Skip to content

วิบากกรรม

หลวงปู่บุญเพ็ง กัปปโก

| PDF | YouTube | AnyFlip |

วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการที่มาอยู่อาศัยทางวัดสังฆทาน ซึ่งมีเจ้าอาวาสและมีสมภาร ท่านก็เป็นคนใจกว้าง ท่านเป็นคนใจบุญใจกุศล อุตส่าห์พยายามให้สถานที่ ให้ที่พัก ให้ที่พักแล้วก็ยังไม่แล้ว ยังนำเที่ยวอีก การเที่ยวนี่ก็หาได้ยาก ที่ท่านนำไปน่ะ ที่ไหนไม่เคยไป ท่านนำไปหมด พวกญาติโยมก็พลอยได้ไปด้วย พลอยได้ไปเห็นด้วย นี่เจ้าอาวาส สมภารเจ้าวัดท่านเป็นคนใจกว้าง ท่านเป็นคนใจบุญ โอบอ้อมอารีต่อญาติธรรมคือญาติในทางธรรมะที่มาเยี่ยมเยือน ท่านก็เลยพาเป็นผู้นำ ก็ได้รับความสะดวกสบายจากท่านอย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงได้ขอขอบบุญขอบกุศล ขอบบุญขอบคุณเอาไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย

ทีนี้ต่อไปเรานักปฏิบัติก็มีความสนใจ ก็ไม่เลิกละ ก็ไม่เลิกลาพาจากอะไรหละ ถึงมาเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าที่ไหนก็ตาม ก็ยังสนใจในการภาวนา ก็ต้องการภาวนา ก็ยังอยากนั่ง ก็นั่ง การนั่งก็อย่าไปนั่งคิดหละ ไปที่ไหน ไปเห็นอะไรที่ไหนมา ก็อย่าไปคิด ทำอะไรมาก็อย่าไปคิด เรื่องอดีตที่มันผ่านมาแล้วก็แล้วไป อดีตในวันนี้ก็ตาม อดีตที่มันผ่านมาแล้วหลายปีก็ตาม ที่มันผ่านมาทางหู ผ่านมาทางตา ผ่านมาทางจมูกที่มันเคยได้รู้ ได้เห็น ได้ยิน ได้ฟังมา ซึ่งมันเป็นอดีต ตัวสัญญามันก็จดจำนำเอามา เป็นเครื่องสำหรับที่จะให้เราคิด ทีนี้เราอย่าไปคิด ในเรื่องอดีต แม้กระทั่งถึงอนาคตที่ยังไม่มาถึง ก็อย่าไปคำนึงมัน 

ให้เอาปัจจุบัน เรียกว่าปัจจุปันนัง ที่ลมหายใจเข้าหายใจออกปัจจุบันนี่ ให้ดูลม ลมเข้า ดูลมออก เวลาเข้าเราก็รู้ เวลาออกเราก็รู้ ตามเข้าไป รู้เข้าไป อย่าไปกังวลกับเรื่องภายนอก สิ่งที่มันผ่านมาแล้วก็แล้วไป อย่าไปกังวล อย่าไปวุ่นวายกับของภายนอกให้มากนัก จิตมันไม่สงบ คือเราต้องการความสงบ ต้องการระงับความวุ่นวาย ต้องการระงับความฟุ้งซ่าน ต้องการจิตของเราให้เกิดบุญเกิดกุศลนั่นน่ะ บุญก็คือความสุข กุศลก็คือความฉลาด ให้ฉลาดเอาบุญ ฉลาดเอากุศล นั่นน่ะเค้าเรียกว่าจิตเป็นกุศล เรียกว่ากุศลจิต 

ทีนี้เราพยายามทำจิตของเรานี่ให้อยู่ในวงล้อมของความสงบ อย่าปล่อยจิตของตัวเองให้ท่องเที่ยว จะไปบ้านก็ตาม ไปที่ไหนก็ตาม อย่าปล่อยไป ให้เอาปัจจุปันนัง เอาปัจจุบันนี่ ที่ลมหายใจเข้าหายใจออกอยู่เนี่ย หายใจเข้าเราก็ว่าพุท หายใจออกเราก็ว่าโธ เอาอยู่เพียงแค่นี้หละ อะไรมันจะเกิด ก็ให้มันเกิดในความสงบ อะไรจะมีมา ก็ให้มันมีในความสงบ อะไรมันจะให้รู้ก็ขอให้มันรู้ด้วยความสงบ ขอให้รู้ด้วยความสุข อย่าไปรู้ด้วยความทุกข์ พยายามตั้งข้อสังเกตเอาไว้ให้ดี อย่าไปฟุ้งซ่าน อย่าไปรำคาญ อย่าไปมัวเมา อย่าไปละลืมหลง ชีวิตของเราน่ะมันเป็นของหายาก ที่เราเกิดมานี่ ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์มันก็เป็นของที่หายาก 

ทีนี้เราเกิดมาแล้ว ที่ว่าเป็นมนุษย์ของที่หาได้ยากน่ะ เราก็ได้มาแล้ว กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ การที่เราจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็เป็นของที่หาได้ยาก ทีนี้ของที่หาได้ยากน่ะ เราก็ได้มาแล้ว เมื่อได้มา ได้มาเพราะอะไร ก็ได้มาเพราะ บุพเพกตปุญญตา ก็ด้วยบุญเก่าที่เราได้กระทำมาตั้งแต่อดีตชาติที่ผ่านมาแล้วน่ะ ตั้งแต่หลายภพหลายชาติที่เราสร้างมา เราเคยทำบุญมาน่ะ บุญอันนั้นน่ะ จึงตามสนองมาให้เรามาได้เกิดเป็นมนุษย์ 

แต่มนุษย์ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ที่ได้เกิดมา เราก็อย่าคิดว่าเราจะพ้นจากกรรม มนุษย์น่ะจะเกิดในชาติใดก็ตาม ภพใดก็ตาม คำว่ากรรมจะต้องมีติดตามมา ถึงเราจะอยากก็ตาม ไม่อยากก็ตาม อยากได้ก็ตาม ไม่อยากได้ก็ตาม เรื่องของกรรมนั่นน่ะ มันไม่ได้ตามมาด้วยความอยาก มันไม่ได้ตามมาด้วยความที่เรานึกถึงมัน มันมาของมันเอง เหมือนอย่างที่เรามานั่นน่ะ ที่เราเกิดมาแล้วน่ะ บางคนก็ไม่ได้นึก ก็ไม่ได้คิดว่าเราจะหนีจากบ้านจากช่องมาอยู่ต่างประเทศ เรียกว่ามาประเทศนอก หรือว่าเมืองนอก เราก็ไม่เคยคิด เราก็ไม่เคยนึก และก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้ แต่อนิจจาเอ๋ย พุทโธ่เอ๋ย เพราะเหตุใดแล้วจึงได้มาต่างประเทศ และได้มาอยู่ต่างประเทศ บางคนก็ไปหลายประเทศ บางคนก็มาอยู่ประเทศเพียงประเทศเดียว เราก็ยังมาได้ 

สิ่งที่นำพาให้เรามานั่นน่ะ ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านก็เรียกว่ากรรม ก็กรรมเก่านั่นหละ ก็ของเก่าอย่างเราน่ะที่มันมา แต่มันมาได้อย่างไร เราก็หาได้รู้ไม่ แม้จะมาชั่วครั้งชั่วคราวก็ดี เราก็ไม่เคยคิดว่าจะมา แต่มันก็มา อันนี้มันก็เนื่องด้วยกรรมเก่าที่มันเคยได้สร้าง สร้างกรรมสร้างเวรอะไรไว้โดยที่เราไม่รู้เรื่อง สร้างไว้ชั่วขณะหนึ่งก็ตาม หรือสร้างไว้มากก็ตาม แต่มันก็เป็นของมันไปได้โดยที่เราไม่ได้นึก ไม่ได้คิด ไม่ได้ฝันอะไรเลย อันนี้เฉพาะภายในประเทศ หรือเมืองไทยของเรา ซึ่งเราเกิดเป็นคนไทย แต่เราก็มาด้วยกรรมดี ไม่ใช่มาด้วยกรรมร้าย 

พวกที่มาด้วยกรรมร้ายนั่นน่ะ ได้แก่ประเทศอะไร มีอยู่สองหรือสามประเทศ ประเทศที่มันเดือดร้อน อย่างประเทศลาว และประเทศเขมร ประเทศญวน อันนั้นเค้าบ้านแตกสาแหรกขาด อันนั้นน่ะ กรรมเวรอันอย่างมหันต์ พวกที่มาได้ก็มา พวกที่มาไม่ได้ ที่ตายลงแม่น้ำโขง ก็นับไม่ถ้วน นี่สำหรับพวกลาว พวกเขมรที่มาได้ก็หนีมา พวกที่มาไม่ได้ เขาก็ฆ่ากันเอง ตายเป็นล้านๆ เขาก็ยังฆ่ากันได้ อย่างประเทศญวนเค้าก็หลบหลีกปลีกตัวหนีมาต่างประเทศ ก็ถือว่าเขาอพยพ การอพยพเค้าก็ไม่ได้มาเมืองนี้เท่าไหร่นัก ถึงมาบ้างก็ไม่มาก แต่โดยมากก็มักจะไปประเทศฝรั่งเศส หรือเยอรมัน หรืออเมริกา อย่างประเทศลาว หรือเขมร หรือญวน ซึ่งเขาบ้านแตกสาแหรกขาด เขามาด้วยความทุกข์ ด้วยความยาก ความลำบากจริง ถ้าเราพิจารณาเรื่องของกรรมแล้ว 

แต่เขาเป็นมาได้ยังไง ทั้งๆที่มนุษย์ด้วยกันน่ะ ยังพูดกันไม่รู้เรื่อง มนุษย์ด้วยกันแล้วมันทำไมถึงฆ่ากันได้ ทั้งๆที่รู้กันอยู่ แล้วขนาดบ้านเดียวเมืองเดียวกัน ทำไมถึงเป็นไปได้ แล้วทำไมถึงนำสิ่งไม่ดีไม่งามเข้ามาสู่บ้านสู่ช่องของตัวเอง แล้วก็มาขับไล่ญาติพี่น้องของตัวเอง ให้แตกบ้านแตกเมือง อันนี้น่ะมันหนักขนาดไหน กรรมอันนั้นมันกรรมร้ายน่ะ เรียกว่า กมฺมุนา วตฺตตีโลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม เราก็เป็นมาตามกรรม แต่ว่าเรายังมีกรรมดีกว่าเขาตั้งหลายเท่า แต่เขาน่ะกรรมร้ายจริงๆ กรรมโหดร้ายจริงๆ 

แต่เมื่อเขามาถึงแล้ว ทีนี้กรรมมันก็เลยกลับกัน ของร้ายก็เลยกลายเป็นดี เขาก็เลยกลับมาเป็นคนดีขึ้น หนีจากบ้านจากช่องมา ก็มาอยู่ในสถานที่ที่เจริญและอุดมสมบูรณ์ ผู้ที่เค้ามาได้ก็เรียกว่ามาดี และเค้าก็ได้อยู่ดีกินดี ถึงแม้จะอยู่ดีกินดีสักปานใดก็ตาม แต่ความทุกข์อันนั้นน่ะคงไม่ลืม แม้แต่บ้านช่องของตัวเองที่จะทุกข์ยากลำบากประการใดก็ตาม ก็คงไม่ลืม เค้าจะต้องนึกของเขาและมีความเจ็บช้ำน้ำใจของเขาอยู่ตลอดเวลา ความทุกข์อันนั้นน่ะ จึงฝังอยู่ในจิตของเขา หาที่สิ้นสุดไม่ได้จนตลอดถึงวันตาย 

แม้แต่ตายแล้วก็ไม่มีใครสามารถที่จะรู้เห็นดวงวิญญาณของเขาได้ ตายแล้วเขาก็กลับ อาการกลับนั่นน่ะไม่มีใครเห็น แต่การมาน่ะไม่มีคนเห็น การกลับเขาก็ไปได้ ก็ชั่วขณะนิดเดียว กระดิกนิ้วเดียวเท่านั้นน่ะมันถึงแล้ว เค้าไปแล้ว ถึงบ้านเค้าแล้ว แต่ถึงจะกลับไป ก็หาความหมายไม่ได้หรอก จะถือว่าเป็นสิทธิ์ของตัวเองในสถานที่อยู่อันตัวเองเคยอยู่มาก่อนนั้น อันนั้นน่ะเป็นไปไม่ได้ ได้แต่รำพึงรำพัน ได้แต่อุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่น แล้วก็ผูกอาฆาตบาดหมางเอาไว้ “ในคราวนี้มึงทำกู แล้วต่อไปหละกูจะต้องทำมึง” นี่มันผูกอาฆาตเอาไว้อย่างนี้แหละ 

เพราะฉะนั้นน่ะ กรรมทั้งหลายที่จะให้มันหมดไปจากมนุษย์ ทีนี้มันจะหมดได้ยังไง มันหมดได้ยาก มันหายได้ยาก มันหนีได้ยาก เรียกว่าหนีกรรมเพราะฉะนั้นองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้นน่ะ ก่อนที่จะเบื่อโลก ก็เบื่อเพราะอย่างนี้หละ ท่านว่ามันหนีจากความอาฆาตมาดร้ายซึ่งกันและกันน่ะมันยาก ถึงแม้ท่านจะเป็นราชามหากษัตริย์ ยิ่งพระราชามหากษัตริย์นั้นหละ ยิ่งตัดคอคนดี ยิ่งประหัตถ์ประหารชีวิตของคนที่มันไม่อยู่ใต้อาณัติบังคับบัญชาของตัวเอง ก็เหมือนประเทศนี้ก็เหมือนกันน่ะ ส่วนพระราชามหากษัตริย์ตามประวัติแล้วก็มักจะเป็นไปอย่างนั้นน่ะ มักจะสร้างกรรม สร้างก็สร้างกรรมหนักด้วย สร้างเวรก็เวรหนักด้วย นี่มันเป็นอย่างนั้น 

ทีนี้พระพุทธเจ้าน่ะท่านมองเห็นอันนี้แหละ การจองล้างจองผลาญซึ่งกันและกันนั่นหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ในชาตินี้เขาก็ชนะเรา แต่ไปชาติหน้า เราก็ชนะเขา ก็คือเราไปฆ่าเขา ชาติต่อไปอีก เขาก็มาฆ่าเราอีก ทีนี้มันไปสิ้นสุดตรงไหน มันไม่มีที่สิ้นสุด พระองค์ก็จึงมาค้นหาเหตุ เหตุอันนี้มันมาจากไหน เหตุนี้ก็มาจากกิเลส กิเลสนั้นมันเป็นต้นเหตุ ธรรมทั้งหลายนั้นมันเกิดขึ้นจากเหตุ จะดับไปก็ดับไปเพราะเหตุแห่งธรรมนั้น พระพุทธเจ้าท่านบอก

เหตุมันอยู่ที่ไหน เหตุแห่งธรรมมันอยู่ที่ไหน ก็หัวใจมันอยู่ที่ไหนหละ มันไม่ใช่จะมีแต่เขานะ แม้แต่พวกเราเองน่ะ แม้จะอยู่ด้วยกันในระหว่างครอบครัวหรือหมู่คณะมันก็ยังมีปัญหา ความไม่ปรองดองซึ่งกันและกันมันก็มี ความไม่กินเส้นกินวากันมันก็มี ความผูกอาฆาตมาดร้ายในระหว่างภายในจิตมันก็หากมี ทีนี้ไอ้ส่วนกิเลสทั้งหลายในเมื่อมันมีอยู่อย่างนี้ แล้วมันจะไปสิ้นสุดตรงไหน พระพุทธเจ้าท่านมาค้นหาเหตุ พระพุทธเจ้าก็มาเห็นเหตุอันนี้ เหตุทั้งหลายมันเกิดขึ้น ธรรมทั้งหลายมันเกิดขึ้นก็เพราะเหตุ กรรมทั้งหลายมันเกิดขึ้นก็เพราะเหตุ จะดับไปก็เพราะเหตุแห่งธรรมนั้น 

ทีนี้ก่อนที่มันจะดับได้นะ ก่อนที่มันจะดับเหตุได้เราจะทำยังไง คิดว่ามันจะดับได้ง่ายๆหรือ ดับกิเลสน่ะ คิดว่าจะฆ่ามันได้ง่ายๆหรือ มันฆ่ามันไม่ได้ง่ายๆ ใครจะไปทำลายหัวใจตัวเองได้ เพราะใจตัวเองนั้นกิเลสมันก็อยู่ด้วยกัน ใจก็อยู่กับกิเลส กิเลสมันก็อยู่กับใจ ใจมันก็มีกิเลส กิเลสมันก็มีอยู่กับใจ ทีนี้เราจะไปคิดฆ่ามัน ฆ่ามันได้ยังไง คิดจะทำลายมัน ทำลายมันได้ยังไง คิดจะฆ่ากรรม คิดจะทำลายกรรม คิดจะทำลายยังไง มันไม่ได้เป็นไปง่ายๆ 

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงยอมเสียสละชีวิตมานั่งสมาธิภาวนาน่ะ จนจิตใจของพระองค์นั้นมีความสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ แล้วก็เกิดปัญญาญาณขึ้นมา ก็คือญาณทั้ง ๓ ​เกิดขึ้น บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ ก็เกิดขึ้น พอเกิดขึ้นก็ดับเหตุได้ อาสวักขยญาณน่ะ ก็คือดับเหตุ ก็คือดับกิเลสได้ก็ดับราคะ ตัณหา ดับอวิชชา พระองค์ดับเหตุได้แล้วพระองค์ก็จึงหนีจากกรรมจากเวร กรรมเวรทั้งหลายก็เลยไม่ได้ตามพระองค์ 

เมื่อพระองค์จะหนีจากโลก เมื่อพระองค์พ้นจากโลกแล้ว พระองค์ก็จึงอำลาโลก บอกว่า โลกนี้เราไม่ได้มาอีกแล้ว พระองค์แต่ละพระองค์จึงได้เหยียบเอาก้อนหิน หินแข็งขนาดไหนหละ แต่เมื่อพระองค์ไปเหยียบก่อนที่พระองค์จะปรินิพพาน ไปเหยียบฝากรอยเท้าเอาไว้ รอยพระบาทเอาไว้ บอกว่าโลกนี้จะจากเพียงแค่นี้หละ บรรดาเพื่อนมนุษย์ทั้งหลายที่เกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ก็คงจะเห็นแต่รอยเราเท่านั้น แต่เราจะหากลับคืนมาอีกคงจะไม่มี เราจึงขอฝากเอาไว้ พวกมนุษย์ทั้งหลายถ้าใครจะเดินตามเราก็ให้เดิน เพราะหนทางเราชี้เอาไว้แล้ว 

พระองค์ชี้เอาไว้ก็มีอะไร ก็มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา นี่พระองค์ชี้เอาไว้แล้ว ถ้าใครเดินตามก็ไปได้ ถ้าใครไม่เดินตาม ก็ถือว่าไปไม่ได้ นี่พระพุทธเจ้าท่านหนีจากโลก ทีนี้เราเดินตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เราก็เริ่มต้นตั้งแต่การให้ทาน ทานมัย บุญก็สำเร็จด้วยการให้ ก็ด้วยการเสียสละก็คือใจเรานี่หละ เป็นอันว่าทำลายกิเลสในเบื้องต้น ในขั้นหยาบๆ กิเลสเบื้องต้นคือการให้ทาน ต่อมาก็มีการสมาทานศีล คือรักษาศีล ก็คือรักษาบริสุทธิ์ทางกายและวาจาของเราให้ปราศจากโทษ เราก็ได้ทำเป็นการสร้างบารมีไป 

แต่ยังเหลืออยู่ว่าการทำใจให้สงบนี่ การทำใจให้ตั้งมั่นเป็นสมาธินี่ นี่มันยังเหลืออยู่นี่ ทีนี้เรายังไม่ได้เห็นคุณค่าของจิต และก็ยังไม่เห็นโทษของกิเลส และก็ยังไม่ได้เห็นโทษของกรรม เห็นแต่คนอื่นเขาเป็นกรรม แต่ว่ากรรมของตัวเองไม่เห็น ก็เลยไม่รู้ว่าเราจะไปแก้กรรมกันตรงไหน แม้กระทั่งถึงต้นเหตุของกรรม กรรมที่เกิดขึ้นก็เพราะอะไร เพราะเหตุ เหตุมันก็อยู่ตรงไหนเราก็หาได้รู้ไม่ เมื่อเป็นอย่างนั้นหละ เราทำอย่างไรเราจึงจะรู้เหตุของกรรมนั้นได้ เหตุของกรรมนั้นมันก็ไม่ใช่ว่ามันอยู่ที่อื่น มันก็อยู่ที่หัวใจของเราทุกคน 

ตัวกิเลสนั้นหละตัวกรรมใหญ่ ตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ตราบนั้นน่ะกรรมยังไม่หมด ถ้าไม่มีชาตินี้ในกรรมร้าย ชาติหน้าข้างหน้าอีก เพราะมันมีหน้าหลายหน้า หน้านี้ก็ยังไม่แล้ว หน้านั่นต่อไปอีก ชาติหน้าก็หน้าต่อไปอีก ไม่รู้มันจะเป็นอะไรมั่งในชาติหน้า นี่ก็เพราะกิเลส ทำให้พลัดพรากจากกัน ทำให้เป็นมาตั้งแต่แรกเกิด โอ้! สารพัดสารเพนะ ไม่รู้มันจะเป็นยังไงนะไอ้เรื่องของกิเลส แต่มันมาเกิดไม่รู้ว่ามันมายังไง เรามาเกิดก็ไม่รู้ว่ามากันได้ยังไง ใครเป็นผู้เอามันมาก็ไม่รู้ แล้วมันมากับใครก็ไม่รู้ ใครไปเชิญมันมาก็ไม่รู้ มันไม่มีใครไปเชิญ​ ไม่มีใครไปเรียก แต่มันก็มาด้วยความหลง มาแล้วก็หลงกันอยู่อย่างนี้ นั่นแหละความหลงมันจึงมีอยู่ในหัวใจเรา มันหลงมาแล้วน่ะ 

ทีนี้ทำยังไงเราจึงจะรู้ได้ นอกจากเราจะมาเจริญภาวนาสมาธิทำให้จิตใจของตัวเองมีความสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ นอกจากนี้ก็คงจะไม่มี ก็มีอยู่แค่นี้ ก่อนที่จะทำให้จิตของเรามีความสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ ทำยังไง ก็เพ่งหัวใจตัวเองสิ ต้นเหตุของกรรมนั่นน่ะ ดูกรรมนั่นน่ะ ดูต้นของกรรม กิเลสมันก็เป็นเหตุให้ทำกรรม กรรมนั้นมันก็เป็นวิบาก วิบากมันก็เป็นเหตุให้มาเกิดเป็นกิเลสอีก กิเลสมันก็เป็นเหตุให้ทำกรรม กรรมก็เป็นวิบาก เค้าจึงได้เรียกว่าวัฏวน หรือวัฏสงสาร มันก็วนกันอยู่อย่างนี้นะสิ 

ทีนี้เราทำไมไม่ดูตัวเอง ว่ากิเลสของเรามีไม่ใช่หรือ หรือว่าตัวเองสิ้นกิเลสแล้ว กรรมข้างหน้าเนี่ยแม้แต่ชาตินี้ก็ตาม แม้จะเป็นไปยังไงข้างหน้านี่เราก็หาได้รู้ไม่นะ เรารู้อยู่เฉพาะปัจจุบันนี่ เราก็เป็นคนเรียกว่าคนดีอยู่ แต่ระยะข้างหน้านี่ ความดีอันนี้จะสนองเราไปถึงไหนที่ว่าเราดี มันก็ไม่แน่ แต่จะชาติหน้าอีกก็ไม่แน่ ก็เพราะกิเลส ซึ่งมันสะสมมา สะสมกรรมมา มันสั่งสมมา ยังดีว่าพวกเรายังมีส่วนดีที่เอามา ความดีก็ยังตามสนองให้เรามาได้อยู่สุขสบาย ทำมาหากินหาอยู่ก็ยังพอเป็นไปตามฐานะของมนุษย์ ทีนี้การมาของเรามันก็ไม่ได้มาด้วยเหตุร้าย เหมือนอย่างบ้านอื่นเมืองอื่นของเขา เรามาด้วยความพอใจ หรือเรามาด้วยเหตุเป็นบางอย่างและถูกต้องตามกฏหมายที่เรามา มาเพื่อหาอยู่หากิน เพื่อเลี้ยงชีวิตและเลี้ยงอัตภาพของตนเนี่ยหละ มันก็มายากอยู่กับอัตภาพนี่หละ ก็มีคู่ครองก็ได้ร่วมสุขร่วมทุกข์กันมา มันก็หากเป็นเอง อันนี้มันก็เนื่องมาจากกิเลส ถึงจะบุญก็บุญด้วยกิเลส 

ให้เราเจริญภาวนาจิตของตัวเองให้มีความสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ ลองดูซิ แล้วมันจะเป็นยังไง มันจะเป็นยังไง ไอ้กรรมของตัวเองมันจะมีอะไรบ้าง แล้วเราตายแล้วเราสูญหรือ อ้าว สูญแล้วทำไมถึงมีผีหลอกสำหรับคนตายไปก่อน มันทำไมถึงไม่สูญ มันทำไมถึงมาหลอกหลอนคนที่เกิดมาทีหลัง ก็แสดงว่ามันยังไม่สูญ มันก็ยังมีอยู่ เมื่อมันเป็นอย่างนี้สิ เรากลัวมั้ยหละ กลัวจะไปเป็นอย่างเขามั้ย ถ้ากลัวเป็นอย่างเขานะ เจริญพุทโธน่ะ คือองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าและพระนามของท่านคือพุทโธน่ะ ยึดเอาพุทโธให้มั่น ยึดเอาพุทโธเป็นหลัก นอกเหนือไปจากพุทโธแล้วเราจะไม่เอาอะไรทั้งสิ้น เราจะยึดเอาพระพุทธเจ้านั้นมาประคองหัวใจเรา มาเป็นเครื่องประดับหัวใจของเรา เราจะยึดเอาพระพุทธเจ้ามาประทับในหัวใจของพวกเรา นอกจากอื่นเราจะไม่เอาประทับ เราจะเอาหัวใจของเรานี่รองรับเอาซึ่งพระพุทธเจ้า คือพุทโธ 

เมื่อเรารู้ว่าเรารองรับเอาซึ่งพุทโธแล้ว ดึงพุทโธเข้าไป เอาไปตั้งต้นนั้นน่ะ ตั้งตรงไหนหละ เดี๋ยวนี้มันรู้อยู่ตรงไหน เดี๋ยวนี้มันคิดอยู่ตรงไหน ก็เอาพระพุทธเจ้าลงตรงนั้นน่ะ คือพุทโธนั่นน่ะ อย่ามาไว้แต่ปลายจมูกอย่างเดียวนะ เอาไปตั้งไว้ตรงกลางหน้าอกบ้างนะ ตั้งตรงที่มันคิด มันคิดตรงไหน มันปรุงตรงไหน มันแต่งตรงไหนนั่นน่ะ มันฟุ้งซ่านตรงไหน มันรำคาญตรงไหน เอาพระพุทธเจ้าไปตั้งลงตรงนั้น พระพุทธเจ้าก็คือพุทโธน่ะ เอานามลงไป เอาพุทโธลงไปตรงนั้น ผิดก็ผิด ถูกก็ถูก เป็นก็เป็น ตายก็ตาย ต้องตัดสินใจตัวเองอย่างนั้นสิ ไหนๆเราก็พึ่งอยู่แล้ว พึ่งพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ตายในพระพุทธ ตายในพระธรรม ตายในพระสงฆ์มันจะไปเสียเปรียบอะไร มันจะไปเสียทีอะไร มันตายดีไม่ใช่หรือ ตายดีกว่าตายนอกพระพุทธ นอกพระธรรม นอกพระสงฆ์ 

ตายในพระพุทธ ตายในพระธรรม ตายในพระสงฆ์ นั่นหละเค้าเรียกว่าตายดี ดีเพราะอะไร ก็เพราะเราจะพึ่งท่าน ไม่ใช่พึ่งแต่เฉพาะแต่ว่าเป็นมนุษย์ ข้างหน้าโน่นน่ะ ที่เราจะไป ใครจะเห็นหละ นั่งอยู่ด้วยกันมากๆอย่างนี้ เวลาไปหละ ไปเห็นกันมั้ยหละ ไปเห็นกันจะรู้กันหรือเปล่า แล้วจะไปเสมอกันหรือเปล่า มันไม่รู้นะ รีบทำเอาซะนะ ทำเอาองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าลงประทับหัวใจน่ะ เอาใจของเรานั้นน่ะ ให้เต็มไปด้วยองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า คือให้สมบูรณ์ คือความสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ นั่นหละพุทโธ เรียกว่าพุทโธแท้ นั่นหละเรียกว่าสมบูรณ์ไปด้วยพุทโธ สมบูรณ์ไปด้วยสมาธิ เมื่อสมาธิสมบูรณ์น่ะ ปัญญามันก็เกิด 

เมื่อสมาธิสมบูรณ์มันจะมีอะไรเกิด ก็นอกจากปัญญา ที่มันเกิดทุกวันมันไม่ได้เกิดปัญญานี่ มันไม่ได้เกิดด้วยสมาธิ มันเกิดด้วยความคิดทุกวันนี้ มันจึงไม่ได้เห็นอะไรเห็นมั้ย อยากเห็นจะเป็นจะตาย แต่มันก็ไม่เห็น อยากรู้จะเป็นจะตายแต่มันก็ไม่รู้ ก็เพราะคิด ถ้าคิดเอาแล้วมันรู้ได้ง่ายก็คิดเอาเองก็ไม่ว่า ไม่เป็นไร จะไม่ต้องภาวนาหรอก ถ้ามันคิดได้ง่ายๆ ทีนี้มันไม่ได้ง่ายๆเหมือนอย่างที่เราคิดนะสิ มันจึงได้ทำ มันจึงได้นั่งภาวนาเอาเป็นเอาตายกันอยู่นี่นะ 

ก็ไม่ว่าที่ไหนหละ ไม่ว่าสำนักวิปัสสนาเถอะ คำว่าวิปัสสนาก็ไปแล้วไปนั่งภาวนาอย่างเดียวกัน ไม่ใช่ไปนั่งอย่างอื่นนะ ก็ไปนั่งเอาขาขวาทับขวาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ตั้งกายให้ตรง ก็ไปนั่งหลับตาคิดหาไอ้นั่นไอ้นี่อยู่นั่น แล้วก็บริกรรมยุบหนอพองหนอ สัมมาอรหัง คิดแล้วมันก็อันเดียวกัน ก็หวังหาความสงบอันเดียวกันนั่นหละแต่ว่าก็ไปคิดเอาเฉยๆ ว่าเป็นวิปัสสนา ก็เขาไปนั่งคิดเอา แต่ปัญญาที่มันจะเกิดขึ้นแท้จริงน่ะ มันก็ไม่ได้ปรากฏอะไรเลย ก็ได้แต่แค่คิด ก็ไปนั่งภาวนาอันเดียวกันนั่นน่ะ ทีนี้เราก็นั่งภาวนาของเราซะสิเรามาเจริญภาวนาสมาธินี่ เราก็ภาวนาอันเดียวกันนั่นน่ะ กับวิปัสสนานั่นน่ะ 

เพ่งพุทโธนั่นน่ะลงสู่หัวใจโน่นน่ะ อย่ามาไว้ที่ปลายจมูก ปลายจมูกมันไม่ใช่สถานที่ตั้งของจิต จิตมันไม่ได้มาตั้งอยู่ตรงนี้ จิตไม่ได้อยู่ตรงนี้เวลามันสงบ มันสงบอยู่ข้างในโน่นน่ะ ในท่ามกลามหน้าอก ในท่ามกลางทรวงอกเวลามันสงบ มันจะมาสงบอะไรที่ปลายจมูกน่ะ มันไม่ใช่ฐานที่ตั้งของจิตนะ ไม่ใช่ที่อยู่ของเขา เราภาวนาเราก็ไม่ได้ภาวนาเอาลมนะ ถึงจะกำหนดเอาลมแต่ก็ไม่ได้เอาลมเป็นสวรรค์เป็นนิพพานนะ เราบริกรรมภาวนาน่ะ พุทโธก็ดี อะไรก็ดี เราก็ไม่ใช่ว่าเอาพุทโธนี่เป็นสวรรค์นิพพานนะ เป็นมรรคเป็นผลนะ ใจ! เอาใจน่ะ ลมก็ไม่ได้เอานะ คำบริกรรมก็ไม่ได้เอานะ อันสิ่งที่เราจะเอา สิ่งที่เราจะต้องการ เราเอาหัวใจ! 

ลมมันก็ทิ้งหมดหละ คำบริกรรมก็ทิ้งหมดหละ มีแต่พุทโธตัวเดียวนั่น หัวใจโน่น สงบดิ่งลงไปโน่น แจ้งสว่างออกมาน่ะ ดูเอาซินี่ พอมันแจ้งสว่างจะดูอะไรก็ดูเอาสิ ทางไปสวรรค์ไปไหน ทางไปสู่นิพพานไปไหน ทางนรกมันไปยังไง ก็ไปดูเอาสิ อันนี้มันมีแต่เขาว่านะเดี๋ยวนี้นะ พวกเราน่ะคอยฟังแต่คนอื่นเขาว่านะ ตัวเองตัวจริงๆมันจะเป็นเหมือนอย่างเค้าว่าหรือไม่ เราก็ไม่ได้เอาใจของเราเข้าไปดูอะไรเลย ไม่ได้เอาเข้าไปดูที่อื่นนะ 

คำว่าเอาหัวใจไปดู ไม่ใช่ว่าเอาไปดูที่อื่นนะ ดูเข้าไปในทรวงอกนั่น ดูตรงที่มันคิดอยู่เดี๋ยวนี้ ต้นที่มันคิด มันคิดอยู่ตรงไหน นั่นหละเอาพุทโธลงตรงนั้น เอาตัวรู้ลงตรงนั้นหละ ไม่ใช่ว่าเอามาไว้ปลายจมูกนะ เอาลงไว้ตรงนั้นน่ะ ตรงที่มันคิดอยู่นั่นน่ะ ลงไปแล้วมันจะเป็นไงค่อยว่ากัน มันจะมีอะไรแล้วค่อยว่ากัน เอาลงตรงนั้นตรงที่มันคิดอยู่เดี๋ยวนี้ มันคิดอะไร มันปรุงอะไร มันแต่งอะไร มันจะเอาอะไร นั่นๆๆ เอาลงตรงนั้นหละ พอลงไปแล้วพุทโธลง มันก็สงบสิ มันสงบหละ มันก็ลงสู่ฐานที่ตั้งของเขา มันก็ระงับความวุ่นวาย 

พอระงับความวุ่นวายได้ มันก็ระงับความฟุ้งซ่านได้ มันก็ฟุ้งซ่านตามสัญญาอารมณ์ มันก็วุ่นวายไปตามสัญญาอารมณ์ สัญญาก็คือเราไปเห็นไปรู้ไปนั่น ไปตรงนั้น ไปตรงนี้มา มันก็เอาอันนั้นหละมา นั่นหละมันจะดับก็ดับสัญญาตัวนั้นหละ เรียกว่าดับสัญญาอารมณ์ แล้วมันจะเข้าไปสู่พุทธะ พระพุทธเจ้าอยู่ข้างในนั่นน่ะ มันจะเข้าไปตรงนั้น เราก็เข้าไปตรงนั้นสิ เข้าไปดูสิ เอาให้มันได้วันนี้หละ คนไหนพอได้ให้มันได้ พอละโลกได้ก็ละกันซะนี่ 

มันทุกข์มันยากเหลือเกิน เกิดมาเป็นคนนี่ คิดว่าเรามาได้ก็คิดว่าเราดีหรือ มันก็ทุกข์เท่าเก่าเท่าเดิมนั่นหละ เมื่อมีครอบมีครัวกับคนต่างชาติต่างเมือง ก็คิดว่าตัวเองจะพ้นทุกข์เหรอ มันก็ไม่พ้นอยู่นั่นหละทุกข์ ปัญหามันก็มีอยู่นั่นหละ แต่มันจำเป็น ความจำเป็นของเราที่เราเกิดมาเฉยๆหรอก จำเป็นกับชีวิต ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ก็ชีวิตก็คงจะอยู่ไม่ได้ ก็ต้องทำตามชีวิตเฉยๆเพื่อชีวิต จะคิดว่ามันเป็นสุขมันหายากหรอก มันยาก คำว่าสุข สุขอะไร มันทุกข์จะตาย การดูแลความเป็นอยู่แห่งชีวิตของตัวเอง การดูแลความเป็นอยู่แห่งชีวิตสิ่งที่เกิดมากับเราอีกหละ การดูแลชีวิตสิ่งที่เราจะรับผิดชอบเขาอีกหละ มันยากหรือมันง่ายหละ ดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของตัวเองอีกที่เรารับผิดชอบอีก ปัญหามั้ย ศึกษาก็ศึกษาไปสิ ศึกษาสูง ก็ศึกษาไปก็เพื่อสร้างปัญหาน่ะ ปัญหาก็เกิดขึ้นอีก ปัญหาอยู่ในการศึกษาก็ปัญหาอีกอันหนึ่ง ได้การศึกษาจบไปแล้ว ไอ้ปัญหาอันที่เราจะประคองความเป็นอยู่ของตัวเองที่เหมาะสม ที่เราได้มาน่ะ มันง่ายหรือมันยาก 

มันไม่ใช่ของง่ายนะชีวิตนะ ตายซะจึงแล้วนะ ตายก็แล้ว แล้วในเมืองมนุษย์ แต่เมืองผีน่ะ พูดมันตรงๆน่ะเมืองผีน่ะมันยังไม่แล้ว มันยังจะมีอยู่อีกนี่ เราทำแค่นี้อย่าคิดว่ามันจะชนะผีนะ จะทำลายผีได้ ผีนั่นไม่ใช่ผีที่อื่นหรอก ผีตัวเองนี่ ผีที่เราจะไปเกิดเป็นผี มันลำบาก มันไม่ใช่ของง่ายนี่ ชีวิตแต่ละคนไม่ใช่ของง่าย 

นั่นหละพระพุทธเจ้าให้พิจารณาอย่างนี้หละ พิจารณาแล้วให้หาต้นเหตุ เหตุก็คือหัวใจเรานั่นหละ หัวใจอันประกอบไปด้วยกิเลส เจ้าโลภก็ดี เจ้าโกรธก็ดี เจ้าหลงก็ดี เจ้าราคะตัณหาก็ดี ต้นเหตุทั้งนั้น ทำลายฐานมันยาก จะเอาอะไรมาทำลายฐานมัน ไปเอาปรมาณูนิวเคลียร์ที่ไหนมาทำลายมัน มันไม่มีทางที่จะไปกลัวหรอก หาเรื่อยๆ หมดไปสิ้นไปกับนิวเคลียร์ปรมาณูไม่ มันจะหมดไปและสิ้นไปด้วยปรมาณูของพระพุทธเจ้า ปรมาณูก็คือพุทโธนั่นหละ หนีพุทโธไม่ได้หรอก ใครจะไปเอาอะไรมาจากที่ไหนก็ตาม สู้พุทโธไม่ได้ ถ้าจะเอาจริงๆ สู้พุทโธไม่ได้หรอก ขอให้มั่นคงในจิตเราเท่านั้นหละ ขอให้จิตของเรามีความมั่นคงเท่านั้นหละ 

ยิ่งเราเป็นเพศที่อ่อนแอเป็นเพศหญิง ไอ้ภาระหน้าที่ของเราน่ะมันมาก มันลำบากสำหรับเพศเรา ต้องอาศัยเขา ถ้าพูดแล้วก็เหมือนกับชาวเกาะ ก็ต้องเกาะเขาอยู่นั่นน่ะ ลำบากแท้ๆนะ ก่อนที่เราจะเอาตัวรอดมันก็ลำบากเหมือนกัน นี่มันน่าสงสาร น่าสงสารตัวเองนะ ก็ให้รีบซะนะ รีบสร้างบารมีคือภาวนา ทำจิตใจของตัวเองให้มีความสงบตั้งมั่นเป็นสมาธินะ ให้รีบทำอันนี้ซะ 

เรื่องบุญเรื่องกุศลเป็นของง่ายหรอก ทำได้ง่าย ให้ทานเราออกเวลาไหนก็ได้ รักษาศีล เราก็ได้ แต่ทำจิตนี่มันยาก เอาจิตซักหน่อยเถอะ ทำอย่างไรจิตของเราจะได้ก็ทำเอาเถอะ มันก็ไปทีละน้อยๆหละจิต ก็รู้ไปทีละอย่างๆ ให้เอานี่เถอะ ไหนๆเราก็เกิดมาแล้ว จะเป็นหญิงก็ช่างหัวมันเถอะ มันเกิดมาแล้วจะว่าไงมัน หญิงมันก็ไปได้นะ หญิงมันก็ละกิเลสได้ กิเลสมันก็มีเหมือนกันกับผู้ชาย ก็มีราคะ ราคะตัณหามันก็อันเดียวกัน ถ้าไม่ใช่อันเดียวกันมันก็เข้ากันไม่ได้ มันก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ ก็นี่หละ เราละได้ ละได้ด้วยการภาวนา ทำให้มันสงบไปก่อน มันสงบไปแล้วมันก็เห็นแจ้งของมัน มันแจ้งมันสว่าง มันจะได้รู้เห็นกิเลสของตัวเองเป็นมายังไง มันมาด้วยกิเลสนี่ อยู่ก็อยู่ด้วยกิเลส ไปก็จะไปด้วยกิเลส 

กรรมมันจะเป็นไงอีกข้างหน้า ไม่รู้อีกหละ เหมือนกับกรรมเมืองอื่นเห็นมั้ย กรรมเมืองลาว กรรมเมืองเขมร แล้วก็กรรมเมืองญวน กรรมเมืองไต้หวันแผ่นดินไหว มันก็ล้มทับ บ้านอื่นเมืองอื่น บ้านนั่นน่ะที่อาศัยล้มทับมันอีกน่ะ ตายไปเท่าไหร่ เป็นหมื่นเป็นแสน คิดดูซี่ ถ้าไม่เป็นอย่างหนึ่งมันก็เป็นอย่างหนึ่ง ก็รบราฆ่าฟันกันเอง มนุษย์ต่อมนุษย์น่ะมันรบกันเอง ผีในเมืองนรกมันไม่มารบกับมนุษย์หรอก มนุษย์ไม่รบกับผีหรอก มันยากนะ ยากกับกิเลสตัวเดียวนี่หละ มันไม่ได้ยากกับอย่างอื่น กิเลสตัวเดียวนี่หละ ดื้อก็ดื้อกิเลสตัวเดียวนี่หละ ง่ายก็ง่ายกิเลสตัวเดียวนี่หละ ให้ดูเอา ให้สมกับอยากภาวนา 

อย่าไปใจท้อสิ อย่าไปใจเสาะ เห็นก็อย่าไปเห็นของที่ไร้สาระ เห็นก็ให้มันเป็นของที่มีสาระบ้างเถอะพอที่สะบั้นหั่นแหลกในเรื่องกิเลสตัวเองก็ให้มันเห็นบ้างไว้ เห็นก็ไปเห็นแต่เรื่องของคนอื่น สัตว์อื่น และสิ่งที่มันจะเป็นตัวเองน่ะ กิเลสตัวเองน่ะ สุทธิ อสุทธิ ปัจจตัง เราจะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ก็เพราะตัวเอง ปญฺญาย ปริสุชฺฌติ จะบริสุทธิ์ได้ก็เพราะปัญญาน่ะ เห็นแก่มันเห็นเป็นประโยชน์บ้างเถอะ พอที่จะเชื่อได้ว่ามันจะหมดกิเลส เห็นแล้วก็ยังสงสัยกิเลสอยู่ มันก็ยังไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควรน่ะ เห็นแก่มันเห็นคล้ายๆกับว่ากิเลสมันจะหมดเว้ย กรรมจะหมดเว้ย เวรมันจะหมดเว้ย มันไม่ได้รู้เรื่อง นี่มันไปรู้แต่กรรม หรือรู้แต่เรื่องบางอย่างมาเปรียบเทียบกับกรรม กรรมใครก็กรรมตัวเอง ก็เปรียบเทียบก็ไม่เป็นอีกอ้ะ ของคนอื่นมันก็เกี่ยวโยงมาหาเรานั่นหละ ก็เปรียบเทียบเอาบ้างว่าเพราะมันยังมีกิเลสมันจึงเป็นอย่างนี้หนอ คนอื่นเค้าเป็นข้าก็จะเป็นอย่างเขาหนอ นั่น ก็ต้องคิดสิ หาหนทางละให้มันได้ ละกิเลส ตัดกิเลสให้มันได้ นั่น! มันก็จึงจะหมดไปและสิ้นไป 

อย่ามัวมาเพลิดเพลิน ว่าตัวเองดีตัวเองเก่ง อะไรต่ออะไร อย่าเพลิดเพลินเกินไป ต้องระมัดระวังให้ดี เวลามันหลงก็หลงจนลืมตัวเหมือนกันนะ มันยังไม่ได้แจ้งภายในจิต แจ้งก็มันแจ้งในกิเลสบ้าง นี่หละโทษ ทั้งโทษทั้งคุณที่พูดมาให้ฟังนี่ ก็นับว่าเป็นข้อคิดมั่ง อย่าไปคิดแต่เรื่องอื่น รูปอย่างนั้น ขันธ์อย่างนี้ ไอ้โน่นอย่างนี้ ไอ้นี่อย่างนั่น ไปคิดอยู่นั่นน่ะ ใจตัวเองจะไปตกนรกอยู่นั่น มันไม่ได้ดูอะไรเลย ใจตัวเองมีแต่กองกิเลสเต็มอยู่นั่น มันไม่ได้ดูอะไรเลย มีแต่ว่าบารมีๆ ก็ไม่รู้ว่าบารมีอยู่ที่ไหน บารมีกิเลส กิเลสน่ะมันร้ายกว่า ไปๆมาๆก็เลยเป็นเจ้ากรรมนายเวรน่ะ ก็เจ้าของมันเป็นเจ้ากรรม เจ้าเวรเจ้ากรรม ก็จะไปให้ใครหละ มันมีมา กรรมก็มาสนองตัวเอง เวรก็มาสนองตัวเอง นั่น! คิดให้ดี 

ที่ให้อุบายมาเนี่ย อันนี้แหละเป็นวันสุดท้ายหละ วันพรุ่งนี้ก็จะได้กลับหละ ก็ขอฝากเอาไว้ ให้พวกเราชาวอังกฤษที่ได้พลัดถิ่นมาจากบ้านจากช่อง จนมาตั้งถิ่นฐาน บ้านช่องอยู่ตรงนี้ เอาชีวิตเรามาฝากไว้ตรงนี้ก็เอาไปคิดบ้าง ไปทำประโยชน์ให้เกิดแก่ตัวเองบ้าง เวลามันได้มามันไม่ได้เกี่ยวประเทศหรอก มันไม่ได้เกี่ยวกับอังกฤษ มันไม่ได้เกี่ยวกับอเมริกา ไม่ได้เกี่ยวกับเมืองไทย เกี่ยวกับใจเรานั่น ว่าแต่ใจของเราได้เท่านั้นหละ มันก็ไม่มีปัญหาหรอกกับประเทศกับชาติน่ะ ไม่มีปัญหาหรอก ได้ใจเราซะแล้วมันก็หมดปัญหาเท่านั้นหละ เรื่องประเทศไม่มีปัญหาหรอก เข้าใจอย่างนั้น 

ถ้าเข้าใจอย่างนี้การปฏิบัติของเราก็สะดวกสบาย เทปก็ฝากไว้หลายม้วนอยู่นี่ ก่อนที่จะไปภาวนาก็มาขอเทปจากท่านบ้าง เวลาเราจะไปนั่งภาวนาอยู่เฉพาะที่บ้าน เราก็เอาวิทยุหรือเทปมา ก็มาเปิดเบาๆ แล้วก็นั่งให้เทปมันกล่อมไป เราก็นั่งไป เหมือนกับครูบาอาจารย์เทศน์ให้เราฟัง เราก็ฟังไป อย่าไปเปิดเฉพาะเวลาขึ้นรถ ขึ้นรถมันไม่ได้ภาวนา แต่ก็ดี ฟังเป็นธรรมะไปก็ดี แต่เมื่อเวลาไปภาวนาน่ะก็เอาไปบ้าง มันจึงจะนั่งได้นาน ถ้ามันไม่จบม้วนมันก็ไม่ออก มันก็จะได้ดีขึ้นน่ะ บางทีมันก็สงบในเทป เทปมันบอกให้สงบก็เลยสงบ สงบแล้วก็สงสัยก็โทรไปถามสิ จะให้มันเป็นธรรมจริงๆหละจะได้บอกมาแก้ไขปัญหาให้ แล้วเราก็จะได้ดำเนินจิตของเราต่อไป 

อย่าเป็นคนสงสัยมาก เอะอะก็สงสัยอันโน่น สงสัยอันนี่ มันก็แล้วไม่เป็นอีกหละ ก็สงสัยไปแล้วตัวเองไม่ทำ มันก็สงสัยสิ ทำไปแล้วมันก็หายสงสัย นั่น! ก็ให้พากันเข้าใจอย่างนี้ ก็จำเอาเองเถอะ ครูบาอาจารย์ท่านไปปฏิบัติอยู่ที่อื่น ท่านก็ฟังเทศน์ครั้งเดียวท่านก็ไปปฏิบัติเอาได้หรอก ก็คิดเอาอย่างนั้นบ้าง ส่วนทำมาหากินก็ทำไป ทำใจสบายๆไป นั่น 

นี่หละที่ได้บรรยายมาในวันนี้ก็สมควรแก่กาลเวลา ขอยุติเอาไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวัง ก็มีด้วยประการะฉะนี้