Skip to content

จิต วิญญาณ มโน แตกต่างกันอย่างไร

สมเด็จพระญาณสังวร สกลมหาปริณายก

| PDF | YouTube | AnyFlip |

บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

จะแสดงศัพท์ว่า จิต และศัพท์อื่นที่ใช้ในความหมายใกล้เคียงกัน เพื่อเมื่อฟังธรรมบรรยายจะได้มีความเข้าใจ ตัดกังขาความสงสัย

คำว่า จิต นั้นมีคำอื่นที่ใช้ใกล้เคียงกันอีก ๒ คำ คือ วิญญาณ และ มโน คือใจ พิจารณาดูตามพระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง จิตนั้นตรัสไว้ว่ามีลักษณะดังที่ได้กล่าวแล้ว และได้ตรัสสอนให้ฝึกจิต ให้อบรมจิต ให้คุ้มครองจิต ให้รักษาจิต ให้ตามดูจิต และตรัสว่าจิตที่รักษาดีแล้วนำความสุขมาให้ และยังได้ตรัสถึงความอบรมปฏิบัติธรรมะ เป็นไปตามลำดับว่า

                สมาธิอันศีลอบรมแล้วย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก

                ปัญญาอันสมาธิอบรมแล้วย่อมมีผลมากอานิสงส์มาก

                จิตอันปัญญาอบรมแล้วย่อมพ้นจากอาสวะทั้งหลาย

ดั่ง นี้ ก็พ้นอาสวะกิเลสที่ดองจิตสันดานได้ และพระพุทธเจ้าตรัสสอนให้ฝึกตนให้อบรมตน ซึ่งครูก็อธิบายกันมาว่า ก็หมายถึงให้อบรมจิตนี้เอง

ฉะนั้น ในบุคคลทุก ๆ คนนี้จิตจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่พึงอบรม พึงรักษาคุ้มครอง และจิตนี้เองที่ได้รับการอบรมดี ก็พ้นจากอาสวะทั้งหลายได้ คือพ้นกิเลสได้ ดั่งนี้วิญญาณนั้นตรัสไว้ในขันธ์ ๕   ขันธ์ ๕ นั้นก็ได้แก่รูปขันธ์ ขันธ์แปลว่ากอง รูปขันธ์ก็แปลว่ากองรูป เวทนาขันธ์ กองเวทนา สัญญาขันธ์ กองสัญญา สังขารขันธ์ กองสังขาร วิญญาณขันธ์ กองวิญญาณ

และ วิญญาณ นี้ก็ได้ตรัสอธิบายไว้ว่า เมื่ออายตนะภายในอายตนะภายนอกประจวบกันก็เกิด วิญญาณ มีจักขุวิญญาณเป็นต้น เช่นเมื่อตากับรูปประจวบกันก็เกิดวิญญาณคือความรู้ อันหมายถึงรู้ในการเห็น คือหมายถึงการเห็น ที่เรียกกันว่าเห็นรูป ซึ่งการเห็นรูปนั้นก็เป็นความรู้รูปนั้นเอง เรียกว่าจักขุวิญญาณ รู้รูปทางตา วิญญาณจึงเป็นความรู้อย่างหนึ่งที่เรียกกันว่าการเห็นการได้ยิน คือเห็นรูป ได้ยินเสียง การได้ทราบกลิ่น ทราบรส ทราบโผฏฐัพพะ การรู้เรื่องทางมโนคือใจ เหล่านี้เรียกว่าวิญญาณ

และเมื่อเป็นวิญญาณขึ้นสืบมาจึงเป็น เวทนา ก็เป็นความรู้อีกเหมือนกัน แต่เป็นความรู้ที่เป็นสุขเป็นทุกข์หรือเป็นกลาง ๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข

สืบมา จึงเป็น สัญญา ก็เป็นความรู้อีกเหมือนกัน แต่เป็นความรู้จำ จำรูป จำเสียง จำกลิ่น จำรส จำโผฏฐัพพะสิ่งถูกต้อง จำเรื่องราวที่คิดแล้ว จึงมาเป็น สังขาร ก็เป็นความรู้อีกเหมือนกัน คือรู้คิดปรุง หรือรู้ปรุงคิด ก็นำเอาความจำหรือสิ่งที่จำนั่นแหละ มาคิดคือมาปรุงขึ้น ความคิดก็คือความปรุงนั้นเอง และเพราะเป็นความปรุงจึงเรียกว่าสังขาร ที่แปลว่าปรุงแต่ง สังขารในขันธ์ ๕ จึงมีความหมายดั่งนี้

และเมื่อคิดปรุงหรือปรุงคิดไปก็รู้ไปด้วย ในความคิดปรุงหรือปรุงคิดนั้น ก็มาเป็นวิญญาณขึ้นอีก นี้คือขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

เมื่อว่าถึงทางเกิดแห่งขันธ์ ๕ ในปัจจุบัน คือขันธ์ ๕ ที่เป็นปัจจุบันธรรม อายตนะภายในอายตนะภายนอกที่มาประจวบกันอยู่นั้นก็คือรูป ก็เป็นวิญญาณขึ้นมา จึงเป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร แล้วก็เป็นวิญญาณขึ้นมาอีก แล้วก็เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร เป็นวิญญาณขึ้นมาอีก วิญญาณจึงมาก่อน

แต่ท่านไม่แสดงว่า รูป วิญญาณ เวทนา สัญญา สังขาร ท่านแสดงว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เอาวิญญาณไว้ท้าย ก็เพราะว่าขันธ์ ๕ นี้เป็นอารมณ์ของวิปัสสนากรรมฐาน ในการที่จะปฏิบัติทำวิปัสสนาปัญญาให้เห็นแจ้งรู้จริง ก็ตรัสสอนให้กำหนดพิจารณาขันธ์ ๕ นี้เองโดยไตรลักษณ์ คือลักษณะที่ไม่เที่ยง ลักษณะที่เป็นทุกข์ ลักษณะที่เป็นอนัตตา เมื่อเป็นดั่งนี้ จับพิจารณา รูป ก่อนจึงประกอบขึ้นด้วยธาตุทั้ง ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นของหยาบ ก็กำหนดพิจารณาได้ง่าย และต่อจากนี้จับพิจารณา เวทนา ซึ่งเวทนานั้นก็เป็นข้อเริ่มต้นของนาม คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นนาม รูปก็เป็นรูป ๔ กำหนดนามข้อเวทนานี้ขึ้นก่อนสะดวก เพราะเวทนาแม้เป็นนามแต่ก็เกิดขึ้นได้ทั้งที่กายและที่จิต เป็นเวทนาทางกายก็มี เป็นเวทนาทางจิตก็มี กายก็หมายรูปกาย 

ฉะนั้นเมื่อจับพิจารณารูปก่อนก็พบเวทนาที่รูป คือที่รูปกาย และก็พบเวทนาที่จิต เนื่องกัน จับพิจารณาเวทนาต่อจากรูปจึงสะดวก แล้วก็มา สังขาร แล้วก็มา สัญญา มา สังขาร ซึ่งเป็นนามธรรมโดยลำดับ แล้วจึงจับพิจารณา วิญญาณ ที่ประกอบอยู่กับความคิดปรุงหรือปรุงคิด ซึ่งเป็นตัวสังขารนั้นด้วย ซึ่งเป็นของละเอียด แต่เมื่อได้จับพิจารณามาโดยลำดับดั่งนี้ จึงมาจับพิจารณา วิญญาณ ก็จะรู้จักวิญญาณได้สะดวกขึ้น เมื่อจับวิญญาณได้สะดวกขึ้น ก็จะได้มีสติในขณะที่อายตนะภายในภายนอกประจวบกันอยู่ ซึ่งก็เป็นวิญญาณบังเกิดขึ้น เป็นการเห็นการได้ยินเป็นต้น เพราะฉะนั้น จึงได้เรียงวิญญาณเอาไว้เป็นท้าย ซึ่งวิญญาณก็มีความหมายดั่งนี้

  แต่ว่าวิญญาณนี้เองก็ใช้เรียกหมายถึงจิตในที่หลายแห่งอีกเหมือนกัน เช่นในธาตุ ๖ ดังที่ได้กล่าวแล้ว วิญญาณธาตุ ธาตุที่ ๖ คือธาตุรู้ ก็หมายถึงจิต และในที่อื่นอีกหลายแห่งแสดงคำว่าวิญญาณซึ่งหมายถึงจิต แต่สำหรับวิญญาณในขันธ์ ๕ ซึ่งตรัสแสดงเป็นพื้นนั้น ให้มีความหมายดังที่กล่าวนี้

อีกคำหนึ่งคือ มโน คำว่ามโนนี้ก็แปลกันว่าใจเหมือนกัน และจิตก็แปลกันเป็นคำไทยว่าใจเหมือนกัน ในภาษาไทยจึงใช้คำแปลเป็นคำเดียวกัน เพราะไม่รู้ว่าจะไปหาคำไหน คำอื่นมาใช้ให้ต่างกันไป คำว่าใจนั้นทุกคนก็มีความเข้าใจ แต่ว่ามโนที่แปลว่าใจนี้เป็นอายตนะภายในข้อที่ ๖

อายตนะภายในนั้นก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และมนะคือใจ ซึ่งทั้ง ๖ นี้เป็นทวารคือเป็นประตูที่จิตรับอารมณ์คือเรื่องของรูปเสียงเป็นต้น เพราะฉะนั้นฐานะของมโนจึงเป็นทวารของจิตเท่านั้น เหมือนอย่างจักขุ ตา เป็นต้นที่เป็นทวารของจิตเช่นเดียวกัน แต่มโนคือใจนี้จะต้องประกอบกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ๕ ข้อนี้ตลอดเวลาด้วย จึงจะให้สำเร็จการเห็นรูป การได้ยินเสียง การได้ทราบกลิ่น ทราบรส ทราบโผฏฐัพพะ ลำพังประสาทตา ประสาทหู อย่างเดียว ประสาทจมูก ประสาทลิ้น ประสาทกาย อย่างเดียว ไม่พอที่จะให้เกิดความรู้เห็นรูป รู้ได้ยินเสียง เป็นต้น ได้ ต้องมีมโนข้อที่ ๖ นี้เข้าประกอบอยู่ด้วย ซึ่งก็ได้กล่าวมาแล้วเหมือนกันตามที่พระพุทธเจ้า และพระอาจารย์ผู้อธิบาย

พระพุทธวัจนะเกี่ยวแก่เรื่องนี้ ได้แสดงอธิบายไว้ดั่งนี้ ก็ต้องกับความรู้ในปัจจุบัน ให้ไปดูห้องแสดงกรรมฐาน คือชั้น ๒ ที่ตึก ภปร. ที่แสดงระบบของมันสมอง อันเกี่ยวกับประสาททั้ง ๕ ตามความรู้ในปัจจุบัน ก็จะเห็นได้ชัด เช่นแสดงถึงว่าการเห็นรูปนั้นต้องอาศัยอะไรบ้าง จะต้องอาศัยจักขุประสาท และจะต้องอาศัยมันสมองอีกส่วนหนึ่งที่เนื่องกับจักขุประสาทนั้น จึงจะให้สำเร็จการเห็นรูปได้ การได้ยินเสียงก็ต้องอาศัยประสาทหู และก็ต้องอาศัยมันสมองอีกส่วนหนึ่งที่เกี่ยวกับประสาทหู จึงจะให้สำเร็จการได้ยินเสียงได้

เพราะฉะนั้นสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส จึงได้ตรัสอธิบายไว้ว่า มโนซึ่งเป็นอายตนะข้อที่ ๖ นี้ ก็เท่ากับเป็นมันสมองส่วนที่มีหน้าที่อันเกี่ยวแก่ประสาททั้ง ๕ ของบุคคลดังที่กล่าวนั้น แต่ว่าทางพุทธศาสนานั้นแสดงมโนในฐานะเป็นนามธรรมอันหนึ่ง ซึ่งสัมพันธ์กันอยู่กับรูปธรรม ๖ ส่วนประสาททั้ง ๕ นับเป็นอายตนะข้อที่ ๖ หรือเป็นประสาทภายในข้อที่ ๖ ก็คงจะได้

เพราะ ฉะนั้น จิต วิญญาณ และมโน ซึ่งใช้ในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จึงได้มีความหมายดังที่แสดงมานี้

และก็เห็นได้ชัดในทุติยเทศนาของพระพุทธเจ้า ที่แสดงขันธ์ ๕ ว่าเป็นอนัตตา มิใช่ตัวตน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอนัตตามิใช่ตัวตน เพราะบังคับให้เป็นไปตามปรารถนามิได้ เมื่อเป็นดั่งนี้ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงเป็นอนิจจะไม่เที่ยง และสิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นก็ย่อมเป็นทุกข์ คือต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป และสิ่งใดไม่เที่ยงเป็นทุกข์ สิ่งนั้นก็เป็นอนัตตา ไม่ควรที่จะยึดถือว่า นี่เป็นของเรา เราเป็นนี่ นี่เป็นตัวตนของเรา คือไม่ควรที่จะยึดถือว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นของเรา เราเป็นรูป เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร เป็นวิญญาณ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอัตตาตัวตนของเรา และในท้ายเทศนาก็ได้ตรัสว่าจิตของพระเบ็ญจวัคคีย์พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย ดั่งนี้

และใน เทศนาที่ ๓ (อาทิตตปริยายสูตร) ทรงยกแสดงเป็นแม่บทว่า สิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน อะไรเป็นของร้อน ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และมนะคือใจ อันได้แก่อายตนะภายในทั้ง ๖ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมะคือเรื่องราว ซึ่งเป็นอายตนะภายนอก วิญญาณ สัมผัส เวทนา อันบังเกิดสืบเนื่องมาจากที่อายตนะภายในภายนอกประจวบกัน นั้นเป็นของร้อน ร้อนเพราะอะไร ร้อนเพราะไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ ร้อนเพราะชรา พยาธิ มรณะ ร้อนเพราะชาติ ชรา พยาธิ มรณะ เพราะโสกะความโศก ปริเทวะความคร่ำครวญรำพัน ทุกขะความไม่สบายกาย โทมนัสสะความไม่สบายใจ อุปายาสะความคับแค้นใจ  และในท้ายพระสูตรก็ตรัสว่าจิตของภิกษุพันรูป ที่เรียกว่าเป็นปุราณชฎิล เป็นชฎิลเก่า ก็พ้นจากอาสวะดั่งนี้

เป็นอันว่าได้ทรงจำแนกเอาไว้ชัดเจน วิญญาณก็ดี มโนก็ดี เป็นข้อที่พึงพิจารณาว่าเป็นอนัตตา หรือโดยไตรลักษณ์ และเมื่อเป็นของร้อน แต่ว่าจิตนั้นมิได้ตรัสรวมเข้าด้วย แต่ว่าตรัสว่าเมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนานี้ จิตของพระเบ็ญจวัคคีย์ และของพระปุราณชฎิลพันรูป ก็พ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะฉะนั้น จิตจึงเป็นสิ่งสำคัญดังกล่าว

และจิต นี้ ยังได้ตรัสเอาไว้ว่า ทุรังคมัง เที่ยวไปไกล เอกะจรัง เที่ยวไปผู้เดียว อสรีรัง ไม่มีสรีระรูปร่างสัณฐาน คูหาสยัง มีคูหาคือถ้ำเป็นที่อาศัย ตามที่ตรัสเอาไว้นี้เมื่อมากำหนดพิจารณาดูจิตของตนก็จะเห็นได้ ว่าเที่ยวไปไกล คือคิดไปนั่นคิดไปนี่ได้ไกลมาก คิดไปถึงดวงอาทิตย์ก็ได้ คิดถึงดวงจันทร์ก็ได้ ถึงดวงดาวดวงใดดวงหนึ่งก็ได้ ในโลกนี้ก็คิดไปถึงที่นั่นที่นี่ได้ทั่วโลกทั้งนั้น และก็เที่ยวไปผู้เดียวหรือเที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีสรีระคือรูปร่างสัณฐาน แต่ว่ามีคูหาเป็นที่อาศัย มีคูหาก็คือมีถ้ำเป็นที่อาศัย คูหาคือถ้ำนี้พระอาจารย์ท่านอธิบายรวมกันไปว่ามีกายนี้เป็นที่อาศัยไปที เดียว และพระอาจารย์ผู้อธิบายในภายหลังที่ท่านอธิบายตามความเข้าใจของท่านเอง ว่าจิตนี้อาศัยอยู่ที่หทัยวัตถุคือที่หัวใจของทุก ๆ คนที่เต้นตุบ ๆ อยู่ทุกเวลานี้ ว่าจิตอาศัยอยู่ที่นี่ แต่ก็ไม่มีพุทธพจน์ตรัสแสดงเอาไว้ ตรัสเอาไว้ว่ามีคูหาคือมีถ้ำเป็นที่อาศัยเท่านั้น

และเมื่อวิทยาในปัจจุบันเจริญมาถึงเพียงนี้ ดังที่ได้มีแสดงถึงระบบประสาททั้ง ๕ กับระบบมันสมองที่ประสานกัน และที่ตั้งของมันสมองอยู่ในกะโหลกศีรษะ ผู้ที่เป็นนักคิดในปัจจุบันจึงมีความเห็นว่าจิตน่าจะอาศัยอยู่กับมันสมอง และภายในกะโหลกศีรษะนี้ รูปร่างก็เป็นคูหาคือเป็นถ้ำอยู่แล้ว ตามบาลีที่ว่ามีคูหาที่แปลว่าถ้ำ คือถ้ำในภูเขาเป็นที่อาศัย แต่พระอาจารย์ท่านต้องการที่จะอธิบายว่าอาศัยอยู่ที่กายนี้ คูหาคือถ้ำก็หมายถึงกายนี้จึงไม่มีผิด เป็นการที่แสดงรวมทั้งหมด และตามที่ได้แสดงมานี้แม้ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติโดยตรง แต่ว่าเมื่อรู้ถึงสมมติบัญญัติศัพท์ธรรมะในพุทธศาสนา ก็จะทำให้มีความเข้าใจ และทำให้ไม่สงสัย

และตามที่กล่าวมานี้ก็พึงเข้าใจว่าในบุคคลทุก ๆ นี้ มีสิ่งที่เป็นวัตถุ ที่มี สรีระ รูปร่างสัณฐานคือรูปกาย กับมีสิ่งที่ไม่มีสรีระ ไม่มีรูปร่างสัณฐานคือจิต ประกอบกันอยู่พร้อมกับนามธรรมทั้งปวงที่เป็นอาการของจิต เพราะฉะนั้นจิตนี้จึงมิใช่มันสมอง มันสมองเป็นรูป เป็นสรีระ มีรูปร่างสัณฐาน แต่ว่าจิตนี้เป็น อสรีระ ไม่มีรูปร่างสัณฐาน ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ แต่ว่าเมื่อเป็นดั่งนี้จะพิสูจน์ได้อย่างไรว่ามีจิต

ในข้อนี้ก็ต้องตอบว่าการพิสูจน์นั้น สำหรับสิ่งที่มีสรีระ ก็ต้องพิสูจน์กันตามหลักเกณฑ์ของสิ่งที่มีสรีระ หรือวัตถุ แต่ว่าสิ่งที่ไม่มีสรีระคือจิตและนามธรรมทั้งหลาย ก็ต้องพิสูจน์กันด้วยวิธีของสิ่งที่ไม่มีสรีระ หรือนามธรรมด้วยกัน และในบุคคลเรานี้ สิ่งที่ไม่มีสรีระนี้มีอยู่เป็นอันมากที่พิสูจน์ด้วยวัตถุด้วยกันไม่ได้ เป็นต้นว่าปัญญาคือความรู้

ความรู้ของบุคคลที่มีอยู่ ที่เป็นปัญญามาตั้งแต่กำเนิดก็ดี ที่เป็นปัญญาที่เกิดจากการศึกษาเล่าเรียนได้ชั้นนั้นชั้นนี้กันมาก็ดี ไม่ใช่วัตถุจะเอามาชั่งตวงวัด ตวงวัดกันด้วยเครื่องชั่ง เครื่องตวง เครื่องวัดต่าง ๆ  ว่าใครมีปัญญามากเท่าไร กี่ทะนานกี่ถัง เอาทะนานเอาถังมาตักมาตวงกันเป็นต้นดั่งนี้ไม่ได้ เพราะไม่มีรูปร่างที่จะปรากฏว่าใครมีปัญญามากเท่าไร

เพราะฉะนั้นจึงต้องมีการพิสูจน์เท่าที่จะพึงทำได้ เช่นด้วยวิธีสอบไล่ หรือวิธีสอบต่าง ๆ  วัดความรู้ต่าง ๆ ก็ได้เท่านั้น แต่ก็ไม่ใช่หมายความว่าจะทำให้รู้ได้ทั้งหมด ดั่งนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น สิ่งที่ไม่มีสรีระในบุคคลเรานี้ที่เป็นนามธรรมเนื่องกับจิต จึงมีอยู่เป็นอันมาก ธรรมะทั้งหลายก็เป็นนามธรรมเนื่องอยู่กับจิตทั้งนั้น วัดกันไม่ได้ ตวงกันไม่ได้ ว่าใครมีสติมีปัญญา อะไรเป็นต้น เท่าไร กิเลสก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นสิ่งที่ไม่มีสรีระอันนี้จึงมีอยู่ในทุก ๆ คน เพราะฉะนั้นก็ต้องศึกษาและต้องกำหนดให้รู้ และจะทำให้รับรองธรรมะอันเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าได้อีกเป็นอันมาก 

ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและทำความสงบสืบต่อไป

(ถอดเสียงธรรมโดย คุณ อณิศร โพธิทองคำ)