยู่ไหนก็ไม่รู้ เหตุนั้นจึงว่าชาตินี้แหละอันล่วงมาแล้วก็อย่าไปว่า เอาปัจจุบันชาตินี้แหละเรามีโชคดีแล้ว น่าปีติยินดีพอใจเพิ่นว่า เรามีโชคดีแล้ว วาสนาดีแล้ว ได้มาพบปะพุทธศาสนา ได้มารับอรรถธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าของครูบาอาจารย์ มีหลวงปู่มั่น ยุคนี้มีหลวงปู่มั่น แต่เบื้องต้นก็คือพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร. ๔ ต่อมาก็เจ้าคุณอุบาลี หลวงปู่มั่นเป็นลำดับๆมาจนทุกวันนี้ 

ศีลธรรมกรรมฐานเผยแผ่ขึ้นเมืองเชียงใหม่ภาคเหนือ ก็เพราะบารมีของพระเจ้าคุณอุบาลี เพิ่นมาสร้างวัดเจดีย์หลวงขึ้น วัดสันหลวงขึ้น เหตุนั้นพวกเราจึงได้ ครูบาอาจารย์จึงได้มาภาคเหนือ มาปฏิบัติบูชา พวกเราก็ได้มาพบปะธรรมะคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ เพราะบุญบารมีของเจ้าคุณอุบาลี พระอาจารย์มั่น อันนี้ก็แปลว่าเรามีโชคดี มีวาสนาดี และได้มีศรัทธาความเชื่อความเลื่อมใส ได้มาประพฤติปฏิบัติศีลธรรมกรรมฐานภาวนา นั่งหลับตาภาวนา รู้ลมเข้ารู้ลมออก พุทโธๆ ก็คือว่าเดินทางลัดตัดทางตรง

ก็คือมารู้กำหนดรู้ ตั้งแต่ศีรษะไปถึงปลายเท้า ตั้งแต่ปลายเท้ามาถึงศีรษะ กำหนดรู้ตลอด รู้ตลอดร่างกาย เป็นกายคตาสติกรรมฐานเนี่ย เพราะเป็นฐานเบื้องต้น ลมก็เป็นกรรมฐาน ฉะนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นพระบรมครูของพวกเรา ได้สำเร็จเข้านิพพาน พระองค์ก็มาเจริญพระอานาปานสติกรรมฐานภาวนาคือลม มีสติรู้ลม ลมเข้าก็รู้ลมออกก็รู้ เข้ายาวออกสั้น กำหนดรู้ดูอยู่นี่หละกำหนดลมเข้ามาในจิต กำหนดจิตเข้ามาในลม จนเป็นหนึ่งแน่วแน่ แน่วแน่เป็นหนึ่งแล้วก็มารู้ตั้งแต่หัวถึงตีน ตีนถึงหัว กว้างศอกยาววาหนาคืบนี้ มารู้เห็นเป็นจริง กำหนดรู้เห็นเป็นจริงอย่างนี้เป็นต้น 

หรือว่าเราได้นำรูปร่างกายของเรานี้ที่ไม่มีสาระแก่นสาร รูปร่างกายของเราหาสาระแก่นสารไม่ได้ ดังที่พระพุทธเจ้าเพิ่นกล่าวไว้ ที่ว่าเบื้องต้นว่า กาโย ภิกขเว อสาโร สารวะ กา ตัพโพติ ท่านว่าร่างกายนี้หาสาระแก่นสารบ่ได้ เกิดมาแล้วก็แก่ แก่แล้วก็เจ็บ เจ็บแล้วก็ตาย ตายแล้วก็ฝังก็เป็นดินไป เผาก็เป็นขี้เถ้าไป ไม่มีอะไรเป็นสมบัติของเราซักอย่าง เป็นสมบัติเปล่าทั้งนั้นแหละ แปลว่าไม่มีอะไร ไม่ได้อะไรซักอย่าง ถ้าเราไม่มีคุณธรรม จึงว่าเกิดมาเปล่า เกิดมาเสียเปล่า 

เหตุนั้นพวกเราได้มาพบปะธรรมะคำสอนพระพุทธเจ้า มีความเชื่อความเลื่อมใสตั้งใจปฏิบัติบูชานี่ โอ้ บุญมากบุญหลายน่าปีติยินดี ไม่ท้อไม่ถอย เนี่ยเป็นอุปนิสัยเป็นปัจจัยก็เพราะว่าเมื่อมากำหนดอานาปานสติกรรมฐานเนี่ย ลมเนี่ย เพียรเพ่งอยู่ในหน้าอกของเราเนี่ย รู้อยู่เนี่ย ไม่ให้มันไปที่อื่น จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว เย็นสบาย ก็จะเกิดปัญญา ปัญญาขึ้น ปัญญามันจะเกิดขึ้น เพราะว่าเป็นสมาธิแล้วปัญญามันก็เกิด 

เปรียบเหมือนเราเอาน้ำใส่โอ่ง ใส่โอ่งใส่อ่างแล้ว บ่ให้ลมมาพัด รักษาไม่ให้ลมมาพัดเปล่า น้ำมันนิ่ง เมื่อน้ำมันนิ่งก็จะมองเห็นเงา ตัวของเราเอง มองเห็นเราเห็นหน้าเห็นตาของเรา ตลอดที่สุดคนอื่นมาเดินผ่านก็เห็น ตลอดที่สุดนกบินบนท้องฟ้าผ่านมาก็เห็นหมด อย่างนี้เป็นต้น นี่เพิ่นว่าจิตสงบจิตนิ่ง เราก็เห็นศีลเห็นธรรม เห็นรูปร่างกายของเราตามความเป็นจริง

ความจริงของร่างกายยังไง มันต้องตายหละ ตายเน่าเป็นเถ้าเป็นถ่าน หาสาระแก่นสารไม่ได้ ต้องตายแน่ๆ ต้องตายแน่ๆ พ้นไปไม่ได้ ตายเน่าแล้วก็ไม่มีอะไรซักอย่าง เกิดมาก็ได้ขันธ์ ๕ มาก็เลี้ยงกัน มาหาอยู่หากินแสนทุกข์แสนยาก สุดท้ายมันกินเท่าไรก็แก่ไปเท่านั้น กินเท่าไรจะให้อายุยืน บ่ใช่ กินเท่าไรก็ยิ่งแก่ไป ยิ่งเฒ่าไป แก่ไปเรื่อย เฒ่าไปเรื่อยจนเป็นสามขาสี่ขาไปแล้ว ทุกข์ลำบากตรากตรำ ลุกก็โอย นั่งก็โอย อย่างนี้เป็นต้น

แต่ว่าเราทุกคนๆ ที่มาอยู่ในโลกเนี้ย ไม่ใช่มาเพื่อความเพลิดเพลินความสุข พระพุทธเจ้าให้มาสร้างคุณงามความดีเพื่อความสงบ ความสงบเนี่ยแหละมันเป็นการเดินทางลัดตัดทางตรง มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทโธ จักขุกะระณี ญานะกะระณี จิตเป็นกลาง จิตเป็นกลางวางเฉย ไม่รักไม่ชัง ไม่ยึดไม่ถือ เป็นแต่เพียงรู้อย่างเดียว รู้ลมเข้ารู้ลมออก เพียรเพ่งอยู่นั่น ไม่หมายเป็นตนเป็นตัวเป็นเราเป็นเขา กำหนดรู้ดิ่งแจ้งสว่างเย็นสบายอย่างนี้เป็นต้น 

ฉะนั้นเมื่อมันสงบนิ่งแล้วก็มองเห็นแล้ว มองเห็นธรรม คือเห็นร่างกายของเรา เพราะร่างกายของเราเป็นก้อนธรรม สัตว์โลกทั้งหลายก็มาหลงร่างกาย มาหลงร่างกายตัวของเราเอง คนอื่นด้วย มาหลงรูปร่างกาย หลงร่างกายของเราด้วย หลงร่างกายของคนอื่นด้วย เหตุนั้นจึงได้ก่อกรรมทำเข็ญทุกอย่าง เมื่อหลงอยู่ในร่างกายของเรา เมื่อมายึดถือรูปร่างกายเป็นของดี อย่างนี้เป็นต้น ธาตุสี่ ขันธ์ห้าว่าเป็นของดี เขามาว่าไม่ดีก็ไม่ชอบ โกรธให้เขา ดีบ่ดี ฆ่าเขาตายเลย อย่างนี้เป็นต้น เกลียดชัง นี่เพราะมายึดถือขันธ์ห้า ที่เรามาอาศัยน่ะ 

ฉะนั้นพระพุทธเจ้า พระอริยเจ้าก็มาให้ดู ให้ดูขันธ์ห้าเนี่ยแหละ ที่เราทุกคนหาบขันธ์ห้ามาด้วยกันทั้งนั้น หาบกองกระดูก ๓๐๐ ​ท่อนเนี่ย มาเดินอยู่ในโลก เวียนอยู่ในโลกเนี้ย ฉะนั้นที่เราหลงก็หลงเนี่ย หลงกองกระดูกเนี่ยแหละ มาหลงอันนี้ มายึดถือสิ่งนี้ ตีกันฆ่ากันอะไรทุกอย่าง แย่งกันก็มาหลงอันนี้เอง หลงกองกระดูก ๓๐๐ ท่อนนี้แหละ ที่เรามาหาบไปหาบมาเนี่ย สุดท้ายกระดูกพลัวะเพิ่นว่า คือพญามัจจุราชนำโจมตี ตีแข้งตีขา เจ็บนั่นเจ็บนี่ โอ้ยมีแต่เรื่องทุกข์ 

แต่ว่าถ้าใจของเรารวบรวมเข้ามาเป็นหนึ่ง จดจ่ออยู่ในลมอย่างเดียว จนเป็นเอกัคคตารมณ์แน่วแน่ บ่ได้หมายเป็นตนเป็นตัวเป็นนั่นเป็นนี่ จิตแน่วแน่เป็นหนึ่ง เย็นสบาย เป็นสุข แต่ว่าอย่าไปติดอยู่ในความสุขนั่น คือสุขที่เราได้นี่ก็ไม่เที่ยง เพราะความสุขความทุกข์มันก็เป็นของประจำอยู่ในโลก ไม่ใช่ของใคร ฉะนั้นสัตว์โลกทั้งหลายก็มาติดอยู่ในความสุข มาติดอยู่ในความทุกข์อันนี้เอง ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงให้มารู้สิ่งนี้ ให้รู้สิ่งนี้ปล่อยสิ่งนี้วางสิ่งนี้ ให้รู้ปัจจุบัน 

ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ปัจจุปปันนัญจะ โย ธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสะติ รู้ปัจจุบัน ปัจจุบันของโลกก็คือลมนั่นแหละ ปัจจุบันของรูปร่างกายคือลม คนเราทุกคนอาศัยลม ลมเข้าแล้วไม่ออก ตาย ออกแล้วไม่เข้าก็ตาย ลมจึงเป็นพระองค์ใหญ่ เรียกว่าพระอานาปา บัดนี้ถ้าเรามามั่นอยู่ในลมเป็นหนึ่ง มันก็เย็นสบาย ลมเป็นของเย็น แต่ถ้าเราไม่มั่นอยู่ในลม ไปหมายข้างนอกมันก็เป็นทุกข์หละ เพราะเราไม่อยู่ในลม เราไม่อยู่ในลมเป็นหนึ่งก็เปรียบเหมือนเรามีบ้านไม่อยู่บ้าน เรามีเรือนไม่อยู่เรือน มีบ้านไม่อยู่บ้าน เถลไถลไปบ้านนั้นบ้านนี้ไปเรื่อย ไปก็โดนแดดบ้างโดนฝนบ้าง ดีไม่ดีก็โดนรถชน นี่ฉันใด เปรียบเทียบ ถ้าใจอยู่ในบ้านก็เปรียบเหมือนใจอยู่ในบ้านก็ใจอยู่ในธรรม มันก็สบาย ทุกข์ก็มีทุกข์น้อย ภัยก็มีภัยน้อย

เหตุนั้นทางพุทธศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงให้หาโอกาสรวบรวมสร้างพระขึ้น คือลมนั่นแหละ พระอานาปานี่แหละ ลมเข้าก็รู้ ลมออกก็รู้ เพียรเพ่งอยู่ในลมเป็นหนึ่งแน่วแน่อยู่ในลมนี่แหละ เพราะใจของเรามันหนีจากลม หนีจากฐาน หนีจากพระ ก็ร้อนละ ใจไปหมายข้างนอก ร้อน ถ้าใจหมายมั่นอยู่ในตัวเรา มันก็เย็นสบายเป็นสุข อย่างนี้เป็นอุบายของพระพุทธเจ้า เป็นอุบายของพระอริยเจ้า เป็นอุบายของครูบาอาจารย์ชี้ช่องบอกทางไว้เป็นแนวทางปฏิบัติ เหตุนั้นพวกเราได้มาได้รู้ได้เห็น และได้มีศรัทธาความเชื่อความเลื่อมใส ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติไป ไม่ท้อไม่ถอย เมื่อไม่ถอยมันก็ถึงหละ ไม่ถอยมันต้องถึง ถ้าถอยซะมันก็ไม่ถึงหละ หยุดซะก็ไม่ถึง ถอยก็ไม่ถึง เดินทางแล้วถอยคืน ไม่ถึง หยุดซะไม่เดินไป มันก็ไม่ถึงอีก นี่เป็นต้น 

เหตุนั้นไปไม่ถอยแล้วก็เดินถูกทางด้วยนะ ถ้าเดินไม่ถูกทางมันก็ไม่ถึงอีก ถึงแต่ไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นว่าเราจะไปกรุงเทพ ไปถึงลพบุรีหนีไปนครนายกซะ มันก็ไปได้ แต่มันบ่ถึง บ่ถูก มันก็ไปได้เหมือนกัน แต่มันไม่ถึง ไม่ถูก ไม่ถูกจุด เมื่อไม่ถูกจุดมันก็ไม่ได้ดี ไม่ได้ความสุข ไม่ได้ธรรม อันนี้ฉันใดเหมือนกัน มันไปได้แต่มันไม่ถึง ไปได้ไม่ถูกไม่ถึง มันก็ไม่ได้ผล เหตุนั้นถ้าเรามาฝึกหัดปฏิบัติถูกหลักแล้ว ถูกหลักตามหลักพุทธศาสนาแล้ว เนี่ยไม่ถึง มันก็ยังมีผล มีผล มีเวลาที่จะถึง เพราะเราเดินทางถูกแล้ว ไม่ถึงวันนี้ก็ถึงวันหน้า ไม่ถึงวันหน้าก็เดือนหน้า หรือถึงปีหน้า เดินไปๆไม่ท้อไม่ถอย ที่พระพุทธเจ้าว่า ตุลิตะ ตุลิตัง สีฆะ สีฆัง เพิ่นว่า รีบๆด่วนๆ 

ฉะนั้นผู้มีปัญญาจึงมาสร้างคุณงามความดีให้เกิดมีขึ้นในจิตใจของเรา เหมือนพวกเราได้มาในยุคนี้ชาตินี้ ได้มีศรัทธาความเชื่อความเลื่อมใสพออกพอใจ ยินดีในการปฏิบัติบูชา อามิสบูชาปฏิบัติบูชาควบคู่กันไป เปรียบต้นไม้ถ้าไม่มีเปลือกระพี้ แก่นมันก็ไม่มี อย่างนี้เป็นต้น แต่ว่าเปลือกกระพี้นั้น เค้าก็ไม่เอาอ้ะ เพราะมันไม่ทน ไม่ถาวร ต้องเอาแก่น เอาแก่นมันก็มั่นคง เปลือกกระพี้ก็ตัวปลวกตัวมอดตัวแมงกินซะ คนเอาเปลือกไม้มาสร้างบ้าน เอ๋ย บ่ทน ลมพัดพังหมด เอากระพี้มาสร้างบ้าน ก็ไม่ทนอีก ตัวมดตัวปลวกตัวมอด ตัวอะไรมากัดกินหมดหละ ถ้าแก่นของมัน มันกินไม่ได้นะ เหมือนที่เราสร้างบ้านสร้างเรือน เอาแก่นไม้ซับไม่ซุง มาสร้างบ้านทำประโยชน์ มั่นคงถาวรฉันใดเหมือนกัน คือเราอาศัยเปลือกอาศัยกระพี้ แต่ว่าเปลือกกระพี้นั้นก็ไม่เอา สุดท้ายทิ้งหมด เอาแก่นมันอย่างเดียวนี่แหละ 

แก่นอย่างเดียวก็คือภาวนา วิชาวิมุตติเนี่ยแหละ มาภาวนาได้วิชาวิมุตติ วิชาก็คือรู้หยัง รู้ขันธ์ ๕ นี่แหละ รู้ธาตุ ๔ นี่แหละ รู้ขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ รู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รู้ทุกข์ ขันธ์ ๕ เป็นก้อนทุกข์หมดทุกอย่าง เป็นก้อนทุกข์ รู้ทุกข์ รู้เหตุแห่งความทุกข์คือกิเลสตัณหา เหตุนั้นจึงได้มาภาวนาให้รู้ พิจารณาศึกษาให้รู้แล้ว รู้แล้วมันก็ละ เพราะตัวรู้เป็นตัวละ เปรียบเหมือนไฟมันสว่าง ความมืดมันก็ดับไปเอง 

สร้างความรู้ความสว่างขึ้น จุดความสว่างขึ้น คือตั้งใจปฏิบัติบูชา ภาวนาพุทโธๆนี่จิตสงบสว่าง มันก็ดับความมืด ความมืดดับ มีแต่ความสว่างก็สบาย เหตุนั้นจึงว่าอาศัยความสว่าง จุดความสว่างขึ้น ที่เราพากันมาปฏิบัติมาศึกษา มาปฏิบัติ มาสร้างความสว่างขึ้นในจิตใจของเรา เพราะใจมันมืด มาก็มืดไปก็มืด ก็หมดหนทางหละ ตโม ตมปรายโน มาก็มืด มืดอย่างใด ไม่รู้จักศีลจักธรรม ไม่รู้จักทำประโยชน์ตนและคนอื่นด้วย ก็แปลว่ามามืด 

ยกตัวอย่างเช่นว่าพระพุทธเจ้าของเราในชาติที่ ๖ เป็นมโหสถ เกิดเป็นมโหสถ มีปัญญามีวิชามากแต่วิชาทางโลก ก็เมาแต่ปัญหาทางโลกแก้ปัญหาโลก อยู่กันเป็นร้อยๆปีเหมือนกันแหละ ตายจากมโหสถ ก็ไปเกิดอยู่เมืองนาคเป็นงู เรียกว่าภูริทัตนั่นเองหละ ภูริทัตน่ะเป็นงูไปเกิดอยู่ในเมืองนาค เมื่อไปอยู่เมืองนาคก็ระลึกได้ ระลึกได้ว่าเรามาเกิดมาเมืองนาคก็แปลว่าขาดทุนเพิ่นว่า ขาดทุนแล้วมาเกิดเป็นงู 

บัดนี้เมืองนาคนั้นน่ะ บ่มีวัดวาศาสนาหรอก บ่มีครูบาอาจารย์จะไปสอน ขาดทุน เหตุนั้นพระองค์นึกได้ก็แก้ปัญหาบ่เนะ ก็เลยลาพ่อแม่เมืองนาคขึ้นมาจำศีลภาวนา ทางเชียงใหม่นี่แหละ มาจำศีลภาวนา อยู่ในภูเขาลึก สุดท้ายมารักษาศีลภาวนาอยู่ภูเขา รักษาศีล ๘ ด้วยนะ รักษาศีล ๘ แน่วแน่ 

สุดท้ายเมื่อทำดีก็มีกรรม เมื่อทำดีก็มีเวร มีกรรมมีเวร หมออาลัมพายน์มาเจอเข้า พบเข้ามัดคอลากเอาไปให้เล่นละคร ไปเล่นละครให้คนมาดูเอาสตางค์ มันก็รวยหลายพันเหมือนกันนะ จนสืบทุกวันเนี้ยลูกน้องหมออาลัมพายน์ไปอยู่เมืองอินเดียโน่น ไปอินเดียไปเจอเข้า เอางูมาเล่นให้คนเขา เอาสตางค์คน ไปเมืองอินเดีย ไปเห็นพวกแขกเอางูมาเล่นให้คน เอาสตางค์คน จึงมานึกได้ โอ้ ลูกน้องหมออาลัมพาย์มันยังมีอยู่ มันทรมานงูนั่นแหละ ทนทุกขเวทนาเป็นเดือนๆน่ะ 

สุดท้ายก็กลับไปอยู่เมืองนาคอีก ตั้งใจรักษาศีล ๕ เจริญภาวนา ตายจากนั้นก็ไปสวรรค์โน่นน่ะ ตายจากสวรรค์มาเกิดอีก มาเกิดอีก มาสร้างบารมีเรื่อย ภูริทัตโต มาเกิดสร้างบารมี จันทกุมาร จันทกุมาร วิธูรบัณฑิต สร้างบารมีไปเรื่อยจนกว่าชาติพระเวสสันดร ชาติสุดท้าย ตายจากพระเวสสันดรก็ไปเกิดชั้นดุสิต สวรรค์ชั้นที่ ๔ อยู่กันหลายร้อยปีพันปี สุดท้ายก็ลงมาเกิดเป็นพระสิทธัตถะราชกุมาร ก็มาสร้างบารมีออกบวชบำเพ็ญเป็นพระพุทธเจ้า จนได้เป็นพระพุทธเจ้าสมณโคดมพระบรมนาถศาสดา ที่เป็นครูบาอาจารย์พวกเราคือพระโคดมบรมนาถอุดมสมบูรณ์ 

ศาสนาพระโคดมนี่อุดมสมบูรณ์นะ แล้งก็มีน้อย ศาสนาองค์อื่นเช่นศาสดาพระกัสสปะเนี่ย แล้งเจ็ดปีเจ็ดเดือนนะ พุทโธ่ๆ! อย่าว่าเจ็ดปีหรอก แค่เจ็ดเดือนมันก็แล้งแล้ว เดือดร้อนแล้ว ฝนบ่ตก แค่เจ็ดเดือน โหย เดือดร้อนแหละ บ่ถึงเจ็ดปีหรอก แค่เจ็ดเดือนก็ โถ! ทุกข์มาก ต้นไม้บางอย่างบ่เกิดแล้ว ตาย ถ้าถึงเจ็ดปีแล้วก็ เฮ้อ เดือดร้อนหละ แต่ว่าศาสนาพระโคดมบรมนาถพระศาสดาอุดมสมบูรณ์ ฝนก็ไม่แล้ง แล้งก็นิดๆหน่อย แล้งก็แก้ได้ ฝนแล้งก็แก้ได้ ในหลวงเป็นผู้มีปัญญา ทำให้ฝนตกฝนเทียมได้ เนี่ยมีปัญญาแก้ แก้ได้ เพราะบุญบารมีของพระพุทธเจ้า พระโคดมนั่นเอง 

เพราะเหตุนั้นจึงว่าเรามาเกิดเมืองไทยนี่ โอ้ย แสนดีอุดมสมบูรณ์ แต่ว่าอย่าไปติดดีเท่านั้นแหละ ถ้าไปติดดีก็หมดหนทางเหมือนกันนะ หมด หมดโอกาส ไปติดดีคือว่า โอ้ กินดีอยู่ดีแล้วก็ติดดีซะ หลงดีซะ บ่ได้มาบำเพ็ญคุณงามความดี สร้างบารมีเจริญกรรมฐานภาวนาก็หมดโอกาสเหมือนกันแหละ 

เหมือนกับมโหสถ มโหสถก็ติดดีในโลก แก้ปัญหาของโลก เลยบ่มีโอกาสที่มารักษาศีลภาวนา ตายยังไปเกิดเป็นงู เป็นงูเป็นนาค แต่ว่าอินทรีย์เพิ่นแก่กล้า อินทรีย์แก่กล้า ระลึกได้ ถ้าพวกเราอินทรีย์อ่อน ก็หมด เป็นงูก็ไปเป็นงูพิษด้วย ถ้าคนขี้โกรธ คนขี้โกรธขี้โลภน่ะ ตายเป็นงูพิษ กัดคนนั้นคนนี้ เขาฆ่าตายหมดหละ ถ้าคนขี้โกรธ ตายไปเกิดเป็นงูพิษ ถ้าคนขี้สวก เพิ่นว่าเมืองเหนือเค้าว่าขี้สวก ชอบอิจฉาด่า ตายไปเป็นหมา หมาขี้เรือน หมาขี้เรื้อนนี่ตัวมันทุกข์นะ งามก็บ่งามด้วย คัน เกา ไม่เกาก็คัน เกาก็เจ็บ ร้องไห้เอ๋งๆ

หลวงตาที่ว่านี่ ไปพักอยู่วัดพระศรี มีหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งมันนอนอยู่ใต้ถุน มันคันน่ะ มันคันมันก็เกา เกามันก็เจ็บ เจ็บมันก็ร้องไห้ ร้องแว้ๆ มดขึ้น มานึกถึงโทษคนอิจฉาพยาบาท อิจฉา เขาทำดีก็อิจฉาเขา พยาบาท แกล้งเขา ไม่อนุโมทนา แกล้งเขาน่ะ ไปตกนรกอยู่หลายพันปี เพราะฉะนั้นมาเกิดเป็นหมาขี้เรื้อนอยู่หลายร้อยชาติ ทนทุกขเวทนา อย่างนี้เป็นต้น ฉะนั้นชีวิตของเรา จิตใจของเราเป็นตัวไม่ตาย มันนำภพนำชาติไปเรื่อย

เหตุนั้นพวกเราทั้งหลายได้มีโอกาสมาชำระจิตใจของเราให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง แล้วจิตใจบริสุทธิ์ ใจมั่นอยู่ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ใจมั่นอยู่ในศีลในธรรมคำสอนพระพุทธเจ้าแล้ว นำมาซึ่งความสุขความเจริญในปัจจุบันในโลกหน้า