หลวงปู่แบน ธนากโร เทศน์วันที่ ๑๑ เม.ย. ๒๕๔๑
…มันเป็นไปหมด ไม่เลือกชาติชั้นวรรณะ ไม่เลือกระดับ ระดับไหน สถานบันไหนก็ช่าง เห็นเงินมีค่ามากกว่าศีลธรรมแล้วอันตรายทั้งนั้น เจ้าหน้าที่ก็อันตราย ตำรวจก็อันตราย ทหารก็อันตราย พระ เณร ก็อันตราย ถ้าหากว่าเห็นคุณค่าของเงินมากกว่าศีลธรรม นั่นน่ะ คนนั้นเป็นคนอันตรายทีเดียว จะอยู่ในคราบนักบวชก็ช่าง จะอยู่ในคราบของข้าราชการ ตำรวจ ทหารก็ช่าง อันตรายทั้งนั้น ทำได้ทุกอย่างเพื่อเงิน มันยิ่งกว่าเปรต ยิ่งกว่ายักษ์ กว่ามาร มันได้อะไรไป๊ มันได้อะไรไป จะได้ซักสิบล้าน ร้อยล้าน พันล้าน แสนล้านก็ช่าง ตายไปแล้ว ขนไปได้อะไร ตายไปแล้วมันเอาไปได้ซักสลึงมั้ย ไม่ได้อะไรไปแม้แต่ครึ่งสลึง ได้แต่ความชั่วความทรามที่เจ้าของทำ เจ้าของสร้าง เนื่องจากเห็นคำว่าเม็ดเงินมีค่ามากกว่าศีลธรรม
สรุปแล้วยอมรับเสีย เป็นยุคเป็นสมัยที่ คนในยุคนี้สมัยนี้ จะต้องเป็นอย่างนี้ มันก็ต้องเป็นไปตามยุคตามสมัยของคนที่เกิดมาจะต้องเป็น ใครมีหน้าที่อะไรก็ทำไป ใครมีหน้าที่อย่างไรก็ทำไป ให้หน้าที่ของเจ้าของบริสุทธิ์ยุติธรรมออกมา ความบริสุทธิ์ยุติธรรมไม่ใช่สักแต่ว่าคำพูด ความบริสุทธิ์ยุติธรรมขึ้นอยู่กับการกระทำ (เทปขาดตอน)
…สมบูรณ์ด้วยศรัทธา ศรัทธาก็สมบูรณ์ ศีลก็สมบูรณ์ ศรัทธาสมบูรณ์ ศีลสมบูรณ์ สมบูรณ์ด้วยศีล สมบูรณ์ด้วยศรัทธา การบุญการกุศลสำเร็จออกมา ๑๐๐% ศรัทธาบกพร่อง ศีลก็ไม่สมบูรณ์ การบุญการกุศลออกมาก็บกๆพร่องๆ เป็นประเทศชาติกับเค้าบ้างก็มีแต่หนี้กับสิน ก็เนื่องจากศรัทธาคนไทยน่ะ ส่วนมากมีแต่บกพร่อง ศีลคนไทยก็มีแต่บกพร่อง ประเทศชาติมันก็เลยบกพร่อง หาใช้หนี้ใช้สินยังไงมันก็คิดว่าชั่วลูกชั่วหลานมันจะไม่หลุดหนี้เค้าดอก เกิดมาจากศีลบกพร่อง ศรัทธาเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่สมบูรณ์ ข้อปฏิบัติการกระทำจึงบกพร่อง เรียกว่าศีลบกพร่อง ประเทศชาติจึงวิกฤติ วิกฤติเพราะศีลไม่สมบูรณ์ ถ้าหากว่าคนไทยเราศีลสมบูรณ์ รับรองประเทศไทยไม่เป็นหนี้เป็นสินใครดอก
นี่ ศีลน่ะไม่สมบูรณ์ ศีลน่ะไม่สนใจ สนใจแต่ทำยังไงจึงจะได้เงินเยอะๆ สิบล้าน ยี่สิบล้านเรื่องเล็ก เอาซักร้อยล้าน พันล้านขึ้นน่ะ ถ้าเป็นอย่างนี้เรียกว่าศีลบกพร่องหรือไม่มีศีล ประเทศชาติมันก็จะคล้ายๆกับว่ามันจึงบกพร่องน่ะ เพราะบกพร่องในศีลนั่นเอง คนในประเทศชาติน่ะศีลไม่บกพร่อง ประเทศชาติจะวิกฤติอย่างเป็นหนี้เป็นสินเขาอย่างไม่มีทางออก เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ถ้าหากว่ายังจะพากันพอใจ ไม่สนใจปรับปรุงศีลให้สมบูรณ์เสีย โอกาสที่จะหลุดหนี้หลุดสินนี่ มองดูแล้วนี่มืดมนในสายตาของเรา มองไม่เห็นช่องทาง
ต่างคนต่างสมถะ ต่างคนต่างเสียสละ เพื่อประเทศชาติบ้านเมือง แสนที่จะประเสริฐสุดเมืองไทยเรา ข้าวปลาอาหารทุกสิ่งทุกอย่างอุดมสมบูรณ์ ผลหมากรากไม้ ไม่อดไม่อยาก กินยังไงก็ไม่หมด กินยังไงก็ไม่หวาดไม่ไหว กินไม่หมด กินไม่หวาดไม่ไหว แล้วอยากเป็นหนี้เป็นสินเค้าทำไม นี่ไม่ใช่กินเข้าปากเข้าท้องนี่ กินให้กิเลสตัณหาของเจ้าของ มันจะเต็มเป็นเมื่อไหร่
คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นคำสอนที่แก้ปัญหา คล้ายๆว่าเป็นคำสอนที่ตัดปัญหา ตัดปัญหาทุกสิ่งทุกอย่าง ปัญหาในครอบครัวก็ตัด ต่างคนต่างมั่นคงอยู่ในศีลแล้ว ปัญหาการแตกแยกไม่มี ประเทศชาติก็เหมือนกัน ทุกคนมั่นคงอยู่ในหลักของศีลแล้ว ประเทศชาติจะเป็นหนี้เป็นสินเขาไม่มี จะเป็นหนี้เขาทำไม ของไม่อดไม่อยากน่ะ กินยังไงก็ไม่หวาดไม่ไหว อย่าว่ากินแต่คนไทยเลย ให้ฝรั่งตาขาวมันมากินด้วยก็ไม่หมด
นี่กินแข่งกัน คนไหนกินได้มาก คนนั้นมีหน้ามีตา แข่งขันกันให้ประเทศชาติล่มจม ทรัพย์สินของประเทศมันก็เพื่อประโยชน์แก่คนในประเทศ ทรัพย์สินในประเทศนี่แบ่งปันเจือจาน ใช้สอยใช้จ่ายยังไงก็ไม่หวาดไม่ไหว นี่มันไม่ได้เพื่อใช้นี่ เพื่อบำรุงบำเรอความอยากของเจ้าของ ทะเยอะทะยานความอยาก บำรุงบำเรอยังไงมันก็ไม่พอ
คำว่ากิเลสมันไม่ทำลายเฉพาะหัวใจที่มันอยู่ในอำนาจของมัน มันทำลายทั่วไปหมด มันไม่ใช่ทำลายเฉพาะหัวใจที่อยู่ในกำมือของมัน มันทำลายไปหมด ตาสีตาสาบ้านนอกบ้านนาเป็นภาระวุ่นวายไปด้วย เพราะไม่สนใจในหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า พากันสนใจมั่นคงอยู่ในหลักคำสอนพระพุทธเจ้าแล้ว ประเสริฐที่สุด
บางทีบางคนยังพูดว่าคำว่าสมถะนี่ล้าสมัย เอามาใช้ในยุคในสมัยบ้านเมืองพัฒนา นี่ไม่ถูกกาล ไม่ถูกเวลา ทำให้ประเทศชาติล้าหลัง ไอ้คนที่ไม่สมถะมันทำให้ประเทศชาติพังน่ะเห็นได้ชัด ไม่เห็นมีใครมาพูดที่นี่ จึงว่าไม่มีอะไรสกปรกเท่ากิเลส กิเลสนี่สกปรกที่สุด คนที่ปล่อยให้ใจ ปล่อยให้ใจของเจ้าของนี่อยู่ใต้อำนาจของกิเลส ใจดวงนั้นก็สกปรกไปด้วย ใจดวงไหนสกปรก ใจดวงที่สกปรกไปเกี่ยวข้องตรงไหน ตรงนั้นก็สกปรก ของสกปรกมูตรคูถเดี๋ยวนี้ไปไว้ตรงไหน สะอาดสะอ้านขนาดไหนน่ะ คำว่าสะอาดสะอ้านไม่มีดอก มีแต่มูตรแต่คูถ เหม็นก็เหม็น
แต่มูตรคูถมันไม่รู้จักว่ามันเหม็นนะ มูตรคูถมันไม่รู้ว่ามันเหม็นนะ คนที่จิตใจมันอยู่ในกำมือของกิเลสน่ะ มันไม่รู้ดอก มันเหม็นจนกระทั่งเทวดาก็สาปแช่ง เทวดาก็ยังมีรักมีชังนะ เทวดาก็ยังมีรักมีชัง แต่เทวดาท่านมีศีลนะ มีหิริ มีโอตตัปปะ มีละอาย มนุษย์ไม่มีความละอายนี่ไม่ไหว จึงว่าสกปรกที่สุด อย่างว่าเราๆก็เหมือนกันน่ะ ดูเราเสมอ มีความละอายมั้ย มีความละอายหรือเปล่า ศีลสมบูรณ์แค่ไหนเพียงไร ถ้าหากว่าไม่มีความละอาย ศีลไม่สมบูรณ์ นั่น ความสกปรกนี่ มันไม่อยู่ที่มูตรที่คูถดอก มันมาอยู่ที่ใจของเราแล้ว มูตรคูถบางทีของสกปรกมันเป็นประโยชน์นะ มันไปรวมตรงไหน โรยตรงไหน แม้ต้นกล้วยลูกมันก็ยังโต แต่ใจสกปรกนี่ไปลงกันตรงไหนนั่นน่ะ วอดวาย มูตรคูถบางทีสกปรกมันยังดีกว่าใจสกปรก แต่มูตรคูถมันสกปรกมันไม่รู้ จิตใจที่สกปรกก็ไม่รู้ว่าเจ้าของสกปรกนะ ดีเรื่อยไป (เทปขาดตอน)
…คือเค้าจะต้องเป็นอย่างนั้น ทำไมเค้าจึงเป็นอย่างนั้นเล่า ก็เพราะเค้าทำมาอย่างนั้น ในเมื่อเค้าทำมาอย่างนั้น เค้าก็ต้องเป็นอย่างนั้น เค้าจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ จึงว่าทำแล้ว เป็นของตน บาปทำแล้วเป็นของตน บุญทำแล้วเป็นของตน ไม่ใช่พระพุทธเจ้าให้บุญ ไม่ใช่ใครให้บุญ บุญก็คือทำเอา ถ้าหากว่าให้กันได้ ให้กันได้ มันจะไม่มีใครทำบุญดอก ให้ความดี ให้ความเป็นมงคล ให้กันได้ ใครจะไปทำให้มันยาก ขอเอามันสบายจริง สบายแท้ๆ
แต่พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ทำ ทำเอา ไม่ได้สอนให้หาของ ทำเอาแล้วจึงเป็นของผู้ทำ แล้วสอนให้ทำแต่ความดี ความไม่ดีอย่าไปทำ ทำแล้วเป็นของตน พระพุทธเจ้าประสบเจอมาแล้ว พระพุทธเจ้าระลึกชาติได้ ระลึกยาวหาประมาณไม่ได้ ไม่สิ้นสุด แต่ละชาติ ๆ เกิดแล้วตาย เกิดแล้วตาย เกิดแล้วตาย สรุปว่าทำกรรมอะไรไว้ จะต้องรับผลของการกระทำทั้งนั้น ระลึกชาติได้แล้วก็รู้ มีการกระทำอะไรบ้าง ทำอะไรบ้าง ทำอะไรบ้าง แล้วผลของการกระทำนั้นให้ผลเป็นอย่างนั้น ให้ผลเป็นอย่างนั้น ให้ผลเผ็นอย่างนั้น รู้ทะลุปรุโปร่งแจ้งประจักษ์ เหมือนกับตาดูดีๆนี่ แล้วก็ถูกต้องตามความเป็นจริง
เรียกว่าคนที่ไม่ยอมรับ ปฏิเสธว่าบุญมีจริงบาปมีจริงนี่ โง่กว่านั้นไม่มี คิดแล้วก็น่าสงสาร อันนั้นมันก็กรรมของสัตว์ พระพุทธเจ้าก็โปรดไม่ได้ คำสอนของพระพุทธเจ้าเดี๋ยวนี้ยังอยู่แทนองค์พระพุทธเจ้า คำสอนพระพุทธเจ้า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ใครไม่เชื่อ ก็พระพุทธเจ้าโปรดไม่ได้นั่นเอง ก็ว่าเข้าถึงศาสนาก็เข้าถึงหลักกรรม เข้าถึงศาสนาก็เข้าถึงคำสอนที่พระพุทธเจ้าสอนว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำบุญเป็นบุญ ทำบาปเป็นบาป เชื่อชัด เชื่อสนิท เชื่ออย่างไม่มีความลังเลสงสัยเคลือบแคลง นี่เข้าถึงพระศาสนา เข้าถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า
จึงว่าการเข้าถึงพระศาสนานี่ เข้าถึงในด้านจิตใจ ไม่ใช่เข้าถึงนอนศาลาวัด นอนศาลาวัดเข้าถึงก็มีถ้าจิตใจเข้าถึงจริงๆ นอนศาลาวัดไม่เข้าถึงก็มี ไม่ยอมรับว่าทำบุญเป็นบุญจริง ทำบาปเป็นบาปจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ที่ว่าไม่ยอมรับเป็นยังไง ยังมีการกระทำที่ไม่ดีอยู่ ถ้าหากว่าเชื่ออย่างสนิทใจแล้ว ทำแล้วเป็นของตนจะไปทำได้ยังไง ทำแล้วตนจะต้องไม่ดี ทำแล้วความไม่ดีจะเป็นของตน จะไปทำได้ยังไง ไม่มีใครซักคนปรารถนาความไม่ดี
ถ้าหากเข้าถึงพระศาสนาแล้ว เฉพาะการนอนในวัด ตุ๊กแกมันก็นอนในวัดได้ คิดดูแล้ว สัตว์แต่ละอย่าง แต่ละอย่างนี่ สัตว์โลกเหมือนกัน คนเคยเป็นสัตว์ สัตว์เคยเป็นคน คนเป็นสัตว์ สัตว์เป็นคน เป็นไปได้ เพราะมันชั่วขณะเดียวเท่านั้น ขณะแว้บเดียวเท่านั้น มันไม่ได้ยาวอะไร มันไม่ได้เข้าท้องยากอะไร ถือกำเนิดแม่เป็นอย่างไร มันก็รูปร่างของแม่เป็นชนิดใด มันก็เป็นไปตามแม่นั้น แม่มันสารพัดรูปแบบ มีปีกก็มี มีหางก็มี สัตว์ทุกอย่างมีแม่ทั้งนั้น จิตตวิญญาณนี่สามารถที่จะไปถือกำเนิดในรูปร่างของแม่ ตามกรรมแต่ละจังหวะ กรรมแต่ละขณะ กรรมแต่ละขณะ ขณะที่จะมาให้ผล มันก็เป็นไปตามนั้น
พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนว่ากรรมชั่วอย่าทำซะเลยดีกว่า อย่าทำซะเลยดีที่สุด ทำแล้วมันเป็นจริงๆ เป็นความชั่วขึ้นมาจริงๆ เป็นของชั่วขึ้นมาจริงๆ อย่างที่เราไม่ปรารถนามันก็เป็น เพราะเราทำเอาไว้ มาคิดดูมันก็ไม่ผิดอะไรกับเครื่องบันทึกเสียง จะบันทึกอะไรไว้ อะไรไว้ เสียงมันเก็บไว้หมดเครื่องบันทึกนั้น เสียงนกร้อง เสียงไก่ขัน หรือว่าเสียงคนพูด หรือว่าเสียงเคาะไม้ เสียงปี๊บดัง เสียงเครื่องยนต์กลไก มันบันทึกไว้หมด นี่ เรื่องของกรรมคือการกระทำก็เหมือนกัน มันบันทึกใส่จิตใส่ใจไว้หมด ใจเป็นสถานที่รวม รวมกุศล รวมอกุศล รวมผลของการกระทำทั้งหมด ทำอะไรไว้ การกระทำนั้นมารวมที่ใจ ใจรวมบุญไว้มากๆ ใจมีความสุข บุญนำความสุขมาให้ ใจรวมบุญเอาไว้มากๆ ใจมีความสุข ใจรวมบาปไว้มาก หาความสุขไม่ได้ แล้วก็กินเหล้าเมาๆก็มีความสุข กินเหล้าเมา มันจะมีความสุขอะไร แต่มีความสุขสำหรับคนที่มีกรรมชั่วทำไว้มาก มันหากบันดาลให้ทำอย่างนั้นมีความสุข
จะสัตว์รูปร่างหน้าตาเป็นยังไง สมมุติตั้งชื่อตั้งเสียงว่าเป็นอะไร มีลมหายใจหละ ชีวิตยังอยู่ ไม่มีลมหายใจ ชีวิตไม่มี ชีวิตก็คือลมหายใจ เราๆเดี๋ยวนี้ยังมีลมหายใจอยู่ ชีวิตยังมีอยู่ การกระทำใดๆ ที่เป็นประโยชน์ การกระทำใดที่เป็นบุญเป็นกุศล ให้ทำให้ยิ่ง ทุกลมหายใจเข้าและออกนี่ หายใจเข้าก็มีสติ หายใจออกก็มีสติ บริกรรมพุทโธ พุทโธๆๆ ทุกลมหายใจเข้าและออกนี่ เป็นบุญเป็นกุศลเป็นความดีทุกลมหายใจเข้าออกทีเดียว มีสติอยู่กับลมหายใจเข้าหายใจออก บริกรรมพุทโธ พุทโธๆๆ ทุกลมหายใจเข้าและออก บุญเกิดขึ้นทุกขณะหายใจเข้าและออก มีสติระลึกถึงพุทโธ มีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก เป็นบุญเป็นกุศลทุกลมหายใจเข้าและออก
การทำบุญทำกุศลไม่ได้ทำยาก นั่งอยู่เฉยๆก็เป็นบุญ นั่งอยู่เฉยๆคือยังไง ไม่ได้ทำการทำงานอะไร แต่ใจไม่ได้อยู่เฉยๆ ใจมีสติระลึกถึงพุทโธเป็นอารมณ์อยู่ ใจมีสติ บริกรรมพุทโธให้ยิ่ง พุทโธๆๆๆๆ ยิ่งได้บุญได้กุศลมาก ใจจะแน่วแน่อยู่กับคำบริกรรมพุทโธ ใจของเราแน่วแน่เป็นบุญยังไง ใจแน่วแน่ในขณะใด ใจเป็นสมาธิในขณะใด เหมือนกับเราวางหาบที่แบกอยู่ในบ่า บ่าวางหาบที่อยู่ในบ่า วางแล้วมันเบา วางแล้วมันไม่หนัก ถ้าหากว่าใจของเราไม่เคยเป็นสมาธิ เราไม่รู้หรอกว่าเรานี่หามหนัก หาบหนักด้วยกันทุกคน เราจะรู้ว่าเราเบา รู้เมื่อใจของเราเป็นสมาธิขึ้นมา มันเบา มันสบาย ไอ้ที่มันหนัก มันอย่างที่เคยเป็นมันไม่มี เราจะรู้ว่าเราหนัก เรารู้เมื่อเราวางแล้ว ถ้าหากว่าเราแบกมาตั้งแต่เกิด มันไม่รู้ว่ามันหนักหรอก จะรู้ได้ว่าเราแบกหนัก ก็รู้ได้ขณะที่เราวางแล้ว มันเบา นี่จึงว่าใจเป็นสมาธิเป็นบุญ
บุญคือเบา บุญคือสบาย บุญคือความสุข เราก็ต้องการความสุข เราก็ต้องการความเบา เราก็ไม่ต้องการแบกหนักอยู่ตลอดกาลด้วยกันทั้งนั้น อะไรที่จะเป็นไปเพื่อความปลดเปลื้องของหนักที่ทับถมอยู่ในบ่าของเรานี่ให้มันหลุดไป รีบพากันทำเสีย อันนี้เป็นหน้าที่ของเราทุกคน คนอื่นทำให้ไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็ทำให้ไม่ได้ ใครก็ทำให้เราไม่ได้ เราจะต้องทำเอาเอง จึงว่าการปฏิบัติธรรม การอบรมจิตใจจึงมีความจำเป็นที่จะต้องทำด้วยกันทุกคน ถ้าหากว่าใครไม่ทำ จะต้องแบกหนักตลอดกาล ทั้งๆที่แบกหนักตลอดกาลมา จะต้องแบกหนักตลอดกาลไปด้วย ไม่มีใครมาเปลื้องให้ได้ แม้แต่พระพุทธเจ้าก็มาดึงออกไม่ได้ ไม่มีใครมาช่วยเราได้
อันนี้ไม่ใช่งานหนัก ไม่ใช่เหนือบ่ากว่าแรง มีความพยายามพอขณะใด ใจของเรานี่จะเบาขึ้นมา เบาขึ้นมา เบาขึ้นมา เป็นลำดับๆทีเดียว มันรวมตัวขณะใด นั่งก็เหมือนกับไม่นั่ง มันลอยอยู่ เดินก็เหมือนไม่เดิน มันลอยอยู่นี่ เบาขนาดนั้น คำว่าลอยไม่ใช่เราขึ้นไปฟ้าอากาศที่ไหนนะ มันเบา ใจเบา เพราะเรื่องโลกทั้งหลายมันหนักมาก ปล่อยวางเรื่องโลกทั้งหลาย ปล่อยวางอารมณ์ที่ใจของเราไปรับ ไปแบกไปหามนั่นน่ะ มันหนักมาก ใจของเราวางได้นั่นน่ะ วางของหนัก เหมือนกับสิ่งที่เราแบกมาตลอดกาล หนักจนกระทั่งไม่รู้ว่าหนักเพราะว่าเคยชิน เราจะรู้ว่าหนักน่ะ รู้ที่เราวางแล้ว โอ๋ มันหนักจริงๆ หนักทั้งๆที่เราไม่เคยรู้มันเป็นของหนัก
เอ้า พากันนั่งสมาธิกันต่อไป …ไม่มีอะไรดอกในโลกอันนี้ มีแต่ของตาย คนก็ของตาย คนก็สัตว์ สัตว์ในโลกทั้งหมดล้วนแล้วแต่ของตายทั้งนั้น ไม่มีสัตว์รายใดซักรายที่เป็นของไม่ตาย ไม่มี! เราเกี่ยวข้องกันก็ของตายเกี่ยวข้องกัน เราอยู่ด้วยกันก็ของตายอยู่ด้วยกัน เราพูดจาปราศรัยกัน ก็ของตายพูดจาปราศรัยกัน เรารักกัน เราชังกัน นั่นหละของตายรักกัน ของตายชังกัน ทำไมจึงว่าของตายเล่า ของเป็นอยู่แท้ๆ ทำไมจึงว่าของตาย ของเป็นนั่นหละคือของตาย ไม่ใช่ของตายมาจากอันอื่นหรอก ของตายก็มาจากของเป็น