หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์โปรดคุณเพาพงา วรรธนะกุล ณ วัดป่าบ้านตาด (๑๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๑๙)
ความหนักที่สุดก็คือใจความเบาที่สุดก็คือใจ ความหยาบที่สุดก็คือใจ ความละเอียดหรืออัศจรรย์อย่างยิ่งก็คือใจ อยู่ที่ใจนี้ทั้งนั้น โลกจะเป็นความสงบร่มเย็นหรือเกิดความเดือดร้อนวุ่นวายมากน้อยเพียงไรก็ขึ้นอยู่กับใจ เพราะใจเป็นผู้ครองร่าง ครองร่าง ครองโลก ใจจึงควรได้รับการอบรมศึกษาไปตามเหตุตามผลซึ่งเป็นแนวทางที่ชอบธรรม เพื่อจะได้นำอันนั้นออกแสดงออกมา เพื่อเป็นกิจการงานที่ชอบธรรม การแสดงออกทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อได้รับการอบรมโดยเหตุโดยผลที่เรียกว่าธรรมแล้ว ย่อมเป็นไปด้วยความราบรื่นดีงามทุกอย่าง ไม่ว่าส่วนย่อยส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับใจนี้ทั้งนั้น ว่าหนักก็หนัก มันยกไม่ขึ้น ยกใจ ถ้ายกขึ้น มันก็ควรจะผ่านจะพ้นไปความทุกข์ทั้งหลายไปได้แล้ว มีใครเค้านอนจมอยู่ในกองทุกข์ ทำไมถึงไม่ยกให้มันขึ้น นี่เพราะมันยกไม่ขึ้น มันชอบอยู่ในทุกข์โดยไม่รู้สึกตัว สิ่งที่เราไม่รู้นั่นแหละคือสิ่งที่เป็นนายเรา ก็พูดแล้วก็ไม่พ้นจากกิเลสน่ะ เราไม่รู้ก็ทำให้อยากทำ ทำแล้วก็เกิดผลขึ้นมาเป็นความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่นต่อเนื่องกันเป็นลำดับไม่มีที่สิ้นสุด
อือมันยาก ที่ว่ายกของหนักคือจิตใจ ถ้ายกได้แล้วก็พ้นจากสิ่งที่กดถ่วงคือสิ่งที่หนักมากๆนั้น อันเป็นสิ่งที่ต่ำช้าเลวทรามนั้นออกไปได้โดยลำดับ จิตก็ยกขึ้นง่าย จะยกใส่ความพากความเพียร ยกใส่สติปัญญาอะไรก็ยกได้ง่ายเพราะเป็นอรรถเป็นธรรมไปแล้ว อรรถธรรมเป็นความละเอียด คัมภีรภาพ สุขุมคัมภีรภาพมาก เมื่อจิตกับธรรมเข้ามีความเกี่ยวเนื่องกันเข้าไปโดยลำดับแล้ว จิตก็ย่อมเบา จะทำอะไรก็ง่าย ขึ้นชื่อว่าความดีความชอบแล้ว และในระหว่างที่จิตจมอยู่กับความหนักหน่วงถ่วงใจนั้นน่ะ มันยกอะไรยาก สู้จมอยู่นั้นไม่ได้ในความรู้สึก คือความจมมันมีธรรมชาติที่ให้จมนั้นมันมีน้ำหนักมากกว่า เทียบกันก็เหมือนกับว่า แม่เหล็กเศษเหล็กเล็กๆน้อยๆก็วิ่งเข้าไปหาตัวเหล็กหมดตัวแม่เหล็กหมดเพราะนั้นมันมีกำลังมาก ดึงดูดเรื่องกิเลสตัณหาอาสวะก็มีอำนาจดึงดูดจิตใจ ให้เข้าฝังจมอยู่ภายในตัวเอง ไม่สามารถที่จะแยกแยะออกได้ ท่านจึงต้องเอาสิ่งที่ไปผลักดันออก คือธรรม ผลักดันออกจากหล่มลึก คือกิเลสอาสวะที่ว่าห้วงน้ำ ต้องพยายามลาก พยายามเข็น พยายามต่อสู้ โดยถือหลักธรรมเป็นเครื่องมือไม่ลดละ สติก็ใช้ ปัญญาก็ใช้ ความอุตส่าห์พยายามก็หนุนเข้าไป ความอดความทนหนุนเข้าไป ด้วยเหตุด้วยผลว่า การทำลงไปนี้ไม่ใช่ทำเพื่อความล่มจม เราทำเพื่อจะถอดถอนตนออกจากที่ลุ่มลึก อันเป็นสิ่งที่ให้เกิดความทุกข์ความลำบากทรมานมาเป็นเวลานาน
แม้จะลำบากรำคาญเพียงไรเราก็จะต้องตะเกียกตะกาย เพราะไม่ต้องการที่จะจมอยู่ในสิ่งสกปรกโสมมซึ่งเป็นกองทุกข์ล้วนๆนั้น พระพุทธเจ้าท่านก็ต้องทรงคิดอย่างนี้เหมือนกันก่อนที่จะได้เสด็จสละราชสมบัติ สิ่งที่รักที่ชอบใจทั้งหลายออกทั้งๆที่โลกทั้งหลายก็ชอบใจกันทั้งนั้น ไม่มีใครสามารถจะทำได้ แต่พระองค์ทำไมจึงทำได้เช่นนั้น ก็เพราะความคิดความเห็นดังที่กล่าวมาแล้วนี้เป็นสำคัญ ต้องพยายามตัดลูกใคร ใครจะไม่รัก เมียใคร ใครจะไม่รักสมบัติสิ่งของเงินทอง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วตั้งแต่เป็นสิ่งที่มีมีคุณค่าในหัวใจมนุษย์ทั้งนั้น แม้ตัวเองก็ต้องมีถือว่ามีคุณค่า จิตใจเองต้องมีคุณค่า แล้วไม่อยากจะได้รับความทุกข์ความลำบากในการเสียสละ ในการประพฤติตนเพื่ออรรถเพื่อธรรม โดยถือว่าเป็นความลำบากไม่อยากสละจิตไปเพื่อความลำบากเช่นนั้น แต่พระองค์ก็ยังต้องทรงเสียสละ เสียสละจนกระทั่งเหมือนกับว่าโลกหวั่นไหวไปเลย นะมันเหนียวแน่นขนาดไหน กิเลสดูสิ เหมือนกับโลกธาตุหวั่นไหว เวลาเสด็จออกไปทรงผนวชแล้วมีใครที่จะมีความสามารถอาจหาญ มีความพากเพียรความอดความทนดังพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นศาสนาจึงเกิดขึ้นมาจากทุกแง่ทุกมุมแห่งความดีทั้งหลายที่จะเป็นตัวอย่างแก่โลกได้เป็นอย่างดียิ่ง ดังที่กล่าวเมื่อสักครู่นี้ว่า มันขี้เกียจนักนี่ ไปบวชเสียดีนั่น พระพุทธเจ้าไม่ใช่นายช่างส้วม นายช่างห้องน้ำนี่ ศาสนาไม่ใช่ห้องน้ำห้องส้วมหลุมเทมูตร เทคูถไปเทใส่อย่างงั้นได้ยังไง พูดถึงเรื่องความพากความเพียร ความเสียสละ ความอดความทน ถึงเป็นถึงตายแล้วจะมีใครเกินพระพุทธเจ้าไปได้นั่น เนี่ยต้นเหตุที่จะได้ธรรมอันประเสริฐเลิศโลกมาประกาศสอนโลกทั้งหลาย ท่านได้มาด้วยวิธีนั้น ฉะนั้นการที่จะรื้อถอนตนให้พ้นจากทุกข์ได้โดยลำดับซึ่งมันฝังจมมาเป็นเวลานาน จึงต้องอาศัยความพากเพียรอย่างเต็มกำลังความสามารถขาดดิ้นของเรา ไม่ยอมลดละ ไม่ยอมถอยหลัง ถ้าถอยลงไปก็ต้องจมน่ะ ไม่ถอยหละ ไม่จม ค่อยคืบคลานขึ้นมาได้โดยลำดับๆ แล้วก็ผ่านพ้นไปได้ ร่างกายของเรานี้มันไม่มีประโยชน์อะไรแหละ ถ้าไม่พาทำประโยชน์เสียตั้งแต่ในเวลานี้ ตายแล้วจึงยุ่งกัน โอ้โห ยุ่งมหายุ่งนะซี่ มันดูไม่ได้นี่ ไอ้เรื่องตายนี่เป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตมาก ยุ่งกันไปหมด ทั้งคนเป็นนะยุ่งมาก คนตายก็ไม่สู้เท่าไหร่ แต่คนเป็นนี่ยุ่งมาก หาอะไรอะไรมายุ่งกันไปหมด แม้แต่พระตายก็ยังยุ่งมาก ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นเลยก็ยังเป็น เก็บหมักเก็บดองเอาไว้ ไม่ทราบว่ากี่เรื่องกี่ราวเอามาวุ่นวายหลั่งไหลกันมายุ่งด้วยกัน โดยไม่มีเหตุมีผลอะไรเท่าที่ควรเลย มันก็ยังเป็น
นี่เพราะหัวใจมนุษย์นิยมชอบอย่างนั้น เวลายังมีชีวิตอยู่จะสนใจประพฤติปฏิบัติคุณงามความดีให้เกิดจากสกลกายนี้ก็ไม่ค่อยจะสนใจน่ะ เวลาตายแล้วจะให้ร่างกายนี้เป็นประโยชน์ มันจะเป็นประโยชน์ได้มากน้อยอะไร ถ้าไม่พาทำได้ตั้งแต่บัดนี้ นั่นทำให้มันพอแล้ว ตายแล้วก็ทิ้งเท่านั้นเอง เป็นประโยชน์อะไร ถ้าเป็นประโยชน์อยู่มันจะตายไปทำไม มันไม่เป็นประโยชน์ มันหมดกำลังความสามารถที่จะให้เป็นประโยชน์ต่อไปแล้ว มันถึงตาย อ่า เพ่งลงไปอันไหนที่เป็นสาระสำคัญซึ่งได้จากการกระทำจากทางร่างกายนี้ เราก็เอาไปเป็นประโยชน์ของเรานี่ ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาทเวลานี้ชีวิตร่างกายของเรากำลังเป็นประโยชน์ ทำกิจการทางโลกก็เป็นประโยชน์ ทางธรรมก็เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นงานทั้งสองประเภทนี้ซึ่งเรามีความสามารถอยู่ที่จะต้องทำ เราก็ต้องได้ทำด้วยความจำเป็นของเรา โลกก็ต้องทำ งานทางโลกก็ต้องทำ
เพราะร่างกายสังขารร่างกายของเรานี่มีความจำเป็นอยู่ตลอดเวลา อยู่เฉยๆไม่ได้ เออต้องมีเครื่องนุ่งเครื่องห่มปกปิดสกลกาย มีที่อยู่ที่อาศัย มีปัจจัยเครื่องสนับสนุนอาหารการบริโภคเต็มไปหมด หยูกยา ไม่กำหนดกฎเกณฑ์ว่ามีมากเพียงไร มนุษย์นี้มันเป็นอย่างนั้น สัตว์เค้าไม่ค่อยมีอะไรหรอก ผ้านุ่งผ้าห่มเขาก็ไม่มี ที่นอนหมอนมุ้งเขาก็ไม่มี หยูกยาแก้ไข้ เขาก็ไม่มี เขาก็เป็นสัตว์มาได้ แต่มนุษย์เรานี้ถ้าพูดอย่างหนึ่งก็อ่อนแอมากกว่าสัตว์นะ ไปที่ไหนพะรุงพะรังด้วยเครื่องนุ่งห่ม ด้วยเครื่องอยู่เครื่องกินเตรียมกันไปเต็มที่เต็มฐานกลัวแต่จะตาย นี่หยูกยาปลาแป้งอะไร เอาไปหมด ยุ่งไปหมดเนี่ย เราพูดอย่างหนึ่งอ่อนแอกว่าสัตว์ก็ได้นี่เราพูดในแง่ที่จะเป็นประโยชน์แก่เรา ให้ใจของเราอาจหาญ เราไม่ได้ตำหนิสิ่งที่มนุษย์ทั้งหลายทำนี้เป็นความชอบธรรมแล้วสำหรับมนุษย์ที่ทำเช่นนั้น เพราะมนุษย์ฉลาดกว่าสัตว์ แล้วร่างกายด้วยความต้านทานของเรามันก็ไม่เหมือนสัตว์ มันผิดกัน มนุษย์เราเกิดมาด้วยวิธี ด้วยเหตุนี้ ด้วยต่างกันอย่างนี้ ก็ต้องทำแบบต่างกัน แต่อย่าให้หลงจนเกินเหตุเกินผล จนลืมเนื้อลืมตัว จนถึงกับว่าหาสาระประโยชน์อะไรไม่ได้จากการกระทำนั้นเลย ด้วยความนอนใจนี้เป็นตัวเหตุ หรือความอ่อนแอเป็นตัวสำคัญ เป็นเครื่องหนุน อย่างนี้ก็ไม่ค่อยจะเกิดประโยชน์ทางด้านจิตใจเลย
เพราะฉะนั้นการกล่าวนี้จึงกล่าวเพื่อทางด้านจิตใจโดยเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อให้ใจนี่ได้สะดุ้งตัว ได้ตื่นเนื้อตื่นตัว ดังพระกรรมฐานท่านเที่ยวอยู่ในตามป่าตามเขา ยกตัวอย่างท่านอาจารย์มั่นเป็นต้นเอ้อ หยูกยา ท่านไม่ได้ติดเนื้อติดตัวไปเลย เวลาเป็น อ้าวโรคนี้เวลาจะเป็นมันมาจากไหน นี่มันก็เกิดขึ้นภายในร่างกาย เป็นเจ็บไข้ปวดหัวก็ตามมันเกิดขึ้นที่นี่ เวลาหาจะหาหยูกหายามาจากที่ไหน มันเกิดที่นี่ มันไม่มัน ก็ดับที่นี่ มันไม่มีความสามารถที่ต้านทานกัน มันก็ตายที่นี่ เกิดกับตายเป็นของคู่กัน โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นกับดับไปมันก็เป็นของคู่กัน มันจะไปไหน นี่ ท่านว่าพวกสัตว์สาราสิงเต็มอยู่ในป่าในเขานี้ เขาไม่มีเห็นมีหยูกมียา เค้าก็มีธาตุมีขันธ์เช่นเดียวกัน เค้าก็ต้องอาจจะมีการเจ็บไข้ได้ป่วยเช่นเดียวกับมนุษย์ แต่ทำไมเขาจึงไม่สูญพันธุ์ ทำไมเราจึงกลัวนัก อ่อนแอนัก ท่านฟิตใจของท่าน เอาที่สู้ สัจธรรมเป็นธรรมโอสถ เป็นเครื่องแก้ไม่ให้จิตใจลุ่มหลงไปกับสิ่งเหล่านี้ อันจะก่อความทุกข์ให้แก่ตนเอง พิจารณาจนกระทั่งถึงทราบเรื่องเหตุเรื่องผลทุกสิ่งทุกอย่างภายในร่างกายตลอดโรคภัยไข้เจ็บ หายไปเลยก็มี ดังที่เขียนไว้แล้วในประวัติ หารู้ว่าแม้โรคภัยมันไม่หายไปก็ตาม
เรื่องจิตใจนั้นก็ต้องมีความเข้มแข็ง มีความเฉลียวฉลาดต่อวิธีการปฏิบัติต่อตนเอง ซึ่งเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บเป็นพิเศษ ผิดกับคนธรรมดาอยู่มากมาย นี่ก็เคยได้ปฏิบัติอย่างนั้นมาเช่นเดียวกัน เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยมากๆแล้ว ห้ามไม่ให้ใครเข้าไปเกี่ยวข้องเลย ถ้าสมมุติมีอยู่กับหมู่กับเพื่อนนี่ก็ ปิดประตูแล้วบอกทันที ห้ามอย่างขาดเลยว่า ใครอย่ามาแตะต้องใครอย่ามาเปิดประตูเป็นอันขาด ถ้าไม่ประตูนี้ไม่เปิด ห้ามไม่ให้ใครเข้ามาเกี่ยวข้องนะ คือวันนี้จะต้องพิจารณากันอย่างเต็มภูมิเต็มฐานทีเดียว เพราะว่านี่ก็เป็นทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นจากการเจ็บไข้ ทุกขเวทนาที่เราเคยเกิด เพราะการนั่งภาวนามาตั้งหลายๆชั่วโมงเรายังสู้ได้ ยังพิจารณาแทงทะลุปรุโปร่งไปได้ได้เหตุได้ผล ได้อรรถได้ธรรม ได้ความเฉลียวฉลาด ได้ความศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญขึ้นมาภายในจิตใจเราแต่ละครั้งละครั้ง ไม่เคยพลาดไปเลย
แต่นี้เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยนี้เราจะปฏิบัติอย่างไร นะถ้าเราไม่ปฏิบัติอย่างนั้น เราจะปฏิบัติทางไหน ไม่มีทางหลีกเว้นได้ เพราะร่างกายนี้เป็นที่เกิดขึ้นแห่งโรค สติปัญญาเป็นเครื่องพินิจพิจารณาความจริงซึ่งเกิดขึ้น โรคแต่ละชนิดที่เกิดขึ้นต้องทำให้เกิดทุกขเวทนา ทุกเวทนานั้นเป็นสัจธรรม เราไม่พิจารณาสัจธรรมที่เกิดขึ้นกับเรานี้เราจะพิจารณาอะไร เรากลัวสัจธรรมแล้วก็เท่ากับว่า เรากลัวกิเลส เราก็สู้กิเลสไม่ได้ ถ้าเราพิจารณาสัจธรรมให้เข้าใจแจ่มแจ้งตามเป็นจริงแล้ว ก็ชื่อว่าเรามีความเฉลียวฉลาดเอาตัวรอดได้ ค้นลงไปทีเดียว
ทุกข์เกิดขึ้นมาจากไหน เป็นที่ตรงไหน ค้นลงไปๆ หมุนติ้วๆเลย จิตจนกระทั่งทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่ในขณะที่เจ็บหนักๆ หายออกไป ขยายตัวออกไป ขยายตัวออกไป เพราะสติปัญญาไล่ต้อนเข้าไปโดยลำดับ ไล่ต้อนหาความจริง เจอความจริงที่ตรงไหนทุกขเวทนากระจายออก กระจายออก กระจายออก เห็นอย่างชัดเจนภายในใจ จนกระทั่งร่างกายทุกส่วนที่เป็นกองทุกขเวทนาซึ่งเกิดขึ้นจากการเจ็บไข้นั้น หายไปหมดเลย เหลือแต่ความรู้ล้วนๆ แม้แต่ร่างกายที่ปรากฏตัวอยู่ในขณะนั้น พร้อมกับทุกข์ที่กลมกลืนเป็นอันเดียวกันนั้นเหมือนกับว่าจะแยกกันไม่ออก ก็กลับหายไปอีก ทั้งร่างก็กายก็หายไป ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นภายร่างกายหายไป ร่างกายหายไปในความรู้สึก เหลือแต่ความรู้อันหนึ่งที่เป็นสิ่งที่อัศจรรย์มากล้วนๆ ทรงตัวอยู่โดยไม่กำหนดกฎเกณฑ์ว่าอยู่สูงอยู่ต่ำ อยู่ดินฟ้าอากาศที่ตรงไหน หายเงียบ ไม่มีร่างเป็นที่สิงสถิตในความรู้สึกเวลานั้น นั่นเป็นความอัศจรรย์ขึ้นมาแล้ว พอถอนออกมาเท่านั้น โรคหายไปเลยน่ะ นี่เรียกว่าปัญญา สติปัญญาพิจารณาสัจธรรม เมื่อรู้สัจธรรมแล้ว จะไม่ถอนทุกข์จะไม่ถอนกิเลสอาสวะ จะถอนอะไร ก็สัจธรรมก็เป็นความจริง แต่ละอย่างละอย่าง ทุกข์ก็เป็นความจริง สมุทัยก็เป็นความจริง สติปัญญาที่เรียกว่ามรรคก็เป็นความจริง ต่างอันต่างจริง เมื่อเข้าถึงแล้วก็เป็นความจริงล้วนๆ จิตจะปลอมมาจากที่ไหน
เมื่อได้ลับสติปัญญาเป็นเครื่องซักฟอกให้เห็นเหตุเห็นผลแล้ว จิตก็แน่วอยู่ตามความจริงของตนนี่ ยาหายหมด เรื่องความที่จะคิดถึงหยูกถึงยา คิดไม่ได้ ไม่คิด คิดไปไหน คิดไปแล้วมันก็ไม่มี อย่าไปคิดให้เสียเวลานะ คิดที่ตรงนี้ ตรงที่ควรจะให้คิดนี้ ทุกข์เกิดคิดที่ตรงนี้ เวทนามากน้อยเกิดที่ตรงนี้ การเจ็บไข้ได้ป่วยเกิดที่ร่างกายนี้ พิจารณาที่ตรงนี้ สติปัญญาก็มีอยู่ที่นี่ ค้นกันลงที่นี่ นะหมุนติ้วๆ ลงไป พอได้ที่แล้วก็ทุกขเวทนาหายหมด นี่เรียกว่าไม่เสียผลเสียประโยชน์ เรียกว่ารบข้าศึกได้ชัยชนะ หากว่าจะตายในเวลานั้น จิตก็ไม่ย่อท้อ จิตก็สามารถรับรองตัวได้ หรือช่วยตัวเองได้ ไม่ให้ทุกขเวทนาทั้งหลายเข้ามาครอบงำจิตได้เลย เพราะอำนาจของสติปัญญารอบตัว หากว่าจะตายในขณะนั้น ก็ตายไปอย่างสุขโตนี่ นี่ทำให้เบาก็ได้อย่างนี้
จิต ทำให้ฉลาดก็ได้ ทำให้โง่ก็ได้ แล้วแต่ผู้ที่จะปฏิบัติแก้ไขตัวเองอย่างไร จะพาให้จม จมตั้งกัปป์ตั้งกัลป์ก็จมอยู่ได้ ไม่มีวันอิ่มพอในความจม จมในวัฏสงสารคือความเกิดแก่เจ็บตายนี้อิ่มพอที่ไหน ถ้าอิ่มพอแล้ว สัตว์โลกก็ไม่ควรจะบำเพ็ญธรรม เมื่อมันเกิดตาย เกิดตาย ด้วยความทุกข์ความลำบากตามภพชาติต่างๆนั้นมาพอตัวแล้ว มันก็พ้นตัวไปได้ เพราะมันอิ่มพอแล้ว แต่นี้ไม่มีความอิ่มพอ เกิดเท่าไหร่ตายเท่านั้น ตายเท่าไหรเกิดเท่านั้น เพราะสิ่งที่จะทำให้พาเกิดก็คือกิเลส กิเลสมีความพอตัวเมื่อไหร่ ไม่เคยมีความพอตัว นัตถิตัณหา สมา นที แม่น้ำมหาสมุทรทะเลหลวงอะไรก็สู้ความอยากของจิตนี้ไม่ได้ ความอยากนี้ก็คือกิเลสนั่นเอง มันมีความพอตัวที่ไหน ถ้าเราจะปล่อยให้สิ่งเหล่านี้พอตัวแล้วกี่กัปป์กี่กัลป์ก็ไม่มีหวังนะ ไม่มีฝั่งมีแดนพอที่จะปีนขึ้นได้เลย
เพราะฉะนั้นจึงต้องแก้ พยายามแก้ พยายามคลืบคลาน พยายามบึกบืน พยายามต่อสู้ สลัดปัดออกเพื่อจะพ้น หาฝั่งหาแดนที่เป็นความพ้นทุกข์ไปโดยลำดับๆ ด้วยศรัทธาความเพียร มีสติปัญญาเป็นเครื่องมือสำคัญ ค้นคิดพินิจพิจารณาเข้าที่นี่ พระพุทธเจ้าสาวกทั้งหลายท่านพ้นจากทุกข์ ท่านไม่พ้นที่ไหน พ้นที่กองทุกข์นี่แหละ แต่ถ้าไม่พิจารณากองทุกข์ หักไม่พ้น ต้องถือกองทุกข์เป็นหินลับสติปัญญา ให้มีความแก้วกล้าสามารถ รู้ทันกับสัจธรรมเหล่านี้ ทุกข์ทั้งหลายจะไม่เป็นภัยต่อจิตใจเลย ทุกข์สักแต่ว่าทุกข์ปรากฏตัวอยู่เช่นนั้น แม้จะไม่ดับไปก็ตามเพราะอำนาจพิจารณาแห่งสติปัญญาพิจารณารู้รอบครอบตัวถึงแล้ว ทุกขเวทนาจะตั้งอยู่ตามความจริงของตน ไม่สามารถที่จะเข้ามากระเทือนจิตใจได้เลย เพราะปัญญารอบตัวแล้ว จิตก็จะตั้งอยู่ตามความจริงของตน ต่างอันต่างจริง ไม่มีอะไรกระทบกระเทือนกันนี่ เมื่อความจริงเข้าถึงกันแล้ว ไม่เกิดเรื่องต่อกัน
ไอ้เรื่องความจริงกับความปลอมที่มันวุ่นกันอยู่มีแต่ความจอมปลอมเข้าแซงหน้าไปเรื่อยๆ มันจึงทำให้จิตจมอยู่เรื่อยๆ เราบ่นถึงเหลือเกิน บ่นอยากพบความสุขความเจริญ แล้วความสุขความเจริญมันอยู่ที่ไหน เวลานี้ผู้ต้องการความสุขความเจริญ มันจมอยู่กับอะไร มันถึงมีความสุขความเจริญไม่ได้ทั้งๆที่เราปรารถนาด้วยกันทั้งโลกแน่ะ ถ้าเราไม่แก้สาเหตุในจุดนี้แล้ว มันก็ไม่มีทางที่จะไป จะปล่อยให้จิตใจพอตัวแล้วพ้นทุกข์ไปเอง จะปล่อยให้กิเลสพอตัวแล้วสลัดปัดทิ้งคน ปล่อยคนให้เหมือนกับว่าเค้าปล่อยนักโทษออกจากเรือนจำนี้ ไม่มีหวังนะ ก็ต้องผูกมัดกันไปเรื่อยๆ อยู่อย่างนี้ นอกจากจะใช้สติปัญญาพิจารณาดังที่ว่าเนี่ยนั้นแล
ศาสนาจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งกับมนุษย์ผู้ต้องการความหลุดพ้นจากความจองจำทั้งหลายให้พ้นทุกข์ไปได้โดยลำดับๆ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะนำศาสนาเข้ามาเป็นเครื่องมือดำเนิน เป็นขั้นๆทีเดียว เพราะกิเลสมีหลายขั้น ท่านจึงสอนมาตั้งแต่ ทาน ศีล ภาวนา ทานเพื่อประโยชน์อะไร ก็เพื่อจะเสียสละ เพื่อจะตัดความตระหนี่เหนียวแน่น ซึ่งเป็นกิเลสตัวสำคัญอยู่ภายในจิตใจของเราตัวหนึ่ง แล้วจะได้เกิดประโยชน์แก่ผู้ที่รับเสียสละจากเรา เช่นการให้ทาน ทานก็แปลว่าการให้ ถอดออกไปจากตัวของเรา ดึงออกไปจากความเป็นสมบัติของเรา ความตระหนี่เหนียวแน่นของเรา ดึงออกจนมันขาดสละทานไปได้มากน้อยเพียงไร ผู้ที่รับทานนั้นก็รับความสุขความสบาย เรากำจัดความตระหนี่เหนียวแน่นออกได้ เราก็มีความผาสุกเย็นใจ มันมีความเย็นใจได้ ทั้งสองราย คือเป็นความสุขความสบายได้ทั้งสองฝ่าย ผู้ได้รับการสงเคราะห์เราผู้นั้นก็มีความสุข เราที่เสียสละ เราที่ตัดขาดจากความตระหนี่เหนียวแน่นอันเป็นสิ่งที่กดถ่วงจิตใจอยู่มากมายนี้ออกได้ เราก็เป็นสุข นี่ท่านสอนไปตั้งแต่นี้ นี่เป็นการปราบกิเลสทั้งนั้น
การทำอันใดที่พระพุทธเจ้าทรงสอนแล้วต้องมีความหมายทุกสิ่งทุกอย่าง ศีลก็เหมือนกัน ระงับดับกิเลสประเภทหนึ่ง ต่อจากนั้นก็ภาวนา ภาวนานี่เป็นสิ่งที่รวมยอดที่จะฆ่ากิเลสทั้งหลาย รวมตัวเข้าไป ดังที่เคยสอนแล้ว ภาวนาก็คือการเรียนรู้ความจริงของตัวเองที่มันเกิดขึ้นอยู่เสมอ ในเวลานี้เราพูดเรื่องความจริงไม่ได้เพราะจิตเรามันเที่ยวตำหนิโน้น ตำหนินี้ หาความจริงในตัวเองไม่ได้เลย ว่าร่างกายเป็นอย่างงั้น ส่วนนั้นเป็นอย่างงั้น ส่วนนี้เป็นอย่างนี้ ตำหนิเขาวันยังค่ำคืนยังรุ่ง แต่ไม่เกิดประโยชน์อะไร หากตำหนิอยู่เช่นนั้น เรียกว่าจิตมันปลอม ไม่มีความจริงในตัวเอง จึงจะชมสิ่งใดว่าจริงไม่ได้ มันต้องเป็นอย่างนั้นเสมอไป
การปฏิบัติ จึงคอยพิจารณา คอยสอดส่องดู เฉพาะอย่างยิ่งร่างกายจิตใจ จิตใจมีความปรุงความแต่งไปอย่างไรบ้าง ไปทางใดบ้าง หนักเบาในทางไหน ให้พิจารณาจิตของตัวเอง แล้วคอยตำหนิติเตียน คอยกำจัดคอยหักห้าม คอยแก้ไขกันทางกระแสจิต ร่างกายเป็นอะไรขึ้นมา ความเจ็บไข้ได้ป่วยประการใด ให้พิจารณาลงเป็นสัจธรรม ให้เห็นตามความจริงของมัน อย่าไปฝืนความจริง อย่าเอาความอยากเข้าไปตั้งในทุกขเวทนานั้นๆ มันจะทำให้ทุกข์นั้นกำเริบขึ้นมากมาย เพราะความอยากนี้เป็นเรื่องของกิเลส แต่ความต้องการให้รู้ความจริงนั้นเป็นเรื่องของธรรม ให้รู้ด้วยปัญญาพินิจพิจารณา ให้เห็นแจ่มแจ้งชัดเจนแล้ว มันจะแยกตัวกันออกเองโดยไม่ต้องสงสัยเนี่ย
ศาสนาท่านสอนให้มีความเข้มแข็ง ให้ปราบปรามกิเลสซึ่งมีอยู่ภายในตัวเองเป็นเครื่องกดถ่วงจิตใจอยู่ตลอดเวลานี้ ไม่มีอันใด มีแต่กิเลสล้วนๆ มีแต่กิเลสทั้งนั้นเป็นเครื่องกดถ่วงจิตใจของสัตว์โลกให้รับความทุกข์ความลำบาก เราอย่าเข้าใจว่าจะเป็นทุกข์เพราะอะไรเลย ความทุกข์เพราะดินฟ้าอากาศนั้นมันไม่กระเทือนจิตใจ แต่เรื่องของกิเลสนี้กระเทือนมาก กระเทือนจิตใจ อะไรจะขาดตกบกพร่องไปบ้าง ถ้าจิตใจเรามีความผาสุกด้วยอรรถด้วยธรรมแล้ว เราพออยู่ พอเป็นพอไปทั้งนั้น แต่ถ้ากิเลสมันเดือดร้อนวุ่นวาย มีความกระเสือกกระสน กระวนกระวาย ด้วยความทะเยอทะยาน ด้วยความอยากความหิวโหย เป็นเครื่องราวีจิตใจอยู่แล้ว จะมีอะไรมากมายก่ายกอง มีกองเงินกองทองเท่าภูเขามันก็หาความสุขไม่ได้ เพราะตัวนี้เป็นตัวทุกข์ จะเอาความสุขมาจากไหน ขึ้นไปนั่งอยู่บนกองเงินกองทอง ก็จะไปร้องห่มร้องไห้เกิดความทุกข์ร้อนวุ่นวายระส่ำระสายอยู่บนกองเงินกองทองนั้นแล เพราะตัวนี้เป็นตัวโรคอันสำคัญ จึงต้องแก้ลงที่ตรงนี้เอ้อ
ความโลภความโกรธความหลงแต่ละชนิดๆ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ๆนี้เป็นโรคอันสำคัญ ที่เกาะอยู่ภายในจิตใจแล้วเอาจิตใจมาเป็นอาหาร ขูดรึดจิตใจอยู่นั้นวันยังค่ำคืนยังรุ่ง แต่จิตใจนี้ทนมาก ถึงจะถูกทรมานด้วยกิเลสประเภทใดๆก็ตาม ก็ยังทนตัวอยู่นั้นน่ะ เราจึงได้มองเห็นความรู้ของเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากว่าเป็นสิ่งที่ไม่แน่นหนามั่นคงแล้ว จิตนี้แหลกไปนานแล้ว ไม่มีจิตอยู่ในร่างคนนั้นและร่างสัตว์เลย แต่นี้ก็มี เพราะความทนทานของจิต เพราะฉะนั้นสาระสำคัญจึงอยู่ที่จิต จึงต้องพยายามดัดแปลง แก้ไข ปราบปราม สิ่งที่เป็นข้าศึกให้จิตของเราได้เบาขึ้นไปโดยลำดับ แล้วจะกลายเป็นของเบาขึ้นมา
เวลานี้จิตกำลังหนัก จะนั่งภาวนาก็หนัก เกิดความขี้เกียจขี้คร้าน กลัวเจ็บนั้นปวดนี้ ดูเวล่ำเวลา คิดไปเดือนปีนาทีโมงไปหมดนั่นน่ะ เหมือนจะเข้าตะแลงแกง เหมือนกับจะเข้าโรงฆ่าสัตว์ เหมือนจะถูกฆ่าถูกประหัตถ์ประหาร เหมือนจะถูกโยนลงในเหวในบ่อ ถ้าจะนั่งภาวนา มันเกิดความทุกข์ความร้อนความลำบากไม่อยากจะทำ นี่คือว่ามันหนักมากอย่างนี้ จิตถ้าจะพาภาวนา ยกไม่ขึ้น เดินจงกรม นั่งสมาธิ สวดมนต์ไหว้พระภาวนาชำระจิตใจให้ปราศจากความฟุ้งซ่านวุ่นวาย มันไม่อยากทำ มันหนักอืดอาด เหนื่อยหน่าย แน่ะ เนี่ยมันหนักอย่างนี้
ทีนี้เมื่อเราพยายามตะเกียกตะกาย พยายามบึกบืนหลายครั้งหลายหนเข้าไป ผลก็ค่อยปรากฏขึ้นมา นั่นแหละเรียกว่าธรรมเข้าแทรก ถึงใจโดยลำดับๆ แล้วจิตจะค่อยเบาตัวขึ้นมาเรื่อย ทำความเพียรก็คล่องแคล่วแกล้วกล้า สติปัญญาค่อยๆเกิดขึ้น เกิดขึ้น กิเลสค่อยหลุดลอยไป หลุดลอยไป ใจของเราก็ค่อยเบาขึ้น เบาขึ้น เบาขึ้น ผ่องใสขึ้นมาโดยลำดับ สติปัญญาพอยิ่งมีความขยันหมั่นเพียรที่จะคิดจะอ่านไตร่ตรอง ความพากเพียรทุกด้านดีตามๆกันไปหมด นี่จิตมันเบาขึ้นมาแล้ว เบาขึ้นโดยลำดับๆ จนกระทั่งชำระได้หมด ทีนี้จะเรียกอะไร ประเสริฐยิ่งกว่าจิต จะเอาอะไรมาเทียบเทียมจิตนี้ไม่มีเลยเนี่ย ที่ว่าเยี่ยมก็เยี่ยมที่สุด ดีที่สุดก็คือจิต เลวที่สุดก็คือจิต เมื่อชำระได้แล้ว ดีที่สุด ไม่มีอะไรเสมอเหมือนในโลกนี้ เป็นแก้วสารพัดนึกอยู่ภายในจิตใจ
นี่ศาสนามีความจำเป็นอย่างนี้ มีศาสนาเท่านั้นที่จะฉุดลากเป็นเครื่องมือที่ทันสมัยฉุดลากจิตใจออกจากหล่มลึกของอำนาจแห่งกิเลสทั้งหลาย ให้พ้นตัวหลุดลอยออกมาได้เป็นลำดับๆไม่มีสิ่งอื่นใด พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ผู้ได้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายจนมีความซาบซึ้งภายในธรรมแล้วจึงเข้าถึงใจ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ถึงใจ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ถึงใจ อยู่ที่ไหนพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ปรากฏว่าสถิตอยู่ที่ใจนี้เลย ถึงใจตลอดเวลา
คำว่าพระพุทธเจ้านิพพานไปเป็นเวลานานเท่านั้นเท่านี้ไม่มีความหมายอะไรเลย ท่านไม่สนใจให้เสียเวล่ำเวลา เพราะธรรมอันแท้จริงคืออะไร พุทธะอันแท้จริงคืออะไร สังฆะแท้จริงคืออะไร คือธรรมที่ปรากฏเด่นชัดอยู่ภายในจิตเราจิตท่านนี้เท่านั้น ธรรมกับใจนี้เป็นฉันใด พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ก็เป็นฉันนั้น เท่านั้นนะ ท่านจึงไม่คิดให้เสียเวล่ำเวลาว่าพระพุทธเจ้านิพพานไปนานแล้ว แต่ปฏิบัติยังไงก็ไม่ได้มรรคได้ผลตามเรื่องของกิเลสมันหลอกลวงเราไป ท่านไม่เป็นอย่างนั้น สำหรับท่านผู้รู้ธรรม พระพุทธเจ้าเราอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่นั่น
ความรู้อันนี้กับพระพุทธเจ้าเทียบกันได้ทันที อันนี้ฉันใด อันนั้นฉันนั้น ขอให้เข้าถึงความบริสุทธิ์เถิด พุทธะของเรากับพุทธะของพุทธเจ้าจะไม่แยกจากกันเลย ฉันใดฉันนั้นเท่านั้น ไม่มีอะไรที่จะพูดให้ให้ยืดยาวยิ่งกว่านั้น เพราะมันตะครุบเงา เอาตัวจริงก็คือว่าพุทธะอันนี้ฉันใด พุทธะพุทธเจ้าฉันนั้น พุทธะอันนี้จะอันตรธานสูญไปไหม นี่มันรู้อยู่ในตัวแล้ว แล้วพระพุทธเจ้าเป็นยังไง มันก็หมดปัญหา ธรรมะแท้จริงคืออะไรมันก็อยู่ที่ใจนี้ เป็นอันเดียวกันหมดพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ โดยหลักธรรมชาติแล้ว คือธรรมทั้งแท่ง อยู่ภายในใจของผู้บริสุทธิ์นั้นเท่านั้น ผู้นั้นจึงไม่มีความสงสัยแม้แต่น้อยในเรื่องพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ จะไม่เคยเห็นพระองค์ก็ตาม ไม่เคยเห็นพระสงฆ์อรหัตอรหันต์เหล่านั้นที่เป็นสาวกนั้นก็ตาม
อันนี้แลเป็นสักขีพยานให้ทราบชัดว่าพระพุทธเจ้าคืออะไร พระธรรมคืออะไร พระสงฆ์คืออะไร เวลานี้พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์สถิตอยู่ในที่เช่นไร แล้วอันนี้ที่เช่นไร อยู่ในที่เช่นไร อันนี้รู้ๆยังไง วิเศษวิโสยังไงบ้าง เป็นธรรมชาติยังไงบ้าง อันนั้นเป็นธรรมชาตินั้นเหมือนกัน นี่จึงหาที่สงสัยไม่ได้ นี่แหละเข้าถึงพุทธะ ธรรมะ สังฆะแท้ เข้าถึงที่ใจ เมื่อกิเลสหลุดลอยไปหมดแล้ว มีแต่ธรรมชาติที่อัศจรรยนี้เท่านั้นอยู่ภายในจิตใจ นี่แหละที่เรียกว่าจิต ทำให้ประเสริฐ ก็ประเสริฐ ประเสริฐได้อย่างนี้แต่ก่อนที่ยังไม่ประเสริฐ ก็เรียกว่ามันโง่ที่สุดก็คือจิตดวงนี้ ผู้ที่ทำให้โง่นั่นน่ะ มันถึงได้โง่ มันมีสิ่งที่ทำให้โง่ ธรรมชาติที่โง่นั่นแหละ มันอยู่บนหัวใจของของเรา มันจึงได้โง่นะ ถ้าอันนั้นออกแล้ว จะว่าโง่ว่าฉลาด มันก็ไม่มีปัญหาที่จะพูดกัน
รวมอยู่ที่นี่โลกทั้งโลกจะมีความสงบร่มเย็นก็เพราะใจที่ได้รับการอบรม ซึ่งเป็นผู้พาดำเนินงานทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งส่วนร่างกายและส่วนวาจาที่เอียงไปทางไหน กระดิกพลิกแพลงไปทางไหน ส่อออกมาจากใจผู้บงการ บงการถูกหรือผิดจิตได้รับอารมณ์อย่างไรบ้าง การแสดงออกจะเป็นไปตามความอบรม ถ้าไม่ได้อบรมไม่มีเหตุมีผล มีแต่กิเลสเต็มหัวใจแล้ว ใจดวงนี้จะพาให้ร้อนมากมายก่ายกอง ยิ่งมีอำนาจวาสนามากเท่าไร ยิ่งพาคนอื่นให้เดือดร้อนมากมายก่ายกอง เพราะใจดวงนี้ โลกที่ร้อน ร้อนเพราะใจดวงนี้พาให้ร้อน ใจดวงนี้กระสับกระส่ายระส่ำระสาย หาที่ยึดที่ถือไม่ได้ อะไรก็ว่าจะดี อะไรก็ว่าจะดี มันให้เกิดความโลภโมโทโสไปซะทุกสิ่งทุกอย่าง จะกว้านเอาโลกมาอยู่ในอำนาจของตัวเอง ทั้งๆที่อำนาจของเรา ไม่มีเลย มีแต่ความรุ่มร้อนเต็มหัวใจ ก็จะเป็นผู้ครองอำนาจในโลกนี้โลกจึงได้ร้อน เพราะเจ้าอำนาจของกิเลสนี้มันเป็นตัวร้อนอยู่ภายในจิต โลกจะหาความร่มเย็นไปได้เพราะอำนาจกิเลสนี้ เป็นไปไม่ได้นอกจากเพราะอำนาจแห่งธรรมเท่านั้น
เพราะฉะนั้นจึงควรปฏิบัติธรรมให้มีความร่มเย็นภายในจิตใจของเรา ถึงโลกจะร้อนก็ตาม ถ้าใจของเรามีเย็นอยู่แล้วเราก็สบาย อยู่ในท่ามกลางแห่งความร้อน ขอให้ทุกท่านนำไปพินิจพิจารณาให้มีความเข้มแข็ง เอาให้ดี จิตใจไม่มีป่าช้า อย่าลืมข้อนี้ก็แล้วกัน เคยสมมุติกันมานมนานแล้วว่า ตายๆนะ เอาให้เห็นความจริงของความตาย เอาให้ถึงจิตนั่นน่ะ จิตตายจริงๆเหรอ พอถึงนี้แล้วมันก็หมดลงหนองอ้อ อ๋อเป็นอย่างนี้เองเท่านั้น เอาละ เอวัง
(ถอดเสียงธรรมจากวีดีโอ โดยทีมงาน กรุธรรม)