หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ
สำรวมกาย สำรวมใจ นี่การทำบุญอยู่ตรงนี้ คือความเรียบร้อย ที่มีสติสำรวมกาย ที่มีสติสำรวมใจ เป็นความงามของพุทธบริษัทในธรรมะวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อมีความสำรวมแล้วก็ต้องเป็นผู้มีสติ เป็นผู้ประพฤติธรรมและปฏิบัติธรรม ก็ชื่อว่าเป็นผู้มีศีล ท่านเรียกว่า สังวโร ที่ว่าศีลคือความสำรวมนี่เอง ชื่อว่าศีล รักษาศีล ที่เราสมาทานนั่นละเว้น ไม่กระทำสิ่งที่เป็นโทษ ๘ อย่าง แต่มาดูใน ๘ อย่างนี่ ข้อท้ายไม่น่าจะเป็นโทษ เพราะอาหารเป็นเครื่องเลี้ยงชีวิต แต่ถ้าเราสมาทานแล้ว ไปบริโภคแล้วเป็นโทษ…ไม่น่าจะเป็นโทษ การที่เป็นโทษก็เพราะเหตุใด อันนี้พวกเราน่าจะศึกษาให้เข้าใจชัดให้ละเอียดที่พระพุทธองค์ทรงมุ่งหมาย
ข้อนอกนั้น เช่นการประดับประดาตกแต่งร่างกาย การขับร้อง หรือการดูเขาละเล่นต่างๆ การดูเขาละเล่นต่างๆ พระองค์มีจุดประสงค์เพื่อให้เราสำรวมตา เพราะการเล่นน่ะไม่เป็นเหตุให้เกิดสติปัญญา ความสงบสุขอย่างแท้จริง ทำให้เรามัวเมาหลงไม่รู้ธรรม ไม่เห็นธรรม การไปฟังขับร้องหรือขับร้องเองหรือฟังคนอื่นขับร้อง ขับร้องก็เป็นการสำรวมหู การไม่ให้ประดับตกแต่งด้วยเครื่องระเบียบเครื่องหอมก็เป็นการสำรวมจมูก สำรวมกลิ่นในจมูก การไม่ให้บริโภคอาหารในเวลาวิกาลก็เพื่อให้เกิดความสำรวมลิ้น ไม่ให้นอนในที่นอนอันสูงอันใหญ่ที่ภายในมียัดด้วยนุ่นและสำลีก็เพื่อให้เราสำรวมกาย
เพราะฉะนั้นอุโบสถศีลนี่เป็นอินทรียสังวรครบถ้วน จึงเป็น อุปริมศีล ศีลอย่างสูงสำหรับฆราวาสผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม พระองค์ได้ทรงเทศนาสอนให้พุทธบริษัทปฏิบัติตั้งแต่สมัยครั้งพุทธกาล ก็มีการปฏิบัติรักษาศีลอุโบสถสำหรับฆราวาส มีธุระภาระทางบ้านทางเรือนหลายอย่าง พระองค์ก็เปิดโอกาสให้ได้ประพฤติพรหมจรรย์วันหนึ่งกับคืนหนึ่ง เพราะศีลอุโบสถนี่เป็นศีลพรหมจรรย์ เพราะข้อที่ ๓ เว้น เว้นขาด ไม่ให้อยู่ร่วมกัน แต่ศีล ๕ นั้นไม่ได้เว้นทั้งหมด เว้นแต่เฉพาะที่มีผู้ปกครองหวงห้าม ส่วนการแต่งงานที่ถูกต้องเฉพาะสามีภรรยาอยู่ร่วมกัน ไม่ห้าม แต่อุโบสถศีลนี่เว้น ท่านให้เว้นชั่วคราว วันหนึ่งกับคืนหนึ่ง เพื่อจะได้ถือว่าเป็นการบวชและประพฤติพรหมจรรย์ก็ว่าได้
การที่เราละ การที่เราเว้นเนี่ยแหละ เป็นเจตนาที่จิตประกอบไปด้วยศรัทธา ที่เป็นบุญเป็นกุศล เราทำได้แต่ไม่ทำ เราเว้น เช่นเราเว้นจากการทำลายชีวิตซึ่งกันและกันตลอดถึงสัตว์ เราทำได้ ใครก็ทำได้ แต่เราไม่ทำ มีเจตนาละเว้น เพราะปัญญาที่พิจารณาเห็นคุณเห็นโทษ คือเห็นโทษของการกระทำ เป็นการเบียดเบียนทำลายซึ่งกันและกัน พวกเราทำไม่ได้ เพราะมารู้ชัดแจ้งว่า ชีวิตของใครใครก็รัก ใครๆก็หวงแหน ใครๆก็ต้องการความสุข อยู่เป็นสุข ไม่ให้ใครมาเบียดเบียน มาทำลายชีวิตของเรา สัตว์อื่นเค้าก็เช่นเดียวกัน
นี่ปัญญาส่วนในเรื่องของศีล ความดีของศีล เมื่อเราไม่เบียดเบียนอย่างนั้นแล้ว อานิสงส์ก็คือไม่เป็นภัย เป็นมิตรภาพการอยู่ร่วมกัน นี่อันนี้ สังคมรับรอง บัณฑิตทั้งหลายรับรอง นี่เราควรพิจารณาให้เห็นทั้งโทษ ทั้งคุณ ทั้งสองอย่าง อย่างนี้ศรัทธาของเราจะได้ตั้งมั่น มีสัจจะในการรักษาศีลขึ้นมาโดยความเห็นคุณของการปฏิบัติที่เราเลื่อมใสนับถือพระพุทธศาสนา
นี่ ชัดข้อเดียวเท่านี้ก็ให้พวกเราทั้งหลายพิจารณาด้วยตนเองทุกข้อ ทั้งคุณทั้งโทษ เพื่อให้เกิดปัญญาด้วยตนเอง ไม่อยากขยายให้หมด ให้โอกาสเราผู้ฟังจดจำไว้สักข้อหนึ่ง แล้วก็ไปขยาย พิจารณาข้อ ๒ ข้อ ๓ แต่ละข้อๆ การพิจารณาด้วยตนเองอย่างนี้ท่านว่า ธัมมวิจยะ เป็นธรรมอย่างสูงที่เรียกว่าโพชฌงค์ องค์ที่เราจะต้องบรรลุธรรมหรือตรัสรู้ธรรม ทำให้เรามนสิการธรรม ทำให้จิตใจของเราได้มีวิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่ คือจะอยู่ด้วยการพินิจพิจารณาธรรม ไม่ให้ว่างจากธรรม แม้แต่เราทำงานสิ่งอื่น เราก็หยิบยกธรรมเหล่านี้มาพิจารณาไปด้วยก็ได้ ยังเป็นบุญเป็นกุศล บังเกิดผลความสุขความเจริญ สมกับเราที่เป็นชาวพุทธที่พระพุทธเจ้าสอนให้เราเป็นคนมีความรู้ความฉลาดในการรักษาตน เรียกว่า นิปโก มีปัญญาเครื่องรักษาตนให้พ้นจากเวร ให้พ้นจากภัย ให้พ้นจากความเศร้าหมองทางภายนอกภายในร่างกายและจิตใจ
เพราะฉะนั้นจะให้ชาวพุทธเรามีความรู้ความสามารถ มีศรัทธาพลังอันเข้มแข็งในตัวของเราเพื่อจะได้เด็ดขาดในการกระทำอันสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ เพื่อจะได้ตัดขาดให้หมดไป ไม่สงสัยในเรื่องสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ไม่จำเป็น เพราะโทษที่เกิดขึ้นจากการกระทำคือทุกข์น่ะไม่จำเป็นสำหรับพวกเรา เราไม่ต้องการ เราต้องการแต่ความสงบสุขที่ไม่มีเวรไม่มีภัยเท่านั้น ที่ทำให้เราอยู่เย็นเป็นสุข
แต่สังเกตดูแล้ว ชาวพุทธเรายังปฏิบัติหละหลวม จึงมีปัญหาตามวัดต่างๆในระหว่างพระกับโยม ในระหว่างโยมกับพระ ในระหว่างโยมกับโยมเข้าวัดด้วยกัน ปัญหาต่างๆ เพราะเราไม่หนักแน่นในการศึกษาและปฏิบัติอันนี้ให้มันจริงจังกับปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งทุกคนก็ไม่ต้องการ แต่ก็เกิดขึ้นบ่อยๆ แต่เฉพาะอย่างยิ่งอันนี้สำหรับที่อื่นนะ ไม่ใช่พูดถึงวัดเรา วัดเรานับว่าอยู่ในส่วนที่เรียบร้อย เพราะอยู่ห่างจากหมู่บ้าน ผู้ที่มาล้วนแต่เป็นผู้มีศรัทธา ตั้งใจมาเพื่อสงบวิเวกจริงๆ เพราะฉะนั้นวัดเราจึงมีเหมือนกับวัดคัดเลือก ถ้าผู้ไม่มีศรัทธาอย่างแรงกล้าแล้วก็มาไม่ถึง ด้วยเหตุขัดข้องอย่างโน้นอย่างนี้ ผู้ที่เข้ามาล้วนแต่เป็นผู้ที่หนักแน่นในการบุญการกุศล ตั้งใจปฏิบัติ ด้วยวัดเราจึงอยู่ในสภาพเรียบร้อยตลอดมา
ที่พูดนี่เห็นที่อื่นที่มีบางแห่งนี่ ปัญหายุ่งเหยิง ไม่ระวังต่างๆ ได้ประโยชน์อะไรจากปัญหาเหล่านั้น เราทั้งหลายควรพินิจพิจารณาเพื่อรักษาเสถียรภาพจิตใจของเราให้มั่นคง เวลาไปรวมกลุ่มกับคนอื่น คณะอื่นเราก็จะได้พินิจพิจารณา รู้จักข้อบกพร่อง รู้จักข้อที่เสื่อมเสีย รู้จักข้อที่ไม่ดี ที่มีอยู่ในความคิดและการกระทำของพวกเราชาวพุทธ
เพราะฉะนั้นขอให้เราทั้งหลายศึกษาให้เข้าใจละเอียดลึกซึ้ง อย่าเข้าใจว่าชีวิตเราอยู่ได้เพราะเงินทองอย่างเดียว นั่นเป็นเพราะความเข้าใจที่ผิดมาก จึงทุ่มเทเวล่ำเวลา หาแต่เงินแต่ทอง เพื่อความร่ำรวย ได้เงินทองมาแล้ว เมื่อชีวิตของเราหรือจิตใจของเราไม่มีธรรมะ หรือไม่มีพลังแห่งธรรมประจำอยู่ในจิตใจแล้ว ถึงได้เงินทองมาก็ไปใช้ในเรื่องที่ผิดๆ แน่ะ ไปใช้ที่ไม่ถูกต้อง ได้มาเท่าไหร่ก็ไม่มีเหลือ ยังเป็นหนี้เป็นสินเขา เราไม่ได้สำรวจพิจารณา เงินทองที่เราหามาด้วยความเหนื่อยยากลำบากแล้ว เราก็กะประมาณใช้ในสิ่งที่เกิดประโยชน์ แล้วก็มีเวลาที่จะทำจิตใจหรือปฏิบัติตัวของเรา ขอให้มีความสงบสุข ไม่ให้สิ่งที่มัวเมาลุ่มหลงครอบงำจิตใจให้เกิดความมอมเมาขึ้นมา เป็นทางไม่ให้เกิดสติปัญญาในทางที่ชอบ เราควรสำรวจพิจารณา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวพุทธของเรา พระพุทธศาสนาดีอยู่ แต่เรายังไม่รู้คุณค่าทั่วถึงความดี จึงไม่สามารถที่จะร่วมกลุ่มกัน สามัคคีกัน ตั้งใจปฏิบัติ อยู่ให้เป็นความสงบเรียบร้อย ในชาวพุทธของเรา ยังมีเป็นเหตุให้ผู้ที่ศาสนาอื่นเค้ามองตำหนิติเตียนชาวพุทธของเราได้ ว่าชาวพุทธเป็นผู้มีศีลธรรม แต่ก็ยังมีคนเมา ยังมีคนลักขโมย ฆ่ากัน เบียดเบียนกัน ยังมีคนประพฤติผิดในกาม มีอาชญากรรมต่างๆ ทำความไม่ดีขึ้นในวงชาวพุทธอย่างนี้กันทั่ว ไม่มีหลักมีฐาน ไร้ศีลธรรม เกิดทะเลาะวิวาทกันขึ้นในวงชาวพุทธ นี่ เพราะฉะนั้นให้พวกเราทั้งหลายพยายามพินิจพิจารณาเลือกเพื่อชีวิตของเราจะได้ตั้งหลักอันมั่นคงในทางที่ดี
วันเมื่อวานนี้ก็ข่าวดีสำหรับที่วัดของเราได้hearingผ่านไปแล้ว ที่เราทั้งหลายได้รอมายาวนาน อย่างนี้ก็เรียบร้อยแล้ว ก็ช่วยกัน รักษานี่ไว้เพื่อเป็นหลัก หาความสงบวิเวกตามหลักคำสอนพระพุทธเจ้าที่เราเคารพนับถือ เพื่อเป็นมรดกตกทอดถึงลูกหลานของเรา ลูกหลานของเรามาภายหลังก็จะได้มีสำนักศึกษาและปฏิบัติอบรมเพื่อจะได้เป็นคุณภาพชีวิตที่อยู่ติดโลก ที่ผสมร้อยแปด ความกระทบกระเทือน ความวุ่นวายจากบุคคลหลายประเภท หลายชนิด มีเป็นจำนวนมาก ถ้าหากว่าเราไม่มีธรรมคำสอนพระพุทธเจ้าเป็นหลักชี้ขาดแล้ว เราก็จะไม่แน่นอน ชีวิตของเราตัดสินใจไม่ได้ ไหนเป็นของแท้ ไหนเป็นของเทียม เราจะไปทางไหนก็ไปไม่ถูก ผลที่สุดตัดสินใจผิดๆ เป็นวัฏฏะวนอยู่ ไม่มีที่สิ้นที่สุด
ฉะนั้นขอให้เราทั้งหลายพยายามศึกษา ในเรื่องทานก็ควรจะศึกษาให้ลึกซึ้ง ให้หนักแน่นมั่นคง เพราะการทานของบุคคลรู้กับคนไม่รู้ซึ้งนี่ได้ผลผิดกัน มีผลประโยชน์ผิดกันแก่ผู้กระทำ การรักษาศีล การภาวนาก็เช่นเดียวกัน ต้องรู้จักคุณจักโทษ การทำความดีก็ต้องให้ฉลาด การทำความดี ทำแต่ดีแต่เราไม่ฉลาด เสียโดยไม่รู้ตัวก็มี สมมุติว่าเรามาทำความดี เป็นคนชอบทำบุญให้ทาน หรือเป็นคนชอบรักษาศีล เป็นคนชอบปฏิบัติภาวนา จะยกถือฐานะของเราเป็นว่าเป็นผู้ดีขึ้นมา เอาความดีของตนไปข่มเหยียดหยามดูถูกบุคคลผู้อื่นที่เขาทำไม่ได้ นี่เป็นกิเลส พระพุทธเจ้าพระองค์สอนไม่ให้เป็นคนประเภทนั้น ไม่ให้ถือตัวเรียกว่ายกตนข่มท่าน หรือยกตนข่มคนอื่น เราทำความดีนั้นเพื่อชำระกิเลส เพื่ออยู่ความสงบสุข ถ้าเราไปข่มคนอื่น คนอื่นก็ผลักดันไม่พอใจ ก็เป็นเวรกับเราอีก ก็แปลว่าเราฉลาดในการทำดีไม่พอ ก็ได้รับทุกข์ขึ้นมาอีก นี่ โดยรู้เท่าไม่ถึงการ สำคัญตัวเราดีกว่าเขา แล้วก็ดูถูกเหยียดหยามว่าคนอื่นที่ทำไม่ดี นินทาคนอื่น แล้วก็เป็นศัตรูขึ้นมา ทำให้การปฏิบัติของเราไม่สงบ
เพราะฉะนั้นการถือดีก็ผิด แม้แต่ตนของตนไม่มีแล้ว สิ่งไหนจะเป็นตนได้ เราพยายามสละได้ทุกอย่างจนเหลือแต่ธรรมชาติปกติ จึงจะนั่งเป็นสุข นอนเป็นสุข ตามหลักคำสอนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพระองค์ไม่มีทิฐิมานะ อวดดี ถือดี แม้แต่น้อยเลย ไม่เคยข่มขี่ เอาความดีของพระองค์ไปดูถูกเหยียดหยาม พระองค์สงเคราะห์อนุเคราะห์คนทุกชนชั้น แม้แต่สัตว์อื่น พระองค์ก็ไม่เบียดเบียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักบวช แม้แต่ผักหญ้าที่เขียวสดอยู่กับที่ พระองค์ก็ไม่ให้ทำลายเบียดเบียนอีก นั่น พระเมตตาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ไม่ได้ทนงยกตนว่าพระองค์เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เราพุทธบริษัทควรรับทราบ เรียกว่าความรู้รอบตัวเพื่อจะป้องกันภัยของเรา เมื่อได้ยินได้ฟังแล้ว จดจำให้ดี ตั้งใจปฏิบัติตาม