หลวงปู่หลวง กตปุญโญ
เทศน์วันที่ ๑ ส.ค. ๒๕๔๐
จตุทสีที่ ๑๔ ค่ำแต่ว่าเดือนสิงหานี่ไม่เต็ม มันหมดแค่ ๑๔ ค่ำ เหตุนั้นอย่าไปฆ่าสัตว์นะ อย่าไปลักขโมย อย่าไปประพฤติผิดในกาม อย่าพูดโกหก อย่ากินเหล้า อย่ากินข้าวเย็น อย่าฟ้อนรำขับร้องดีดสีตีเป่า อย่าประดับตกแต่งภายนอก การตกแต่งภายนอกนั้นมันก็เป็นภัยดังที่เราก็รู้กัน ขโมยมันเห็นมันก็ฆ่าเอา เครื่องประดับภายนอกเป็นภัย ฉะนั้นพระพุทธเจ้าก็ให้เอาธรรมเป็นเครื่องประดับ ศีลเป็นเครื่องประดับ
วันนี้จะได้นำธรรมะในข้อต้นคือว่า ศีลนั้น ธรรมนั้นมันมีตั้ง ๓ ชั้น เปลือกของศีล เปลือกของธรรม แล้วก็กระพี้ของศีลของธรรม แกนของศีลของธรรม บุคคลที่ยินดีในการบูชาดอกไม้ธูปเทียน บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ครูบาอาจารย์ เป็นที่ระลึกเป็นที่พึ่ง ท่านก็เปรียบเหมือนเอาเปลือกไม้มาสร้างบ้านสร้างเรือนเป็นที่อยู่ ธรรมดาเปลือกไม้นั้นน่ะ มันไม่ทนถาวร ปลวกก็กิน มอดก็กิน พัง ไม่มั่นคง ฉะนั้นผู้หยุดติดอยู่แค่อามิสจึงช่วยศาสนาบำรุงศาสนาให้ดีให้สืบไปไม่ได้ เปรียบเหมือนเอาเปลือกไม้มาทำบ้านสร้างบ้านอยู่นั่นน่ะ
อันนี้บุคคลที่มารักษาศีลหรือว่านี่ท่านเปรียบเหมือนเอากระพี้ หรือว่า มอก หรือกระพี้มาสร้างบ้าน ไม้ที่เป็นกระพี้นั้นน่ะมาสร้างบ้านอยู่ มันก็ไม่ทน ปลวกก็กินได้ ตัวมอดตัวอะไรกิน ไม่พัง ไม่ทน ลมมาก็หักง่าย หักเร็วแต่ว่าโบราณว่า เสาไม้มอกตอกไม้หลื้ม
อันนี้ก็คนที่มารักษาศีลแล้วภาวนา ปฏิบัติบูชาจนจิตตั้งมั่นแก่นสารมั่นคง ก็เปรียบเหมือนเอาแก่นไม้มาสร้างบ้าน แก่นนั้นน่ะมันมั่นคงถาวร ปลวกก็ไม่กิน มั่นคง อันนี้ฉะนั้นจึงว่าบางคนสามจำพวก นี่จึงไปไม่เหมือนกัน ถือพุทธเหมือนกันแต่ไปไม่เหมือนกัน ดีไม่เหมือนกัน ฉะนั้นคติโบราณท่านจึงกล่าวว่า คนสามบ้านกินน้ำบ่อเดียว เทียวทางเดียว แล้วไม่เหยียบรอยกัน คือบางคนก็ได้พุทธแค่เปลือกๆ บางคนก็ได้พุทธแค่กระพี้ บางคนก็ได้พุทธถึงแก่น คือจิตเป็นสมาธิจนถึงวิมุตติธรรม
คำว่าวิมุตติธรรมนั้นคือว่า จิตพ้น จิตพ้นจากความยึดความถือในรูปในนามเนี่ยแหละ วิมุตติหลุดพ้น แปลว่าพ้นจากความยึดความถือในรูปร่างกาย เนี่ยเป็นตัวตน ฉะนั้นความยึดถือในร่างกาย ยินดีพอใจในร่างกาย หลงใหลในร่างกายเนี่ย พวกนี้ขี้คร้าน จะทำงานก็กลัวเหนื่อย กลัวจน กลัวผอม กลัวดำ แต่ว่าก็เลยหาวิธีขโมย ลักขโมยมากิน หลอก พวกนี้ตายแล้วไปเป็นเปรตอสูรกาย เป็นอสูรกายเปรตอสูรกาย เปรตมันมีหลาย เปรตอสูรกายเทียวหลอก อันนี้ผู้ที่ไม่ถึงพุทธแท้ เค้าก็ว่า เทวดามาเท่านั้นเท่านี้ ก็ไปเชื่อเค้า เค้าหลอกกิน คือมาจากพวกที่ขี้คร้าน หลงอยู่ในรูปร่างกาย มาจะรักษาศีลนั่งภาวนาก็กลัวเจ็บแข้งเจ็บขา มารักษาศีลก็กลัวอด กลัวอยาก กลัวหิว กลัวตาย จะทำทานก็กลัวหมด กลัวจน กลัวอด อันนี้พวกนี้ตายแล้วไปเป็นเปรตอสูรกาย เยอะ หลายล้านหลายโกฏิ
มันมีคนหนึ่งชื่อไอ้โต พ่อมันเป็นญี่ปุ่น แม่เป็นคนพม่า มันมาเกิดแล้วมันมีวาสนาบำเพ็ญมา ไปรักษาศีลภาวนาอยู่ในผีป่าช้าป่าเห้ว ปฏิบัติเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา ผีป่าช้าป่าเห้วน่ะเป็นเดือนๆ เป็นเดือนๆ บ่ได้บวชน่ะ เป็นชาวบ้านเนี่ยแหละ จนมีญาณฤาษีเกิดขึ้น ญาณฤาษีเกิดขึ้นมีอะไรต่างๆในสถานที่นั้น จะเป็นอย่างไร ภูตผีปีศาจชั้นไหนๆเป็นอย่างใด รู้เห็นหมด มันว่ามันไปอังกฤษ อเมริกาฝรั่ง ฝรั่งนั้นหาเทวดายาก มีแต่พวกเปรตอสูรกายเยอะ หลายร้อยหลายพัน
บัดนี้เจ้าคุณสมเด็จพุทธพจน์ที่มาเทศน์วัดเราที่มาฉลองศาลานั่นก็ว่าเหมือนกัน ท่านไปภาวนาอยู่ที่อเมริกา โอ้ย เห็นแต่เปรตอสูรกาย ทนทุกข์มากมายก่ายกอง น่าสงสาร เปรตอสูรกายเยอะ ฝรั่งนั่นน่ะ เป็นเปรตอสูรกาย เพราะอะไร เพราะมันได้แค่เปลือกของธรรม เปลือกของศีล มันบ่ได้แก่นศีล มันได้มีธรรมอยู่เหมือนกัน แต่มันได้แค่เปลือก ได้แค่กระพี้ แบบสร้างเรือนก็เสาไม้มอกตอกไม้หลื้ม อะไรมาชนก็พังเลย
ฉะนั้นคนที่ไม่ได้มาปฏิบัติบูชาเนี่ย ยังไม่สงบไม่รู้หรอก หลงไปภายนอก ไม่เชื่อมั่นในพุทธศาสนา บางทีนั่นปากเป็นพุทธแต่ว่าใจเป็นเปรต อย่างนี้เป็นต้น ปากเป็นพุทธก็อย่างใด คือข้าพเจ้ามีพุทธ มีธรรม แต่ใจเป็นเปรต คอยแต่ลัก คอยแต่ขโมย คอยแต่แอบเอาของคนอื่น เอาแต่ความสุข อาศัยคนอื่นแอบเขากินตลอดไป จะตั้งหลักตั้งเนื้อตั้งตัวหละ อันนี้เพิ่นว่ามันเป็นเปรตอสูรกาย เป็นเปรตอสูรกายทนทุกข์ทรมานเหมือนกัน เปรตอสูรกายมันหิว มันหิวมันโหยไม่ได้กิน บางทีบางจำพวกก็ไม่มีน้ำกิน บางจำพวกก็ไม่มีข้าวกิน ตัวผอมตัวยาวมีแต่ร่างกระดูก อย่างนี้เป็นต้น ทุกขเวทนา แล้วยังไม่หลอกเค้าอีก เป็นผียังไปหลอกคนนั้น หลอกคนนี้ หลอกกิน หลอกกิน แอบกิน หลอกกิน เป็นอย่างนั้น
เหตุนั้นพวกเราที่มาอยู่ในวัดสำราญฯหรือมาประพฤติปฏิบัติวัดสำราญฯนี้ เราจึงได้มีทั้งเปลือก มีทั้งกระพี้ มีทั้งแก่น แต่ว่าสุดท้ายนั้น เปลือกกระพี้เราไม่เอาหรอก เราต้องการแก่นอย่างเดียว คือวิชาวิมุตติเพราะแก่นของธรรม ท่านเปรียบเทียบเหมือนว่าเครื่องประดับ คือว่าสัตว์โลกทั้งหลายมันก็ประดับแล้วก็สวยงาม น่าดูน่าชม รักใคร่นับถือว่าเป็นคนดี อย่างเมืองพม่า หลวงตาได้ไป พวกเศรษฐีนี่มันประดับจริงๆ ทั้งคอทั้งแขน ใส่สร้อยทองคำมาประดับเพชร มันออกมาไหว้ มากราบไหว้ พระไทยมาแล้วเด้อ แล้วก็มากราบ พระไทยมาแล้วเด้อ มันก็ยังเห็นพระไทย ก็ไหลออกมาพวกเศรษฐีเมืองพม่า ประดับเพชรทั้งแขนทั้งคอ โอ้ย คิดเป็นราคาก็ถ้าเป็นสมัยนั้นก็เป็นหลายล้าน แต่ว่าเมืองพม่านั้นเขาไม่ค่อยมีขโมย จะจี้ปล้นนั้นมันก็มีน้อย ไม่ค่อยมี เป็นอย่างนั้น
ถ้าเมืองไทยละก็เดือดร้อนเหมือนกัน ที่หลวงตาเคยไปรถไฟ เพิ่นเอาเครื่องตะขาบแขนประดับแขนเพิ่นบนข้อมือ นั่งอยู่ในรถไฟ เอามือก่ายหน้าต่างรถไฟ ขโมยมันก็ตัดแขนไปเลย ตัดแขนทิ้งปุ๊บโดดรถไฟออกไปเลย แขนขาด
เนี่ยเครื่องประดับของโลกมันว่า เหตุนั้นพระพุทธเจ้าเป็นยังไง ประดับ เอาเครื่องประดับภายใน การให้ทานเปรียบเหมือนเงินเป็นเครื่องประดับ แหวนเงิน สร้อยคอก็เงิน อะไรก็เงิน อย่างพวกอีก้อมูเซอ การรักษาศีลเปรียบเหมือนเอาทองคำมาเป็นเครื่องประดับ ทองคำมันก็มีค่าทำให้งาม แต่ทองคำนั้นจะมีค่าขึ้นจริงๆ ดีเด่นขึ้นไปก็ต้องมีเพชรเป็นเครื่องฝัง ฝังในทองคำนั้นแหละ จึงมีคุณค่าขึ้นอีก เหตุนั้นจึงว่ามีศีลแล้วต้องภาวนา…มีภาวนา
ฉะนั้นการภาวนานั้น เปรียบเหมือนเพชร จิตใสสะอาดเป็นแก้ว การรักษาศีลเปรียบเหมือนเอาทองคำมาประดับ การภาวนาเปรียบเหมือนเอาเพชรมาเป็นเเครื่องประดับ การให้ทานเปรียบเหมือนเอาเงินมาเป็นเครื่องประดับ นี่เป็นเครื่องอันสวยงาม แต่งตัวอย่างนี้ไม่มีภัย โจรก็ฆ่าไม่ได้ ตีไม่ได้ มันไม่ฆ่า มันไม่ตีหรอก อย่างว่า ปุญฺญํ โจเรหิ ทูหรํ เพิ่นว่า บุญนั้นน่ะโจรลักขโมยไปไม่ได้ มันมาตีมาฆ่าก็ไม่ได้ บ่เหมือนสมบัติทางโลก สมบัติทางโลกน่ะจะว่าไปก็สมบัติขี้ทุกข์ขี้ยาก แย่งกันแต่ง แย่งกันใช้ เดือนร้อนวุ่นวะวุ่นวายเพราะความหลง
ฉะนั้นเมืองไทยก็เลยเงินบาทลอยก็เพราะความหลง ไทยของเรามันไทยโง่ ไทยง่าว คือของภายนอกยกตัวอย่างกางเกงยีนส์ กางเกงอะไรตัวละ ๒๐๐บาท ทำในเมืองไทยมันไม่ซื้อ เอาไปตีตราเมืองนอกมาขายตัวละหกร้อย เจ็ดร้อย ตัวละพัน ซื้อกันลุบๆๆๆ เงินก็อยู่เมืองนอกหมด เอาแล้วเงินบ่มีใช้บ่เนี่ย ไปโทษรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ที่เจ้าของเมืองไทย คนไทยนี่แหละมันง่าว มันโง่ มันหลง นี่มันง่าว นี่โทษของมันนะ โทษสาเหตุของมันเป็นอย่างเนี้ย ตัวสองร้อยบาท ขนผ้ามันตัวละสี่ร้อยบาท มันได้ ก็หมื่นตัวแสนตัวมันได้กี่ล้านแล้วหละ เงินก็ตกอยู่เมืองเขา เนี่ย เดือดร้อน เงินบาทลอย บ่มีเงินใช้ เป็นขี้หนี้ รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ต้องไปยืมเงินมาใช้ทดแทน บัดนี้คนไทยทุกคนๆเกิดมาแล้วเป็นคนขี้หนี้หมด เป็นหนี้หัวละพันหัวละหมื่น ก็เรียกหัวละหมื่นๆ เป็นหนี้เขาน่ะ เป็นหนี้ฝรั่ง ยืนเงินเขามาใช้
เนี่ยความโง่ ความหลง ความโง่เง่าเต่าตุ่น เพิ่นว่า หลงใบ้หลงเง่า เนี่ยโทษมันนะ ที่จริงมันเพราะความหลงความลืมตัว ของตัวไม่ใช้ ไปใช้สมบัติของเพิ่น มันก็เข้าตำราที่ว่ามันทำนองที่ว่าเอ็นดูเขาเอ็นเราขาด ที่จริงก็มันไปสงสารเขา ก็ถูก คือเราไปหลงสมบัติเขา นี่สมบัติโลกสมบัติบ้า ก็พาให้เดือดร้อนเป็นทุกข์เป็นยากก็เพราะความหลงนั่นเอง ความหลง แต่งทางนั้น แต่งทางนี้ จะเอาศีลเอาธรรมมาแต่ง เอาอันนั้นมาแต่ง…ไม่เอา เอาแต่เครื่องภายนอกมาแต่ง แต่งซากศพแต่งซากผี สุดท้ายก็ตีกลองตึ่งๆ ก็ไปเผาหมด ศพงามขนาดไหนก็เป็นขี้เถ้าหมด แต่งอย่างใดๆก็หมดค่า เป็นขี้เถ้าหมด เนี่ยความโลภ ความโกรธ ความหลง อวิชชา ตัณหาพาทุกข์ พายาก พาเดือดร้อน ก็หาว่าสุดท้ายก็ไปโทษรัฐบาล ที่จริงพวกเราง่าว พวกเราหลง พวกเราลืมตัวบ้าต่างหาก ดังที่กล่าวแล้วนั่นแหละ
แล้วก็มีคนหนึ่ง โยมคนหนึ่งแกทำขนม กล่องยาวราวๆเกือบฟุตเนี่ยแหละ แกทำขายขนมอร่อย กระป๋องละห้าบาท บ่มีคนซื้อ ไปตั้งตลาด บ่มีคนซื้อ ทำอย่างไรลงทุนหลายแสนแล้ว จำเป็นสละทุนอีก ไปตีตราฝรั่งมา ขายลุบๆๆ กล่องละสิบห้าบาท ขายดิบขายดี นี่แหละความโง่ ความหลง ความง่าว ความเซอะของคนไทย ถือพุทธ แต่บ่ได้รู้จักพุทธ เพราะบ่ได้ภาวนา บ่ได้มาศึกษา เหตุนั้นจึงว่าไม่สันโดษของที่มีอยู่ เรียกว่าคนไม่สันโดษ สันโดษของที่มีอยู่ ของตัวมีอยู่แต่บ่ใช้ ไปใช้แต่ของนู้นน่ะ เนี่ยเพิ่นว่ามันขาดธรรม ขาดศีลขาดธรรม นำมาซึ่งความทุกข์เดือดร้อน อะไรก็แพงๆเดือดร้อนแล้วบ่เนี่ย เนี่ยความง่าวของคนไทย ความโง่ของคนไทย ความบ้าของคนไทย ไปหลงสมบัติบ้าของประเทศนอกว่าเป็นของดี เนี่ยมันให้โทษให้ทุกข์ น่าสงสารๆ
อาตมาพิจารณาดูตั้งนานแล้ว ไม่ใช่เดี๋ยวเนี้ย ว่าบ่อย เคยไปว่าหลายแห่งแล้วว่าไทยง่าว ไทยมอก ไทยหลง เนี่ยมันเป็นอย่างเนี้ย นี่เรื่องความเป็นมาในปัจจุบัน เหตุนั้นจึงว่าคนมันขาดธรรม ขาดศีลขาดธรรม ธมฺมกาโม ภวํ โหติ ท่านว่า ผู้ยินดีในธรรม นำมาซึ่งความสุขความเจริญ ธมฺมเทสฺสี ปราภโว ผู้เกลียดชังธรรม นำมาซึ่งความทุกข์ความเดือดร้อน ความฉิบหาย คือว่าชังธรรมก็คือไม่ปฏิบัติทางธรรมของพระพุทธเจ้านั่นเอง เอากิเลสมันว่า มันก็พาทุกข์พายากอย่างนี้แหละ
อันนี้เล่าสู่กันฟัง ความเป็นมาปัจจุบันนี้มันเป็นมาอย่างนี้ เหตุมันน่ะ อย่าไปโทษรัฐบาลเลย อย่าไปโทษเขาเลย เจ้าของง่าวต่างหาก เจ้าของบ้าต่างหาก เขาสอนอย่างใดก็ไม่เอา ไม่เชื่อ เนี่ยเป็นอย่างเนี้ย เนี่ยเพราะอวิชชาตัณหาพาทุกข์ พายาก พาเดือดร้อน มันเป็นอย่างนี้ขาดศีลขาดธรรม เพราะอะไร เพราะบ่ได้มารักษาศีลภาวนา ที่จริงเครื่องต่างๆก็ประดับกันความละอายเท่านั้นแหละ ปกปิดเพื่อความละอาย ก็บ่ได้ประดับ ประดับอย่างใดเหมือนกับประดับศพนั้นแหละ สุดท้ายก็เผากลายเป็นขี้เถ้า บ่ได้อะไรซักอย่าง เนี่ยความโง่ ความหลง ความบ้า เพราะขาดศีลขาดธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เลยเดือดร้อนวุ่นวะวุ่นวาย อันนี้ก็น่าสงสาร
หลวงตาพิจารณาเห็น มองเห็นน่ะ หน่ายแล้ว ไม่ใช่วันเนี้ย หลายปีมาแล้วมองเห็นโทษมัน มองเห็นภัยความหลงของเมืองไทยน่ะ ที่จริงก็ไปซื้อมาก็ไปซื้อ ไปอเมริกาก็ของอเมริกาซื้อไปซื้อมาก็ออกไปจากไทยนั่นแหละ แม่สายก็เหมือนกันไปจากไทยนั่นแหละ ความหลงความเห่อของคนขาดปัญญา ขาดสติ ขาดปัญญา ขาดศีล ขาดธรรม ขาดพิจารณา แล้วมันก็ให้โทษให้ทุกข์กันอย่างเนี้ย เพราะฉะนั้นอาตมาไม่ได้โทษเลยผู้นำ ผู้นำเขาดี แต่ว่าเราพาง่าวต่างหาก พาโง่พากันง่าว พากันหลงใหลใฝ่ฝันในสิ่งที่ไม่มีเหตุผลดั่งที่กล่าวแล้วนั่นแหละ กางเกงตัวละสองร้อยบาทเมืองไทย บ่ซื้อ เป็นของไทย บ่ดี ก็ขนออกไปตีตราเมืองนอก มาขายหกร้อยแปดร้อย ซื้อลุบๆๆ หาว่าของนอก เนี่ยเงินมันไปเท่าไหร่ หาบอกว่าไม่มีเงินพอใช้ นี่หละความง่าวของคน ความหลงของคน ความบ้าของคน เพราะอะไร เพราะขาดศีล ขาดธรรม ขาดพิจารณา ที่จริงเครื่องอะไรมาตกแต่ง ความหลง หลงชัด
ฉะนั้นอันนี้เล่าเรื่องความเป็นมา ที่นี่เดือดร้อน ปัจจุบันที่นี่ ที่เดือดร้อนปัจจุบันเพราะเหตุนี้ ฉะนั้นเมื่อผู้ใดว่าขึ้นมา เหตุใดจึงเดือดร้อน ก็เพราะสูนั่นแหละ สูง่าว สูไปหลงแต่ของภายนอก หลงแต่ของเมืองนอก เดือดร้อนเหมือนกันหมด ว่าขาดดุลย์การค้า นี่ฉะนั้นคนที่บ่มีศีล คนที่บ่มีธรรม คนที่บ่ภาวนานี่ โอ้ย น่าสงสาร เดือดร้อนวุ่นวะวุ่นวาย สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตัว บ่รู้ มันไม่รู้เพราะอะไร มันทำเพราะอะไร มันทำเพราะความมืด ทำเพราะความหลง เพิ่นว่าอวิชชา ตัณหา พาทุกข์พายาก อวิชชาตัณหาอุปาทานกรรม เพิ่นว่า อวิชชาคือความไม่รู้ ความไม่รู้ ตัณหาก็อยากได้ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน อุปาทานคือยึดมั่น ยึดมั่นว่า โอ้ ของเมืองนอก ตรานั้นตรานี้ดี เขาหลอก ถูกฝรั่งหลอก หลอกไทย ถือพุทธก็หลายแต่ว่าหลงเขาอยู่ตลอด
เนี่ยเพิ่นว่า มันถือพุทธแต่เปลือก ได้พุทธแต่เปลือก ได้พุทธแต่กระพี้ มันบ่ได้พุทธถึงแก่น มันก็เลยไปอย่างที่ว่านั่นแหละ ฉะนั้นถ้าบุคคลผู้ใดบ่มาภาวนารักษาศีลปฏิบัติ แล้วก็ไปหลงเครื่องภายนอกอยู่นั่นแหละ เนี่ยความโง่ ความง่าว ความหลง ความเซอะของผู้เกิดของผู้หลง ของผู้ขาดศีลธรรมนำมาซึ่งความทุกข์ เนี่ยเหตุแห่งคนขาดศีลธรรมที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ธมฺมเสฺสี ปราภโว เพิ่นว่าคนที่เกลียดชังธรรม เกลียดชังธรรม ไม่ยินดีในธรรม ไม่ปฏิบัติธรรม ไม่ยินดีในธรรม นำมาซึ่งความทุกข์ความเดือดร้อนอย่างนี้
อันนี้ความเป็นมาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านชี้แจงแสดงไว้ หรือครูบาอาจารย์ชี้แจงแสดงไว้ ก็มันมาตรงแล้ว มันมาตรงถูกหม๊ด มันถูกทุกอย่าง มันถูกเรา เพราะฉะนั้นเมื่อมันถูกอย่างนี้ แล้วเราควรปลูกศรัทธาความเชื่อมั่นในธรรม ต่างคนต่างเชื่อมั่นในธรรม ปฏิบัติธรรม มันก็เป็น ธมฺมกาโม ภวํ โหติ มีแต่ความสุขความเจริญ ไม่เดือดร้อน อย่างเนี้ย
ฉะนั้นธรรมะที่กล่าวในเรื่องปฏิปทาข้อวัตรปฏิบัติหรือแก้ปัญหาปัจจุบัน ทุกข์อื่นเสมอด้วยขันธ์ห้า มายึดด้วยขันธ์ห้านี่ไม่มี มันบังคับให้กินน้ำ คอแห้ง กินเข้าไปแล้วเอาละ บังคับให้ไปถ่าย เนี่ยเพิ่นว่า นตฺถิ ขนฺธสมา ทุกฺขา พระพุทธเจ้าว่าทุกข์อื่นเสมอมาหาบขันธ์ห้านี่ไม่มี แสนทุกข์แสนยาก ลำบากตรากตรำ เหตุนั้นพระพุทธเจ้าก็ยังเห็นโทษ พิจารณาเห็นโทษเห็นภัย ที่มาหาบขันธ์ ๕ กระดูก ๓๐๐ ท่อนเนี่ยแหละ
ครั้งพระพุทธเจ้ามีเศรษฐี พราหมณ์มหาศาลไปหาพระพุทธเจ้า ไปกราบพระพุทธเจ้าหลายสิบคนเหมือนกันแหละ ไปกราบพระพุทธเจ้าที่วัดพระเชตุวันมหาวิหาร พระพุทธเจ้าท่านก็บอกกล่าวเพิ่นว่า ดูก่อนพราหมณ์ พราหมณี พราหมโณ กุมารี กุมารา ที่มาเนี่ย ทำไมหาบของหนักมา ทำไมไม่ทิ้ง หาบมาทำไม ทำไมไม่ละ ทำไมไม่ทิ้ง พวกนั้นเขาก็ไม่รู้ เค้าก็ว่าไม่ได้หาบอะไร มาแต่ตัวเปล่า หาบซี่ เค้าก็เถียงว่าไม่ได้หาบ ย่างมาแต่ตัวเปล่า พระพุทธเจ้าว่าหาบกองกระดูก ๓๐๐ท่อน ขันธ์ห้านั่นใช่มั้ย เดินมาเนี่ย หาบเจ็งเจ๊ะๆๆ ถ้าไกลก็ไม่ไหวแล้ว มันหนักกองกระดูก หาบเจ็งเจ๊ะๆๆๆ เนี่ยพวกนั้นมีอินทรีย์บารมี เมื่อว่าเท่านั้นก็รู้ทันที โอ้หาบแท้ๆ ทุกข์แท้ๆ
พระพุทธเจ้าก็เลยเทศน์เรื่องขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตน กองทุกข์ ก็เป็นทุกข์ตั้งแต่เกิดนั่นแหละ พระพุทธเจ้าท่านว่าเป็นทุกข์ตั้งแต่เกิด ออกมาก็นอนอยู่ในผ้าอ้อม เอาขา แหงนหน้าขึ้นฟ้า ขาก็ชี้ขึ้นฟ้า ก็ดิ้น ดิ้นกะแด๊กๆๆ อยู่ในผ้าอ้อมนั่นแหละ
เหตุนั้นพระพุทธเจ้าเพิ่นจึงให้พิจารณาที่เราว่ากันน่ะ ความเกิด ชาติปิทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์ ที่เราสวดเราว่ากันน่ะ แต่เราว่าก็บ่ได้มาภาวนา ไม่ได้พิจารณา ความเกิดเป็นทุกข์ นอนอยู่ในผ้าอ้อมนั่นก็หลายเดือน ขี้ออกมาก็ร้องไห้ เยี่ยวออกมาก็ร้องไห้ เจ็บก็ร้องไห้ หิวก็ร้องไห้ ทุกขเวทนา แสนทุกข์แสนยาก กว่าจะใหญ่ขึ้นมาได้ ใหญ่ขึ้นมาแล้วก็ลืมซะ ลืมเพราะอะไร เพราะไม่ได้มาภาวนา ลืมเสีย ลืมหมด ใหญ่มาแล้ว ลืม ลืมพ่อลืมแม่แล้วบ่เนะ สุดท้ายผู้ชายก็ไปเมาแม่ใหม่เสีย ผู้หญิงก็ไปเมาพ่อใหม่เสีย ลืมหมดเลยพ่อแม่ ลืมแล้วแหละ เพราะอะไร เพราะบ่ได้พิจารณา บ่ได้ภาวนา
เมื่อมาภาวนาเห็นแล้วก็ โอ้ พ่อแม่มีบุญคุณแสนทุกข์แสนยาก นอนอยู่ในผ้าอ้อมนั่นก็หลายวัน สุดท้ายก็มาลุกมานั่งได้ นั่งเอกเปกอยู่นั่นหละ อยากกินอะไรก็ร้องไห้ จะคลานไปกินก็ไม่ได้ จะไปจับมากินก็ไม่ได้ มันไปไม่ได้อ้ะ นั่งเอกเปกอยู่นั่นหละ ผู้ใดไม่เอามาป้อน ผู้ใดไม่เอามาให้ ก็ไม่ได้กินแหละ นี่ก็แสนทุกข์ทรมานอีกหละ
ใหญ่มาก็คลานบ่เน่ คลานกระดิ๊กกระดั๊กไป บ่ฮู้อ้ะ บ่ฮู้ไฟ คนเราเนี่ย มนุษย์เฮาเนี่ยจะว่าไปมันก็คล้ายกับโบ้ง โบ้งมันยังรู้ไฟ บ่แม่นตัวโบ้งมันรู้นะ ไฟ เวลาไฟมามันหนีวิ่ง แต่ว่าวิ่งไปบ่พ้นมันก็ไหม้ แต่มีกำลังมันก็พ้นไป มีกำลังก็พ้นไป บ่มีกำลังก็ถูกไฟไหม้ แต่ว่าคนเราเกิดขึ้นมาแล้ว ขณะคลานหรือขณะย่างเตะตะน่ะ มันบ่ฮู้จักไฟเลยน่ะ เข้าไปจับไฟ ถ้าพ่อแม่บ่ห้าม พ่อแม่บ่บอก พ่อแม่บ่ห้ามมือปื๊ดมือขาดมั้ยหละ บ่ดึงมือออก มึงอย่าไปจับ มันฮ้อน จับมือออกไป เอาไฟหนี
นี่ถ้าเรามาปลงพิจารณาภาวนานะ นี่ภาวนาแท้นะ จะเห็นคุณค่า เห็นคุณค่าในการเกิด เห็นคุณค่าของพ่อของแม่ ทุกอย่างลำบาก เห็นคุณค่าในการที่เรามาเกิดในโลกเป็นทุกข์ มาคลานมาอยู่นี่ก็ โอ้ แสนทุกข์ ขี้มูกออกมา เช็ดก็ไม่เป็น บางทีพ่อแม่มาเช็ดให้ก็ร้องไห้ครางเสียด้วยนะ ครางขี้มูก ครางขี้ตา เนี่ยมันโง่ขนาดไหนน่ะ เพิ่นก็ว่าคนเก่ง เก่งตายห่า ขี้มูกออกมาก็เช็ดก็ยังเช็ดบ่เป็น ขี้ตาออกมาก็เช็ดก็บ่เป็น พ่อแม่ดูแลรักษาทุกอย่าง เช็ดให้ ขี้ออกมา บางทีกำลังกินข้าวอยู่ก็ขี้ออกมา ขี้ออกมาก็จำเป็นมือหนึ่งก็จับคำข้าว มือหนึ่งก็ไปโกยขี้ลูก เนี่ยเป็นอย่างเนี้ย กินได้สบาย บ่ได้บ่น บ่ได้ด่า คุณของแม่หรือว่าคุณของความเกิดของเรานะมัน ขี้ออกมาเช็ดก็ไม่เป็น ล้างก็ไม่เป็น ต้องอาศัย มีแต่ร้องห่มร้องไห้ทุกขเวทนา แสนทุกข์แสนยาก ใหญ่มาแล้วก็มาหลงอีก ใหญ่มาก็มาหลงละบ่เนี่ย หลงสิ่งต่างๆเยอะแยะ ไปทำบาปทำกรรม พ่อแม่ว่าก็บ่ฟัง ถึงบอกให้ฟังมันก็ไม่รู้ มันไม่รู้ เพราะมันมืด มันไม่ได้ภาวนา ไม่ได้พิจารณา
เหตุนั้นพระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่าบุคคลผู้ใดไม่ได้พิจารณาภาวนาความเกิด ไม่พิจารณาความแก่ ไม่พิจาณาความเจ็บ ไม่พิจารณาความตาย ไม่เห็นเกิด ไม่เห็นแก่ ไม่เห็นเจ็บ ไม่เห็นตาย คนนั้นจึงตกหม้อนฮก(นรก) ตกนรก ก็ตกนั่นแหละ เพราะมันหลงอ้ะ มันหลงดังที่ว่านั่นน่ะ พ่อแม่เช็ดขี้หูขี้ตา มันหลง ไม่ออกก็ไปเมามาเนี่ย เมาพ่อมันน่ะ พ่อใหม่มันน่ะ พอออกก็ไปเมาแม่ใหม่ ลืมหม๊ด
สุดท้ายก็ครูบาโมคคัลลา ครูบาโมคคัลลาตกนรกอยู่หลายพันปี แล้วก็ถูกเขาฆ่าอยู่ห้าร้อยชาติก็เพราะนี่แหละ เพราะหลงแม่ใหม่น่ะแหละ หลงแม่ใหม่ ชาตินั้นพ่อก็ตาบอด แม่ก็ตาบอด เพิ่นก็ทำที่ถ่ายไว้อย่างดี ครูบาโมคคัลลาก็เป็นพ่อค้า ไปเที่ยวซื้อของมาขาย ไปขายบางทีก็สิบวันเจ็ดวันค่อยมาบ้าน ลูกสะใภ้ก็อุปัฏฐาก ตาบอด รำคาญ มันเบื่อ รำคาญอ้ะ ต้องแต่งให้กิน ต้องอะไรเยอะแยะ ทุกข์แล้วบ่เนี่ย ก็เลยแกล้งไปเอาขี้ในส้วมมาทาที่ทางไปนั่นน่ะ พรุ่งนี้ครูบาโมคคัลลาจะมาก็เอามาทาเต็มหมดหละ มาก็มาฟ้องผัวว่า นี่ คุณตาคุณยายนั่นแหละ ที่เคยทำ ไม่ทำ ที่เคยอยู่ ไม่อยู่ ทำสกปรกเลอะเทอะ เอาขี้มาทา ก็เห็นจริงๆ ผัวก็เลยพิจารณา ไม่ได้ถามพ่อถามแม่ โกรธโมโหใหญ่ โอ้ ถ้าอยู่อย่างนี้ เป็นอย่างนี้ข้าพเจ้าบ่อยู่แล้ว ไปอยู่กับพี่แล้ว จะหนีแล้ว เอาแล้ว จำเป็นกลัวแม่ใหม่หนี จำเป็นก็เอาแม่ไปฆ่าซะ เอาแม่ไปฆ่า เอาพ่อไปฆ่า
เอาไปถึงป่าแล้วก็ “พ่อ แม่ นั่งอยู่นี่เด้อ เราไปถ่ายก่อน” ก็ว่าหละ ไปตัดขอนมายาวเป็นวา สองค้อน ทำเป็นโจรห้าร้อย ตีพุ่มไม้ ตีตูมตามๆ มาถึงจะมาตีพ่อตีแม่ พ่อแม่ก็ประกาศขึ้นมาว่า “ลูกเอ้ย ๆ หนีไกลๆเด้อ โจรมาแล้ว” ส่วนพ่อก็เห็นว่าเฒ่าแล้ว ตัวยังหนุ่มจะได้สร้างบารมี พ่อตายไม่เป็นไร “รีบหนีเด้อ โจรมันจะมาฆ่าแล้ว” ว่าเท่านั้นแหละ จิตมันตกพรึบทันทีเลย พุดโถ! พ่อแม่นี่รักกู กูจะฆ่า ก็ยังพะวงกูตาย ห่วงลูกตาย เจ้าของตายไม่เป็นไร ขอให้ลูกไม่ตาย นึกได้ทันที โธ่! ก็เลยมาถามพ่อถามแม่ เป็นอย่างนั้นๆ “เฮ้ย ไม่เป็นหรอก ก็เมียมึงน่ะแหละ เป็นเมียหีนะ (หีนะ ภาษาบาลีแปลว่าเลวทราม) เอามาทาแกล้งมึงน่ะแหละ ไม่เป็นจริงทุกอย่าง” เอาแล้ว โมโหแล้ว กลับมาก็มาฆ่าเมียอีก
เนี่ยเพิ่นว่า เมาเมีย เสียพี่เสียน้อง เมาท้อง เสียเงินเสียทอง เสียหมดทุกอย่าง กินไอ้นั่นดี กินไอ้นี่ดี สุดท้าย หม๊ด ฟังคำเมีย เสียพี่เสียน้อง ฟังคำท้อง เสียเงินเสียทองเสียของ หม๊ด คนโบราณท่านว่าแล้ว จะตายแล้ว เจ็ดวันก็เลยตาย ตายแล้วไปตกนรกอยู่หลายพันปี พ้นจากนรก ก็มาเกิดเป็นสัตว์ก็ดี เป็นคนก็ดี ถูกเขาฆ่าทุบตีอยู่ห้าร้อยชาติ
ชาติสุดท้ายเป็นพระโมคคัลลา โจรห้าร้อยจะมาฆ่า ก็เหาะไปอยู่ชั้นดาวดึงส์ “โอ้ สูมาหาข้าบ่ได้หรอก” ก็ว่าหละ “กูเหาะได้” ก็ว่าหละ เหาะไปอยู่ดาวดึงส์อยู่หกวัน เอ้ มองดู อดีตชาติ โอ๋ย กรรมเราทำไว้มากมาย พ้นบ่ได้ร๊อก หนีบ่พ้นหรอกเรื่องกรรมน่ะ ลงมาก็ห้าร้อยคนตีซะกระดูกแหลกหมด ก็เลยทำเป็นตายเพิ่นนะ ทำเป็นตายไม่หายใจ โอ้ มันตายแล้ว ก็หนีเสีย หนีแล้วก็เลยเข้าฌาณ ฌาณที่สี่ เพ่งต่อกระดูก ต่อกระดูกได้ก็ลุกขึ้นมา ไปอาบน้ำอาบท่า ก็ไปกราบพระพุทธเจ้าเข้านิพพานแล้ว เหตุนั้นกระดูกพระโมคคัลลาจึงแม่แต่รอยเลือด แตกร้าวก็รอยเลือดแหลม
เนี่ยเรื่องความหลง เรื่องความมืด เรื่องบ่ได้เข้าวัดเข้าวา บ่ได้พิจารณา บ่ได้ภาวนา มันทำบาปทำกรรมมากมายก่ายกอง เหตุนั้นเพิ่นให้พิจารณาขันธ์ห้าเนี่ยแหละ มันเป็นกองทุกข์กองภัยจริงๆ กินแล้วบ่ได้ถ่ายก็เป็นทุกข์ ถ่ายแล้วบ่ได้กินก็เป็นทุกข์ เหมือนหลวงตานี่แหละ ถ่ายไปแล้วก็คอแห้ง จะกินน้ำ กินเข้าไปแล้ว อ้าว ก็เข้าไปถ่ายแล้ว มีแต่เรื่องทุกข์ มีแต่เรื่องภัย นตฺถิ ขนฺธสมา ทุกฺขา เพิ่นว่า ทุกข์อื่นเสมอด้วยขันธ์ห้านี่ไม่มี
เหตุนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะให้มาเจริญพิจารณากายคตาสติกรรมฐาน พิจารณาร่างกายเนี่ยแหละ เป็นเพียงธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม ผสมกันอยู่ เป็นสัมภวธาตุ ผสมกันอยู่ชั่วครู่ชั่วคราว อาศัยบุญกรรมปิดงำอยู่ สุดท้ายก็เป็นแต่เพียง ดิน น้ำ ไฟ ลม ผสมกันอยู่ชั่วครู่ชั่วคราว อนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง เป็นทุกข์ อนัตตา ไม่ใช่ตน บอกก็ไม่ได้ ไหลเลือนเข้าไปสู่ความแก่ ความเจ็บ ความตายทุกวันๆ เพิ่นว่ายืน อายุกูจะยืนเท่านั้นหละ มันจะดี ก็ว่าหละ ที่จริงไม่ใช่ยืน มันเดินเข้าไปสู่ความตาย ย่างไปสู่ความตาย เหมือนนายเพชฌฆาตจูงโคเข้าไปที่ฆ่า ไปก้าวหนึ่งก็ใกล้ความตายเข้าไปทุกวันๆ เหมือนเราทุกวันนี้แหละ เดินไปสู่ความตายทุกวัน ทุกนาที ทุกชั่วโมง ตายเข้าโลก อ้าปากก็หวอ เค้าก็เอาไปเผาแล้ว
เกิดมาก็ฮักรักษา พ่อแม่ก็รักษา เจ้าของก็รักษาเอาเครื่องมาประดับทุกอย่างให้ร่างกาย เลยหลงแต่ประดับภายนอก รักษาแต่ภายนอก ประดับแต่ภายนอก ส่วนใจตัวไม่ตายนั้นไม่เคยรักษา ไม่เคยดูแล ไม่เคยเอาใจใส่ ปล่อยให้ใจไปภายนอก เรื่องนั้นเรื่องนี้ เรื่องหยัง บ่รู้หละ เรื่องภายนอกเพิ่นไปเพ่งแต่ภายนอก คนนั้นไม่ดีอย่างนี้ คนนี้ไม่ดีอย่างนี้ เอาแล้วบ่เน่ ก็เลยเป็นหมาเลยบ่เน่ เอาแต่ภายนอก หำเจ้าของบ่ดูเด้ หมาพักหำเพิ่นว่า เห็นคนนั้นมาก็เห่า คนนี้มาก็เห่า ไปติแต่คนนั้น ไปติแต่คนนี้ บ่ดีอย่างนั้น บ่ดีอย่างนี้ เจ้าของไม่ดีไม่ดูอ้ะ ก็เลยเป็นหมาละกัดกันแล้วบ่เน่ แก่ขึ้นๆ ก็อย่างนั้น
เนี่ยโทษของไม่ภาวนา ไม่พิจารณาร่างกายสังขาร ไปเค้นแต่ภายนอกไปยึดแต่ภายนอก ฟังแต่ฟังธรรมกิเลส เพราะกิเลสนั้นน่ะ เพิ่นว่ากิเลสนั้นไม่เคยเป็นมิตรกับใจเลย ไม่เคยเป็นเพื่อนมิตรกับใจเลย ไม่คุ้นเคยเลย มันเกิดขึ้นมาแล้วมีแต่พาให้ทำชั่วทำบาปทั้งนั้น เหมือนไฟ ท่านว่า ไฟก็เหมือนกันน่ะ ผู้ใดจะเป็นเพื่อนกับไฟ เป็นมิตรกับไฟ ร้อยปีพันปีก็ช่างเถอะ มันบ่ได้เป็นเสี่ยว เป็นเพื่อนกับเราหรอก จับเมื่อใดก็ไหม้เมื่อนั้น ร้อน ฉันใดเพิ่นว่า ไฟนั่นแหละ ไม่ได้เป็นมิตร ไม่ได้เป็นเพื่อนกับเราหรอก เผลอเมื่อใดก็ไหม้เมื่อนั้นแหละ จับเมื่อใดก็ร้อนเมื่อนั้นแหละ ไม่ได้เป็นมิตรกับเราเลย
แม้แต่เราจะรักขนาดไหนก็ตาม ถ้าเราไม่รักษา ไม่รู้เท่าทัน ไม่รู้จักดับ ไม่รู้จักรักษาก็ไหม้เรื่อยไป ก็หม๊ด กิเลสก็เหมือนกัน ไม่เคยเป็นมิตร ไม่เคยเป็นเพื่อนกับใจของเราเลย มีแต่นำทุกข์นำโทษมาให้ เช่นความโลภ ความโกรธ ความหลง อวิชชา ตัณหานี่ พาเราทุกข์ เรายาก ลำบากตรากตรำ พาให้เสียหน้าเสียตา
เหมือนเศรษฐีคนหนึ่ง เศรษฐีคนหนึ่งไปหลงรูปพระมหากัจจายนะ เศรษฐีคนนั้นน่ะ โสเรยยะเศรษฐีนั่น พระมหากัจจายนะนั้นรูปงามรูปหล่อ สวยกว่าเทพ งามกว่าเทวดา เทวดาสู้ไม่ได้ สวยงาม เศรษฐีคนนี้ก็มีครอบครัวแล้ว มีลูกสองคนแล้ว ไปกราบมหากัจจายนะ สวยงาม โหย ถ้ากูได้เมียสวยงามอย่างนี้ โอ้ย ดีอกดีใจ เพิ่นว่า เพิ่นคิดอย่างนั้น ก็เลยบาปทันที ก็คิดจะเอารูป จะให้เมียงามเหมือนมหากัจจายนะ คิดอยากได้อย่างนั้น ผู้ชายหายไปเลย ๆเป็นผู้หญิงขึ้นมาทันที หายหมดเพศผู้ชายเป็นหญิงขึ้นมาเหมือนผู้หญิง
เอาแล้ว ก็เลยกลัวแล้วบ่เน่ อายพระมหากัจจายนะ อายพี่อายน้อง หนีไปอยู่เมืองอื่น เมืองอื่นก็มีเศรษฐีมีเพื่อนเหมือนกัน ไปอยู่กับเพื่อนเศรษฐีเมืองอื่น อย่างลำปางก็ไปอยู่เชียงใหม่อย่างนี้เป็นต้นน่ะ เค้าก็ให้อยู่ เป็นเพื่อนกัน อาศัยเป็นสาวงามแล้วบ่เน่ ผู้บ่าวก็ชอบ มาขอแต่งงาน ก็แต่งงานกับเขาเสีย ได้ลูกสองคน
เนี่ยคนๆเดียวเนี่ยเป็นทั้งผู้หญิง เป็นทั้งผู้ชาย เป็นพ่อด้วยเป็นแม่ด้วย มีลูกสองคน ทีนี้พี่น้องเค้าทราบข่าวก็ไปตามมา ไปโตยมา ไปโตยมา เป็นอย่างใดเป็นอย่างนี้ เป็นเพราะเหตุใด ก็เล่าเรื่อง โอ้! ไปกราบมหากัจจายนะ ไปลอบชอบรูปเพิ่นสวยงาม อยากได้เป็นเมีย มันก็เลยกลายเป็นอย่างเนี้ย พุดโธ่! ไป ผิดที่ไหนแก้ที่นั่น ปั๊บพากันมาขอขมาลาโทษกับมหากัจจายนะ เล่าให้เพิ่นฟัง ข้าพเจ้าเป็นคนบาปหนา กิเลสหนาปัญญาหยาบ หลงอยู่ในรูป หลงอยู่ในรูปร่างซากผี เหตุนั้นจึงเป็นอย่างนี้ ขอขมา เพิ่นก็ให้อโหสิกรรม ก็กลับเป็นผู้ชายเหมือนของเก่า
เมื่อเป็นผู้ชายแล้ว พุดโธ่! กูเนี่ยกิเลสอวิชชาตัณหาเนี่ย พากูทุกข์กูยากพากูขายหน้าขายตา พุดโธ่! บ่เอาอีกแล้ว เลยขอโกนผมปลงหนวดบวชกับพระพุทธเจ้าซะ นี่ภาวนา เจริญภาวนาก็ละกิเลส เป็นพระอรหันต์ไปพระนิพพานพ้นทุกข์ แล้วกันไปเลย เนี่ย กิเลสมันพาขายหน้าขายตา ความหลงอ้ะ เป็นอย่างเนี้ย
เนี่ยโทษความหลง โทษไม่ภาวนา บ่ได้มองดูเจ้าของ บ่เห็นเจ้าของ บ่ดูเจ้าของ ไม่ได้ภาวนาเจ้าของ ไปดูแต่ภายนอกเหมือนหมาน่ะ มันมองภายนอก เห็นหยังก็เห่า เงาไม้ก็เห่า เห่าไปเห่ามาก็กัดกันบ่เนี่ย คนเรามันก็อย่างเนี้ย โทษที่มันผิดกันกัดกันก็เพราะหลงภายนอก ไม่พิจารณาเจ้าของ ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงว่าให้หาโอกาส มีเหตุให้ภาวนาดูเจ้าของ จ่อเจ้าของ เจ้าของคิดเจ้าของดีอย่างไร ติเจ้าของ ด่าเจ้าของ เมื่อติเจ้าของ ด่าเจ้าของได้ มันก็ได้ศีลได้ธรรม บ่ไปภายนอก นั่งด่าเจ้าของ นั่งว่าเจ้าของ พิจารณา นอนพิจารณาก็ได้ เดินพิจารณาก็ได้ ไม่ใช่ว่านั่งอย่างเดียว จนมันเห็นแจ้งชัดตามความเป็นจริง ว่ารูปร่างกายของเรานี่เป็นอสุภะอสุภัง ไม่จีรังยั่งยืน ไหลมาซึ่งขี้ ขี้หูขี้ตา ขี้เหงื่อขี้ไคล อุจจาระปัสสาวะ กินก็กินของปฏิกูล เมื่อเวลาเคี้ยวเข้าไปในปากก็เป็นของปฏิกูลน่ะ เมื่อกำลังเคี้ยวเข้าไป คายออกมาแล้ว กินไม่ได้อีก ของเก่านี่นะ นี่กินเข้าไปกลืนเข้าไป ก็ไปปนขี้เก่าขี้ใหม่อยู่ในท้องอีก ไปปนขี้เก่าขี้ใหม่ออกในท้องอีก เพิ่นว่าพิจารณา อาหาเรปฏิกูลสัญญา ไปปนขี้เก่าขี้ใหม่อยู่ในท้อง สุดท้ายก็กินเข้าไป ขี้เก่าก็ไหลออก ถ่ายออกไปอย่างนี้แหละ (เทปจบ)