หลวงปู่หลวง กตปุญโญ
เทศน์วันที่ 12 ธ.ค. 2540
…แค่ได้รับพยากรณ์จากพระทีปังกรนี่ ก็มาสร้างบารมีกว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าก็ สี่อสงไขย แสนกัปป์เนี่ย ก็มามาก กว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า สิ่งที่มนุษย์ทั้งหลายทำไม่ได้ แต่พระองค์ก็ทำได้ มนุษย์คนทั้งหลายในโลกอดทนไม่ได้ แต่พระองค์ก็อดทนได้ อย่างนี้เป็นต้น
ฉะนั้นคุณธรรมของพระพุทธเจ้า จะยกเอาง่ายๆ ยกตัวอย่างชาติหนึ่ง พระองค์เกิดเป็นช้างอยู่ในป่า เพิ่นก็รักษาศีลห้านะ รักษาศีลห้าบริสุทธิ์บริบูรณ์ แต่ว่านายพรานมันมาเจอ เป็นคู่กรรมก็ว่าได้ มาเจอเข้าก็ของงา งายาว ก็ให้ ให้ตัดออกไป ประมาณเกือบศอกเป็นฟุตน่ะ เอาไปขายเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย หมดแล้วก็มาขออีก มาขอจนสุดท้ายจำป่า แล้วก็มาขออีก ทำอย่างไร งามันอยู่ในหัวน่ะ เขาก็ต้องเอามุย (ขวาน)ฟันหัวนั่นน่ะ ศีรษะบัวะเลย เพิ่นนั่งเฉยยืนเฉย เขาบัวะได้สบายเลือดไหล เนี่ยใครทำได้ในโลกหละ แค่ยุงมากัดก็จะตายแล้วคนน่ะ นี่พระพุทธเจ้าหละ
สิ่งที่ทำไม่ได้ในโลก แต่พระองค์ก็ทำได้ ปล่อยให้เขาสับบัวะเอาศีรษะเอางาในหัวไป ยืนเฉยไม่มีโกรธ ไม่มีว่าอะไร เนี่ยๆ นี่หมายถึงว่าพระพุทธเจ้าสร้างบารมีนะ สร้างบารมีอดทนเสียสละ สุดท้ายก็มันได้ไป ไกลจากตัวท่านอยู่ประมาณ ๑๐๐ เมตรหรือ ๒๐๐ เมตร ไปไม่ถึงบ้าน แผ่นดินสูบเสีย แผ่นดินสูบลงพื้นดินเสีย และก็ช้างก็ทนบาดแผลไม่ไหว บุญหมดแล้วก็ตาย ช้างไปสวรรค์ นายพรานก็ตกนรกอเวจีต่อ อันนี้จึงว่าพระองค์เสียสละสร้างบารมีกว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าเนี่ย สามัญชนคนในโลกเนี่ยทำไม่ได้ แต่พระองค์ทำได้ สามัญชนคนธรรมดาทนไม่ได้ แต่พระองค์อดทนได้ เพื่ออะไร เพื่อต้องการเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าเพื่ออะไร เพื่อขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ให้ไปสวรรค์นิพพาน
คำว่าสัตว์นั้นก็ไม่ใช่หมู หมา เห็ดเป็ดไก่ คือเราทุกคนนี่แหละ ที่มาบวชกันนี่แหละมีหลวงตาเป็นต้น แปลว่าสัตว์นะ คำว่าสัตว์คืออะไร แปลว่า ผู้คาอยู่ สัตวะแปลว่าคานะ คาโลภ คาโกรธ คาหลง คารัก คาชัง สุดท้ายก็คาขี้เกียจขี้คร้าน ขี้เกียจขี้คร้านหาปัญญาวิชา ก็เลยเป็นคนโง่คนหลงอย่างนี้เป็นต้น นี่คำว่าสัตว์อันนี้แหละ ความหมายของคำว่าสัตว์ คือเราทุกคนๆนี่แหละ ยังไม่เป็นพระอรหันต์ตราบใดก็ยังเป็นสัตว์อยู่ ฉะนั้นจึงว่าสัตวะ แปลว่าผู้ข้องคาอยู่ในโลก คาโลภ คาโกรธ คาหลง คารัก คาชัง คากิเลสตัณหา คาอยู่ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ สุดท้ายก็คายศ คาลาภ คาแก่ขึ้นมาก็ฆ่ากัน อิจฉากัน สร้างหม้อนฮก(นรก) ยกใหญ่ อันนี้ก็เพราะว่าสัตว์
เพราะฉะนั้นทางพุทธศาสนาเนี่ย พระองค์ทรงตรัสธรรมเทศนาไว้นั้น สอนคน สอนสัตว์ คนก็คือสัตว์ สัตว์ก็คือคน คนกับสัตว์นี่มันอันเดียวกัน คนกับสัตว์อยู่ในอันเดียวกัน เรียกว่าคน ที่โลกทั้งหลายเดือดร้อนในวันหนึ่งๆก็เพราะคน มันแย่งมันชิงกัน มันโลภ โลภก็คือคน คนก็คือสัตว์ สัตว์ก็คือคน มันอันเดียวกัน มันเป็นอย่างนั้น มันอิจฉาพยาบาทเป็นเหมือนทุกวันนี้นั่นแหละ ผู้แทนผู้ทาน รัฐมนตรี รัฐมนตรา เอ้า เดือดร้อนกินเงินกินทอง เดือดร้อนประเทศชาติบ้านเมือง นี่เพิ่นว่า คน
แต่ว่าถ้ามนุษย์เนี่ยทำตามคำสอนพระพุทธเจ้า สอนคนให้เป็นมนุษย์ สอนคนให้เป็นมนุษย์ คือมนุษยธรรม สอนคนให้เป็นมนุษย์ มนุษยธรรม ก็คือมีคุณธรรมมั่นก็คือศีล ๕ นั่นแหละ แล้วก็สูงขึ้นอีก สอนคนให้เป็นเทวดา สอนคนเป็นเทวดาเหมือนที่พวกท่านทั้งหลาย น้องๆทั้งหลาย หลานๆเหลนๆที่มาสถานที่นี้ มาฝึกหัดปฏิบัติ มาอุปสมบท มาฝึกฝนอบรมธรรมะ อันนี้หมายถึงว่าเราจะมาฝึก ฝึกมนุษย์ให้เป็นเทวดาสูงขึ้นอีก
คือว่านักบวชนี่ นักบวชนี่เขาว่าเป็นเทวดา เป็นเทวดา เพราะว่าเป็นที่กราบที่ไหว้ สักการะบูชาของมนุษย์เทวดาทั้งหลาย เพราะว่านักบวช ท่านมานั่งภาวนา หลับตาพุทโธๆแล้ว จิตสงบแล้ว เทวดาก็มากราบมาไหว้สักการะบูชา นี่เป็นอย่างเนี้ย อย่างว่าเถอะ สอนมนุษย์ให้เป็นเทวดา เทวดาท่านมีหิริ ความละอายต่อบาป มีโอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อบาป แล้วก็มีความอดทนด้วย อดทนสูงกว่าเป็นมนุษย์ทั่วไป
ยกตัวอย่างเช่นว่า เคยตัด คือมาตัด มาตัดเรียกว่าเนกขัมมะ สร้างเนกขัมมะบารมี เนกขัมมะบารมีนี่เป็นบารมีสูงสุด พระพุทธเจ้าของเราจะได้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระอริยเจ้าเหาะเหินเดินอากาศได้ ดำดินบินบนได้ก็เพราะอาศัยเนกขัมมะบารมีเป็นหลัก ฉะนั้นพระพุทธเจ้าของเราเนี่ย บางทีก็บางชาติบวชตลอด เป็นพระราชาบวชตลอด หลายชาติก็บวชตลอด ชาติที่เป็นเตมียกุมารก็บวชตลอด ตั้งแต่อายุหนึ่งขวบขึ้นไป หนึ่งปีก็ปีที่สองนั่น พระองค์สร้างเนกขัมมะบารมีคือละทุกอย่าง อดทน ไม่พูด ไม่พูด ไม่กินไม่ทานนมแม่ด้วย กลัวแต่พูด ไม่กินข้าวกินปลา ไม่ทำงาน ทำตนเป็นง่อย มือมีอยู่แต่ไม่กำข้าวเอาอาหารใส่ปากซักอย่าง ใครให้กินก็กิน ใครไม่ให้กินก็นอนเฉยอยู่ เหมือนคนตายแต่ไม่ตาย ให้เอานั่งก็นั่ง ใครไม่ให้นั่งก็นอนอยู่นั่นน่ะ อันนี้คือว่าบำเพ็ญเนกขัมมะคือว่าละ เด็ดขาดนะ ทำอยู่ ๑๖ ปี เขาจะเอาไปฆ่า เมื่อเขาเอาไปฆ่าก็เลยมีโอกาสบวชเนกขัมมะบารมีเสีย ๑๖ ปี
อันนี้ก็บ่มีบุคคลผู้ใดทำได้ในโลกนี้น่ะ ไม่มีใครทำได้ในโลก ฉะนั้นจึงว่าพระพุทธเจ้าเพิ่นทำอย่างนี้ก็เพื่อปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าและรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้พ้นทุกข์ ไปสวรรค์นิพพาน เพราะฉะนั้นพวกเราทั้งหลายก็ได้รับ มีความตั้งอกตั้งใจ คือหลวงพ่อชุบ เพิ่นมีศรัทธา มองเห็นประโยชน์ในทางพุทธศาสนา เหตุนั้นหลวงพ่อก็ยังเสียสละเป็นประธานเป็นใหญ่ ชักชวนพวกเราทั้งหลายมาบวช มาฝึกฝนกรรมฐานภาวนาธรรมะ
ที่จริงธรรมะนั้นมันก็มีอยู่ในตัวของเราทุกคน คือรูปธรรมนามธรรม ตัวของเรามีรูปธรรมนามธรรมเป็นปกติอยู่ แต่ว่าเขาไม่สมมติว่ารูปธรรมนามธรรม ฉะนั้นคำว่าธรรมในสถานที่นี้ ธรรมก็คือตัว ที่อยู่ของธรรมก็คือลม ที่เกิดของธรรมก็คือลม ที่อยู่ของธรรมก็คือลม เพราะลมนี้ เขาเพิ่นสมมุติขึ้นว่าเป็นพระองค์ใหญ่นะ พระอานาปาสติกรรมฐาน ลมนี่เป็นพระองค์ใหญ่ คือเราทุกคนๆที่เกิดมาแล้วน่ะ กินลมก่อนนะ คือออกจากท้องแม่ก็สูดลมเข้าไป เมื่อรู้สึกตัวก็เจ็บแสบ ที่เกิดมามันร้องไห้เพราะมันเจ็บมันแสบมันปวด เมื่อออกจากท้องแล้ว สูดลมเข้าไปก็รู้สึกตัว มันก็เจ็บก็แสบก็ร้อน เมื่ออยู่ในท้องไม่ถูกอะไร มาถูกลมพัดเข้า เหมือนกับออกมาจากห้องแอร์นั่นแหละ เย็นๆแล้วมาถูกกับอะไร เราก็ถูไป ปุบปับ ฉะนั้นเด็กที่ออกมามันจึงร้องไห้เพราะมันแสบมันเจ็บ อันนี้ก็แสดงความทุกข์
พระพุทธเจ้าว่า ชาติปิทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์ เกิดมา ทุกข์แล้ว ร้องไห้เป็นทุกข์แล้ว อันนี้ต่อมาก็แม่ก็เอาสำลีไปชุบน้ำ คอมันแห้ง ก็ให้มันซึม จิบเข้าไปในปากให้ซึมไปในคอ อยู่ได้ ต่อมาก็กินนมแม่ต่อไป มาอาศัยปาก คนเราเกิดมาใหญ่ขึ้นมาเป็นผู้เป็นคน เป็นสัตว์เป็นมานี่เพราะอาศัยปาก อย่างทำมือทำอะไรก็ไม่ได้ จับอะไรก็ไม่ได้ จะอาศัยปาก กินน้ำ กินน้ำนมของแม่ ต่อมาก็กินข้าวกินปลา
ใหญ่ขึ้นมาจึงว่าปาก เหตุนั้นจึงว่าปากเป็นเงินปากเป็นทอง ปากดีก็เป็นสุข ปากไม่ดีก็เป็นทุกข์ มันแล้วที่ปาก คนเราทุกคนเกิดมา ใหญ่ขึ้นมาได้นี่เพราะปาก ถ้าปากทำงานแล้วก็กินข้าวกินปลาก็ใหญ่ขึ้นมา ขนาดมันลุกนั่งแล้วนะ ลุกนั่งเป็นแล้วก็ยังเอาข้าวใส่ปากยังไม่เป็น อาศัยแม่ป้อนอยู่นั่นน่ะ อาศัยปากมาเรื่อยๆ จนกว่าจะมือนั้นจับอะไร พ่อแม่สอนให้จับ เอาใส่ปาก เอ้า ทำอย่างนี้ๆ เอาอยู่นั่นแหละ
บัดนี้คนเรานี่นะเกิดมาแล้วเป็นเด็ก คือว่าจะเทียบก็ร้ายกว่าสัตว์ ร้ายกว่าตัวบุ้งนะ คนเรานี่เกิดมาตัวเล็กๆ ขนาดคลานก็ดี ขนาดเดินตุติตุตะก็ดีนะ ยังไม่รู้จักไฟนะ มันจะจับไฟอยู่ แต่ว่าอาศัยพ่อแม่บิดามารดาควบคุม เอามือหนี หรือว่าอุ้มหนี หรือว่าบอก ก็นั่นยังไม่ฟังนะบางที จนไปจับไปเจอจนได้ มันร้องไห้ แว้ มันเจ็บขึ้นมา คนเรามันร้ายกว่าบุ้งนะ ตัวบุ้งตัวสัตว์นี่มันเห็นไฟนะมันวิ่งเหาะวิ่งหอบ ยังเป็นเด็กมันวิ่งเข้าหาไฟอยู่นะ คนเราจะว่าโง่ โง่ที่สุดนะ ยิ่งกว่าสัตว์อีกด้วย แต่อาศัยคุณธรรมบิดามารดาครูบาอาจารย์ชี้ช่องบอกทาง ฉะนั้นจึงว่าคุณบิดามารดามีคุณมาก ใครไม่เคารพต่อคุณพ่อคุณแม่ลำบากมาก
ปัจจุบันนี้จะแผ่นดินสูบ หลายคนนะที่จะฆ่าพ่อแม่นั่นน่ะ หลวงตาไปรู้ก็คนจังหวัดเมืองเชียงตุง อำเภอเชียงตุง อยู่พม่าน่ะ มันจะฆ่าแม่ คือโยมคนนั้นมีลูกห้าคน ผู้หญิงสี่คน ผู้ชายคนสุดท้องแล้วต่อมามันไปคบเพื่อนไม่ดี เล่นการพนัน เล่นการพนันไปเล่นการพนันมา ต่อมาพ่อมันก็ตาย กลายเป็นแม่หม้าย หาเงินก็อย่างนั้นหละ สุดท้ายเงินหมด มันเอาไปเล่นหมด แล้วมันก็มาขอ เพิ่นว่าแม่มันไม่มี มันว่า มีอยู่ แม่ไม่ให้เฉยๆอ้ะ มันก็จ้ำจี้จ้ำไชว่าร้ายต่างๆเยอะแยะ แม่ก็รำคาญ ไม่มีก็ไม่มี ไม่มาก็ไม่มา มึงเอากูไปฆ่าซะดีกว่า มันจะได้แล้วกัน มันก็เอาจริงบ่นี่ ถือดาบมาเลย จะมาตัดคอแม่ ถือดาบมาเลยจะมาตัดคอแม่
บัดนี้แม่ก็บอกว่า มึงฆ่ากู ตัดคอกูในบ้านนี้ สูจะไม่มีบ้านอยู่นะ สูจะกลัวผี ไป จะฆ่า ออกไปป่าไปเถอะนั่น ร้อยเมตร ห้าร้อยเมตร แกก็นั่ง เอ้า ตัดได้เลย ก็เงื้อมดาบจะตัดคอนี่นะ เทวดาดึงออก มือหลุดพลุบ ดาบหลุดไปเลยจากมือ หลุดผึงออกไปเลย เมื่อหลุดผึงออกไป แผ่นดินสูบปุ๊บพอดี สูบครั้งแรกแค่หัวเขา แค่หัวเข่า มันก็ร้อง โอ้ย น่ากลัวอย่างนี้ แม่ก็แทนที่ก็จะ โอ้ย มึงตายได้แล้ว มึงจะฆ่ากู บ่เด้ บุญคุณของแม่ วิ่งไปดึง ดึงอย่างใดก็ไม่ออก ๆ หมดปัญญา เลยวิ่งไปบอกชาวบ้านมาช่วย ไปกลับมามันสูบแค่คอแล้วบ่เน่ แผ่นดินนะ สูบแค่คอ งอแงะๆ เข้าใกล้ไม่ได้นะ ที่ระยะสี่ศอก สี่ศอกห้าศอก เป็นไฟมาเลย เป็นถ่านไฟมาเลย มันร้อน เข้าไปใกล้ไม่ได้ อยู่นั่นแหละ ลอกแลกอยู่สามวันสามคืน ผู้คนทั้งหลายบ้านเหนือบ้านใต้ บ้านใกล้บ้านไกล สี่ ห้า หกกิโล ไปถ่อกันไปดู แผ่นดินสูบ สุดท้ายวันที่สี่จมลิบกับพื้นเลย นี่บาป บาปที่ฆ่าพ่อฆ่าแม่ ท่านจึงว่าบิดามารดาเปรียบเหมือนพระอรหันต์ของลูกน่ะ มันเป็นอย่างนี้
เมืองอุบลคนหนึ่ง เมืองอุบลก็แผ่นดินสูบเหมือนกัน เป็นครูซะด้วยนะ แต่ว่าเมียหีนะ เค้าว่า (หีนะ แปลว่านิสัยเลวทราม) เค้าว่า เมียหีนะ บ่ยอมเรียกแม่ มันด่ามันว่าร้าย แต่ว่าโยมผู้หญิง(แม่สามี)คนนั้นชอบไปวัด ไปวัดไปจำศีลภาวนา แกก็แก่แล้ว แกต้องหาที่พึ่งของแกหละ เข้าวัดเข้าวาศาสนา ลูกสะใภ้มันก็หาว่าบ่เลี้ยงหลานช่วย มีแต่กิน ว่าอยู่นั่น ไปฟ้องสามี ว่าอยู่เรื่อย บัดนี้ผัวก็เลยเข้าข้างเมียบ่นี่ เข้าข้างเมียนะบ่นี่ รักเมียยิ่งกว่าพ่อกว่าแม่ท่านว่า ก็อย่างว่ารักก็อย่างว่าหลง เมา เค้าเรียกว่าเมา เมาทรัพย์ลืมศาสนา เพิ่นว่า เมาตัณหาลืมพ่อลืมแม่ ครูนั้นก็เมาเมียแล้วบ่เน่ ลืม เลยเอาแม่ไปตัดคอจริงๆ แกมีสวนน่ะ แกไปนั่งอยู่สวนแกก็จะตัดคอจริงๆ ทำนองเหมือนกับคนนี้แหละ แต่ว่าดาบหลุดแผ่นดินสูบมิดไปเลย คนอุบลน่ะ เป็นอย่างนี้ ฟังคำเมีย ฟังคำเมียเสียพี่เสียน้อง เสียข้าวเสียของ เมียหีนะ เมียดีมันก็มีน้อย เมียหีนชนนี่มีมาก ฉะนั้นจึงว่าคุณพ่อคุณแม่มีจริงนะ แผ่นดินสูบจริง คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็เป็นของจริงของแท้
เหตุนั้นพวกเราทั้งหลายได้รับคำประกาศหรือว่าคำชักชวนของหลวงพ่อแล้วก็มีความเชื่อความเลื่อมใสตั้งอกตั้งใจมาปฏิบัติบูชา อันนี้ก็เรียกว่าเป็นบุญเป็นกุศล คือว่าที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญน่ะ สรรเสริญว่าบุคคลที่ทำประโยชน์ในปัจจุบันและประโยชน์โลกหน้านี่ พระพุทธเจ้าสรรเสริญว่าเป็นผู้มีโชคดีลาภดีนะ คือว่าทิฏฐธัมมิกัตถะประโยชน์นี่นะ พระพุทธเจ้าสอนให้เป็นคนหมั่นขยัน หมั่นขยันหาวิชาปัญญา (๑)อุฏฐานสัมปทานี่นะ หมั่นขยันมาหาวิชาปัญญา แล้วก็รักษาไว้ (๒)อารักขสัมปทา รักษาทรัพย์ไว้ จ่ายในสิ่งที่เป็นประโยชน์ของตนและคนอื่นด้วย แล้ว (๓)กัลยาณมิตตตา คบเพื่อนดี คบเพื่อนที่ดีเรียกว่ากัลยาณมิตร เพื่อนดีสูงสุดในโลกก็คือคำสอนของพระพุทธเจ้าเนี่ย ไม่มีเพื่อนอะไรดีในโลก เพื่อนดีจริงๆคือเรามาพบปะธรรมะคำสอนพระพุทธเจ้าเนี่ย จึงว่าเป็นการคบอันประเสริฐ มาคบพระเจ้าพระสงฆ์ ครูบาอาจารย์ เนี่ยการคบอันประเสริฐ หมายถึงว่ากัลยาณมิตร มิตรดีจริงๆก็คือพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าน่ะ เป็นกัลยาณมิตรแท้นะ เป็นกัลยาณมิตรแท้ ถ้าผู้ใดยินดีพอใจอยู่ในกุสลาธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้า นี่แหละมิตรแท้
(๔) สมชีวิตา เลี้ยงชีวิตชอบ คือเราไม่ไปลักไปขโมยปล้นจี้ หลอกลวงใครมาเลี้ยงชีวิต อันนี้ก็เป็นความสุข ในโลกเนี้ย มีความสุขความสบาย อย่างต่ำอาจจะมาเกิดเป็นมนุษย์อีกก็ได้ แต่ว่าความสุขอันนี้มันก็ให้ความสุขแค่โลก ส่วนมากความสุขอันนี้มันอยู่ในโลก ตายไปแล้วมันต้องอาศัยคุณธรรมอีกชนิดนึง ชื่อว่า สัมปรายิกัตถประโยชน์ ที่เรามาทำนี่ มาสร้างคุณธรรมสัมปรายิกัตถประโยชน์ คุณธรรมอันนี้คือมีศีล มีศรัทธา มีศีล มีศรัทธา มีศีล มีการสดับรับฟังธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า ฝึกฝนอบรมคำสอนพระพุทธเจ้า เรียกว่า ผู้สัจจะ แล้วก็มีวิริยะความเพียร ความอดความทน แล้วเพิ่นสอนให้มีสมาธิความตั้งมั่น ให้มีปัญญา สร้างปัญญาให้เกิดขึ้น
คำว่าปัญญานั้น อันใดผิดอันใดถูก เรียกว่าพุทโธ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานน่ะ ที่เราได้มาบวชเบื้องต้น แสดงตนถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่งน่ะ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ การถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งกับการรักษาศีลมันอันเดียวกัน หนีจากกันไม่ได้ หรือว่าพุทโธพุทธะแปลว่าผู้รู้ รู้จากบาป รู้จักบุญ รู้จักคุณ รู้จักโทษ รู้จักสิ่งที่เป็นประโยชน์ของตนและคนอื่นด้วย อันนี้ตัวพุทธะ พุทโธ
อย่างพระพุทธเจ้าของเรา พระองค์รู้ ทำประโยชน์ของพระองค์ด้วย คือเป็นพระอรหันต์ ทำประโยชน์ของโลกด้วย เหตุนั้นพระองค์จึงได้นามว่าพระมหากรุณาธิคุณ คุณของพระพุทธเจ้าที่เราควรระลึกนึกถึง คือพระปัญญาคุณ พระปัญญาคุณนี่ พระองค์เกิดมาชาติใดเป็นที่ผู้ที่หาสติปัญญา สร้างวิชาปัญญา บางชาตินั้นน่ะ การเกิดไม่เที่ยงแท้แน่นอนนะ การเกิดของพวกเราไม่ใช่เที่ยงแท้แน่นอน บางทีมันไปเกิดในตระกูลทุกข์ยากลำบากขอทานเลี้ยงชีวิต แล้วก็เที่ยวทุกข์กันดารแห้งแล้ง อย่างนี้เป็นต้น เพราะโลกมันไม่เที่ยงแท้แน่นอน โลกไม่เที่ยงแท้แน่นอน
เช่นปีนี้ก็ภาคเหนือของเราก็แสดงความแห้งแล้ง ไม่ค่อยได้ทำนาดี หลวงตาที่ไปเมื่อกี้ไปโน่น ไปเดินจงกรมแถวอำเภอพานนี่ บ่อข้าวบ่อน้ำ เอ๊อะ ช้างเหยียบไม้ล้ม สูงกว่าคืบนึง โน่นน่ะแม่จันแม่สายน่ะ ข้าวดีนาเยอะพอสมควร แสดงว่าเป็นทุพภิกขภัย บ่ได้ทำนาเยอะบางแห่ง ทำนานิดๆหน่อย นี่เดือดร้อน ฉะนั้นไปเกิด พระองค์ก็ไปเกิดในที่กันดาร ไปเกิดในที่คนทุกข์คนยากขอทานเลี้ยงชีวิต ไม่มีเงินที่จะให้ลูกเรียนหรอก จำเป็นก็พระองค์ก็ไม่ยินดี แค่พ่อแม่เอามาเลี้ยง พระองค์ก็ยินดีหาวิชา หาด้วยตนเอง ไปเดินหาครูบาอาจารย์สอนวิชาให้ แต่ไปถึงแล้วเขาไม่ใช่สอนได้เลยนะ เขาต้องให้ทำงานให้เขา เป็นคนใช้สามปีนู่นนะ สามปีจึงสอนวิชาให้อย่างนี้เป็นต้น ดังนั้นพระองค์ก็อดทนเพราะต้องการวิชาปัญญา
เหตุนั้นจึงว่าพระพุทธเจ้านั้นเกิดมาแล้วเพิ่นยังมีปัญญา มีปัญญาอย่างว่า พระปัญญาคุณ อันนี้เป็นแนวทางที่ว่าพระพุทธเจ้าของเรานี่เป็นตัวนำ ตัวนำที่สุดดังที่กล่าวแล้วนั่นน่ะ โลกเขาทนไม่ได้ก็อดทนได้ โลกเขาอดไม่ได้ ท่านก็อดได้ โลกเขาเสียสละไม่ได้ ท่านก็เสียสละได้อย่างนี้เป็นต้น อย่างที่เล่าให้ฟังน่ะ เกิดเป็นช้าง เขามาของา เอามีดโบ๊ะหัว เอางาไปในหัว นั่นเพิ่นเฉยได้ ถ้าเพิ่นจะโกรธจะฆ่าเขานะ งวงมันจับขาฟาดทีเดียวก็ตายแล้ว ช้างอ้ะ ไม่เป็นอย่างนั้น เนี่ยการเสียสละ
เหตุนั้นจึงว่าหลวงตาก็ขออนุโมทนาพวกท่านทั้งหลายที่เป็นนักเรียนได้พากันเสียสละมาปฏิบัติบูชาอรรถธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า คือมาตั้งอยู่ในศีล เพราะว่าศีลเนี้ยมันเป็นภาคพื้น ภาคพื้นของความดีทุกอย่าง
พระพุทธเจ้าเพิ่นกล่าวว่า ให้ทานร้อยครั้ง ถ้าไม่มีศีลก็ตกนรกอยู่ของเก่า เยอะแยะอยู่เนี่ย เมืองไทยของเราทำบุญเอาขี้ขึ้นหน้า ตีกัน เพิ่นก็คุยกัน สุดท้ายเจ้าภาพก็ร้องไห้เหวิกๆ ทำบุญง่าวเค้าว่า ทำบุญเอาขี้ขึ้นหน้า เอาขี้เล่น ? หาว่าเป็นบุญ พอมีเครื่องเล่น หาว่าเป็นบุญ เนี่ย เพราะมันง่าว เราเคยด่า สูมันง่าวมาแต่โคตรพ่อมึงแล้ว ถือความง่าวมาเรื่อย ไฉนมันถูก เดี๋ยวนี้เพิ่นบ่ขี่ล้อขี่เกวียนเหมือนเก่าแล้ว สมัยนี้เพิ่นขี่รถขี่เครื่องบิน แล้วจะมาขี่ล้อบ่ทันเขาแล้ว ตายแล้วสิเว้ย จะเอาขี้ขึ้นหน้า บ่ทันเขาแล้ว เสียเงินเสียทอง ก็หาว่าบุญบ่ช่วย
ลูกศิษย์ของหลวงตานี่นะมาบวชแล้ว ใช้หนี้สามปียังไม่หมด นี่ มาบวชนะ มาบวชแล้วใช้หนี้สามปียังไม่หมด ก็เอาขี้เหล้ามากินน่ะ บวชเอาขี้ขึ้นหน้า โหย โง่เง่าจะตาย ? ด่าให้เขาน่ะ หลายคนอยู่ หลวงตานี่ใครทำบ่ถูก ด่าจนหัวมุดหัว? ด่าบางทีฟังก็มี ไม่ฟังก็มี คือเราสงสาร สงสารเขา ลงทุนไปแล้วเป็นหลายพันหลายหมื่น แทนที่จะบุญ เปล่า มันทุกข์ใจ ร้อนอกร้อนใจเป็นหนี้เขา เอาบุญมาจากไหน เพราะมันทำไม่ถูก อัตตาธิปไตย ไม่ถูก เอาอัตตาธิปไตย เอาตนเป็นใหญ่ โลกาธิปไตย เอาโลกเป็นใหญ่ มันก็เลยเดือดร้อน ถ้าทำเป็นธรรมาธิปไตย เอาธรรมเป็นใหญ่มันก็สบาย บ่มีเรื่องมีราวอะไร มันสบายมันเย็น บุญๆแปลว่าความสุข บุญๆแปลว่าความเย็น ถ้ามันร้อนจะเป็นบุญที่ไหน
เหตุนั้นจึงว่าพวกเราที่เราจะ…รุ่นใหม่นี่มาฝึกฝนอบรมรู้ทางในธรรมธิปไตยแล้วพยายามตัดโลกาธิปไตย เอาโลกว่าน่ะ อัตตาธิปไตย เอาตนว่าน่ะ มันเดือดร้อน ถ้ามันทำถูกธรรมาธิปไตยจริงๆ มันก็ไม่เดือดร้อนอะไร ครั้งพระพุทธเจ้า ครั้งพระอริยเจ้าทั้งหลาย เศรษฐีมหาเศรษฐีไปบวช เขาไม่ได้เดือดร้อนอะไร ได้พาไกลก็บากไปเลย บวชเลย รักษาศีลภาวนา ไปพระนิพพานพ้นทุกข์ไปเลย นี่เอาขี้ขึ้นหน้า เล่นกัน พุดโถ! บวชบางคนเป็นแสนๆนะ เป็นแสน บวชหมดเงินไปเป็นแสน สิบห้าวัน มันไม่คุ้มค่า นี่เพิ่นว่าทำบุญไม่ได้บุญ ไม่คุ้มค่า เป็นหนี้เขาอีก เดือดร้อน มันเป็นอย่างเนี้ย เพราะมันไม่ทำตามหลักพระพุทธเจ้า อันนี้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญตัวหนึ่งนะ
ดังนั้นพวกเราที่จะเกิดมาในยุคนี้ จะเป็นใหญ่เขา เป็นพ่อเป็นแม่เขา เป็นผู้นำเขาน่ะ ฉะนั้นให้นำในทางที่ถูก นำในทางที่ถูกมันก็สบาย ถ้าเอาแต่ขี้เก่ามาใช้ เพราะมันหลงมาอย่างนั้น อย่าไปเอาสิ่งที่โบราณที่ผิด โบราณที่ผิดก็ตัดออกเสีย โบราณที่ดีก็ให้ทำตามรักษาไว้ อันนี้ก็เป็นอีกตัวหนึ่งนะสำคัญ พวกเราทุกคนๆมารวมอยู่เนี่ยจะได้เป็นพ่อเป็นแม่เขา เป็นพ่อเป็นแม่เป็นตาเขา กลับไปเป็นผู้สร้างครอบครัว แต่ผู้มีปัญญาดีก็อาจจะมาเป็นนักบวชตลอดชีวิตก็ได้ ผู้มีอินทรีย์ ผู้ไม่มีอินทรีย์ก็ไปสร้างโลกไป ตามประสาโลก อันนี้ก็เป็นหลักอันหนึ่ง
ฉะนั้นทีนี้ต่อไปจะกล่าวเรื่องการปฏิบัติบูชา คือว่าธรรม ธรรมนั้นเป็นตัวอย่างใด มันอยู่ที่ไหน ธรรมนั้นที่เราอาศัยธรรม คือลมนั่นแหละเป็นธรรม ลมเป็นธรรม ธรรมก็คือลม ลมก็คือธรรม เพราะเราอาศัยธรรม คืออาศัยลม มีลมเข้าลมออกอยู่ก็พวกคนมนุษย์ ฉะนั้นต่อไปก็นั่งหลับตา เอามือขวาทับมือซ้าย ตั้งกายให้ตรง ลองดู นั่งหลับตา ตั้งใจน้อมเอาคุณพระพุทธเจ้ามาเป็นที่พึ่งในใจ นึก พุทโธ เม นาโถ น้อมพระธรรมว่าเป็นที่พี่งภายใน ว่า ธัมโม เม นาโถ น้อมเอาคุณพระอริยสงฆ์มาเป็นที่พึ่งภายในใจ เรียกว่า สังโฆ เม นาโถ
พุทโธ เม นาโถ
ธัมโม เม นาโถ
สังโฆ เม นาโถ
พระพุทธมาระลึกเป็นที่พึ่งภายใน พระธรรมก็อยู่ในใจ พระสงฆ์ก็อยู่ในใจ บัดนี้ก็พระธรรม ตัวพระธรรมก็คือลม สูดลมเข้า นึกพุทโธ ลมออกนึกพุทโธก็ได้ ลมเข้าพุทโธ ลมออกพุทโธก็ได้ แล้วแต่จริตของเราในสองอย่าง สูดลมเข้าก็ให้รู้ ลมออกก็ให้รู้ ฉะนั้นคุณธรรมที่ทำนี่ หนึ่ง สติ สัมปะชาโน มีสติระลึก คือลมมีอยู่ แต่เราไม่รู้ลม ถ้าเราไม่ตั้งใจสูด ของมีอยู่แต่ไม่รู้ สัมปะชัญญะแปลว่าความรู้ สติความระลึกอยู่ในลมนะ เพิ่นว่าวิตกในลมเข้า พุทโธ ลมออก พุทโธ มีสติสัมปะชัญญะคือความรู้
อาตาปีคือความเพียรเพ่งให้ใจของเรานึกเพ่งอยู่ในหน้าอกนี่แหละ อย่าให้มันเลยไปในหน้าอกของเรา นึกตั้งแต่สะดือขึ้นมาหาหน้าอกแล้วมาซอกคอนี่ ลมเข้าลมออกให้นึกอยู่แค่นี้ นี่เอาลมเป็นที่ตั้ง ลมเป็นกรรมฐาน ฐานะแปลว่าที่ตั้ง ลมหายใจเป็นต้นกรรมฐาน อานาปานสติกรรมฐานภาวนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นพระบรมครูของพวกเราที่นับถือกันนี่ก็ พระองค์ก็มาเจริญพระอานาปาใต้ต้นไม้มหาโพธิ์ จนจิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ รู้แจ้งแสงสว่าง จนเกิดญาณเกิดฌาน เอาฌานสุดท้ายประหัตถ์ประหารอาสวกิเลสได้ จึงได้เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ อย่างนี้เป็นต้น เพราะพระองค์เจริญลมนั่นแหละ ลมเข้าก็รู้ ลมออกก็ให้รู้ ที่จริงของมีอยู่แต่เราก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่ามันเข้า มันออก เข้ายาวออกสั้น เข้าสั้นออกยาว สะดวกสบายอย่างไรก็ให้สูด ให้รู้ลมเข้าลมออกเสียก่อน
ถ้ามันง่วงเหงาหาวนอนท้อแท้อ่อนแอนะ ให้สูดลมยาวๆอย่างนี้ มันจะรู้สึกตัวทันที เมื่อรู้สึกตัวก็ตั้งพุทโธลมธรรมดาๆไป จนใจของเรานิ่งแล้วจะมองเห็นสิ่งต่างๆ เปรียบเหมือนเราเอาน้ำมาใส่อ่างไว้ น้ำมันรักษาไว้ มันนิ่งจนมองเห็นสิ่งต่างๆ รู้ต่างๆ หน้าตาของเราเป็นอย่างใด คนผ่านมาอย่างใด นกหนูปูปีกบินผ่านข้างบนก็มองเห็นได้ เพราะน้ำมันนิ่ง ถ้ามันไม่นิ่งก็มองไม่เห็น ใจของเรามันไม่สงบ มันรวนเร คิดซ้ายคิดขวา คิดไปหน้าไปหลัง ฉะนั้นเรื่องดีก็ตาม เรื่องชั่วก็ตาม เรื่องอดีตอนาคต ละหมด กำหนดรู้ปัจจุบันอยู่เนี่ย ปัจจุบันของกายคือลมเนี่ยแหละ
เรามันมีลมอยู่ คือเราเป็นคนเป็นสัตว์อยู่ ลมหมดแล้วก็ซากศพซากผี แต่พระพุทธเจ้าเพิ่นมีปัญญา ทำลมให้เป็นบุญ ลมให้เป็นกุศล คือลมมีสติ ลมเข้าพุทโธก็รู้ ลมออกพุทโธก็รู้ กำหนดใจเข้ามาในลม กำหนดลมเข้ามาในจิตเป็นหนึ่งแน่วแน่ เมื่อเป็นหนึ่งอยู่ในลม ลมมันเป็นของเย็น ลมเป็นของเย็นสบาย ลมไม่เจ็บไม่ป่วย ลมนั้นไม่เคยเจ็บแข้งเจ็บขา ไปถามมันเถอะ ลมเจ็บแข้งเจ็บขามั้ย ลมไม่เจ็บ ไม่ปวดแข้งไม่ปวดขา ไม่มีความทุกข์ เย็นสบาย ถ้าใจของเราอยู่ในลมจริงๆ เอกัคคตารมณ์ เอกัคคตาจิตนะ สบายเป็นสุข นั่นแหละแปลว่า เราได้ธรรมแล้ว เราได้ความสงบแล้ว นี่เป็นต้น
เมื่อมันสงบก็จะสว่างแจ้งเย็นเบาสบาย ปลอดโปร่ง เป็นสุข ไม่ปวดแข้งไม่ปวดขา ไม่อะไรหละ น้ำก็ไม่อยาก ข้าวก็ไม่อยากในขณะ ความโลภ ความโกรธ ความหลงมันไม่มีแล้ว หมด เพราะเราไม่เอา ละ ธรรมะของพระพุทธเจ้าเพิ่นให้ปล่อยให้ละ ให้เป็นตัวรู้อย่างเดียว รู้อยู่ในลมนั่นหละ เพ่งเรียกว่าสติสัมปะชัญญะ อานาปา หรือว่าอาตาปี ความเพียรเพ่งพิจารณานั่นน่ะ ให้รวมเป็นหนึ่งแน่วแน่ อันนี้เป็นการปฏิปทาที่ว่า ปฏิบัติ
ปฏิบัตินี่ที่พระพุทธเจ้าของเรา ถ้าพวกเราได้ความสุขความดีความทุกอย่าง พระองค์ไม่ได้มีส่วนได้กับพวกเรานะ แต่พระองค์ยินดีพอใจปฏิบัติบูชา เพราะว่าการปฏิบัติบูชานี่เป็นการเชิดชูพุทธศาสนา เราจะมีความสุขความเจริญก็อาศัยการปฏิบัติบูชา ไม่ใช่อามิสบูชานะ อามิสบูชา ก็ดังที่กล่าวนั่นแหละ โลกาธิปไตยเอาโลกว่า ทำบุญก็เอาขี้ขึ้นหน้า เอาขี้เล่น เอาขี้เหล้ายังมาเล่น ไปๆมาๆก็เมาตีกัน คุยกัน เดือดร้อน สุดท้ายก็หมดเงินหมดทอง หมดเงินหมดทองแล้วจะมาบ่นว่ากูก็ทำบุญหมดอย่างนั้น ทำอย่างนี้ กูไม่เห็นบุญช่วย เงินก็หมดไปๆ แต่มันหมดมันไม่ถูกนั่นแหละ มันไม่ถูกมันก็ไม่ได้ ทำไม่ถูก ทำไม่ถึง ทำไม่ถูกมันก็ไม่ได้ ทำบุญไม่ถูกบุญ ทำบุญไม่ถึงบุญ มันก็ไม่ได้บุญ ทุกอย่างถ้ามันไม่ถูกแล้วมันไม่ได้ ไม่ใช่มัชฌิมาปฏิปทา คือว่าสัมมาทิฐิความเห็นชอบ เห็นชอบว่าบาปมีจริง บุญมีจริง นรกมีจริง สวรรค์มีจริง มรรคผลนิพพานมีจริง ทำดีได้ดีจริง ทำชั่วได้ชั่วจริง ยังเป็นของจริงอยู่
หลวงตาจะเล่าเรื่องจริงเป็นธรรมประจำโลก คือกุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อัพยากะตา ธัมมา เนี่ย นี่เป็นของจริงประจำโลกนะ ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา จะศึกษาหรือไม่ศึกษาก็ตาม จะเรียนหรือไม่เรียนก็ตาม ใครจะว่าไม่มีก็ตาม มันมีอยู่ประจำโลก กุสลา ธัมมานี่คือว่าเป็นฝ่ายดีนะ เป็นฝ่ายดี คนบางคนเกิดมาแล้วเป็นคนดี เป็นคนที่ฉลาด ฉลาดว่านอนสอนง่าย รูปสวยรูปงาม อันนี้เป็นต้น คนดีมีสติปัญญาดี อันนี้เป็นตัวกุสลา ธัมมาที่เขาทำไว้แล้ว บุคคลเกิดมาก็เป็นคนไม่มีสติปัญญา นั่นอกุสลา ธัมมา เป็นคนที่ไม่ทำดีมา มันก็เกิดเป็นผลร้ายเข้ามาตอบแทน ประจำอยู่นั่น
อัพยากะตาธรรม คือรูปร่างกายของเราทุกคนนี้ เราทุกคนมาอาศัยอัพยากะตาเป็นที่เกิด คือธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม สัมภวะธาตุ สัมภวะธรรมเนี่ย เป็นที่เกิด เป็นที่อยู่อาศัยชั่วครู่ช้่วคราวคือขันธ์ห้าเนี่ย มันเป็นอัพยากะตาธรรม อัพยากะตาธรรมนี่ไม่เป็นบุญ ไม่เป็นบาป ดิน มันก็ไม่เป็นบาป น้ำก็ไม่เป็นบาป ดิน น้ำ ไฟ ลม เค้าไม่เป็นบุญ เค้าไม่เป็นบาป เค้าเป็นอะไรเค้าไม่รู้ ยกตัวอย่างคนตายนะ เราตายไปแล้ว ผม ขน เล็บ ฟัน หนังมีอยู่ รูปร่างกายมีอยู่ แต่เขาไม่ทุกข์หรอก เค้าไม่ทุกข์ ท้องมีอยู่เค้าไม่เจ็บท้อง ปากมีอยู่เค้าไม่เจ็บปาก เค้าไม่หิวอะไร เฉย มันเป็นเพียงก้อนหิน เค้าไม่รู้ เป็นธาตุไม่รู้นะ
ในตัวเรามีธาตุรู้กับธาตุไม่รู้เท่านั้นแหละ มตธาตุ อมตธาตุ ธาตุไม่รู้คือดิน น้ำ ไฟ ลม ก็ไม่รู้อะไรซักอย่าง แต่เรามาอาศัยเฉยๆ แต่ว่าเราไม่รู้ก็มายึดว่าเป็นสมบัติของเรา ว่าเป็นตัวตนคนเรา จึงได้แย่งชิงกัน ตีโบยฆ่ากัน เพราะหลงในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ว่าเป็นสมบัติของเรา แต่แท้ที่จริงเป็นสมบัติของโลก ขันธาธิโลก สมบัติของโลก เรามาอาศัยก้อนโลก นี่สร้างคุณงามความดี ผู้มีปัญญาก็ได้กำไร ผู้ไม่มีปัญญาก็ขาดทุน เพราะรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ รูปร่างกายของเราเป็นเครื่องมือเครื่องใช้เท่านั้น เป็นเครื่องใช้
ปากก็ใช้กินข้าวกินปลา ก็ใช้ เรียนวิชาปัญญา หรือใช้พูดในทางที่เป็นศีลเป็นธรรม ในทางที่ดี นี่เป็นต้น มือก็ใช้ทำการทำงาน ประกอบกิจการงานต่างๆ ขาตีนก็ใช้เดินประกอบกิจการงาน ก้นก็มาใช้นั่งกินข้าวกินปลา หรือมานั่งสมาธิภาวนาอย่างที่เราทำกันเนี่ย เอาก้นของเราตูดของเรามานั่งสมาธิภาวนา มันก็ได้บุญได้กุศล เอาไปนั่งเล่นไพ่ ไปนั่งเล่นคุยกันก็ได้สมบัติโลกสมบัติบ้านั่นแหละ คุยกันไปกันมาก็เถียงกัน ไม่ต้องคุยกัน สมบัติบ้า มันอย่างนั้น
ฉะนั้นว่าคุยในศีลในธรรม พุทโธ ธัมโม สังโฆ พระพุทธเจ้าเพิ่นดีอย่างนั้น พระพุทธเจ้าเพิ่นดีอย่างนี้ พระธรรมดีอย่างนี้ อย่างนี้มันก็เป็นบุญเป็นกุศลเกิดขึ้น ปากที่ที่ว่าพุทธคุณ ธรรมคุณเป็นปากเงินปากทองท่านว่า เหมือนหลวงปู่หลวงพ่อของเราก็เอาปากเพิ่นมาสวดมนต์ไหว้พระมาตั้งแปดสิบกว่าปีแล้ว เพิ่นก็มีวาจาสิทธิ์ขึ้นมา มีศรัทธาท่านพูดอะไร คนพูดอะไร เพิ่นพูดอะไร เค้าก็เลื่อมใสศรัทธา เพราะปากของท่านเอามาสวดมนต์ไหว้พระพุทธคุณ ธรรมคุณ ทุกวั้น ทุกวัน เป็นวาจาสิทธิ์ เป็นปากศักดิ์สิทธิ์ เป็นปากเงินปากทอง ไอ้เรา ทางโลกก็ว่ากันเรื่องกินเรื่องอยู่ เรื่องทุกข์ทั้งนั้น กินแล้วก็ขี้ออกไป ถ่ายออกไป กินแล้วก็ขี้ออกไป ถ่าย หมดไป๊ หมดไป สมบัติในโลกมันหมดไป หมดไปๆ สุดท้ายหมดแค่กองไฟ เตสํ วูปสโม สุโข เป็นขี้เถ้า รูปร่างกายของเราได้รูปร่างกายมา แข้งขาหูตาดี แต่ว่าตายไปแล้ว รูปร่างกายของเราไปฝังไปเผาเป็นขี้เถ้าหมด ไม่มีอะไรเป็นสมบัติของตน นอกจากคุณงามความดีเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่ง เป็นที่อาศัยไปในทางโลกหน้า
เพราะว่าอมตจิต จิตของเราเป็นอมตะแปลว่าไม่ตายเด้อ นำภพนำชาติไปอีก อย่างนี้เป็นต้น ไปเกิดอีกไม่ต้องสงสัย ยังไม่เป็นพระอรหันต์ตราบใด ก็ยังเวียนว่ายตายเกิด ไปตกนรกบ้าง ไปเป็นเปรตบ้าง เป็นสัตว์บ้าง ไปเป็นอะไรต่างๆเยอะแยะ ชีวิตของเราไม่เที่ยงแท้แน่นอนนะ อย่างนี้เป็นต้น ฉะนั้นพระพุทธเจ้าของเรา สมัยเพิ่นสร้างบารมี ก็เคย ไปเกิดเป็นปู ไปเกิดเป็นปลา ไปเกิดเป็นนก ไปเกิดเป็นหนู ไปเกิดเป็นสรรพสัตว์นั่นน่ะ สัตว์ที่มีแข้งมีขา มีกระดูก พระองค์เป็นทั้งนั้น เป็นปลาเป็นปูเป็นหอยเคยเป็น เกิดเป็นหอยก็เคยเป็น เป็นอีเก้ง เป็นกวาง เป็นอะไร เป็นปลา เป็นหมู เป็นหมา อย่างนี้เป็นต้น เคยเกิดเป็นไก่
ฉะนั้นชีวิตของเราทุกคนๆนี่มันไม่เที่ยงแท้แน่นอน มันเป็นอนิยตบุคคล อนิยตบุคคลนั้นมันยังไม่เที่ยงแท้แน่นอน ถ้าได้พระโสดาเมื่อใด ได้บรรลุพระโสดาเมื่อใดเป็นผู้ที่เที่ยงแท้แน่นอน มาเกิดไปสวรรค์ มาเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์สวรรค์เทียวไปเทียวมาเจ็ดชาติก็อินทรีย์กล้า ละกิเลสไปพระนิพพานแล้ว ปุถุชนคนเราเนี่ยยังไม่เที่ยงแท้แน่นอน ยังเวียนว่ายตายเกิดในโลกนี้ ไม่รู้ว่ากี่ภพกี่ชาติต่อไป ถ้ายังไม่ถึงเป็นพระโสดาตราบใดก็แปลว่าตกอยู่ในอบายภูมิ ภูมิไหนก็ไม่รู้ มันเป็นอย่างเนี้ย
ฉะนั้นพวกเราทั้งหลายได้พากันเสียสละเวลา ตั้งอกตั้งใจมาปฏิบัติบูชาในอรรถธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ตั้งอยู่ในศีล ๕ ก็ดี ศีล ๘ ก็ดี ศีล ๑๐ ก็ดี ตั้งอยู่ในกุศลกรรมบท ๑๐ ก็ดี ไหว้พระสวดมนต์ รักษาศีลเจริญกรรมฐานภาวนานี้ นับว่าเป็นบุญเป็นกุศลเป็นอุปนิสัยปัจจัยของเราทุกคนๆ พระพุทธเจ้าของเราเป็นต้น พระองค์เกิดมาชาติใดก็สร้างบารมี เนกขัมมะบารมี บางชาติก็ครึ่งนึง บางชาติก็ตลอดชาติ บางชาติเป็นพระราชา ท่านเป็นพระราชาครึ่งนึง แล้วก็เป็นนักบวชครึ่งนึงอย่างนี้เป็นต้น
ชาติที่เป็นเนมิราช อายุสองแสนแปดหมื่นปี พระองค์ก็มาสร้าง เนกขัมมะบารมีซะ ๘๔๐๐๐ ปี อย่างนี้เป็นต้น สร้างโลกเป็นพระราชา ๘๔๐๐๐ ปีอย่างนี้เป็นต้น แสดงว่าพระองค์เป็นผู้ที่ทำประโยชน์ตนและประโยชน์คนอื่นด้วย ถ้าทำแต่ประโยชน์ของโลกอย่างเดียวไม่ทำประโยชน์ตน ตายแล้วไปเป็นสัตว์ อย่างที่พระองค์เกิดเป็นมโหสถ ชาติที่เป็นมโหสถ ไม่เคยมารักษาศีลภาวนา แก้แต่ปัญหาของโลก เรื่องนั้นเรื่องนี้ต่างๆเป็นร้อยๆปี ตายจากมโหสถไปเกิดเป็นงู อยู่เมืองนาค เรียกภูริทัต ภูริทัตจำศีลนั่นแหละ ไปเกิดเป็นงูอยู่เมืองนาค แต่พระองค์นึกได้ก็มาเกิดเป็นงูอยู่เมืองนาคนี่แปลว่าขาดทุน เมืองเหนือเพิ่นว่า ไปไหนไม่ได้ หมดหนทาง หงายท้อง
สุดท้ายพระองค์ก็นึกได้ เมืองนาคไม่มีวัดไม่มีศาสนา จำเป็นต้องลาพ่อลาแม่ขึ้นมารักษาศีลอุโบสถอยู่เมืองมนุษย์ ที่ภูเขาลึกๆ แถวเมืองเชียงใหม่โน่น ภูเขามันเยอะ รักษาศีล ๘ เจริญกรรมฐานภาวนาในเมืองมนุษย์ ต่อมาก็หมออาลัมพายน์ก็มาจับไปเล่นละครซะเดือนหนึ่ง แล้วน้องชายก็มาตามไปอยู่เมืองนาค รักษาศีลภาวนาต่อ
ตายจากนั้นก็ไปสวรรค์ ไปชั้นที่ ๔ ชั้นดาวดึงส์ ชั้นจาตุม ชั้นดาวดีงส์ ชั้นยามา ชั้นดุสิตา สวรรค์ชั้นที่ ๔ ที่ครูบาใหญ่ของเราจะมาตรัสข้างหน้าคือพระศรีอายเมตตรัย ชั้นนี้อายุ ๔๐๐ ปีเมืองเรา คือวันหนึ่งคืนหนึ่งของเขา ที่มาอยู่เนี่ยในเนี้ย ไม่ได้วันหนึ่ง ไม่ได้เสี้ยววันหนึ่งเลย ๔๐๐ ปี เมืองเราเป็นวันหนึ่งคืนหนึ่งของเขานะ เพราะฉะนั้นแค่ดาวดึงส์ก็ยังไม่ได้ ๑๐๐ ปีเมืองเราเป็นวันหนึ่งคืนหนึ่งของเขา ที่มาอยู่นี่ หลวงตา หลวงพ่อชุบ ครองเพศอายุ ๘๔ ปี ยังไม่ถึง ๑๐๐ ยังไม่ได้วันหนึ่งเลย หลวงตาแค่ ๗๐ กว่าปี ยังไม่ได้วันหนึ่งเลย นี่มันเป็นอย่างเนี้ย
ฉะนั้นวันคืนเดือนปีนรกก็เหมือนกันแหละ นรกก็ร้อยปี บางหน่วยก็ร้อยปี บางหน่วยก็พันปี บางหน่วยก็หมื่นปี บางหน่วยก็แสนปี มันอย่างเดียวกันนะ เท่ากันนะ อายุสวรรค์กับนรกเท่ากัน อายุของนรก ๑๐๐ปี เมืองเราเป็นวันหนึ่งคืนหนึ่งของหม้อนฮกอีกเหมือนกัน อายุยาว พวกนี้อายุยาว
เหตุนั้นจึงว่าพวกเราที่ได้มาพบปะคำสอนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสรรเสริญว่า สัมปรายิกัตถประโยชน์ ทิฏฐธรมมิกัตถประโยชน์ นี่เราได้ทำสองอย่างนี้เราว่าเป็นผู้ที่มีโชคดีวาสนาดี แล้วก็พากันตั้งมั่นปลูกศรัทธาความเชื่อความเลื่อมใสในพุทธศาสนานี้ หาโอกาสปฏิบัติบูชาไหว้พระสวดมนต์ก่อนนอนก็ดี หรือตื่นนอนขึ้นมาก็ดี กราบพระไหว้พระ หาโอกาสนั่งชำระจิตใจของเรา ภาวนาพุทโธๆ ใจสงบตั้งมั่นดีแล้ว เรียนหนังสือก็เก่ง
หลวงตาเคยไปสอนทางปักษ์ใต้นั่นน่ะ ไปสอนนักเรียน เขาภาวนาเก่ง มองเห็นครูออกปัญหาอะไร อะไรรู้ออกมาครูออกปัญหามา ออกข้อสอบมา ออกข้อปัญหามา นั่งดู เห็นหมด เห็นเอาๆ สุดท้ายมันได้ที่หนึ่ง ภาวนาจนจิตสงบแสงสว่าง มองเห็น เรียนหนังสือก็จำดี เรียนหนังสือก็เก่ง อะไรเหตุการณ์เกิดขึ้นมา ไปสอบก็ได้ที่หนึ่ง เพราะเขาออกปัญหาอะไรมามันนั่งเห็นแล้ว นั่งรู้แล้ว มันเกิดขึ้นภายในน่ะ อันนี้มันมีประโยชน์
แล้วก็จิตตั้งมั่น จิตเป็นสมาธิเนี่ย ทำอะไรก็สำเร็จ ใจดีใจสบาย ใจเป็นสมาธิแล้ว ประกอบกิจการงานอะไรก็สำเร็จ เช่นนั้นจึง นัตถิ สันติ ปะรัง สุขัง เพิ่นว่า สุขอื่นนอกจากความสงบไม่มี ฉะนั้นว่าเราฝึกฝนไว้เนี่ย มีโอกาสเกิดเหตุอะไรขึ้น ทางโลกของเราข้างหน้าจะมีการต่อสู้เยอะ ต่อสู้ภัยต่างๆมากมายก่ายกอง ฉะนั้นเมื่อเราได้ฝึกฝนได้อบรมแนวทางปฏิบัติแล้ว เราก็นำไปปฏิบัติ เมื่อมีเหตุการณ์น่ะไปนั่งอานาปานสติ ลมเข้าพุทโธ ลมออกพุทโธ ใจดีใจสบายก็แก้ปัญหาต่างๆได้ อย่างนี้เป็นต้น อันนี้เป็นหลัก
ฉะนั้นจึงขอฝากธรรมะแนวทางปฏิบัติให้แก่พวกท่านทั้งหลายที่มีศรัทธาความเชื่อความเลื่อมใส เสียสละกิจการงานของโลก คืองานของโลกเป็นงานที่ไม่แล้ว งานไม่แล้ว งานไม่อิ่ม งานไม่พอคืองานของโลก ทำจนตายก็ไม่เสร็จ กินจนตายก็ไม่อิ่ม งานของโลกกินจนตายก็ไม่อิ่ม ทำจนตายก็ไม่เสร็จ เกิดมาทำแล้วก็ไม่เสร็จ
งานพุทธศาสนาเป็นงานที่สำเร็จน่ะ ถ้ามาบำเพ็ญ รักษาศีลภาวนา ละกิเลสเป็นพระอรหันต์ เสร็จ แปลว่างานเสร็จ งานแล้ว งานไม่แล้วคืองานของโลก พระพุทธเจ้าเพิ่นว่า งานขี้ทุกข์ขี้ยากคืองานของโลก ยิ่งทำก็ยิ่งทุกข์ เป็นเศรษฐีว่าจะสุข ว่าจะสุขก็ไม่ใช่ ทุกข์อยู่ เดือดร้อน กล้วเขามาฆ่า กลัวเขามาตี มีเงินก็เป็นทุกข์ เป็นทุกข์ทุกอย่าง มีแต่ทุกข์ ฉะนั้นงานของโลกเพิ่นว่า พระพุทธเจ้าว่างานขี้ทุกข์ขี้ยาก ยิ่งทำก็ยิ่งทุกข์ ทำก็ทุกข์เรื่อยไป กินก็เป็นทุกข์ บ่ได้กินก็เป็นทุกข์ กินแล้วบ่ได้ขี้ได้ถ่ายก็เป็นทุกข์ ถ่ายแล้วบ่ได้กินก็เป็นทุกข์อีก มีแต่เรื่องทุกข์ เรียกว่าก้อนทุกข์ นัตถิ ขันธา สมา ทุกขา ทุกข์อื่นเสมอด้วยขันธ์ห้าไม่มี ให้เห็นทุกข์เห็นภัย ฉะนั้นที่เรามาฝึกฝนเพราะจะต้องการหนีทางพ้นทุกข์ ทางพ้นทุกข์ก็คือทางสวรรค์ทางนิพพานนั่นแหละ ทางอื่นไม่มี มีแต่เรื่องทุกข์ไปเกิดไหนเถอะในโลกอันเนี้ย มันเจอทุกข์ทั้งนั้น ฉะนั้นพวกเราทั้งหลายมีโอกาสเสียสละมาปฏิบัติบูชานี้เพื่อหาหนทางความพ้นทุกข์ พ้นภัยในวัฏสงสาร ฉะนั้นอุบายธรรมะที่กล่าวมานี้ เมื่อพวกเราทั้งหลายได้ยินอุบายธรรมะ(เทปจบ)