Skip to content

สละความดีแบบโลกๆ สู่ความดีแบบพระพุทธเจ้า

หลวงปู่หลวง กตปุญโญ

เทศน์ ณ วัดอโศการาม วันที่ ๒๔ เม.ย. ๒๕๔๓

| PDF | YouTube | AnyFlip |

พากันตั้งใจ การฟังธรรมต้องให้ใจของเราอยู่ในธรรมด้วย ธรรมเป็นตัวอย่างไร เราทุกคนๆนี่หละเกิดจากธรรม พ่อธรรมแม่ธรรมของโลกก็คือลม เพราะว่าเราทุกคนๆมีชีวิตอยู่ได้เพราะลม ฉะนั้นการฟังธรรมให้ใจของเราอยู่ในธรรมด้วย กำหนดสูดลมเข้าลมออกให้รู้ ดูลมเพราะลมนี้เพิ่นสมมุติว่าเป็นพระองค์หนึ่ง เป็นพระองค์ใหญ่ที่สุดก็ว่าได้ เพราะเหตุใด เพราะว่าเราทุกคนๆเกิดมาจากลม เกิดได้ เกิดมาก็เพราะลม อยู่ได้ก็เพราะลม มีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะลม 

แต่พระพุทธเจ้าท่านมีปัญญา ท่านมาทำลมให้เป็นบุญเป็นกุศล คือลมที่มีสตินั่นแหละ ที่จริงลมมันก็มีอยู่แต่ไม่รู้เพราะไม่มีสติสัมปะชัญญะ ในเบื้องต้นตะกี้นี้ท่านอาจารย์มหาเพิ่นก็พาแสดงธรรม แสดงธรรมกันใหญ่ในเรื่องอนัตตลักขณสูตร ที่พระพุทธเจ้าเทศน์โปรดปัญจวัคคีย์ในเรื่องธรรมจักร ก็พระอัญญาโกณฑัญญะได้ฟังธรรมจักรและอนัตตลักขณสูตรแล้วก็ได้สำเร็จพระโสดาปัตติผล ต่อมาถึงเดือนแปดเพ็ญ 

นี่ว่าที่เรามาใช้กันขึ้นใหม่ แต่ก่อนก็ไม่มีหรอก วันอาสาฬหมงคล เกิดขึ้นจากมหาปิ่น มุทุกันต์ พระมหาปิ่น มุทุกันต์นี้เป็นอธิบดีในกรมการศาสนา แล้วก็มาพิจารณาธรรมที่เป็นมงคล ส่วนมงคลสองอย่างนั้น วันศาสนาคือวันวิสาขะ วันมาฆะ วันมาฆบูชาเดือนสามเพ็ญ แล้วก็วันวิสาขบูชาเดือนหกเพ็ญ อันนี้ก็เป็นที่พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร. ๔ นี่แหละเป็นผู้มองเห็นประโยชน์จึงได้สมมุติตั้งขึ้นเป็นประเพณีที่วันสำคัญ เช่นวันวิสาขะ หรือวันมาฆะ แล้วก็ให้พากันเสียสละกายวาจาใจ ปฏิบัติบูชาฟังเทศน์ รักษาศีล ฟังเทศน์ฟังธรรมคำสอนพระพุทธเจ้าตลอดแจ้ง ตลอดแจ้ง ตลอดสว่าง 

ฉะนั้นวัดอโศการามก็เคยทำมา หลวงตาที่ว่านี่ก็เคยมานั่งแจ้งสว่าง แต่สมัยนั้นยุงเยอะ กินหลายสิบตัวเหมือนกันแหละ ยุงเยอะ ที่วันสำคัญ ผู้นำเสียสละก็คือพระเดชพระคุณเจ้าคุณวัดมณีชลขันธ์ เจ้าคุณศรีวรคุณ ขณะนั้นอายุเพิ่นก็เกือบ ๘๐ แล้วหละ เอ้อ เข้า ๘๐ แล้วเว้ย พาพระเจ้าพระสงฆ์พากันนั่งปฏิบัติบูชาตอนหัวค่ำก็มา ดึกมาๆก็หายไปๆ ก็เหลือประมาณสิบกว่าองค์ นั่งตลอดสว่าง อันนี้ก็เป็นปฏิปทาของพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบัญญัติตรัสไว้ แล้วก็ปวารณา 

เหตุนั้นวันนี้เป็นวันเบื้องต้นหรือวันที่สองไม่รู้ บรรดาศรัทธาญาติโยมอุบาสกอุบาสิกาที่มีศรัทธาแก่กล้า ได้พากันเสียสละการงานของโลกมาบำเพ็ญการงานของตนเพื่อเป็นผลแห่งความสุขความเจริญในปัจจุบันและโลกหน้า การงานของโลกดังที่เราอยู่บ้าน งานอยู่งานกินงานไปงานมา งานพูดกัน งานว่ากัน งานม่วนกัน สุรานารีต่างๆหลายอย่าง งานของโลก และงานของโลกนั้นก็เป็นงานที่ไม่แล้วด้วย งานไม่แล้วก็คืองานของโลก ทำจนตายก็ไม่แล้วไม่เสร็จ แล้วก็เป็นงานขี้ทุกข์ขี้ยากด้วยงานของโลก ก็เหมือนคนที่เป็นเศรษฐีก็บ่นว่าทุกข์ว่ายาก แต่อยากเป็นเศรษฐีอ่ะ ผู้ร่ำรวยก็บ่นทุกข์บ่นยาก ผู้เป็นหัวหน้าคนก็บ่นทุกข์บ่นยาก แต่อยากเป็น ตัวอยากนั่นหละพาให้ทุกข์ให้ยากลำบากตรากตรำอยู่ในโลกเนี้ย 

เหตุนั้นวันนี้พวกเราทั้งหลายได้พากันเสียสละการงานของโลก มาบำเพ็ญการงานของตน คือการให้ทาน รักษาศีล เจริญกรรมฐานภาวนา กำหนดอานาปานสติ รู้ลมเข้าลมออก จนจิตตั้งมั่นอยู่ในลมเป็นหนึ่ง เนี่ย เมื่อกี้นี้เราก็ได้ฟังเทศน์เรื่องอนัตตลักขณสูตรและก็เรื่องขันธ์ห้า เรื่องของขันธ์ห้า คือรูปร่างกาย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเนี่ยแหละ มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา 

แต่นั้นจึงว่าสุดท้ายเพิ่นก็มาไล่อยู่นี่หละ ในขันธ์ห้าเนี่ยแหละ รูปเวทนา รูปเป็นทุกข์ สัญญาก็เป็นทุกข์ สัญญาจำหมาย สัญญาความจำ จำเอาสิ่งที่ไม่ดีมาก็เป็นทุกข์ ส่วนมากสัญญาความจำนี่นะ มันจำเอาสิ่งที่ไม่ดีนั่นน่ะมานึกมาคิดมาปรุงมาแต่ง สัญญาจำความดีเดี๋ยวก็ลืมไปซะ สัญญาจำสิ่งที่ไม่ดีน่ะมันจำได้ดี มันจำอย่างไร ไปจำว่าคนด่าให้กู คนนี้ว่าให้ คนนั้นนินทาเรา นี่สัญญาไปจำ ทุกข์ขึ้นมาแล้ว โมโหขึ้นมาแล้ว เนี่ยสัญญามันก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ 

สังขารความนึกคิดปรุงแต่งก็ไม่เที่ยงอีกอ้ะ แต่งรูปขึ้นมาคือรูปร่างกายของเรา แต่งว่าคนนั้นคนนี้ แต่งเป็นตนเป็นตัวเป็นเราเป็นเขาขึ้นมา ก็ไปยึดถือในความแต่งตัวนั้น มันไปแต่งขึ้นมาก็ไปยึดถือในสิ่งนั้น ก็เป็นทุกข์อีก อย่างว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เพิ่นให้พิจารณาในขันธ์ห้าเนี่ยแหละให้รู้เห็นเป็นจริง 

แต่ที่จริงเราทุกคนๆนี่หละ มีหลวงตาที่ว่าเป็นต้น มันเป็นมิจฉาทิฐิ จิตของเรานั้นเป็นมิจฉาทิฐิ ที่มันไม่สงบน่ะ บางคนบ่นแล้วบ่นอีก ภาวนาไม่สงบ เป็นอย่างไรอาจารย์ หรือเป็นอย่างไรหลวงปู่ ดิฉันภาวนาไม่สงบเพราะเหตุใด เพราะเหตุว่าใจเป็นมิจฉาทิฐิ ใจมันเป็นมิจฉาทิฐิ มิจฉาทิฐิคือความยึดว่าตนว่าตัวว่าเราว่าเขา ว่าดีว่าชั่วนี่เอง เนี่ยมันไม่สงบเพราะจิตมันเป็นมิจฉาทิฐิ 

ถ้าจิตมันพิจารณาลงไปสู่สภาพความจริงให้จิตมันเป็นสัมมาทิฐิ สัมมาทิฐิคือความเห็นตามความเป็นจริง เห็นว่ารูปร่างกายของเราเนี่ย คือเราทุกคนๆที่มานั่งอยู่เนี่ย มีหลวงตาที่ว่าเป็นต้น แกไปว่าเป็นทิฐิวิปลาส เพิ่นว่า ทิฐิวิปลาสก็คือบ้านั่นแหละ บ้านั่นแหละ คือเราทุกคนๆมานั่งอยู่เนี่ยเป็นบ้าทุกคน เป็นผีบ้าทุกคนนั่นหละ ตราบใดยังไม่ภาวนา ยังไม่รู้ พิจารณากรรมฐานภาวนาตามความเป็นจริง เห็นรูปนามร่างกายสังขารเมื่อเป็นสัมมาทิฐิ เห็นว่ารูปร่างกายเนี่ย สักแต่ว่าธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ผสมกันอยู่ชั่วครู่ชั่วคราว อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หาสาระแก่นสารไม่ได้ แล้วก็ไม่งามด้วย เป็นอนัตตาด้วย เป็นทุกข์ด้วย เมื่อมันรู้เห็นเป็นจริงอย่างนั้น ใจมันก็สงบได้ มันสงบได้ อันนี้มันเป็นเพราะมิจฉาทิฐิ จิตเป็นมิจฉาทิฐิ 

ฉะนั้นจิตเป็นมิจฉาทิฐิก็ให้รู้ จิตเป็นสัมมาทิฐิก็ให้รู้ ลองสังเกตดู สังเกตดู วันนี้ที่นี่ก็มีศรัทธาญาติโยมรวมสามัคคีกันหลายร้อย มาปฏิบัติบูชาให้ท่านพ่อลี แสดงมุทิตาสักการะแด่ท่านพ่อลี ท่านสั่งหลวงตาเป็นบุคลาว่า ถ้าจะนึกถึงเราเพิ่นว่า ให้เอาธูปห้าดอก เทียนสองดอก ไปจุด แล้วก็นึกถึงเรา เราจะมา มาหาหรือมาเทศน์โปรด อันนี้เป็นคำสั่ง คำสั่งที่ทิดแก้วได้รับถ่ายทอดมานั่นน่ะ เป็นอย่างนี้ เหตุนั้นมันก็เป็นปริศนาอันหนึ่งที่ท่านพ่อสั่งว่า ระลึกถึงเรา นึกถึงเราให้เอาธูปห้าดอก แล้วก็เทียนสองดอกมาจุด แล้วก็นึกถึงเรา ที่จริงนั้นก็คือขันธ์ห้านี่แหละ เราเอาขันธ์ห้าทุกคนๆนี่แหละมาบำเพ็ญปฏิบัติบูชานี่แหละ เทียนสองดอกก็คือพระธรรมวินัย คือว่าตัวสติ สัมปะชัญญะนั่นเอง นี่มันก็เป็นปริศนาอันนึงที่ท่านพ่อสั่ง ท่านพ่อสั่งไว้ 

เหตุนั้นพวกเราทุกคนๆที่พากันเสียสละ การงานของโลก งานบ้าน งานของโลกดังที่กล่าวนั้นแหละ ได้มาเพราะว่างานของโลกนั่น งานไม่แล้ว แล้วก็งานขี้ทุกข์ขี้ยากด้วย แล้วก็ไม่ได้เสียด้วยงานโลกนั่นน่ะ ทำแล้วก็กิน กินแล้วก็ถ่ายออก มาแล้วก็กิน กินแล้วก็ถ่ายออก แล้วก็หมดไป๊ หมดไป สุดท้ายก็ไปหมดแค่ปล่องไฟหรอก เตสํ วูปสโม สุโข (มาจากบทสวดบังสุกุลตาย แปลว่า ความสงบระงับแห่งสังขารเหล่านั้น เป็นสุข) เพิ่นว่า สุขบ่สุขก็เป็นขี้เถ้านั่นหละ 

ดังนั้นจึงว่างานที่ไม่ได้ก็คืองานของโลก งานของโลก ได้อะไร ลองดู ทำมาก็กิน กินแล้วก็นอน กินแล้วก็ถ่ายไป หมดไปๆ สุดท้ายก็ไปหมดแค่กองไฟ เตสํ วูปสโม สุโข นั่นแหละ ตามไปดูสิ ตามไปดู ทีนี้คนเราทุกคนๆที่มัน จิตไม่สงบ หรือว่าจิตไม่รู้แจ้งสว่างไม่สงบก็เพราะว่ามันเครื่องปิดบังอันนี้แหละ คือทิฐิวิปลาส ความทิฐิวิปลาสนี้คือว่ามันเห็นว่าเป็นตนเป็นตัว รูปร่างกายนี้ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ตัว เป็นแต่เพียงสภาวธาตุ สภาวธรรม ดิน น้ำ ไฟ ลม ผสมกันอยู่ 

เราเกิดก็เกิดจากธาตุน้ำ น้ำกามของอิพ่ออิแม่นั่นหละ มาเป็นตนเป็นตัวขึ้นมา มันก็สุดท้ายก็ลงไปสู่สภาพ สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรซักอย่าง ไม่มีผู้ใดได้ในสมบัติของโลก เป็นแต่เรามาหาบหามสมบัติของโลกคือขันธ์ห้านี่แหละ แสนทุกข์แสนยาก ลำบากตรากตรำ หลังขดตดแตก หาอยู่หากินมาเลี้ยงมัน แสนทุกข์แสนยาก น่าสงสาร น่าสงสารมนุษย์ห่วงกิน มืด ตโม ตมะ มืด เหตุนั้น แต่พวกเราทั้งหลายก็เป็นผู้มืดมาทุกคนทั้งนั้นแหละ ตโม ตมะ แปลว่ามืดมา โชติปรายโน เราจะทำให้มันแจ้งเข้าไปอีก อันนี้เป็นทางที่ดีที่ถูก 

ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า มืดมาเบื้องต้น แล้วสว่างไปในเบื้องปลาย คนนั้นดี มืดมาก็มืดไปก็หมดหนทางแหละ แต่ว่าพวกเราทุกคนๆ อุบาสก อุบาสิกามารวมกัน แปลว่าเราก็มืดมาทุกคนนั่นแหละ มืดมาอย่างไร คือไม่รู้ เรามาจากไหน ไม่รู้ ใครรู้อ้ะ เรามาจากไหนอ้ะ ไม่รู้ เราจะไปไหนอีก ก็ยังไม่รู้อีก เพราะว่าเราทุกคนๆน่ะ การไปการมาไม่รู้ มาจากไหนก็ไม่รู้ มาจากสัตว์มาเกิดก็เป็นคนสอนยากว่ายาก อย่างนี้เป็นต้น ถ้ามาจากนรกมาเกิด มาจากเปรตมาเกิด มาจากสัตว์เดรัจฉานมาเกิด นี่เป็นคนปึกคนหนา สอนยาก สอนยากปากเปียก สุดท้ายมันก็หันไปเหมือนทุกวันนี้แหละ คำสอนของพระพุทธเจ้ามันไม่เชื่อ คือมันไปเชื่อกิเลสนั่นแหละ 

อย่างว่าเหตุนั้นจึงได้เป็นทุกข์ เพราะเหตุไปเชื่อกิเลส เดือดร้อนทุกวันนี้ก็เพราะเชื่อกิเลส อะไร มีสองสมองแตก มีสามม้ามแตก มีสี่ดีแตก มีห้าหน้าแตก มีหกอกแตก มีเจ็ด เสร็จ! เป็นโรคเอดส์กัน ตายวุ่นวะวุ่นวาย ภาคเหนือนี่เป็นมาก เป็นหลายกว่าเขา พวกชอบม่วน ภาคเหนือนี่ชอบม่วนชอบงาม เป็นโรคเอดส์มาก ตายมาก เหตุนั้นจึงว่าเพราะอะไร เพราะไม่อยู่ในคำสอนพระพุทธเจ้า ไม่เชื่อพระพุทธเจ้านั่นเอง 

ถ้าต่างคนต่างมีความเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้า ห้าอย่าง อย่างที่ท่านพ่อสั่งว่า ระลึกถึงเราก็เอาธูปห้าดอก เทียนสองดอกมาจุดนึกถึงเรา ก็คงศีลห้านี่แล้ว มันเป็นปริศนา ถ้ามีศีลห้าแล้วก็ถึงครูบาอาจารย์ ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว ถ้ามั่นในศีลห้าจริงๆ ปฏิบัติบูชา ก็คงสำเร็จเป็นภูมิพระอนาคาแหละ ครั้งพระพุทธเจ้าก็มีเยอะ ตั้งอยู่ในศีล ๕ มั่นคง ภาวนารักษาศีลเจริญกรรมฐานภาวนา พิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รูปร่างกายเป็นของปฏิกูลสูญเปล่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เป็นของไม่งาม เต็มไปด้วยอสุภะ อสุภัง เต็มไปด้วยความทุกข์ ไม่ใช่สุข 

สุขมีที่ไหน  ลองหาดูซิ ไม่มี มีแต่ทุกข์ กินก็เป็นทุกข์ บ่ได้กินก็เป็นทุกข์ นอนก็เป็นทุกข์ ไม่ได้นอนก็เป็นทุกข์ นั่งก็เป็นทุกข์ ไม่ได้นั่งก็เป็นทุกข์ กินแล้วไม่ถ่ายก็เป็นทุกข์ ถ่ายแล้วไม่กินก็เป็นทุกข์ มีแต่เรื่องทุกข์ นอนก็ทุกข์ นอนมากเจ็บหลังเจ็บเอว เป็นทุกข์อีก อย่างหลวงตาทุกวันนี้น่ะ ถ้านอนเกินสี่ชั่วโมงไปแล้ว เจ็บหลังเจ็บเอว แค่สามชั่วโมงนี่พออยู่ได้ นอนแค่สามชั่วโมง บางทีมันฝันผีบ้าอะไรไม่รู้หละ ฝันไปเรื่อย เลยสี่ชั่วโมงไปอีก ตื่นมาก็เจ็บหลังเจ็บเอว โอ้ย พระพุทธเจ้าว่านอนก็เป็นทุกข์นะ ทุกข์นั่นนะ เป็นความจริง มันให้นอนแค่สามชั่วโมงหรือสองชั่วโมงกว่าๆนิดๆ แล้วก็ลุกมา กราบพระไหว้พระ นั่งกรรมฐานภาวนา พิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หาสาระแก่นสารไม่ได้แก่สัตว์โลกทั้งหลาย 

เพราะโลกทั้งหลายเนี่ย สัตว์โลกทั้งหลายเนี่ยมันแย่งกันกิน แย่งกันไปแย่งกันมา เหมือนรถรากับรถไฟ แย่งกันวุ่นวะวุ่นวาย แย่งกันไปแย่งกันมา แย่งกันอยู่แย่งกันกิน แย่งที่ดินกันอยู่ แย่งคู่กันสวาทเพิ่นว่า แย่งอำนาจกันเป็นใหญ่ สร้างหม้อนฮก(นรก)ใหญ่แล้ว ตีกัน ฆ่ากัน ใช้ศัสตราอาวุธ สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรซักอย่างหรอก ไอ้ที่ไปแย่งน่ะ ไม่ได้ ได้แต่ชื่อ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรซักอย่าง 

เหตุนั้นพระพุทธเจ้าท่านมองเห็นว่ามันไม่ได้นั่นเอง ท่านจึงได้เสียสละ สมบัติพระราชามหากษัตริย์ สมบัติเรียกว่ายศลาภนั้นน่ะ เพิ่นมองเห็นว่ามันไม่ได้ เพิ่นจึงได้เสียสละ ออกมาปฏิบัติบูชามาบวช เป็นพระฤาษีมาบวช เจริญกรรมฐานภาวนา เพราะท่านมองเห็นว่าไม่ได้ ไม่ได้อะไรซักอย่าง เหตุนั้นเมื่อพระองค์เสียสละปราสาทราชวัง นางพิมพา ราหุล สาวงามเอกคือนางพิมพา ลูกสาวของพระยาสุปปพุทธะ ลูกสาวงามเพิ่นเป็นนางพิมพา งามจริงๆด้วยนะ คือนางพิมพาเดินไปไหน เดินทางไปเนี่ย เขากำลังทานข้าวอยู่นะ เอาข้าวใส่ปากไม่ถูก ไปถูกฮูดั้งนั่นน่ะ มันเมาดูรูปนางพิมพา เนี่ย มันรูปงาม 

สุดท้ายพระพุทธเจ้าเพิ่นก็เห็นโทษ งามแล้วก็ตาย งามมันก็ตายเน่าเป็นเถ้าเป็นถ่านเหมือนกันหมด ไม่ใช่ตัวตนอะไร เหตุนั้นท่านมองเห็นชัด มองเห็นโทษ ท่านมองเห็นอีก มองรู้อีก ท่านรู้ไปอีกว่านางพิมพานี่หละ พาเราทุกข์เรายากในโลก เพิ่นก็รู้ไปอีก นางพิมพานี่หละ พากูทุกข์กูยากในโลก พากูตกหม้อนฮก ก็นางพิมพานี่แล้ว พาไปเกิดเป็นเปรต เกิดเป็นผี ตีกันฆ่ากัน แล้วแย่งกัน เหมือนหมากินขี้ ก็เพราะนางพิมพานี่แล้ว ท่านเห็นโทษเห็นภัยแล้ว จึงได้เสียสละออกบวช บำเพ็ญเจริญกรรมฐานภาวนา อยู่กับดิน กินกับหญ้า เอาท้องฟ้าเป็นหลังคา เอาแสงพระอาทิตย์พระจันทร์เป็นแสงส่องไฟมา ไม่มี เดินเสียสละความมีความเป็นหมด 

สุดท้ายท่านก็ปลดวางได้ ปล่อยวางได้ เพราะมาเห็นโทษเห็นภัย สุดท้ายท่านก็หลุดพ้น หลุดพ้นจากความยึดความถือ ความห่วงความอาลัย พ้นหมด วิมุตติหลุดพ้น แล้วไปนั่งอยู่ในพื้นต้นไม้ ก็เปล่งวาจาออกมาว่าสุขหนอๆ จนสงฆ์ทั้งหลายเข้าใจผิดคิดว่าพระพุทธเจ้านั่นน่ะห่วงนางพิมพา ปราสาทราชวัง สนทนาแล้วสนทนากัน เพราะพระพุทธเจ้าเพิ่นหูดี 

พระพุทธเจ้าหูดี ฟังผีมันร้องไห้มันทุกข์มันยาก บ่ได้คิด ได้อยู่ ทุกข์ยากลำบาก เกิดเป็นเปรตเป็นผีน่ะ เพิ่นฟังรู้แล้วก็สงสาร เนี่ยเพิ่นฟังดู ฟังเทวดาอยู่ชั้นฟ้า เค้าบ่นมีความสุขความเจริญอย่างนั้นอย่างนี้ โอ้ เรามีความสุข ข้าวบ่ได้หา ปลาบ่ได้ซื้อ กินของทิพย์ อายุก็ยืน 

ร้อยปีเมืองเราเป็นวันหนึ่งคืนหนึ่งในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี่แหละ สามร้อยปีเมืองเราเป็นวันหนึ่งคืนหนึ่งในชั้นยามา สี่ร้อยปีเมืองเราเป็นวันหนึ่งคืนหนึ่งในชั้นดุสิต ที่ครูบาใหญ่อยู่ คือพระศรีอารยเมตรัย อนาถบิณฯก็อยู่เนี่ยแหละ เพิ่นฟังรู้หมด ไม่ใช่เรา หูของเรามันตัน พระพุทธเจ้าเพิ่นหูยาวฟังได้หมด เทวดาคุยกัน ม่วนมีความสุข เพิ่นก็รู้ฟังได้ เพิ่นก็สรรเสริญ อย่าประมาทเด้อ เพิ่นว่า 

พวกเปรตพวกผีมันร้องห่อมร้องไห้ มันทุกข์ พระพุทธเจ้าก็ฟังรู้ เหตุนั้นไม่ได้หลงสมบัติโลก มีแต่เรื่องทุกข์ อยู่ในโลกก็เหมือนกัน เศรษฐีมีเงินมีทอง ก็บ่นทุกข์บ่นยาก พระพุทธเจ้าเพิ่นก็ฟังรู้หมด คิดรู้หมด เหตุนั้นท่านจึงไม่หลงไม่ติดอยู่สมบัติของโลก สมบัติขี้ทุกข์ขี้ยากดังกล่าวแล้ว มีมากก็ทุกข์ มีน้อยก็ทุกข์น้อย ไม่มีก็ทุกข์อีก มีแต่เรื่องทุกข์ สุขมีที่ไหนอ้ะ กำหนดไล่ไปสิ กำหนดดู อ่านดู ไม่มี! 

นอกจากจิตใจที่สงบเข้าใจอยู่ในธรรม จิตใจสงบเท่านั้นแหละ ใจอยู่ในธรรมเท่านั้นแหละ จึงจะนำความสุขมาให้ได้ ถ้าใจไม่สงบ ใจไม่อยู่ในธรรม โอ้ย หาความสุขไม่ได้ นอนก็บ่มีความสุข ก็บ่สุข นอนไปก็ยังฝันไปไล่ตีเขา หรือเขาไล่ตีเรา เนี่ย พุดโธ่! ว่านอนเป็นสุข เพิ่นก็ว่าหละ ลองดูซิมันสุขที่ไหน บางทีก็ฝันไป เข้าป่าเข้ารก ไปพบช้างพบเชื้ออะไร วิ่งเกือบตาย เนี่ยต้องสังเกตดู พิจารณาดู ที่พระพุทธเจ้าเพิ่นว่ามันเป็นทุกข์ 

เมื่อเรามองเห็นพิจารณาเห็นในอดีต อนาคต ทั้งปัจจุบันด้วยจนเกิดความเป็นจริง ที่เพิ่นสวดมาเนี่ย ปัจจุปปันนัญจะ โย ธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสะติ (จากภัทเทกรัตตคาถา) รู้ปัจจุบัน เมื่อรู้เห็นตามความเป็นจริง คือมารู้รูปนามสังขารร่างกายตามความเป็นจริง ไม่เที่ยงจริง เป็นทุกข์จริง เป็นอนัตตาจริง เป็นของปฏิกูลสูญเปล่าจริงๆ เพราะไหลออกมาซึ่งขี้ ขี้หู ขี้ตา ขี้เหงื่อ ขี้ไคล อุจจาระ ปัสสาวะ คือเราทุกคนๆนั่นน่ะ นอนเกลือกก้อนขี้ นอนกอดก้อนขี้ นอนอยู่ในกองมูตรกองคูถมาแล้วทุกคน แต่ว่าลืมเสีย เหตุนั้นจึงได้วิ่ง บ่เห็นโทษเห็นทุกข์ ที่จริงเรามานอนอยู่ในกองมูตรกองคูถทุกคนๆนั่นแหละ 

เกิดออกมา อยู่ในผ้าอ้อมนั่นน่ะ เกิดอยู่ในผ้าอ้อมดิ้น กระแด๊กๆๆ อยู่นั่นแหละ ขี้ออกมาก็ร้องไห้ เยี่ยวออกมาก็ร้องไห้ หิวก็ร้องไห้ เจ็บก็ร้องไห้ ดิ้นอยู่นั่นแหละ เหตุนั้นคำโบราณเพิ่นว่า ทุกข์อยู่ในขันธ์ห้า รวมมาในธาตุสี่ เพิ่นว่า ทุกข์อยู่ในผ้าอ้อม ห้อมข้าคนเดียว ดิ้นกระแด่วๆ อยู่ในโลกน่ะ ก็มาดิ้นอีกบ่เนี่ย ใหญ่มาแล้วก็ดิ้นอีก ดิ้นเรื่องการงาน ดิ้นเรื่องการเล่น แล้วก็มาดิ้นอีก เรื่องผัวเรื่องเมีย ก็ดิ้น ดิ้นหาอยู่หากิน ดิ้นหาผัวหาเมีย พุดโธ่ๆ! ดิ้นไปดิ้นมาก็ตีแล้วบ่เนี่ย ฆ่ากันวุ่นวะวุ่นวาย เพราะมันดิ้นหนีอ้ะ ดิ้นไปทางโลก ดิ้นเรื่องเอา เรื่องเอา อันนั้นกูจะเอา อันนี้กูก็จะเอา มันบ่พอหรอก เหตุนั้นจึงว่าได้เมียหนึ่งยังบ่พอ ได้ผัวหนึ่งยังบ่พอ ผัวหนึ่งยังบ่พอ ผัวสอง ผัวสาม ผัวสี่ เป็นโรคเอดส์แล้วบ่นี้ เดือดร้อนแล้วบ่นี่ เหตุนั้นเพราะอะไร เพราะไม่เชื่อคำสอนพระพุทธเจ้า ไม่ตั้งอยู่ในคำสอนพระพุทธเจ้า 

ถ้าเชื่อมั่นคำสอนพระพุทธเจ้า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ เอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง พระพุทธเจ้า พุทธังคืออะไร พุทธังก็คือรู้ รู้จักบาป รู้จักบุญ รู้จักคุณ รู้จักโทษ รู้จักดี รู้จักชั่ว รู้จักว่าอันนี้เป็นนรก รู้ว่าอันนี้เป็นสวรรค์ รู้จักดีรู้จักชั่ว รู้จักสุขรู้จักทุกข์ บัดนี้เราจะเอาอะไร เมื่อเรารู้ลงไปแล้ว ต้องการสุข ต้องการสุข อ้าว เราก็มาสร้างคุณงามความดี เหมือนที่พวกเรามารวมกันในสถานที่นี้ คือรู้จักสุข 

พุทธะ พุทโธก็แปลว่ารู้ รู้บาปรู้บุญ รู้คุณรู้โทษ รู้เหตุแห่งความสุข คือการมารักษาศีลเนี่ย ปฏิบัติบูชามาถวายท่านพ่อเนี่ย ที่จริงก็เรานั่นหละเป็นผู้ใด ท่านพ่อเป็นเหตุเฉยๆ ที่จริงตัวคนเราน่ะเป็นผู้ได้ ท่านพ่อท่านได้แล้ว เพิ่นเต็มแล้ว เพิ่นไม่เอาอีกแล้วท่านพ่อเนี่ย เพิ่นอยู่ในภูมิพระอนาคา แต่เพิ่นก็เต็มแล้ว ไม่ได้เอา เป็นแต่เพียงท่านไปบำเพ็ญชำระดวงวิญญาณออกจากใจก็ไปนิพพานเท่านั้นหละ ชำระไปอยู่ในสุทธาวาสน่ะบำเพ็ญ ก็จนถึงบรรลุถึงพระอรหันต์ก็ไปนิพพานเลย ไม่ลงมาแล้ว หมด หมดความเกิด ไม่มาเกิด ดิ้นอยู่ในโลกนี้แล้ว บ่ได้มาเข้าท้องของอิพ่ออิแม่ บ่ได้มาเกลือกขี้เกลือกเยี่ยว ดิ้นกระแด่วๆอยู่ในผ้าอ้อมแล้ว เนี่ยเราก็อย่างเนี้ย ทุกคนๆให้พิจารณา ลืมซะ ใหญ่มาก็ลืม ลืมคุณพ่อลืมคุณแม่ พ่อแม่ว่าบ่ฟังแหละ มันบ่ได้ภาวนามันบ่รู้หรอก ว่าเจ้าของนอนเกลือกขี้เกลือกเยี่ยว ดิ้นกระแด่วๆอยู่นั่นน่ะ ถ้าพ่อแม่บ่สงสาร เอามือบีบรูดั้งซะ คว่ำหน้าลงซะก็ตาย บ่ได้มาดิ้นอยู่ในโลกนี้ละ บ่ได้มาหลงอยู่ในโลกเป็นทุกข์ 

มีพวกหนึ่งพวกกรุงเทพ มันเป็นพวกนักศึกษา มันว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่มี เพิ่นว่า เพิ่นม่วนอะไร ม่วนเสพกามกันสิ บ่มี คุณพ่อคุณแม่ไม่มี เนี่ยมันความมืด อย่างวิชาโลกน่ะ ยิ่งเรียนก็ยิ่งมืด ปริญญงปริญญาก็ฆ่ากันตีกัน สร้างหม้อนฮกนะ ปริญญาขี้หมาน่ะ ฆ่ากันตีกันแย่งกัน เหมือนหมากินขี้ คนเราน่ะ มันแย่งลาภกันเหมือนหมากินขี้ หมามันเห็นกองขี้แล้วก็กินคราง คื่อๆ ใครไปใกล้บ่ได้หรอก กัดกันแล้วบ่เน่ 

คนเราก็เหมือนกัน ห่วงลาภห่วงยศ คราง คื่อๆ กัดกันวุ่นวะวุ่นวาย ตีกันฆ่ากัน แก่งแย่งก็แย่งก้อนขี้ ก็คือลาภนั่นเองหละ เนี่ยเป็นอย่างเนี้ย ฉะนั้นพระพุทธเจ้า นักปราชญ์เพิ่นว่าให้ทำเหมือนอีกา อีกามันเห็นซากศพ ลอยอยู่ในแม่น้ำ มันก็ไปกิน ไปกินซากศพนั้นน่ะ กินแล้วมันก็ร้องหมู่มากินด้วย มาเด้อๆ กาๆๆ กินแล้วบ่หวงหรอก กานั่นน่ะ กินแล้วมันก็ไปเลย กินอิ่มแล้วก็ไปเลย แล้วมันบ่กัดกันเด้อ มันบ่ขบกัน บ่เหมือนหมานะ หมาเวลากินแย่งกันกัดกันวุ่นวะวุ่นวาย 

คนเราส่วนมากก็อย่างนั้นน่ะ ห่วงลาภ จึงว่าดีหมา ดีหมาก็กัดกันนั่นแหละ ดีหมาก็หาแต่เห่า คนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ เอาแล้ว เห่าไปเรื่อยบ่เนี่ย ใจมันก็ส่ายส่งลุ่มหลงไปเรื่องอดีตอนาคต เรื่องดีเรื่องชั่ว ก็ใจมันเป็นหมาไปหาเห่าแต่ภายนอก มันไม่ค่อยสงบแหละ ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงให้ ปัจจุปปันนัญจะ โย ธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสะติ ปัจจุบันอยู่เนี่ย รู้ปัจจุบัน ลมเข้าก็ให้รู้ ลมออกก็ให้รู้ ลมเข้าแล้วไม่ออกก็ตาย ออกแล้วไม่เข้าก็ตาย ให้มันรู้อย่างเนี้ย ให้มันแจ่มแจ้งลงไป มันก็จะจิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ

เมื่อเป็นสมาธิ ปัญญามันก็เกิด รู้เห็นตามความเป็นจริง ว่าเป็นทุกข์จริงดังที่พระพุทธเจ้าเพิ่นว่า จริง มันเห็นจริง ยกตัวอย่างเช่นว่า เขาด่า ไอ้หมา เขาด่า ไอ้หมาก็โกรธ ก็ตัวหมาก็คือความโกรธนั่นแหละ ตัวความหลงนั่นแหละ โมหะคือความหลงนั่นแหละ หมาก็คือความหลงนั่นแหละ ดังที่กล่าวมันแย่งกันกินๆอยู่ในโลก คือหมาทั้งนั้นแหละ ฉะนั้นวิชาหมาหละมันแย่งกันอยู่แย่งกันกิน แย่งกินแย่งขี้กันกิน เหมือนสัตว์โลกทั้งหลายมันเดือดร้อนเพราะเอาวิชาหมามาใช้ วิชาพระพุทธเจ้าน่ะ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมะบารมี มันบ่เอา มันเอาวิชาหมาน่ะมาใช้ เนี่ย เค้าด่าว่าไอ้หมา อีหมา โกรธ ก็โกรธนั่นแหละเป็นตัวหมา เมื่อโกรธแล้วก็กัดกันแล้ว นั่นแหละ นั่นแหละตัวมันแท้ๆนั่นน่ะ โกรธกัน กัดกัน ตีกัน แย่งกัน นั้นแหละตัวหมาหละ โมหะคือความหลง หลงกินหลงอยู่ หลงว่าตนว่าตัว ว่าเราว่าเขา ว่าดีว่าชั่ว 

ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงปล่อย จาโคจาคะ คืนเถอะๆ คืนให้เขาหมด เขาว่าดีก็คืนให้เขา เขาว่าไม่ดีก็คืนให้เขาหมด เมื่อไม่เอามันก็ไม่ทุกข์ คืนให้เขาหมด ทีนี้เรามันไม่มีปัญญาที่จะคืนให้เขา เอาหมด อะไรก็เอาเก็บ เอาเก็บ ทุกข์บ่เนี่ย อันนี้เป็นปฏิปทา ที่เพิ่นสวดเสร็จมาเนี่ย (เทปขาดตอน)

เป็นอะไรเราเกิดมาทุกข์ยาก เพราะเหตุใด เราเกิดมา เป็นทุกข์ยากเพราะเหตุใด ก็เพราะหยัง ก็เพราะอวิชชา อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กามาหาร สี่ห้าอย่างเนี่ยแหละเป็นเหตุ อวิชชา แปลว่าความไม่รู้ ไม่รู้มันจึงได้เกิดตัณหา มันอยาก ไม่รู้อะไร ไม่รู้ว่าการให้ทาน ศีล ภาวนา ไม่รู้จักศีล ไม่รู้จักธรรม ไม่รู้จักเหตุแห่งความทุกข์ ไม่รู้จักข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ อย่างนี้เป็นต้น นี่เป็นอวิชชา แปลว่าความไม่รู้ ไม่รู้จักดี ไม่รู้จักชั่ว ไม่รู้จักบาป ไม่รู้จักบุญ ไม่รู้จักคุณจักโทษ ไม่รู้จักความเสียสละ เสียสละกิเลสคือความโลภ ความโกรธ​ ความหลงออกจากใจอ้ะ ไม่เสียสละออกไป มันไปยึดถือ 

จะมารักษาศีล มารักษาศีล เค้าด่าว่าศีลบ่ดี ศีลง่อยศีลเง่า โกรธไปแล้วบ่เน่ นั่นหละตัวโกรธเป็นตัวหมาแล้ว กัดกันแล้วบ่เนี่ย ถ้าสองตัวต่างคนต่างโกรธก็กัดแล้วแล้ว ทะเลาะกันแล้ว ฉะนั้นดีหมาก็ละเสีย อย่ามาใช้ ดีหมีก็อย่ามาใช้ ดีหมีชอบอะไร ชอบกิน ดีหมีมันกินจะผิดจะถูก บางทีมารักษาศีลมันยังกิน ตอนบ่ายมากินอีกแล้ว มันหิวมันก็ว่าละ มันหิวนั่นแหละ เพิ่นให้อดทน ให้เสียสละ มันจึงได้ศีล เป็นดีหมีซะ หลงกินหลงอยู่ หลับตากิน ผิดไม่รู้ถูกไม่รู้ อย่างนี้เป็นต้น ดีเสือก็หวงซาก ดีงูใครมาติบ่อได้ ขู่ฟู่ๆ ดีเสือก็หวงซาก ใครมาติบ่ได้ ครางฮื่อๆ ใครมาติมาชมว่าบ่ดีบ่งาม บ่น โกรธขึ้นมาแล้ว ยิ่งแคร่วยิ่งคราง นั้นหละมันดีเสือ ดีหมา 

บัดนี้เรามาติดอยู่ในดีอยู่นี่แหละ คาดี ติดดี จึงหนีจากโลกไปบ่ได้ คนเราทุกคนๆมันหลงดี ติดดี คาดีนี่แหละ พระพุทธเจ้าเห็นโทษเห็นภัยแล้ว นางพิมพาน่ะงามที่สุด เพิ่นก็ละซะ ไปบวช พระยาสุปปพุทธะก็โกรธ หาว่าทิ้งลูกสาว ลูกสาวงามคือนางพิมพานั่นหละ ละเสีย ให้เป็นแม่ห้ามแม่หม้าย พระยาสุปปพุทธะก็โกรธโมโห อาฆาตพระพุทธเจ้าบ่เนี่ย โอ๋ย อาฆาตพระพุทธเจ้าน่ะเนี่ย คอยอาฆาต คอยแย่ง คอยทำอะไรสุดท้ายก็ถูกแผ่นดินสูบ เพราะห่วงลูกสาวนั่นแหละ พระยาสุปปพุทธะห่วงนางพิมพาว่าลูกสาวดี เลยมอบให้พระสิทธัตถะ เพิ่นก็ละเสีย ดีที่ไหน มีแต่กองทุกข์ อย่างเป็นต้น 

เหตุนั้นพระยาสุปปพุทธะถูกแผ่นดินสูบเพราะหวงนางพิมพา พระพุทธเจ้า พระสิทธัตถะเพิ่นทิ้ง ขายหน้าขายตา ทิ้งลูกสาวกู เนี่ย นั่นเคยด่าคนภาคเหนืออ้ะ ว่าคนภาคเหนือชอบหวงลูกสาว เอ้อ ระวังโดนแผ่นดินสูบเด้อ หวงลูกสาวก็จะไปรักษาศีลบ่ได้ กูบ่ได้ผู้บ่าว กูบ่ได้ลูกเขย นั่นแหละตัวหม้อนฮกใหญ่ นั่นแหละตัวหม้อนฮกใหญ่ เหตุนั้นคนเรามันเพราะอะไร ก็เพราะมันไม่ได้พิจารณาในขันธ์ห้าเนี่ย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นของปฏิกูลสูญเปล่าที่เพิ่นเทศน์เมื่อเกี้ย สวดกันเมื่อกี๊  

สุดท้ายเพิ่นก็พาสวดในเรื่องฌาน ในเรื่องรูปร่างกาย เพียรเพ่งในรูปร่างกายเนี่ยแหละ เพียรเพ่งอยู่ในรูปร่างกาย เพ่งอยู่ในลมเข้าลมออก เพียรเพ่งอยู่ในลมเข้าลมออก จ่ออยู่ในลมเข้าลมออกเป็นหนึ่งอยู่เนี่ย อย่าให้มันไปที่อื่น ใจมันก็สงบได้เหมือนกัน ว่าพระโยคาวจรเจ้าทั้งหลายมาเพียรเพ่งอยู่ในลมเข้าลมออก พุทโธก็ดี ธัมโมก็ดี สังโฆก็ดี รู้ว่าลมเข้าลมออกอยู่ เพียรเพ่งอยู่ในเฉพาะหน้าอกเนี่ยแหละ ให้รู้อยู่แค่นี้ไม่ต้องไปที่อื่น จิตก็สงบได้เหมือนกัน ตั้งมั่นได้ 

เมื่อจิตสงบตั้งมั่นได้ ใจมันก็เย็นสบาย มันปล่อยวางได้ลง เป็นสุข เมื่อใจเป็นสุข ใจดีปัญญามันก็เกิด เกิดจากสมาธิ นั่นแหละ เพราะปัญญามันจะต้องเกิด เกิดเพราะความเย็นนั้นแหละ เกิดเพราะความเยือกเย็นเหมือนฝนตกลงมา ฝนตกลงมา ชาวไร่ชาวนาได้ทำไร่ทำนาได้กินเห็ดกินหอน เดี๋ยวเนี้ยหลวงตาเพิ่งไปเผาศพหลวงปู่กิ งานหลวงปู่กิ ฝนตกแล้ว ตกเห็ดก็ออก ดอกกระเจียว ดอกว่านออกน่ะกินกับน้ำพริกอร่อยดี อันนี้มันเห็ดเผาะมันก็ออก ดอกกระเจียว ดอกว่านนั่นน่ะเอามากินกับน้ำพริก อร่อยดีเหมือนกันน่ะ กินแล้วก็เป็นยาด้วย ฝนตกลงมามันเยือกเย็น ฟ้าฝนชลธาร หมากไม้ผลไม้ใช้เกลือ เป็นดอกเป็นผลให้คนได้กินได้อยู่ เพิ่นว่า อันนี้ฉันใด ใจที่เยือกเย็นนั่นมันจะเกิดปัญญาวิชาขึ้น 

ที่เราบ่มีปัญญา คิดอะไรไม่ออกบอกอะไรไม่ถูก เพราะมันไม่สงบ มันคิดไปหาอีหยัง หาอะไร ผู้หญิงก็คิดหาผู้ชายนั่นแหละ ผู้ชายคิดหาผู้หญิงนั่นแหละ สองคนนี่แหละสร้างหม้อนฮก สร้างสวรรค์ก็สองคนนี่แหละ คนสองคนนี้แหละมันหลง ฆ่ากันตีกันแย่งกันในโลกก็เพราะกามนั่นแหละ กามทุกข์ กามโศก กามโรค กามภัย กามเสนียดจัญไร รบราฆ่าฟันก็เพราะกามตัวเดียวนั่นแหละ นัตถิ กามา สมา ทุกขา พระพุทธเจ้าว่าทุกข์อื่นเสมอในกินในกามไม่มี แย่งกันอยู่ แย่งกันกิน ดั่งที่กล่าวแล้วนั่นน่ะ แย่งกันอยู่ กันกิน แย่งกินกันอยู่ แย่งสู้กันสวาท แย่งอำนาจกันเป็นใหญ่ 

ครั้งพระพุทธเจ้า ไปรบกันก็รบเอานางน่ะแหละ อย่างนี้เป็นต้น มันรบราฆ่าฟันก็เพราะกาม กามทุกข์ กามโศก กามโรค กามภัย กามเสนียดจัญไร ท่านว่า นัตถิ กามา สมา ทุกขา ทุกข์อื่นเสมอด้วยกามไม่มี คำว่ากิเลสมันลากเราไป กามลาก มันลากหูเราไป ลากคอเราไป ลากไป กามลาก เพิ่นว่ากามลาก กามะกิเลส กามลาก มันลากตัวของเราไปทำความชั่ว ลากไปทำบาป ลากไปทำกรรม ลากไปเกิดในนรกบ้าง ไปเกิดเป็นเปรตบ้าง เพราะอกุศลกรรม ก็กามลากนั่นแหละมันลากไป เพราะกิเลสนั่นแหละคือความโลภ ความโกรธ ความหลง อวิชชา ตัณหาน่ะ พาไป 

เหตุนั้นทางพุทธศาสนาจึงให้หาโอกาสมาชำระจิตใจของตน ชำระจิตใจ ชำระด้วยอะไร ชำระด้วยการให้ทานภายนอก ทานอีก ชำระด้วยการให้อภัยทาน ให้ไม่หมดก็คือการให้อภัยเพิ่นว่า ยิ่งให้ก็ยิ่งดี ให้ไม่หมดแต่ดีก็คือให้อภัย ยิ่งให้ก็ยิ่งดี คนเราถ้าให้อภัยก็สบายแล้ว ที่มันไม่ให้อภัยนั่นแหละก็เพราะไม่รู้นั่นเอง มันยึดถือ ถ้าเขามาด่ามาว่า ก็ให้อภัย มันไม่รู้ ให้อภัยมันเถอะ ช่างหัวมันน่ะ มันว่า ไม่ใช่ตัวตน เรามันเฉยๆ นี่มันถือลมละบ่เนี่ย เหตุนั้นคือธาตุเข้ามาถือลม ถือลมเป็นเรา ถือเราเป็นลมแล้วบ่เนี่ย เอาแล้วบ่เนี่ย เป็นมิจฉาทิฐิอีกแหละ ว่าเราเป็นลม ว่าลมเป็นเรา เป็นตัวเป็นตน เป็นคนเป็นสัตว์ ที่จริงลมไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ลม เรามาอาศัยลมต่างหาก ลมก็บอกบ่ได้ด้วย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไปบอกลมได้เหรอ บอกไม่ได้ นอกจากผู้ได้ฌานได้ญาณจริงๆ เพิ่นกำหนดลมให้อยู่ในอำนาจได้ 

เหตุนั้นจึงว่าให้หาโอกาสพากันชำระเช่นว่า เรารู้ข่าวว่างานท่านพ่อลี ธมฺมธโร เพิ่นมีงานมีการ พากันบวชผ้าขาวบวชชี มีโอกาสเราก็เสียสละการงานของโลก งานของโลกน่ะงานไม่แล้วสักทีหรอก ทำจนตายก็ไม่แล้ว ทำเกิดมาร้อยชาติก็ไม่เสร็จซักที งานไม่แล้วก็ขี้ทุกข์ขี้ยาก งานแล้วคืองานอะไร มารักษาศีลภาวนา ละกิเลสแล้ว ละกิเลสได้แล้วก็แล้ว ถ้าละได้แล้วมันก็แล้ว เป็นพระอรหันต์หมด ฉะนั้นถ้ายังเป็นปุถุชนคนใบ้อย่างนี้ก็บ่แล้วสักทีแหละ เป็นปุถุชนคนใบ้คนบ้าอยู่นี่ มาฆ่ากัน มาตีกัน มาแย่งกันอยู่ในโลกนี้แหละ ไม่แล้วสักที บ่พ้นทุกข์พ้นภัยไปได้

เหตุนั้นพวกเราทั้งหลายในวันนี้ก็ดี วันต่อไปก็ดี ปีนี้ก็ดี ชาตินี้ก็ดี พวกเราทั้งหลายมีโชคดี มีวาสนาดี มีบารมี ได้พากันเสียสละการงานของโลกมาบำเพ็ญการงานของตน เนี่ยคือเราทุกคนมีแต่ทำงานของโลก งานให้เจ้าของไม่ค่อยมีหรอก มีแต่ให้เขา หาอยู่หากิน เลี้ยงปากเลี้ยงท้องก็ทำเรื่องขันธ์ห้านั่นเอง บำรุงขันธ์ห้าท้าตายนั่นแหละ เลี้ยงขันธ์ห้าท้าวันตายนั่นเอง ไม่ใช่อื่นไกลหรอก กินเพราะกินรอวันตาย ว่ากันรอวันตาย เดินไปมารอวันตายเท่านั้นแหละ เดินไปสู่ความตายทุกวัน ทุกนาที ทุกชั่วโมง ตายเข้าโลงอ้าปากก็หวอ เตสํ วูปสโม สุโข เผาก็เป็นขี้เถ้าไป ฝังก็เป็นดินไป ไม่มีอะไร 

เนี่ย ทวนเนี่ย ทวนกระแสดู พิจารณาดู ภาวนาดู กำหนดดู เพ่งดู เมื่อดูก็ต้องเห็นหละ ถ้าไม่ดูมันก็ไม่เห็น ไม่เรียนไม่รู้ ไม่ดูไม่เห็น ไม่ทำไม่เป็นอย่างนี้เป็นต้น ที่เราไม่รู้ก็เพราะไม่ดู ไม่เห็น ไม่เห็นก็เพราะอะไร ไม่รู้เพราะอะไร เพราะไม่ได้คบนักปราชญ์ บางทีคบนักปราชญ์ แต่ว่ากิเลสมาร ขันธมารมันมาเล่นเรา เพราะกิเลสมาร ขันธมารเนี่ยมันกลัวเราไปพระนิพพานพ้นทุกข์ เพราะกิเลสมันมีหน้าที่ของมัน ผูกเราลงหม้อนฮก ผูกคอลงนรกละ กิเลสนะ กิเลสมารน่ะ ขันธมารนั่นน่ะ พุทโธ่! มันมีหน้าที่ผูกคอของเราลงหม้อนฮกยกใหญ่เหมือนกันแหละ 

ถ้าเราไม่มีปัญญา ไม่มีวิชา ไม่มีขันติบารมี สัจจะบารมี ทานบารมี โอ้ย สู้มันบ่ได้หรอก เหตุนั้นต้องอาศัยสัจจบารมีแน่วแน่ เช่นฟังเทศน์เนี่ยแหละ ถ้าเพิ่นเทศน์ไม่จบ กูก็นั่งอยู่นี่แหละ ตายเป็นตาย มึงเอามาทำไมขันธ์ห้าเนี่ย กองขี้ทุกข์ขี้ยาก มึงได้อะไร ตายมันไม่ได้อะไรซักอย่าง ก็ไล่ไปซะ ไล่ขี้มันดู กูจะไม่หนี กูจะไม่ถอย เหมือนพระพุทธเจ้าของเรา ก็นั่งอยู่ตรงพื้นต้นไม้โพธิ์นั่นแหละ ถ้าเราไม่สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ร่างกายจะเหือดแห้งเหลือแต่หนังแต่กระดูกก็ตามที ไม่ลุก ตายเป็นตายทีนี้ ตายในพื้นต้นโพธิ์นี้หละ นี่ก็แปลว่าอาศัยสัจจะ ถ้าไม่มีสัจจะ โอ้ย ไปบ่สำเร็จหรอก ปะรัมประ ไปเรื่อย เหตุนั้นต้องอาศัยสัจจบารมี ถ้าไม่มีสัจจบารมี ไม่มีหนทางได้หรอก อย่างพระพุทธเจ้าเพิ่นปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ มาตั้งสัจจะแล้วต้องทำ ต้องสู้ ไม่ท้อไม่ถอย อย่างนี้เป็นต้น อันนี้เป็นปฏิปทาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า