Skip to content

ศีล สมาธิ ปัญญา พิจารณา

หลวงปู่แบน ธนากโร

| PDF | YouTube | AnyFlip |

วันนึงผ่านไป ตอนเช้าผ่านมาตอนเช้าก็ผ่านไป ตอนเที่ยงผ่านมาตอนเที่ยงก็ผ่านไป ตอนบ่ายผ่านมาตอนบ่ายก็ผ่านไป กลางคืนผ่านมากลางคืนก็ผ่านไป กลางวันผ่านมากลางวันผ่านไป กลางคืนผ่านมากลางคืนผ่านไป ไม่มีอะไรก่อน ไม่มีอะไรหลัง กลางคืนก่อน กลางคืนทีหลัง กลางวันก่อน กลางวันทีหลัง เหมือนการหายใจ หายใจเข้า หายใจออก หายใจเข้า หายใจออก ยากที่จะไปกำหนดแน่นอนว่าอันไหนเข้าอันไหนออก หายใจเข้าก่อนหรือหายใจออกก่อน เหมือนกลางคืนกลางวัน ไม่รู้กลางคืนก่อนหรือกลางวันก่อน มืดมาก่อนหรือสว่างมาก่อน 

ความเกิดก่อนตาย มีความเกิดแล้วก็มีความตาย มีความเกิดแล้วก็มีความตาย ไม่รู้ตายก่อนหรือเกิดก่อน แต่หากว่ามันไม่ตายแล้วมันก็ไม่เกิด มันไม่ตายมันก็ไม่เกิด ที่มันตายมันจึงมาเกิด ถ้ามันไม่มีเกิดก็ไม่มีตาย ไข่กับไก่ ไข่เกิดก่อน หรือไก่เกิดก่อน มันก็ว่าไข่นั้นเกิดก่อน ไข่เกิดก่อนมันจึงมีตัว แต่หากว่ามันไม่มีตัว มันจะมีไข่ได้ยังไง นั่น สรุปแล้วโลก มันไม่สุดเป็น แล้วมันก็ไม่ทำให้ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ลดน้อยลงไป มันไม่ทำให้ความโลภ ความโกรธ ความหลงมันน้อยลงไป ไม่ทำให้ราคะ ตัณหา เบาบางไปได้ สิ่งนั้นไม่เป็นธรรมเป็นวินัย 

สิ่งที่เป็นธรรมเป็นวินัย ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้ ธรรมอันใดเป็นไปเพื่อความโลภ ความโกรธ​ ความหลง เบาบางหมดสิ้นไป อันนั้นเป็นธรรมเป็นวินัย พระศาสดาสอนอย่างนั้น การกระทำใดๆ ไม่เป็นไปเพื่อความละ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นไปเพื่อความโลภ เป็นไปเพื่อความโกรธ​เป็นไปเพื่อความหลง อันนั้นไม่เป็นธรรมเป็นวินัย พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่สอนให้ประพฤติปฏิบัติ พระพุทธเจ้าทั้งหลายสอนให้เลิกให้ละ ละทิ้ง แม้แต่ความคิดที่เป็นไปเพื่อความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็ให้ละให้เลิกความคิดนั้นๆ ให้คิด ให้ศึกษาสิ่งที่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เป็นไปเพื่อเบาบางจากความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นไปเพื่อความโลภที่มีอยู่ ความโกรธ ความหลงที่มีอยู่ ความหลงที่มีอยู่ ราคะตัณหาที่มีอยู่ให้หมดให้สิ้น อันนั้นเอามาเป็นอารมณ์ของใจให้มาก จึงเรียกว่าเป็นการเป็นงานที่เป็นประโยชน์ การงานที่ชอบธรรม ทำได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี ทำได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี ทำได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี

วันหนึ่งๆ เราทำได้มากแค่ไหนเพียงไร ทำได้มากเป็นที่พอใจของเราหรือไม่ ทำการทำงานทุกอย่างต้องพัก การงานนั้นจะเป็นงานที่ชอบทำ ถ้าหากว่าทำไม่พักก็เป็นการงานที่ไม่ชอบทำไปด้วย เพราะทำไม่ได้พักผ่อน จึงว่าคำว่าสมาธิ การพักจิตพักใจ กับปัญญาการทำงานของใจ ต้องควบคู่กันไป อย่าไปเอาแต่การแต่งาน เอาแต่การทำงานของใจ ไม่มีโอกาสได้พัก ความสงบก็เป็นสิ่งที่จำเป็นเหมือนกับอาหาร ขาดอาหาร ขาดความสงบ ทำการทำงานไปมันหมดกำลัง เรื่องของสมาธิก็คือให้อาหาร ให้อาหารแก่ใจ ใจมีกำลังทำงานต่อ ลุยงานต่อได้ ในเมื่อถึงคราวที่ควรจะพัก ให้ใจได้พักอยู่กับสมาธิ ใจก็เริ่มมีกำลังขึ้น เอาใจที่พักผ่อนในสมาธิแล้วก็เอาใจที่พักผ่อนดีอันนั้นไปปฏิบัติหน้าที่การงานต่อ 

เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ไตรลักษณ์อยู่ตรงนี้ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นต้น นี่ก็เป็นต้นปลายมานี่ กิ่งใบมันมี ไตรลักษณ์มันอยู่ที่เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ พิจารณาแล้ว พิจารณาอีก พิจารณาแล้ว พิจารณาอีก เหมือนกับการทำนา ทำแล้วทำอีก ๆๆๆ ทำที่นาเก่านาเดิมนั้น แต่ผลผลิตก็ได้เป็นอาหารเครื่องเยียวยาธาตุขันธ์ตลอดทั้งเวลา พิจารณาๆๆให้มาก ใจไม่อยากพิจารณาก็พิจารณา ถึงเวลาที่พักอยู่กับความสงบ ต้องให้อยู่กับความสงบให้ได้ จึงว่ามรรค ๘ ต้องสมบูรณ์ ไม่บกพร่อง ไม่มีปัญหา เหมือนกับรถเครื่องยนต์ จะขับดีซักแค่ไหนเพียงไรก็ช่าง แต่หากว่ายางลมมันไม่มี การที่จะเดินทางต่อไปปัญหามันก็เกิดขึ้น สรีระยนต์ต้องสมดุลย์กัน สรีระร่างกายก็ต้องสมดุลย์กัน 

ศีล สมาธิ ปัญญาก็ต้องสมดุลย์กัน และอาศัยซึ่งกันและกัน เอาแต่สมาธิ เอาแต่ปัญญา คำว่าศีลไม่สนใจ เอาแต่ปัญญา เอาแต่ปัญญา ศีลสมาธิก็ไม่สนใจ เอาแต่สมาธิ เอาแต่สมาธิ เรื่องของปัญญาไม่ใส่ใจก็ไม่ได้ กิเลสมันชอบพาให้ยึดติด ยึดติดในความสงบก็ยึดติด ได้ปัญญาขึ้นมาก็ยึดติดกับปัญญา หันหลังใส่ความสงบ หันหลังใส่สมาธิเสีย ในที่สุดปัญญามันก็ไปไม่รอด เหมือนกับคนขาดอาหารทำงาน คนขาดอาหารเดินทาง เดินทางขาดเสบียงคลัง ไปไม่ถึงเป้าหมาย เรื่องของสมาธิ จึงมีความจำเป็นเหมือนกับรถ เครื่องยนต์กับยางกับล้อรถ ไตรลักษณ์ๆ ในโลกธาตุทั้งหมดเป็นไตรลักษณ์ทั้งนั้น อนิจจังๆ ทุกขังๆ อนัตตาๆ ทั่วโลกธาตุทั้งหมด เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา 

พระพุทธเจ้ารู้แจ้งโลกธาตุ รู้แจ้งโลก ไม่ใช่พระพุทธเจ้าเดินไปเที่ยวหาศึกษา พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขณะเดียวในร่มโพธิ์ ในคืนวันเพ็ญเดือน ๖ พระพุทธเจ้าก็ทรงรู้ชัดเห็นชัดในกายในจิตนี่เอง เห็นชัดรู้ชัด ในกายในจิตของพระพุทธเจ้า กายใจของสัตว์ทั่วโลกธาตุ ไม่แตกต่างอะไรนัก พระพุทธเจ้าก็รู้ชัดเห็นชัดไปด้วย ก็แก้ไขเราอยู่เสมอ มันสงบ ผ่านความสงบ ปลุกความสงบเอาไปพิจารณา ดึงความสงบเอาไปพิจารณา ในเมื่อความสงบอิ่มตัวพอ ถ้าหากว่าไม่เอาไปพิจารณา ใจควรที่จะคล่องตัวกลายเป็นอืดอาด กลัวแต่จะเสียสมาธิ กลัวแต่สมาธิที่จะเสื่อม สมาธิเสื่อมเลยเป็น คนเกิดมาในโลกนี้อีกนานเท่าไหร่สมาธิก็ยังไม่หมด สัตว์เกิดมาในโลกอีกนานเท่าไหร่ เข้ามาครอบปฏิบัติให้ถึงซึ่งความพ้นทุกข์ก็ไม่หมด มีแต่จะเอามาใช้หรือไม่เท่านั้น 

สมาธิไม่ใช่ของเกิดขึ้น เป็นของที่มีอยู่แล้ว ใจของเราไม่ไปเกี่ยวข้องกับอารมณ์ อิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์ ไม่ไปเกาะไปยึด ละนั้นเสีย สมาธิก็เกิดขึ้น สมาธิที่เกิดขึ้นนั้นก็คือสมาธินั่นมีอยู่แล้ว ไม่ได้เกิดขึ้นที่ไหน ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากที่อื่น เหมือนกับทำความสะอาดบ้านกับเรือน ความสะอาดของกุฏิศาลา ความสะอาดมีอยู่แล้ว ไม่ต้องไปสร้างความสะอาดให้เกิดขึ้น เพียงแต่ชำระสิ่งที่สกปรกรกรุงรังเท่านั้น ความสะอาดก็เกิดขึ้นให้ปรากฏ ความสะอาดที่มีอยู่แล้วก็ปรากฏให้เราเห็น สมาธิไม่ได้หนีไปไหน ยังอยู่เหมือนเดิม ยังอยู่ที่เดิม การเสียสละ การละ การปล่อยวาง จึงมีความจำเป็น 

สิ่งเหล่านี้หละปกปิดไม่ให้สมาธิธรรมปรากฏขึ้น เหมือนกับความมืด คนนั่งอยู่ในที่นี้ ถ้าหากว่าหลับตาเสียคนนึง เค้าว่าไม่มีคืน ก็ไม่เห็น เมื่อความสว่างเกิดขึ้น ดูลืมตาขึ้น คนมีอยู่เต็มศาลา อารมณ์คือความมืดครอบงำปกปิด อารมณ์ครอบงำปกปิด ธรรมที่มีอยู่ไม่ให้ปรากฏ มันมืดมาตลอดกาล มันก็เหมือนกับธรรมไม่มี มันมีแต่อารมณ์ มีแต่อารมณ์ มีแต่อารมณ์ อยู่กับอารมณ์อยู่อย่างนั้น ขาดอารมณ์ไม่ได้ ต่อให้แสวงหา แสวงหา แสวงหาเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่จำเป็น ขาดไม่ได้ ในเมื่อมีการแสวงหาอารมณ์มาเพิ่มพูนอยู่เสมอ ความมืดมันก็ไม่มีโอกาสสว่างซักที ในเมื่อไม่สว่างซักที สิ่งที่มีอยู่ ดูไม่ไปเกิดมันก็มองไม่เห็น สิ่งที่กำจัดความมืดคืออารมณ์ที่ใจไปยึดไปติด แนบแน่นอยู่ในอารมณ์นั้น มีแต่ข้อปฏิบัติ มีแต่การปฏิบัติธรรม มีแต่ข้อปฏิบัติเท่านั้น จึงให้พากันทำให้ยิ่ง 

พูดถึงสมถะ ให้เป็นสมถะที่มีความแน่วแน่ มีความมั่นคง เป็นสมถะที่มีพละ พูดถึงปัญญา พูดถึงธรรม ธรรมคือปัญญา คนมีกำลังจะต่อสู้กับข้าศึกทำการทำงานให้เป็นประโยชน์ ก็สามารถที่จะชนะข้าศึก สามารถที่จะทำการงานที่เป็นประโยชน์ให้สำเร็จลุล่วง ทำลายสิ่งที่ครอบงำให้สลายตัวไปได้ ธรรมคือความสงบของใจ ธรรมคือใจที่สงบ มีอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้เสียหายไปไหน จึงว่าความมืดมันครอบงำ มาปกปิด อารมณ์ที่มันครอบงำจิต มันทำให้จิตมืด แม้แต่จิตเองก็มองไม่เห็นจิต จิตมองไม่เห็นจิต นั่นคือจิตมืด 

อะไรทำให้จิตมืด ก็คืออารมณ์ ราคะเป็นอารมณ์ของใจ โทสะ โมหะ เป็นอารมณ์ได้ทั้งนั้น กิเลสตัณหาอาสวะเป็นอารมณ์ได้ทั้งนั้น เป็นเหตุให้เกิดความมืดขึ้นมา บุรุษมีกำลัง คู่ต่อสู้ไม่สามารถที่จะต้านทานได้ คนมีกำลังทำการทำงานสำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี ศรัทธาพลัง สติพลัง ศรัทธาพลัง วิริยะพลัง สติ สมาธิ ปัญญา เป็นพลังทั้งนั้น ศรัทธาเชื่อมั่น เชื่อมั่นข้อปฏิบัติที่ทำถูกต้อง ไม่ผิดพลาด ในเมื่อแม่นยำไม่ผิดพลาดเพราะรู้แล้วเห็นแล้ว ความขยันความเพียร ความหมั่นความเพียรก็รวมเป็นพลังขึ้นมา ความเพียรมีพลังสติเป็นพลัง สมาธิปัญญาเป็นพลังขึ้นมาทั้งนั้น 

ศรัทธาพละ สติ สมาธิ ปัญญาเป็นพละ เป็นพลัง ศรัทธาอินทรีย์ (สัทธินทรีย์)เป็นใหญ่ วิริยะอินทรีย์ (วิริยินทรีย์) เป็นใหญ่ สติ สมาธิเป็นใหญ่ ทั้งนั้น ปัญญาก็เป็นใหญ่ เป็นใหญ่แต่ละอย่าง แต่ละอย่าง ๆ เป็นใหญ่เหมือนกับเสา เค้าว่าใหญ่ของเขา คานก็เป็นใหญ่ คานว่าคานเป็นใหญ่ เสาว่าเสาเป็นใหญ่ ถ้าหากว่าไม่มีพื้น ไม่มีประโยชน์ พื้นก็เป็นใหญ่ พื้นว่าพื้นเป็นใหญ่ แต่ไม่มีหลังคาก็ไม่สำเร็จประโยชน์ นี่ จึงว่าส่วนประกอบจึงมีความจำเป็น รถ เครื่องว่าเครื่องใหญ่ อวดเครื่อง เครื่องจะดีแค่ไหนก็ช่างแต่ยางล้อไม่ดี เครื่องมันดีล้อมันดีพวงมาลัยไม่ดีมันจะไปได้เหรอ จึงว่าส่วนประกอบ ศีล สมาธิ ปัญญาจึงต้องอาศัยซึ่งกันและกัน จึงว่าศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เป็นเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญาทั้งนั้น ในอินทรีย์ ๕ พละ ๕ 

อินทรีย์ ๕ พละ ๕ ไม่ใช่สิ่งที่จะบันดาลมาจากฟากฟ้าป่าหิมพานต์หรือฟากโลกฟากสงสารที่ไหน มีอยู่ในเราๆท่านๆนี่ทั้งนั้น แต่สิ่งเหล่านี้แสดงออกไม่ได้ ไม่ปรากฏให้เราได้สัมผัสได้รู้ได้เห็น เพราะความมืดเป็นอุปสรรค เพราะความมืดปิดบังครอบงำ  จึงให้พากันมีความพยายามให้ยิ่ง มืดเท่าไหร่ลุยไปนะ ขี้เกียจขี้คร้านเท่าไหร่ ขยัน! ฝืนมันไปน่ะ มันชนะขี้กียจตัวกิเลส มันชนะขี้เกียจด้วยความขยัน มันไม่อยากนั่ง พามันนั่ง มันไม่อยากเดิน พามันเดิน มันอยากนอน ไม่พามันนอน มันอยากกิน ไม่กินมัน ดัดมันอย่างนั้น จึงว่าชนะความอยาก 

ความอยากเป็นตัวก่อให้เกิดความมืด แม้แต่ความโกรธก็ส่วนนึงก็เกิดมาจากความอยาก ไม่มีความปรารถนา ไม่มีความอยากแล้ว ความโกรธจะเกิดขึ้นจากไหน ไม่มีความหลงแล้ว ความโลภจะเกิดขึ้นมาได้ยังไง นี่ของเขาก็อาศัยกัน ยิ่งโลภ ยิ่งโกรธ ยิ่งโลภ ยิ่งโกรธ ยิ่งเป็นความสะสมความหลงเพิ่มขึ้น ความโลภก็สะสม ความหลงก็ทำให้เกิดความมืด ความโลภก็เป็นเหตุให้เกิดความหลง อะไรมันเป็นกำลังของกันและกันทั้งนั้น จึงว่ากิเลสเขามันมีการพัฒนา พัฒนาไปในการที่ให้จิตใจของโลกมีการมืดมนอนธการไปนั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีข้อปฏิบัติ มีการปฏิบัติธรรม อาศัยธรรมนั้นน่ะที่จะกำจัดความมืด กำจัดการพัฒนาก้าวหน้าของกิเลสนี่ให้มันถอยหลัง หรือให้มันสลายตัวจากจิตจากใจด้วยข้อปฏิบัติ 

กาลเวลาจะคอยให้กิเลสมันลดน้อย คอยให้กิเลสมันเบาบาง เป็นไปไม่ได้ มันมีแต่จะมีการพัฒนารวมตัวกันให้มีพลังยิ่งขึ้นไป มีแต่อันตรายกับอันตราย ศรัทธามี ศรัทธาก็หมด ความพากความเพียรมี ความพากความเพียรก็หมด สติปัญญาหมดเลย ไม่มี! มันทำลายหมด มันทำลาย เหมือนกับพระพุทธเจ้าทำลายกิเลส กิเลสมันเคยสมบูรณ์เต็มอยู่ในหัวใจของพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าทำลายด้วยข้อปฏิบัติ ด้วยพลังของศีล สมาธิ ปัญญา กิเลสมันทำลายศีล ทำลายสมาธิ ทำลายปัญญา เพราะเราไม่มีการสร้างเพิ่มขึ้น สร้างให้เป็นพลังขึ้นมา 

กิเลสเขาสร้างของเขาอยู่เสมอทุกขณะ อุปกรณ์การสร้างของเขาสมบูรณ์บริบูรณ์เต็มโลก ของเกิด ของแก่ ของตายที่ไหน อันนั้นเป็นเครื่องมือ อุปกรณ์ เป็นชิ้นส่วน สร้างพลังให้กิเลสทั้งนั้น ของเกิด ของตาย ของเกิด ของตาย ผู้หญิง ผู้ชาย เป็นอุปกรณ์ที่จะสร้างพลังให้กิเลสได้ทั้งนั้น ของเกิด ของตาย ของเกิด ของตาย ผู้หญิง ผู้ชาย เป็นพลังให้เกิดขึ้นของศีล สมาธิ และปัญญาได้ทั้งนั้น กิเลสมันสร้างพลัง มันก็เอาของที่มีอยู่ในโลก 

ธรรมที่จะเป็นพลัง ศีลพลัง สมาธิปัญญาพลัง ก็ต้องอาศัยสิ่งที่มีในโลกอันนี้หละเป็นส่วนประกอบ เป็นส่วนการพิจารณาเหมือนกัน เหมือนกับอาวุธที่มีอยู่ชิ้นเดียว เรียกว่าระบบปรมาณูทีเดียว มีลูกเดียวเท่านั้น อาวุธทำลาย กิเลสก็กระทำยื้อแย่งกันที่จะได้มาซึ่งอาวุธนั้น กิเลสมีกำลังมากก็ยิ่งได้อาวุธมาทำลาย ทำลายธรรม ธรรมมีกำลังมาก ก็ได้อาวุธมาทำลายกิเลส จึงเป็นเรื่องของเราเท่านั้น ก็กิเลสมันทำลายธรรม ธรรมคือหัวใจเรา ธรรมทำลายกิเลสก็คือหัวใจของเราทำลายกิเลสน่ะ 

จึงให้พากันใส่ใจจริงจังในการเสียสละทุ่มเท จึงได้มาซึ่งอาวุธที่จะเอาไปสลายข้าศึกคือกิเลส อย่าไปคอยการเวลา อย่าไปคิดว่าพระพุทธเจ้า พระศรีอาริยเมตรัยจะมาหยิบยื่นให้ เราไม่มีเมตตาเรา ใครจะเมตตาเราได้ เดินก็ให้เดิน แม้แต่อิริยาบถใดก็ช่าง ปลุกจิต ปลุกใจของเราให้รื่นเริงองอาจกล้าหาญที่จะต่อสู้กับข้าศึกคือตัวขี้เกียจขี้คร้าน ต่อสู้กับกิเลสทุกสิ่งทุกด้านทุกประการ ที่จะถอยหลังยอมสยบต่อกิเลสไม่ให้มี ต้ององอาจกล้าหาญขนาดนั้น ถอยหลังไม่มี มีแต่ลุยไปหน้า ก้าวหน้าอย่างเดียว หมายถึงความพากความเพียรของเรา เอ้า พากันทำความสงบ