Skip to content

ความไม่ประมาท

หลวงปู่หลวง กตปุญโญ
เทศน์วันที่ ๖ มี.ค. ๒๕๔๕

| PDF | YouTube | AnyFlip |

บัดนี้จะได้นำธรรมะคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมโลกนาถศาสดาจารย์สัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเป็นแนวทางแห่งการปฏิบัติศีลธรรมกรรมฐานภาวนาในทางพุทธศาสนา ฉะนั้นชีวิตของคนเราทุกคนๆนี้เกิดมาแล้วด้วยดีทั้งนั้น แต่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า ธรรมของพระพุทธเจ้านั้นมีอยู่ อันธรรมอันใหญ่ที่สุดและสิ่งสำคัญที่สุดก็มีอยู่ อัปปมาทธรรม (อปฺปมาทธมฺม)ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่าความไม่ประมาท ความไม่ประมาทนี้เป็น อัปปมาทธรรมและเป็นอมตธรรมก็ว่าได้ เพราะว่าบุคคลเราเกิดมาส่วนมากย่อมมีความประมาท 

ความประมาทนั้นก็มีอยู่หลายอย่าง เช่นความประมาทในความไม่มีโรค ความประมาทในชีวิตของเรา หรือความประมาทว่าเราเกิดมาแล้วไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ เกิดมาแล้วก็มีความประมาทในชีวิต มีความประมาทในความไม่มีโรคไม่มีภัย มีความประมาทมัวเมาในครอบครัว คือการสร้างทำมาหากิน ไอ้ความประมาทในความเป็นอยู่วันหนึ่งๆอันนี้ พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า เป็นสิ่งที่ส่วนมากคนเรามีความประมาทขาดปัญญา ฉะนั้นจึงไม่มีหนทางที่จะมีความพ้นทุกข์พ้นภัยต่อไปได้ 

พระพุทธเจ้าก็นิพพานไปแล้ว ๒,๕๘๔,๑๑๙ พระพุทธเจ้าเข้านิพพานไปแล้ว พ้นทุกข์ไปแล้ว พ้นภัยไปแล้ว แต่ว่าเรามีหลวงตาเป็นต้น ก็ยังพ้นไปไม่ได้ เพราะว่าความประมาทนั่นเอง ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนว่า อย่ามีความประมาทในความเป็นอยู่ของเรา จงหาโอกาสสร้างคุณงามความดี อันนี้เป็นสิ่งที่ความไม่ประมาท เช่นวันนี้พวกเราก็ไม่มีประมาท ไม่ประมาทในชีวิตความเป็นอยู่ของเรา 

คือว่าชีวิตของเรานั้นไม่มีเครื่องหมายนายประกัน เราจะตายวันไหนก็ไม่รู้ นี่เป็นต้น หรือว่าถือว่าเราไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ก็มีความประมาท เพลิดเพลินไปทางโลกซะอย่างนี้ แต่ว่าความตายนั้นมันมาถึงเข้า แล้วมันก็บางคนมีชีวิตอยู่ดีๆ กินได้นอนหลับ แต่ตื่นมาก็ตายไปเลยก็มีอย่างนี้เป็นต้น อันนี้ก็เป็นความประมาท แต่ว่าบุคคลที่ไม่มีความประมาทนั้น ก็หาโอกาสสร้างคุณงามความดี ยินดีในการให้ทาน ยินดีในการรักษาศีล ยินดีในการเจริญกรรมฐานภาวนา 

เพราะว่าชีวิตของเราเกิดมาแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า หากคนเราทุกคนเกิดมาแล้วสร้างบารมี หากคนเราเกิดมาแล้วมาค้าขาย เหมือนเราชีวิตทำมาค้าขาย เหมือนแม่ค้าพ่อค้าทั้งหลาย ฉะนั้นผู้มีปัญญาก็ได้กำไรดี ผู้ไม่มีปัญญาก็ขาดทุน แต่ว่าผู้มีปัญญาดีก็ได้กำไรดี คือว่ามีชีวิตมาแล้ว ไม่มีความประมาท เพราะว่าเราเกิดมา เดินไปสู่ความตายทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที หนีพ้นไปไม่ได้อย่างนี้เป็นต้น บางคนนั้นก็ไม่มีความประมาท จะพิจารณาว่าเราเกิดมาก็ไม่มีอะไร สมบัติทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรทุกอย่าง มีแต่หนังกำพร้าห่อหุ้มกองกระดูกสามร้อยท่อนนี้เท่านั้น แล้วก็ไม่มีอะไรทุกอย่างนอกจากบุญกุศลจะบันดลบันดาลให้เป็นไปตามกรรมอย่างนี้เป็นต้น 

เหตุนั้นเมื่อเราเกิดมาแล้วเราก็เป็นคนมี เป็นคนได้ ได้อะไร ได้รูปร่างกายมาดี แต่ว่าเมื่อตายไปแล้ว รูปร่างกายก็มีเอาไปฝัง ฝังเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นไฟ เผาก็เป็นเถ้าเป็นถ่านไปเสีย อย่างนี้เป็นต้น ไม่มีอะไรเป็นสมบัติของเรา เหตุนั้นพระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่า อย่ามีความประมาทในชีวิต อย่ามีความประมาทอยู่ในวัยต่างๆ อย่ามีความประมาทว่าเราไม่มีโรค มีความประมาทว่าเราอยู่ในการทำมาหาเลี้ยงชีพครอบครัวอย่างนี้เป็นต้น อย่ามีความประมาทในความเป็นอยู่วันหนึ่งๆ เพราะว่าชีวิตของเราก็ไปในเจ็ดวันนี้เท่านั้น ภายในคนเจ็ดวันนี้ คือว่าในเจ็ดวันดังที่เราก็รู้กัน คือบางคนก็อยู่ดีๆ วันนี้ก็คุยพูดกันดีรู้กันดี แต่ตื่นมาก็รู้จากคนนั้นว่าตายไปแล้ว อย่างนี้เป็นต้น

เหตุนั้นพระพุทธเจ้าจึงว่าให้รีบทำคุณงามความดีเสีย เมื่อยังมีชีวิตอยู่นี่ เพราะว่าเราทุกคนๆเกิดมาแล้วก็ไม่มีอะไรดังที่กล่าวแล้ว เหตุนั้นวันนี้พวกเราทั้งหลาย ไม่มีความประมาท หาโอกาสมาสร้างคุณงามความดี สร้างบุญสร้างกุศล ศีลธรรมกรรมฐานที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์สัมมาสัมพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ผู้ใดประพฤติธรรม ปฏิบัติธรรม ธรรมย่อมรักษาบุคคลผู้นั้น 

สิ่งใดทุกอย่างถ้าเรารักษาสิ่งใด สิ่งนั้นก็รักษาตัวเราไว้ เช่นว่า เรารักษาบ้านของเราดีอย่างนี้เป็นต้น ให้สะอาดนอนสบาย รักษาบ้านของเราดี ไม่ให้สกปรก หรือรักษาบ้านของเราดี ไม่ให้รั่ว ถูกไฟไหม้ เราก็อยู่ได้สบายฉันใด เหตุนั้นจึงว่าพระธรรมนี้เป็นเครื่องรักษาตัวของบุคคล รักษาบุคคลผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม ปฏิบัติศีล ปฏิบัติธรรมแล้ว ธรรมนั้นก็ย่อมรักษา เป็นเครื่องตอบแทนกันอย่างนี้เป็นต้น แต่ว่าบุคคลที่รักษาปฏิบัติธรรมดีแล้ว ก็นำมาซึ่งความสุขความเจริญ ในโลกนี้โลกหน้า 

เหตุนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงสอนไม่ให้มีความประมาท มีความประมาทเพราะว่าพวกเราทุกคนๆมีกรรมเป็นของๆตน พ้นไปไม่ได้ ที่เรากระทำกรรมอันใดไว้ ดังที่เราก็รู้กัน เรามีกรรมเป็นของๆตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมอันใดไว้ เป็นบุญหรือเป็นบาป ต้องได้รับผลของกรรมนั้น แม้จะไปลบหลีกปลีกตัวอยู่ที่ไหน ก็หนีพ้นไปไม่ได้ เรื่องบาปกรรมจะหลบหลีกปลีกตัว อยู่ที่ไหนก็บาปติดตามตลอดเวลา อย่างนี้เป็นต้น หากว่าบุคคลผู้นั้นได้ทำบาปทำกรรมแล้ว จะมีอยู่ดีกินดีนอนดีถึงขนาดไหน ก็บาปก็ติดตามตลอดไป พ้นไปไม่ได้ 

ยกตัวอย่างเช่นว่า พระโมคคัลลา โจรห้าร้อยมาตีมาฆ่า พระโมคคัลลาเหาะได้ เหาะขึ้นไปอยู่บนอากาศชั้นดาวดึงส์บนสวรรค์ ก็ได้แค่หกวันเท่านั้น แต่ว่ามองลงมาแล้วโจรห้าร้อยมารออยู่ที่ฆ่านั้น มันไม่หนีอย่างนี้เป็นต้น เหตุนี้องค์พระโมคคัลลานึกถึงกรรมที่ได้กระทำไว้ ก็เลยยอมลงมาให้โจรห้าร้อยคนนั้นตีฆ่าเอา เหตุนั้นจึงว่าเรื่องบาปกรรมนี้เป็นสิ่งที่หนีไม่พ้น เหตุนั้นจึงว่าพระพุทธเจ้าจึงสอนให้รีบพากันทำกรรมดี กรรมชั่วนั้นอย่าไปทำ เหตุนั้นจึงว่าทางพระพุทธศาสนาจึงสอนกัน ในเวลาคนตายก็นิมนต์พระไปเทศน์ ไปแสดงธรรม กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา อพฺยากตา ธมฺมา อย่างนี้เป็นต้น กุสลา ธมฺมานั้น ได้แก่บุคคลที่สร้างบุญสร้างกุศล มีศรัทธาความเชื่อความเลื่อมใส ยินดีในการให้ทาน รักษาศีลภาวนา อันนี้เป็นตัวกุสลา ธมฺมา 

อกุสลา ธมฺมา ได้แก่บุคคลที่มีความประมาท ขาดปัญญา ยินดีแค่อยู่แค่กินอยู่ในโลกอันนี้เป็นต้น กินดีนอนดีแล้วก็หาว่ามีความสุขความสบาย แต่ว่าความตายมันก็หนีไม่พ้น ฉะนั้นกินดีนอนดีขนาดไหน มันก็ยังแก่ยังเจ็บยังตาย พ้นไปจากความตายไม่ได้ เหตุนั้นเมื่อเวลาอยู่บนมนุษยโลกนี้ก็มีกินมีอยู่ได้ตามสบาย เมื่อขาดแคลนก็ไปขอกันกินได้เป็นครั้งเป็นคราว แต่ว่าตายไปแล้วนั้น ถ้าเราไม่ได้สร้างไว้ ก็ไม่ได้กิน ไม่ได้รับผล 

เหมือนกับโกเอน อาโกเอน กับลุงเปลี่ยนที่อยู่นครสวรรค์ อำเภอชุมแสง โกเอนนั้นเป็นคนจีนนอกแท้ๆ คือมันถือตามภาษาตามเมืองจีนว่า ทำบุญเสียเปล่า ไหว้เจ้าได้กิน อย่างนี้เป็นต้น มันก็ถือคติอย่างนี้เรื่อยมา ลุงเปลี่ยนนั้นเป็นคนที่เป็นเพื่อนกับโกเอน รักใคร่เหมือนกับพี่น้องในท้องเดียวกัน แต่ว่าจะชวนไปทำบุญให้ทาน ไม่ทำ…ไม่ทำ คือว่าทำบุญเสียเปล่า ไหว้เจ้าได้กิน มันก็มั่นอยู่อย่างนั้นเองตลอดไป 

สุดท้ายพญายมราชเลยสงสาร เพราะว่าโกเอนนั้นเป็นคนซื่อตรง เพราะมันซื่อตรงเพราะความหลงถือมา เหตุนั้นพญายมก็เลยเมตตาสงสาร ให้นายนิรยบาลสี่คน เอามาเตะคอในห้องน้ำ แกไปอาบน้ำก็เตะคอในห้องน้ำตายไปเลย เอาไปหาพญายมราช เมื่อไปถึงพญายมราชแล้วก็เปิดบัญชีขึ้นมา ชื่ออะไร โกเอน อย่างนี้เป็นต้น นามสกุลอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พญายมบอกว่าโกเอนยังมีชีวิตอยู่ยืนนาน ไม่ถึงคราว เอามาไม่ถูก อย่างนี้เป็นต้น สุดท้ายนายนิรยบาลทั้งหลายก็พาไปดูนรก ดูนรกต่างๆหลายหม้อ แต่เห็นเพื่อนตกนรกมาด้วยกันก็หลายสิบคน โกเอนก็เห็นเพื่อนตกนรกด้วยกัน ก็ตื่นสะดุ้งตกใจว่า ไอ้หยาๆๆ (หัวเราะ) อย่างนี้เป็นต้น 

เหตุนั้นสุดท้ายก็พาไปสวรรค์ เมื่อพาไปสวรรค์ก็ไปหาไปเจอลุงเปลี่ยน ปราสาทลุงเปลี่ยน เจ้าของก็ไม่ได้กินอะไรซักอย่าง มีแต่กระดาษที่เผาไฟนั่นเอง หิวน้ำก็ไม่ได้กินน้ำ สุดท้ายหิวน้ำคอแห้งจวนจะตาย ก็ไปขอกินน้ำกับลุงเปลี่ยน ลุงเปลี่ยนบอกว่า เมืองนี้เขาไม่มีการขอกันกินหรอก ใครไม่สร้างไม่ทำก็ไม่ได้ ไม่ได้กิน โกเอนมันก็บอกว่าลุงเปลี่ยนนั่นตระหนี่ ไม่มีเมตตา ลุงเปลี่ยนก็ว่า จริง จะเอาให้ เอาน้ำใส่แก้วให้ ไปถึงมือโกเอนปุ๊บ ลุกเป็นไฟ พรึบ หายไปเลย ให้สามครั้ง ก็ลุกเป็นไฟ ไหม้ทั้งสามครั้ง โกเอนก็เลยร้อง ไอ้หยาๆ สุดท้ายเค้าก็นำลงมาสู่เข้าร่างเก่าก็หลายชั่วโมง จนคางแข็งแล้ว ดินแข็งแล้ว 

เหตุนี้จึงว่าการที่ชีวิตของคนเราที่เรากล่าวว่า ตายแล้วก็เป็นสุข ตายแล้วก็ดี มันดีอยู่กับบุคคลที่ได้ทำบุญทำกุศลไว้ ได้ทำทานไว้ สะสมบุญกุศลไว้ แต่บุคคลผู้ใดไม่ได้สะสมให้ทานไว้ ก็ไม่ได้สร้างบ้านไว้ ก็ไม่ได้อยู่ ไม่ได้ทำอะไรก็ไม่ได้ เพราะว่าสมบัติทางนอกนั้นในโลกหน้านั้น ไม่มีการขอกันกิน แบ่งกันกิน ปันกันอยู่อย่างที่มนุษย์ของพวกเราทั้งหลายอย่างนี้เป็นต้น เหตุนั้นพระพุทธเจ้าจึงให้พากันชั่งแต่ละคนๆ รีบทำสร้างบุญสร้างกุศล ศีลไม่มีก็ให้พากันรักษา ทานไม่มีก็ให้พากันบริจาค สิ่งใดไม่มีก็ทำ ที่อยู่ที่อาศัยไม่มี ก็สร้าง สร้างเสนาสนะอย่างนี้เป็นต้น สร้างที่อยู่ที่อาศัย ศาลาโรงร้าน 

ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า อนวชฺชานิ กมฺมานิ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ การทำที่ไม่มีบาป ไม่มีบาป มีแต่บุญ มีแต่คุณในโลกนี้และโลกหน้าคือ อนวชฺชานิ กมฺมานิ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ การทำไม่มีบาป มีแต่บุญ คือการให้ทาน รักษาศีล ๕ ศีล ๘ การเจริญกรรมฐานภาวนา ไหว้พระสวดมนต์เหล่านี้เป็นต้น อันนี้เป็นมงคลและ เป็นผลที่เราได้รับผล อย่างที่พระพุทธเจ้าว่า กรรมที่ไม่มีโทษ มีแต่ประโยชน์ในโลกนี้โลกหน้าคือขุดน้ำบ่อ ก่อศาลา สร้างถนนหนทาง สร้างวัดวาวาสนา ยินดีให้ทาน รักษาศีล ๕ รักษาศีล ๘ เจริญภาวนา ฟังเทศน์ฟังธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า อันนี้เป็นมงคล เป็นบุญเป็นกุศลในโลกนี้โลกหน้า 

เหตุนั้นจึงว่า ธมฺโม หเว รกกฺขติ ธมฺมจารึ ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ผู้ใดประพฤติธรรม ปฏิบัติธรรม ธรรมก็ย่อมรักษาบุคคลผู้นั้น เพราะพระธรรมนั้น ศีลรักษาตัวเรา ธรรมก็รักษาตัวเรา ผู้รักษาศีล ศีลก็รักษาเรา ผู้รักษาธรรม ธรรมก็รักษาเรา เป็นของตอบแทนกันอย่างที่เราทุกคนรู้อยู่ในมุมนี้ เรารักษาอันใด ปฏิบัติอันใดสิ่งนั้นก็ให้ผลความสุขแก่เราทั้งนั้น เหตุนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงสอนให้พวกเราทั้งหลายอย่ามีความประมาท เพราะว่าชีวิตของเราทุกคนๆ เกิดมาแล้วก็เดินเข้าไปสู่ความตาย ทุกชั่วโมง ทุกนาที ตายเข้าโลง อ้าปากหวอๆทุกคนๆ พ้นไปไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น เหตุนั้นจึงว่าอย่ามีความประมาทในชีวิต อย่ามีความประมาทในความไม่มีโรค อย่ามีความประมาทอยู่ในความเพลิดเพลิน ว่ากินดีอยู่ดีแล้ว มีบ้านดีแล้ว นอนดีแล้ว มีลูกดีแล้ว อย่างนี้เป็นต้น 

สุดท้ายก็ไม่ได้พึ่งพาอะไรซักอย่าง มีลูกก็พึ่งไม่ได้ มีหลานก็พึ่งไม่ได้ มีอะไรก็พึ่งไม่ได้ทั้งนั้น เหมือน นางปฏาจารามหาเศรษฐี เมืองพาราณสีนั่นน่ะ นางปฏาจาราเมืองพาราณสีนั้นเป็นรูปงาม รูปงามที่สุด แต่ว่าสุดท้ายพ่อจัดแต่งงานให้เศรษฐีเหมือนกัน มันไม่เอา มันไปรักคนใช้ ไปติดเอาคนใช้ ชอบคนใช้อย่างนี้เป็นต้น สุดท้ายก่อนจะออกไปจากเมือง มันก็เอาขี้ดินหม้ออะไรมาทาตัว จนเขาไม่รู้ ลักออกไปกับชายชู้ คือคนใช้นั่นเอง ไปอยู่บ้านนอก 

สุดท้ายไปแล้วก็มีลูก มีลูกขึ้นมาจะมาคลอดในบ้าน แต่ว่าผัวไม่ให้มา อย่างนี้เป็นต้น คนที่หนึ่งก็ไม่ให้มา คนที่สองก็จะมาคลอดอีก มันก็ลักมา ผัวมันก็ตามมา ตามมาวันนั้นฝนตกพอดี จะข้ามน้ำ ค่ำแล้วพอดี ฝนตกน้ำเพียงครี่งแข้ง หาที่นอนไม่ได้ ผัวก็หาที่นอนอันสูงๆ เดินไปหาที่นอนสูงๆ ไปเหยียบงูเข้า งูกัดตายพอดี งูกัดตาย สุดท้ายต่อมาแกก็คลอดลูกคนเดียว คลอดลูกคนเดียวแล้วก็สุดท้าย แจ้งมาแล้ว สว่างมาแล้วก็เอาลูกข้ามน้ำ เอามานอนเบาะไว้ แบไว้ อยู่ริมฝั่งน่ะ ดิ้นกระแด่วๆอยู่นั่น ไอ้คนที่สองนั่นให้รอ นี่กำลังเดินข้ามน้ำมาเอาลูกคนที่สอง มีเหยี่ยวมันก็มาเห็นเด็กมันดิ้นอยู่นั่นน่ะ มันนึกว่าแมลง บินฉาบเอาไปกินซะ ก็ไล่ ลูกชายก็นึกว่าแม่ให้มาเอา กระโดดไปเลย ไหลน้ำตายไปเสีย ผัวก็ตาย ลูกก็ตายทั้งสองคน 

เดินทางมา จะมาพึ่งพ่อแม่เมืองพาราณสี พอดีพวกพ่อค้าเดินผ่านมาพอดี เศรษฐีเมืองพาราณสีนั่นน่ะ เกิดไฟไหม้ ไฟไหม้ลมพัด ตายหมด บ้านก็หมด พ่อแม่ตายหมด นางปฏาจาราเป็นลมเลย หาที่พึ่งไม่ได้ เป็นลมเลย ลืมเนื้อลืมตัว แก้ผ้าเลย เป็นผีบ้าละคราวนี้ 

อันนี้เพิ่นว่า ชีวิตของคนเราน่ะเป็นอย่างเนี้ย จะเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี ถึงขนาดไหนน่ะ มันก็บ่พ้นความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความทุกข์ความยากไปได้ ก็กิเลสตัณหาพาทุกข์ พายาก พาลำบากให้นั่น ทางพระพุทธศาสนาจึงให้พากันฟังเทศน์ ฟังธรรม รักษาศีล ภาวนา แก้ปัญหาชีวิตของเรา ไม่มีความประมาท บุคคลนั้นเมื่อไม่มีความประมาท ไม่ขาดปัญญา ก็เป็นคนมีสติปัญญาไปดี อันนี้เป็นต้น 

ถ้าไม่มีปัญญาก็ดังนางปฏาจารานั่นหละ เป็นผีบ้า บ่นไปๆ พอดีไปเมืองสาวัตถี พระพุทธเจ้ากำลังเทศน์อยู่ตอนกลางวัน มันก็เข้าไปหา เดินเข้าไป เขาทำอะไร ไม่มีผ้านุ่ง เข้าก็ไล่ บอกไม่ให้เข้าไปใกล้ คนผีเปลือยน่ะ พระพุทธเจ้าก็ห้ามบอกว่า ปฏาจาราดูก่อน มาหาเราตถาคต สะดุ้งเลยบัดนี้ เอ๊ะ พระพุทธเจ้าบ่รู้เคยเห็นหน้า รู้จักชื่อของเรา สะดุ้งเลยบัดนี้ “ปฏาจารา ลูกรัก” ท่านก็ว่าหละ (หัวเราะ) คือเป็นลูกซะ ยินดีพอใจ ก็คลานเข้ามานั่งฟังเทศน์พระพุทธเจ้า แต่ว่ามองดูเจ้าของนี่ ไม่มีผ้านุ่ง ก็เลยนั่งโยงโย่คิด วันนี้ สุดท้ายพระพุทธเจ้าว่า ผู้ใดมีผ้าซ่อน ให้นางปฏาจาราให้มันนุ่งด้วย คนใดมีผ้าซ่อนก็เอามานุ่ง ฟังเทศน์จบเป็นพระโสดาพอดี ได้พระโสดาก็เลยพ้นทุกข์พ้นภัย พ้นทุกข์พ้นภัยแล้ว ไม่ได้ทุกข์ยากลำบาก ต่อมาก็ได้เป็นพระอรหันต์ ก็เลยพ้นทุกข์พ้นภัย บ่ได้มาทุกข์ยากลำบากแล้วร้องห่มร้องไห้ 

อันนี้เพิ่นว่ากิเลสตัณหาพาทุกข์พายาก กิเลสตัณหาพาทุกข์ทรมาน ฉะนั้นจึงว่าผู้ใดเมา มีความประมาทดังที่กล่าวแล้วก็ไม่มีหนทางที่จะพ้นทุกข์ มีที่พึ่งได้ ฉะนั้นพวกเราทั้งหลายเกิดมาในชาตินี้ มีโชคดี มีลาภดี มีวาสานาดี ได้มาพบปะพระพุทธศาสนาคำสอนพระพุทธเจ้า ได้มีศรัทธา มีความเชื่อ ความเลื่อมใส ยินดีในการให้ทาน ยินดีในการรักษาศีล ยินดีในการฟังเทศน์ฟังธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า อันนี้เป็นคนโชคลาภดี ดีกว่าเศรษฐี มหาเศรษฐี ร้อยเท่าพันทวี 

เศรษฐีครั้งพระพุทธเจ้าก็ดี ปัจจุบันก็ดี ถ้าตายเป็นเปรตเป็นผี เพราะเป็นผีบ้า สมบัติบ้านะฆ่าเจ้าของ ว่าสมบัติของเรา ที่จริงก็กระดาษแท้ๆ ของภายนอก รูปร่างกายของเราเกิดมาแท้ๆก็ยังไม่ได้ เกิดมาแท้ๆก็ยังไม่ได้ พ่อแม่รักษาเกือบตาย ทุกข์ยากลำบาก มันยังไม่ได้ซักอย่าง รูปร่างกายเนี่ย ไปหลงสมบัติผีบ้าอยู่ภายนอก ฆ่ากันตีกัน วุ่นวายอยู่เนี่ย พระพุทธเจ้าจึงว่า สมบัติบ้า (หัวเราะ) โภคทรัพย์ ฆ่ากันบ่แล้วซักที 

ฉะนั้นพระพุทธเจ้าว่า สมบัตินี้เป็นสมบัติภายนอก หาความสุข ความเจริญไม่ได้ มีแต่ความทุกข์ความเดือดร้อน เหตุนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนให้หาอริยทรัพย์ คือบุญกุศลคุณความดีจึงมีความเจริญต่อไป เหตุนั้นจึงว่า พวกเรามีโชคดี มีวาสนาดี ได้เกิดเมืองไทย มีพระพุทธศาสนา มีพระเจ้าพระสงฆ์ มีครูบาอาจารย์แนะนำพร่ำสอน ชี้ช่องบอกทางแนวทางปฏิบัติศีลธรรมกรรมฐานให้ 

ในยุคนี้ก็มีหลวงปู่มั่น ร.๔ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นผู้ปฏิบัติศีลธรรมกรรมฐาน บวชอยู่ ๒๗ ปี พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ว่าต่อมาก็รัชกาลพระนั่งเกล้านั่นก็ตายนะ เค้าก็ร้องขอให้ไปครองราชย์ ลาสิกขาไปครองราชย์ พระองค์ก็ตัดสินไปครองราชย์อยู่ ๑๔ ปี พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั่นน่ะ ๔๗ ปีก็ไปครองราชย์อยู่ ๑๔ ปี ก็ครบ ๖๐ ปีพอดี เพิ่นก็ออกบวชต่อ บวชนุ่งขาว อันนี้เพิ่นว่าพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั่นน่ะเป็นผู้ที่ ต่อมาก็มีครูบาอาจารย์ เจ้าคุณอุบาลี หรือหลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ปฏิบัติศีลธรรมกรรมฐานภาวนา มีผู้แจ้งแสงสว่าง ผู้คนทั้งหลายก็มีความเชื่อความเลื่อมใส ปฏิบัติศีลธรรมกรรมฐานภาวนา บางคนนั่งภาวนาก็ได้ฌาน ได้สำเร็จเป็นพระโสดา สกิทาคาก็มี ได้สำเร็จ ได้ความเยือกเย็นมากมายก่ายกอง อย่างนี้เป็นต้น 

จนได้เป็นเศรษฐีก็มีหลายคน ที่อุปัฏฐาก ยากจน ยกตัวอย่างเช่นว่า แม่แสง สันกำแพง เมตตาหรือแม่ยายของทักษิณ แม่แสงสันกำแพง แต่ก่อนก็ไม่รวยหรอก ต่อมาก็อุปัฏฐากให้ทาน รักษาศีล ภาวนา พร้อมด้วยทำมาค้าขายด้วย รวยได้เป็นเศรษฐีสันกำแพง สุดท้ายก็ลูกชาย หลานชายก็ได้สืบจนได้เป็นเศรษฐีกับเขาอีก อันนี้เพิ่นบอกบุญ เพิ่นว่า บุญมันค้ำจุนอุดหนุนไว้อย่างนี้ เหตุนั้นจึงว่า บุญๆนี้เป็นนำมาซึ่งความสุข บุญนี้นำมาซึ่งความเจริญ 

แต่บุคคลส่วนมากประมาทบุญ มัวเมาบุญ เมาอยู่ในกาม เมาอยู่ในกินนั่นแหละ หาว่าอันนั้นมีความสุข ที่จริงๆมันนรกแท้ แต่มันมืด มันเป็นนรกเพราะกาม หลงกามหลงกินเนี่ยแหละ หลงกามหลงกิน ฆ่ากันทุกวัน นี่ก็เพราะหลงอยู่ในกาม หลงอยู่ในกินนั่นเอง มืดมนอนธกาล แย่งกันกิน ชีวิตของคนเรานี่แย่งกันกิน แย่งกันอยู่ แย่งกันกิน แย่งดินกันอยู่ แย่งสู้กันสวาท แย่งอำนาจกันเป็นใหญ่ เอาแล้วฆ่ากัน ตีกัน แย่งกัน เป็นสงคราม เดือดร้อน อันนี้เพิ่นว่าชีวิตของเราเปรียบเหมือนสัตว์ กัดกันขบกัน ตีกันฆ่ากัน จึงได้ว่า มนุสสติรัจฉาโน ไม่ใช่มนุสสเทโว มนุสสภูโต 

มนุสสภูโต ดีมีเมตตาต่อกันและกัน ปันกันอยู่อยู่กันกินกันใช้ มันก็ได้ความสุข ถ้ามนุสสติรัจฉาโน มนุสสเปโต หละแย่งกันแล้วคราวนี้ แย่งสมบัติ แย่งกันอยู่กันกิน แย่งดินกันอยู่ ฆ่ากันในเรื่องที่ดินนั่นน่ะ ปีนึงก็หลายสิบ เนี่ยมันแย่งกัน ชีวิตของคนเรา จึงว่าชีวิตของมนุษย์มนา พระพุทธเจ้าว่าสมบัติบ้า ก็บ้าจริงๆนั่นแหละ แต่ว่าเจ้าของไม่ว่าบ้าหรอก ว่าโลภ ว่าโกรธ ว่าหลง ว่ารัก ว่าชัง ว่ายึด ว่าถือ อย่างนี้เป็นต้น โอ้ย มันก็เต็มอยู่ในตัวนี่แหละ (หัวเราะ) 

เหตุนั้นจึงได้ทุกข์ยากลำบากเพราะว่าสมบัติอันเนี้ย บุคคลบ่มีการให้ทานรักษาศีล จึงมีแต่ความทุกข์ความเดือดร้อนในชาตินี้และชาติหน้า ตายไปแล้วก็เป็นทุกข์อีก ตายไปเป็นเปรตเป็นผี ก็เป็นทุกข์อีกอย่างที่กล่าวแล้วแหละ ไม่ใช่ว่ามีความสุข บุคคลบ่ได้สร้างไว้ก็ เฮอะ น่าสงสาร น่าสงสาร 

ฉะนั้นเหมือนโกเอนนั่นน่ะ โกเอนก็ไม่ได้สร้าง ไม่ได้ทำ สุดท้ายก็ไปรู้ก็เลยมาสร้างทีหลัง มาบวชเรียนเขียนอ่านทีหลัง มารักษาศีล ๘ ให้ทาน รักษาศีล ๘ ทีหลัง ฟื้นมาจากนรกแล้ว จะมาเกิด ฟื้นขึ้นมาแล้วก็มาสละชีวิตออกบวชแล้วก็มารักษาศีล ๘ ให้ทาน รักษาศีล ภาวนาจนหมดลมหายใจอย่างนี้เป็นต้น อันนี้ก็เพราะไปรู้ไปเห็นมา เป็นของจริง ที่คนเราเข้าใจว่าสวรรค์มีจริง ถ้าสวรรค์มีจริงแต่บุคคลที่ภาวนาก็ไม่รู้ ดังที่กล่าวแล้วน่ะ ถ้ารักษาศีล ภาวนาจะรู้ว่าสวรรค์มันอยู่ที่ไหน มันขึ้นมาอย่างไร ถ้าจิตสงบ เป็นสมาธิแล้วจะรู้ สวรรค์มีที่ไหน นรกมีที่ไหน อยู่ที่ไหนใกล้ไกลดูได้ ถ้าไม่ภาวนาก็ไม่รู้หรอก