Skip to content

เรื่องของกรรม

หลวงปู่แบน ธนากโร

| PDF | YouTube | AnyFlip |

คิดดูสมัยก่อนที่นี่มันก็เหมือนกับอยู่ป่า ก็เรียกว่าเป็นที่อยู่ของสัตว์ป่านั่นน่ะ หมูป่าเป็นฝูงๆ บางทีเดินนี้หงาย เดินอยู่นั่น ไม่ได้กลัวนะ เดินอยู่ในนี้ ๑๒๓๔๕๖๗ บางทีเดินเป็นฝูง มันเดินไปไหน มันก็เดินไปหากิน ตรงไหนมันปลอดภัยแล้วก็เค้าก็พอใจในการที่จะไปหาอยู่หากินในสถานที่ปลอดภัยนั้น 

หมูป่าในวัดนี่มันหายไป หมดไปเมื่อคราวเอาแทรคเตอร์มาไถ ไถรอบกำแพงนี้ จากนั้นหมูป่าหมดเลย มันหนีเสียงสนั่นหวั่นไหว มันตกใจ ทำกำแพงแล้วมันก็เข้าไม่ได้ เดี๋ยวนี้ข้างนอกมันก็จะหมดในวัดมีบ้าง เอามาปล่อยไว้หนึ่ง ก็มีคนมาเอา คนมาเอา เราก็คิดว่า เออ อันนี้เป็นกรรม กรรมตามมาประหารกันในเมื่อถึงเวลากรรมเวรที่มันจะต้องลบล้างกันนี่ มันอาจเป็นไปชั่วขณะเดียวเท่านั้นหละ ก็คิดว่ามันเป็นกรรม กรรมของหมูนั้น มันอยู่ที่นี่ว่าปลอดภัยที่สุดแล้ว มันก็ยังไม่ปลอดภัย กำแพงจะแน่นหนาสูงขนาดไหนก็ช่าง กันกรรมกันเวรบ่ได้ ป้องกันกรรมเวรไม่ได้ กรรมเวรก็ต้องเป็นไปตามกรรมตามเวร เราคิดอย่างนี้แล้วก็สบายใจ

มีงูเหลือม งูเหลือมใหญ่ๆ อยู่ในวัด มีถ้ำ ถ้ำก็ไม่ใช่ถ้ำใหญ่ถ้ำโตอะไร แต่ที่นี้มันไม่ได้เข้าไปลึก คนก็ไปเห็นเข้า ไอ้ที่คนไปเห็นน่ะ สุนัขมันเห็นก่อน มันก็พยายามจะเอา เอาไม้ไปเกาะ(เสียงไม่ชัด) เช้าไปเห็นเข้า ขนาดนั้นมันก็ไม่ยอมนะ มันหนีไปแล้ว มันก็ยังมาเอาจนได้ จึง โอ… อันนี้เราก็คิดว่าเป็นกรรมอีกนั่นแหละ กรรมของสัตว์กรรมตามมาสนองกัน 

ถ้าหากว่าเราไม่คิดถึงเรื่องกรรมนี่ มันอดที่จะเกิดความไม่พอใจขึ้นมา ทางไหนที่จะเป็นไปเพื่อการทำลายความไม่พอใจที่มันเกิดขึ้นในเราให้มันหมดไป เราก็ต้องหาอุบายอันนั้น แล้วอุบายที่เรานำมาแก้ใจนั้นก็เป็นธรรมเป็นวินัย แล้วก็ถูกต้องด้วย พอนึกถึงเรื่องกรรมเรื่องเวรแล้วก็หายไป อันนี้เป็นเรื่องของกรรมของเวร เราจึงคิดว่ากรรมเวรนี้มีอำนาจมาก เวรกรรมนี่มีอำนาจเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง เหนือจิต เหนือใจทีเดียว บีบบังคับให้เป็นตามกรรมจนได้ 

กำแพงที่เราทำมานี่เพื่อป้องกันให้สัตว์ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในวัดนี่ปลอดภัย แต่ก็ว่าในเมื่อกรรมเวรมาถึงแล้ว มันก็ต้องเป็นไปตามกรรมตามเวร ไม่มีอะไรที่จะมากั้น ไม่มีอะไรที่จะมาขวางไม่ให้กรรมเวรที่ทำแล้วไม่ต้องรับกรรม ไม่รับเวรไม่ได้ ก็ให้คิดว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัว จะต้องพากันระมัดระวังให้มาก ทำแล้วเป็นกรรมเป็นเวรต้องพากันระมัดระวัง เราไม่ปรารถนาก็ต้องได้ เราไม่ต้องการก็ต้องเจอในเมื่อเราทำแล้ว 

หากว่าจะต้องทำกรรมที่เป็นกุศล เออ อันนี้พระพุทธเจ้าท่านสนับสนุน ท่านส่งเสริมให้พากันทำให้มาก ทำให้มาก ผลของกุศลกรรมนั่น มีแต่ที่จะสร้างสรรค์ความร่มเย็นเป็นสุขให้เราก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป คำว่ากรรมก็ยังมีทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม อกุศลกรรม พระพุทธเจ้าสอนให้ละ สอนให้เลิก ทำแล้วมันมีแต่ที่จะทำลาย กุศลกรรมพระพุทธเจ้าสอนให้เราทำให้มาก ทำให้มาก มีแต่จะสร้างสรรค์เราอย่างเดียว เราต้องการก้าวหน้า นี่ เราต้องทำกรรมในลักษณะที่เป็นไปเพื่อสร้างสรรค์ เราจึงจะได้สมความมุ่งมาดความปรารถนาของเรา 

แต่ก่อนหนึ่งนี่ จะไปเมืองสกลแต่ละครั้งเวลาป่วยเวลาไข้อย่างนี้ จะต้องเดินไป พักอยู่ที่วัดป่าบ้านโคกเสียก่อน เดินไปพักวัดป่าบ้านโคกเสียก่อนแล้วจึงขึ้นรถไปจังหวัด ไปหาหมอ โรงพยาบาลสมัยก่อนก็ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ รู้สึกจะมีหมออยู่ไม่กี่คน แล้วก็มีตึกแต่ลักษณะตึกไม้ เรียกว่าสมัยก่อนไม่สะดวก มันผิดกับเดี๋ยวนี้มากทีเดียว จึงว่าออกพรรษาแล้วเราก็ไม่ค่อยได้อยู่วัด เที่ยวทางนั้น เที่ยวตรงนี้ แต่ก่อนเชื้อมาเลเรียก็มาก เดี๋ยวก็ป่วยๆ ไปหามดหาหมอก็ลำบาก แต่ทีนี้ไม่ไปก็ไม่ได้ ไม่ไปก็หนึ่ง เอาหยูกยาบ้านนอกบ้านนาที่เคยใช้ได้ผลมันไม่ได้ หมอบ้านนอกอะไรหมอที่ฉีดยาอะไรก็ไม่ได้ผล ไปโรงพยาบาล เออ ค่อยยังชั่ว เคยไปนอนในวัดป่าบ้านโคก ที่นอนในศาลาเก่านี่ ศาลาเก่าไปนอน ไหว้พระ 

เราก็ไม่สบาย เพิ่งลุกจากไข้ พระท่านก็ว่าให้ไปตรวจเช็คเสียก่อน บางทีมันอาจจะมีเชื้อตกค้าง มันจะได้ไม่มีปัญหาต่อไป มันเดินได้ก็เดินไป เดินไปก็ไปพักที่วัดป่าบ้านโคก เดินเดือนหงาย ศาลาหลังเก่า ท่านอาจารย์มั่นท่านเคยไปอยู่ สมัยท่านอาจารย์ใหญ่มั่น ท่านทำศาลาหลังนั้น พระพุทธรูปเล็กๆ ปั้นด้วยดิน เราก็รู้สึกว่าสรงน้ำสรงท่า หรือไม่ได้สรงน้ำก็ไม่ทราบนะ อาจจะเช็ดตัว เพราะรู้สึกว่าเป็นฤดูหนาวด้วย นอนที่ศาลาเพราะว่าตรงนั้นมัน ที่กุฏิมันก็ไม่ค่อยจะมี…มันขึ้นลงยาก แล้วกุฏิเล็กๆ ส่วนมากก็เป็นฝ้าใบตองมุงหญ้าไปอย่างนั้น บันไดก็ขึ้นยาก บันไดแบบเอา…เราก็นอนศาลามันต่ำ บันไดศาลาก็เอาไม้เป็นท่อนๆ ไม้ตัดๆๆแล้วก็เอามาตั้งๆขึ้นศาลา 

นอนไป ไหว้พระสวดมนต์แล้วก็นั่งสมาธิแล้วก็นอน นอนยังรู้สึกว่าจะหลับแล้ว ครึ่งหลับครึ่งตื่นนี่หละ ก็ปรากฏเห็นคนเดินมานะ เดินมา คนเดินมานุ่งขาวห่มขาวนะ มันกับตาผ้าขาวเราดีๆนี่หละ เราก็นอนอยู่ ในนั้นเราว่าเราไม่ได้หลับนะ แต่ความจริงหลับนั่นหละ แต่เราว่าไม่ได้หลับ เหมือนกับนอนฝัน เค้าก็เดินมาทางนี่ ขึ้นไปทางโน้น แล้วก็เดินมาหาเรา มายืนอยู่ปลายเท้า ก็ยืน เราก็มองอยู่ มันทำท่าจะมาบีบคอนะ ตาผ้าขาวคนนั้นน่ะ ตาผ้าขาวรู้สึกมันทำท่าจะบีบคอ มันทำมืออย่างเนี้ย 

เราก็ไม่กลัว เราไม่กลัวหรอก เรามีคาถาดี คาถาอะไรหละ คาถาเพ่งอสุภะ คาถาเพ่งอสุภะเพ่งให้เป็นโครงกระดูก โครงกระดูกนี่มันเป็นของไม่งาม จึงว่าการเพ่งโครงกระดูกก็คือการเพ่งอสุภะ เพ่งให้เป็นของที่ไม่งาม เพ่งให้ความเป็นผู้เป็นคนเป็นตัวเป็นตนนี่มันไม่มี มีแต่กระดูก จะเป็นผู้เป็นคนเป็นได้ยังไง เห็นกระดูกปั๊บอย่างนี้นะ ไอ้มือที่ทำท่าจะกดลง มันถอยหลังนะ ไอ้ตาผ้าขาวคนนั้นถอยหลัง ถอยหลังๆๆ ถอยหลังแล้วก็ไป 

ก่อนที่นอนเราก็คิดอยู่ นอนในหน้าพระพุทธรูปนี่ไม่ดี เพราะครูบาอาจารย์ท่านเคยพูดว่า นอนอย่าไปนอนหน้าพระพุทธรูป เพราะกลางคืนเทวดาเข้ามากราบมาไหว้พระ นอนกันนี่อย่าไปนอนหน้าพระพุทธรูป ในเวลากลางคืนนี่เทวดาเค้ามากราบพระ มาไหว้พระ เราก็พยายามเลี่ยงอยู่นะ พยายามเลี่ยงๆอยู่ ไม่นอนตรงหน้าพระ แต่ไหนแต่ไรก็พยายามหลีก จะนอนข้างขวาของพระ ขนาดนั้นยังมีมาแสดงอาการอย่างนั้น 

เค้าเรียกว่าการนอนหน้าพระพุทธรูปนี่ควรหลีก หน้าพระพุทธรูปจริงๆควรหลีกเอาไว้ เป็นที่กราบที่ไหว้ ที่ปฏิบัติธรรมของเราเท่านั้น ไม่ควรไปนอนตรงนั้น เพราะการนอนของเรานี่เป็นกิริยาที่ไม่มีความเคารพ การนอนเป็นกิริยาที่ไม่เคารพ เราไปแสดงกิริยาที่ไม่เคารพ เราไปแสดงกิริยาที่ไม่เคารพต่อหน้าพระพุทธรูป ต่อหน้าองค์รูปที่สมมุติแทนองค์พระพุทธเจ้า เป็นเรื่องที่ไม่สมควร ถึงว่าจะมีความจำเป็นยังไงก็นอนหลีกๆเอา ไอ้นอนตรงหน้าพระ พระเล็ก พระน้อย พระอะไรแทนองค์พระพุทธเจ้าทั้งนั้น เรียกว่าเป็นกิริยาที่ไม่เคารพ ไม่ดี 

ถึงว่าบางคนสถานที่จำกัด สถานที่มันบีบ มันจำเป็น อันนั้นมันก็ออกหาทางแก้ไข เค้าจึงมีวิธีการตั้งพระพุทธรูปกับบ้าน พิธีตั้งพระพุทธรูปกับบ้านเดี๋ยวนี้ยิ่งมีพิธีมาก หันหน้าไปทางนั้น หันหน้าไปทางโน้น หันหน้าไปทิศนั้นหันหน้าไปทางทิศอะไรต่ออะไร นี่ อันนี้มันกลายเป็นพิธีการไป กลายเป็นพิธีการ กลายเป็นลัทธิพิธีการ เรื่องลัทธิพิธีการอันนี้บางทีมันถือเคร่ง หรือว่ามันถือเรียกว่ามันเกินไปก็มี เราต้องคิดถึงเหตุถึงผล คิดถึงความพอดี ต้องคิดถึงเหตุถึงผล เรียกว่าเหตุผลนี่เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก 

ถ้าหากว่าบ้านของเรามีหิ้งพระ หรือมีห้อง มีตู้พระ หรือว่ามีห้องพระอะไรอย่างนี้ เราก็ควรหันหน้าไปทางที่สะดวกสบายในการที่เราจะเข้าไปกราบไปไหว้ หรือเข้าไปปฏิบัติธรรม เรื่องการหันหน้าหันทิศหันทาง อันนั้นไม่มีความจำเป็น ถือความสะดวกสบาย ความเหมาะสม ความสะดวกสบายในการที่มันเหมาะกับสถานที่ของเรานั้น บางทีเราไปหันหน้ามุ่งแต่ทางตะวันออก มุ่งแต่ตะวันออก แล้วสถานที่จะออกไปกราบไปไหว้มันก็คับแคบ เพราะบ้านมันเป็นอย่างนั้น อันนั้นก็ไม่ถูก 

สิ่งที่เป็นมงคลนี่ เรียกว่าเป็นของสูง เราก็ต้องรู้จักว่านี่เป็นของสูง รู้จักของสูงของต่ำ พระพุทธรูปก็เป็นสิ่งแทนองค์พระพุทธเจ้า เรียกว่าเป็นของสูง เราก็ต้องมีการปฏิบัติให้เหมาะสมกับพระพุทธรูปเป็นของสูง บางคนตั้งพระพุทธรูปแล้ว ก็ต้องการให้ได้บุญมากๆ แล้วก็มีการบูชาพระพุทธรูป ขนมหวานก็บูชา ของคาวก็บูชา ผลไม้ก็บูชา ข้าวก็บูชา ดอกไม้ก็บูชา อะไรต่ออะไรเต็มไปหมด รุงรังไปหมด แล้วทีนี้บูชาแล้ว มันไม่ใช่บูชาประเดี๋ยวประด๋าวก็เอาออกไป บูชาแล้วบางทีอาจจะคิดว่าพระพุทธเจ้ายังฉันไม่อิ่ม ยังฉันไม่พอ ก็ทิ้งไว้อย่างนั้นจนกระทั่งเย็น อันนี้ก็ไม่ถูกต้อง การบูชาพระพุทธรูปนี้ควรหลีกของคาวของหวาน บูชาเฉพาะของหอมก็พอ 

ของหอมในที่นี้หมายถึงดอกไม้หรือว่ากลิ่นหอม แต่ก็ไม่ควรให้มันหอมจนเกินไป เราเข้าไปแล้ว เข้าไปในสถานที่นั้นเราสบาย เราเบิกบาน เราสดชื่น เราต้องคิดถึงว่าเราทำยังไงเราจะมีความเบิกบานสดชื่นในการที่เข้าไปในสถานที่นั้น ถ้าหากว่าเข้าไปแล้ว เห็นจิ้งจกมันดึงอาหารเข้าไปกิน เข้าไปแล้วเห็นมดมันมาเอาอาหารไปกิน ของหวานของคาวมันมีแต่มด อันนั้นไม่ถูกต้อง อันนี้ควรหลีก เครื่องสักการะควรหลีกเรื่องของคาวของหวาน เฉพาะดอกไม้ก็พอแล้ว บูชาเพื่อความสดชื่น ในการที่เราเข้าไปกราบไปไหว้เป็นเครื่องสักการะ เป็นเครื่องบูชา อามิสบูชาพระพุทธเจ้าท่านก็ทรงตรัสไว้ นี่เป็นเครื่องบูชาก็ใช้ได้ อย่าเอาอันนั้นอันนี้ไปบูชา พระพุทธรูปไม่ปรากฏว่าทานข้าว ทานข้าวกินข้าวซักทีดอก 

บางพวกก็ดึงให้หันหน้าไปทางทิศตะวันออก พระพุทธเจ้าไม่ใช่ว่าตั้งแต่ตรัสรู้จนกระทั่งนิพพานหันหน้าไปทางตะวันออกอย่างเดียว พระพุทธเจ้าก็เหมือนคนเราธรรมดาเนี่ยหละ หันหน้าไปทุกทิศ เดินไปพระพุทธเจ้าก็ไปทุกทิศเหมือนกัน ตามแต่เหตุและผล ตามแต่เหตุปัจจัยที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จไปไหนพระพุทธเจ้าก็เสด็จไป พระพุทธเจ้าอยู่อย่างนี้ จุดที่จะไปเป็นทางทิศตะวันตก พระพุทธเจ้าก็หันหน้าไปตะวันตก แล้วก็เดินไปทางตะวันตก นั่น จึงว่าการหันหน้าพระพุทธรูปนี่ ไม่จำเป็นจะต้องหันไปทางทิศตะวันออกอย่างเดียว เพราะพระพุทธเจ้าไม่ใช่พระพุทธรูป คนมันก็ต้องหันไปหันมาได้ใช่มั้ยหละ 

เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่จะต้อง…มีบางรายที่ยังถือเคร่ง ถือต้องให้มีเหตุผลด้วย ถ้าหากว่าถืออย่างไม่ดูเหตุดูผลอันนั้นเรียกว่าถือเคร่ง ธรรมะคำสอนพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เคร่งนะ สอนให้เป็นมัชฌิมา เคร่ง ไม่ถูก (หย่อน)ยานก็ผิด (หัวเราะ)ไม่ใช่เคร่งไม่ถูกแล้วยานมันถูกนะ เคร่งก็ไม่ถูก ยานก็ไม่ถูก พร้อมด้วยเหตุด้วยผล อันนั้นเป็นมัชฌิมา

นิมิตก็เหมือนกัน นิมิตเป็นอย่างนั้นๆ อันนั้นเป็นของกิเลสทั้งนั้น ถ้าหากว่าเราไปติดอันนั้นหละ เราเหมือนกับเอาเหยื่อไปเกาะเบ็ดนั่นน่ะ ไปฮุบเข้าไปยินดี ไปติดอันนั้นเรียกว่าติดเบ็ดหละ แกะไม่หลุดสิ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้ยินดี สิ่งที่เกิดทั้งหมดจะเป็นนิมิตดีงามขนาดไหน น่ายินดีขนาดไหนอันนั้นคือนิมิตเป็นของเกิดดับทั้งนั้น ไม่ให้ติด ไม่ให้ข้อง ไม่ให้ยินดี ถ้าหากว่าไปเกิดความยินดีแล้วมันจะยึดทันที อุปาทานคืออะไร คือใจของเราไปยึดสิ่งที่ใจของเราไปสัมผัส อันนี้คืออุปาทาน เราไม่ไปยินดี เราไม่ไปยึด ทำไมเราต้องการไปตัดตรงนั้น เพราะเราไม่ต้องการให้อุปาทานมันเกิดขึ้น 

พิจารณารู้อยู่เสมอ สิ่งที่เกิดทั้งหมดเป็นของดับ สิ่งที่เกิดทั้งหมดจะเป็นของดับ จะเป็นรูปธรรมนามธรรมละเอียดปราณีตขนาดไหนก็ช่าง อันนั้นเกิด อันนั้นจะต้องดับ! ทำไมเราจึงตัดสินอย่างนี้ เพราะสิ่งที่เกิดมาทั้งหมดที่รู้แล้วเห็นนั้น มันมีแต่ดับไปทั้งนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นมาไม่ดับ ไม่มี อะไรไม่เกิดดับมีมั้ย อะไรไม่เกิดดับมีมั้ย จิตของเรานี่เป็นของที่ไม่เกิด อะไรเกิดจิตของเราก็รู้ว่ามันเกิด อันนั้นดับไปจิตของเราก็รู้ว่าอันนั้นดับ นี่! อะไรเกิดทั้งหมดนั่น จิตของเรารู้ทั้งนั้น จิตของเรานี่เป็นธรรมชาติที่มีอยู่อย่างนี้ ไม่ดับไปเป็นและอันนี้ก็ไม่เกิดด้วย 

จึงให้สนใจในธรรมชาติจิตที่เป็นธรรมชาติไม่เกิดไม่ดับนี้ ใครรู้อันนี้เรียกว่ารู้ธรรม ใครเห็นผู้นี้แจ้ง เรียกว่าเห็นแจ้งในธรรม การรู้ธรรมไม่ใช่เห็นที่อื่นหนา สว่างไสวรุ่งโรจน์ชัชวาลอันนั้นเป็นแสงสว่างทั้งนั้น เป็นของที่เกิดขึ้นทั้งนั้น ไม่ใช่ของที่มีอยู่ก่อน พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ธรรมแล้วทรงตรัสว่าธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้นี้ ทรงรู้ทรงเห็นนี่ ไม่มีแต่ก่อนแล้ว ไม่ใช่เป็นของเกิดขึ้นใหม่ ของที่เกิดขึ้นทั้งหมดพระพุทธเจ้าท่านว่าของเกิดทั้งหมดเป็นของดับทั้งนั้น จิตของเราเป็นธรรมชาติไม่เกิด พระพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งที่มีอยู่แล้วก็คือตรัสรู้จิตที่บริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าขัดเกลาจนกระทั่งสะอาดบริสุทธิ์ พระพุทธเจ้ารู้เห็นขึ้นมา จิตบริสุทธิ์นั้นก็เรียกว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ไม่ได้รู้สึกรู้ธรรมนอกโลก นอกสงสารที่ไหนนะ ตรัสรู้อย่างนั้นมันหลง มันหลงยังไง มันไม่รู้เจ้าของ 

นี่ก็เหมือนกัน เราๆนี่ก็เหมือนกัน ปฏิบัติธรรมอย่าไปอยากรู้สนใจอันอื่น อยากให้มันสว่างเป็นดวง อยากให้มันใสไปแก้ว หลงทั้งนั้นหละ ลืมตามันมีมั้ย ลืมตามันไม่มี บางทีหลับตามันก็ดับไปเป็น มันก็หายไปเป็น ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นไม่ได้ดับเป็น นี่ ลืมตาก็มี ยังอยู่ หลับตาก็มี ก็ยังปรากฏอยู่ และไม่ดับไปเป็น ผู้รู้ผู้เห็นแล้วจะต้องพูดอย่างนี้เหมือนกันหมด เพราะอันนี้เป็นของจริง รู้ของจริงแล้วจะรู้เหมือนกันหมด ถ้ารู้ของปลอมจะรู้ไม่เหมือนกันหรอก มันมากอย่าง 

นี่อันนี้อันหนึ่ง แล้วก็มีมาก ชอบรู้ชอบเห็นอย่างนั้น ชอบเห็นจนกระทั่งเมืองสวรรค์ ชอบเห็นจนกระทั่งนางฟ้า ชอบเห็นจนกระทั่งเทวบุตรเทวธิดา ไม่รู้จะเห็นทำอะไร เห็นอย่างนั้นกิเลสตัณหามันสึกหรอลงไปเมื่อไหร่ บางทีมันเพิ่มขึ้น “โอ้! เราเก่งแล้วนะน่า เราเก่งแล้วนะนี่ เราเห็นเทวบุตร เทวธิดา เราได้ไปชมเมืองฟ้าเมืองสวรรค์น่ะ เราเก่งแล้ว” นี่! ตัวกิเลสมันเกิดขึ้นแล้ว มันไม่เป็นไปเพื่อความบั่นทอนดอก ธรรมะคำสอนพระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง สอนให้ละ ไม่ได้สอนให้เอา ไม่มี อะไรไม่เอาซักอย่าง! ไม่เอาซักอย่าง ไม่เอาซักอย่าง สิ่งที่เราจะเอา ไม่มี ปล่อยให้หมด วางให้หมด ปล่อยให้หมด วางให้หมด