Skip to content

ขันธ์ ๕

สมเด็จพระญาณสังวร สกลมหาปริณายก

| PDF | YouTube | AnyFlip |

บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

สติปัฏฐานในทางปฏิบัติ คือปฏิบัติตั้งสติในกายเวทนาจิตธรรม เป็นข้อปฏิบัติที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์ได้จริง เพื่อล่วงความโศกความรัญจวนใจได้จริง เพื่อดับทุกข์โทมนัสได้จริง เพื่อบรรลุธรรมะอันถูกชอบได้จริง เพื่อกระทำให้แจ้งพระนิพพานได้จริง เพียงแต่ให้มีความเพียร มีความรู้ตัว มีสติ ปฏิบัติกำจัดความยินดีความยินร้ายต่างๆ ตามทางแห่งสติปัฏฐาน แม้ว่าจะตั้งใจปฏิบัติทำสติตั้งสติ เมื่อสติตั้งขึ้นได้ในกายในเวทนาในจิตในธรรม แม้เพียงชั่วครู่ชั่วขณะ ก็ทำให้ได้รับความบริสุทธิ์ ได้รับความดับทุกข์ร้อนได้ชั่วครู่ชั่วขณะจริง

และการปฏิบัตินั้นก็ดังที่ได้กล่าวแล้ว จับปฏิบัติมาตั้งแต่กำหนดลมหายใจเข้าออก หรือจะจับปฏิบัติในข้อใดข้อหนึ่งก็ได้ ปัจจุบันธรรมคือธรรมะที่เป็นปัจจุบัน กายที่เป็นปัจจุบัน เวทนาที่เป็นปัจจุบัน จิตที่เป็นปัจจุบัน และธรรมะที่เป็นปัจจุบัน

ดั่งนี้ เป็นข้อที่พึงตั้งสติ และทั้ง ๔ นี้ก็เป็นปัจจุบันอยู่ด้วยกัน อันไหนออกหน้า จะจับอันนั้นขึ้นมาตั้งสติเพื่อดับทุกข์ร้อน ดั่งนี้ก็ใช้ได้

ว่าถึงหมวดธรรมะพระพุทธองค์ได้ทรงยกนิวรณ์ขึ้นเป็นหมวดแรก ก็เพราะว่าเป็นอกุศลธรรมที่บังเกิดอยู่ในจิตของบุคคลเป็นประจำ และก็ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน ข้อนั้นบ้างข้อนี้บ้าง ข้อรักบ้าง ข้อชังบ้าง ข้อง่วงบ้าง ข้อฟุ้งบ้าง ข้อสงสัยบ้าง และนิวรณ์นี้เองที่จะพึงปฏิบัติรำงับเสียให้ได้ จึงจะตั้งสติได้ในสติปัฏฐาน ถ้าหากว่าระงับไม่ได้ สติก็จะไปตั้งอยู่ในนิวรณ์ นิวรณ์พาสติไป เมื่อนิวรณ์พาสติไปก็เป็นมิจฉาสติ ไม่เป็นสติปัฏฐาน ต่อเมื่อสติระงับนิวรณ์จึงจะเป็นสติปัฏฐาน และเมื่อระงับนิวรณ์ได้ก็จับพิจารณาขันธ์ธาตุต่อไปได้สะดวก เพราะฉะนั้นพระพุทธองค์จึงได้ตรัสสอน ให้พิจารณาขันธ์ถัดจากที่ให้ปฏิบัติระงับนิวรณ์

ปฏิบัติระงับนิวรณ์นั้นก็กล่าวได้ว่าเป็นสมาธิหรือเป็นสมถะ เมื่อมาจับพิจารณาขันธ์ก็เป็นอันว่าได้ปฏิบัติทางปัญญาหรือวิปัสสนา ซึ่งพระพุทธองค์ได้ตรัสสอนให้มากำหนดพิจารณารูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ ว่ารูปเป็นอย่างนี้ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเป็นอย่างนี้ ความเกิดขึ้นความดับของรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจึงสมควรที่จะหัดกำหนดให้รู้จัก รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ

รูปนั้นก็คือรูปกายนี้ซึ่งประกอบด้วยมหาภูตรูป และอุปาทายรูป มหาภูตรูปนั้นแปลว่ารูปที่เป็นแล้วใหญ่ ก็คือธาตุดินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลม ส่วนที่แข้นแข็งในกายนี้ก็เป็นธาตุดิน ส่วนที่เอิบอาบเหลวไหลก็เป็นธาตุน้ำ ส่วนที่อบอุ่นก็เป็นธาตุไฟ ส่วนที่พัดไหวก็เป็นธาตุลม

เมื่อกำหนดโดยเป็นธาตุดั่งนี้ก็เป็นมหาภูตรูป รูปที่เป็นภูตะใหญ่คือที่เป็นของที่เป็นแล้วใหญ่ อุปาทายรูป รูปอาศัยก็คือรูปอันละเอียดที่อาศัยอยู่ในมหาภูตรูปนี้นั่นเอง ก็เป็นต้นว่าประสาทตาประสาทหูประสาทจมูกประสาทลิ้นประสาทกาย รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะที่คู่กันเป็นต้น รวมเรียกว่ารูป และเพราะเหตุที่เป็นสิ่งที่ต้องย่อยยับไปได้ จึงเรียกว่ารูป

เพราะคำว่ารูปนั้นแปลว่าย่อยยับไปได้ ทำลายไปได้ รูปนี้จึงเป็นสิ่งที่ย่อยยับไปได้ทำลายไปได้ เมื่อเกิดก่อเป็นรูปขึ้นมา ตั้งแต่เป็นกลละในครรภ์ของมารดา บรรดาธาตุดินน้ำไฟลมก็เข้ามาพอกพูน เติบใหญ่ขึ้นจนถึงคลอดออกมา และก็เติบใหญ่มาโดยลำดับจนถึงปัจจุบัน เมื่อย่อลงแล้วก็เป็นมหาภูตรูปส่วนหนึ่ง เป็นอุปาทายรูปส่วนหนึ่ง ดั่ง( ข้อความขาดไปเล็กน้อย ) ชื่อว่าเวทนาก็เพราะว่าเป็นสิ่งที่ให้รู้ อันใช้คำว่าให้เสวยหรือให้กินก็ได้ จึงมักจะใช้คำในภาษาธรรมะว่าเสวยสุขเสวยทุกข์ หรือเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ก็คือกินสุขกินทุกข์ เป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ก็หมายถึงตัวสุขทุกข์หรือเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ทางกายทางวาจาที่ทราบอยู่ ที่ปรากฏอยู่ ที่รู้อยู่ ว่าเป็นสุขเป็นทุกข์ หรือเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขอยู่นี้เอง ซึ่งเวทนานี้ก็เป็นสิ่งที่บังเกิดผลัดเปลี่ยนกันอยู่เสมอ บางคราวก็สุข บางคราวก็ทุกข์ บางคราวก็เป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ทางกายบ้างทางวาจาบ้าง เวทนาจึงเป็นอย่างนี้

สัญญาความจำหมายก็เป็นความรู้อย่างหนึ่ง เรียกว่าเป็นความรู้จำ ที่ปรากฏเป็นจำรูปจำเสียงจำกลิ่นจำรสจำโผฏฐัพพะ จำเรื่องราวอะไรต่างๆ ได้ ความจำที่เป็นความรู้อย่างหนึ่งเรียกว่าความรู้จำก็คือสัญญา สัญญาก็คืออย่างนี้

สังขารความคิดปรุงหรือความปรุงคิดต่างๆ ที่ทุกคนก็รู้อยู่ ถึงความคิดปรุงหรือความปรุงคิดของตน ซึ่งบังเกิดขึ้นในจิตใจ ก็ปรุงคิดรูปบ้างเสียงบ้างกลิ่นบ้างรสบ้างโผฏฐัพพะบ้างเรื่องราวต่างๆ บ้าง และก็เป็นคิดดีบ้าง คิดไม่ดีบ้าง คิดเป็นกลางๆ บ้าง ความคิดปรุงหรือความปรุงคิดนี้ก็คือสังขาร สังขารก็เป็นอย่างนี้

วิญญาณความรู้เห็นรู้ได้ยิน ก็คือเห็นรูปได้ยินเสียง ทราบกลิ่นรสโผฏฐัพพะ คิดหรือรู้เรื่องราวทางมโนคือใจ อันบังเกิดขึ้นในเมื่ออายตนะภายในและอายตนะภายนอกประจวบกัน เช่นตากับรูปประจวบกันก็เห็นรูป หูกับเสียงประจวบกันก็ได้ยินเสียง การเห็นการได้ยินเป็นต้นนี้ก็เป็นความรู้อย่างหนึ่ง รู้เห็นรู้ได้ยิน นี้คือวิญญาณ วิญญาณก็เป็นอย่างนี้

กำหนดดูให้รู้จักรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่เป็นไปอยู่ กำหนดพิจารณาว่ารูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณนี้เป็นอย่างนี้ๆ ตั้งแต่ถือกำเนิดเกิดก่อขึ้นในครรภ์ของมารดาจนถึงในปัจจุบัน และต่อไปจนถึงแตกดับ ก็เป็นรูปเป็นเวทนาเป็นสัญญาเป็นสังขารเป็นวิญญาณอยู่อย่างนี้ๆ

แม้ว่าความเป็นไปของขันธ์ ๕ จะปรากฏเป็นเด็กเล็กเป็นเด็กใหญ่ เป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นคนแก่หรือเป็นคนเฒ่า จนถึงแตกดับ จะปรากฏแตกต่างกันอย่างไร แต่ก็คงอยู่ในลักษณะเป็นรูป คือเป็นมหาภูตรูป อุปาทายรูป เป็นเวทนาสุขทุกข์ เป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข เป็นสัญญาจำหมาย เป็นสังขารคิดปรุงหรือปรุงคิด เป็นวิญญาณรู้เห็นรู้ได้ยินเป็นต้น อยู่นั้นเอง มีลักษณะเป็นขันธ์ ๕ อยู่ดั่งนี้

และที่ชื่อว่าขันธ์ที่แปลว่ากอง ก็เพราะว่าแต่ละข้อนั้นก็เป็นส่วนผสมปรุงแต่ง จากส่วนประกอบทั้งหลาย รวมเข้าเป็นรูป เป็นเวทนาเป็นต้น จึงเรียกว่าเป็นขันธ์ที่แปลว่ากองหมวดหมู่ เพราะฉะนั้น ก็ให้พิจารณาให้รู้จักรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณอย่างนี้

และเมื่อได้กำหนดพิจารณาให้รู้จักอย่างนี้แล้ว ก็ให้รู้จักความเกิดของรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ ว่ารูปเกิดขึ้นอย่างนี้ คือว่าส่วนทั้งหลายที่เป็นรูปมาประชุมปรุงแต่งกันขึ้น จากเหตุปัจจัย ๒ ส่วน คือเหตุปัจจัยที่เป็นภายใน อันได้แก่อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม และที่เป็นส่วนภายนอกก็คือที่เป็นตัวธาตุทั้งหลายส่วนรูปมาประชุมปรุงแต่งกันขึ้น เป็นก้อนเป็นกอง ตั้งแต่กลละอันเป็นจุดเริ่มต้นในครรภ์ของมารดามาจนปัจจุบัน และอาศัยอาหารต่างๆ ซึ่งบุคคลบริโภค ตลอดจนถึงลมหายใจเข้าออกเป็นอาหาร บำรุงรักษารูปนี้ให้ดำรงอยู่ ก็เป็นความเกิดขึ้นของรูป

ความเกิดขึ้นของเวทนานั้นก็มาจากเหตุปัจจัย ซึ่งมาสัมผัสกายใจนี้ เมื่อเหตุปัจจัยที่เป็นที่ตั้งของสุขก็ให้เกิดสุข เหตุปัจจัยที่เป็นที่ตั้งของทุกข์ก็ให้เกิดทุกข์ เหตุปัจจัยที่เป็นที่ตั้งของเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ก็ให้เกิดเวทนาที่เป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ก็ปรากฏเป็นความเกิดขึ้นของเวทนา เป็นสุขบ้างเป็นทุกข์บ้างเป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขบ้าง สลับสับเปลี่ยนกันไป ก็เป็นความเกิดของเวทนา

สัญญาคือความจำหมายก็เช่นเดียวกัน ก็มีเหตุปัจจัยให้จำหมาย ก็คือความสัมผัสทางอายตนะภายในภายนอก และทางตัวความรู้ซึ่งเป็นวิญญาณ ซึ่งให้เกิดเวทนาแล้วจึงให้เกิดสัญญาคือจำหมายได้ในรูปในเสียงเป็นต้น ที่มาสัมผัส มาประสบพบพาน ก็เป็นความเกิดขึ้นของสัญญา

สังขารความคิดปรุงหรือปรุงคิดก็เช่นเดียวกัน ก็มีความเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัยที่มาสัมผัสเป็นเวทนาเป็นสัญญา แล้วก็นำเอาสิ่งที่จำนั่นแหละมาคิดปรุงหรือปรุงคิดขึ้นต่างๆ เพราะว่าคนเรานั้นจะไปปรุงคิดหรือคิดปรุงในสิ่งที่ลืมไม่ได้ คิดปรุงหรือปรุงคิดได้แต่ในสิ่งที่จำได้เท่านั้น เพราะฉะนั้นเหตุปัจจัยคือความสัมผัสที่นำให้เกิดเวทนาสัญญา จึงสืบมาถึงสังขารความคิดปรุงหรือความปรุงคิดก็เกิดขึ้น นี้ก็คือความเกิดขึ้นของสังขาร

วิญญาณนั้นเล่าก็อาศัยเหตุปัจจัย ก็คือนามรูปหรืออายตนะภายในภายนอกที่มาประจวบกัน จึงได้บังเกิดความรู้เห็นหรือรู้ได้ยินเป็นต้น ที่เราเรียกว่าเห็น ที่เราเรียกว่าได้ยิน แต่อันที่จริงนั้นก็เป็นความรู้อย่างหนึ่งๆ เห็นก็รู้ ได้ยินก็รู้ ตลอดจนถึงทราบกลิ่นรสโผฏฐัพพะก็รู้ คิดหรือรู้เรื่องราวต่างๆ ก็รู้ เพราะฉะนั้นเมื่อสิ่งที่ทำให้รู้ก็คืออายตนะเป็นต้นดังกล่าวนั้น มาประจวบกันก็เป็นเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดวิญญาณ ซึ่งเป็นความรู้เห็นรู้ได้ยิน เป็นความรู้ที่เรียกว่าทราบ หรือความรู้ที่เรียกว่ารู้หรือคิดทางใจ ก็เป็นความเกิดของวิญญาณ

พิจารณาให้รู้จักว่าความเกิดขึ้นของรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณเป็นอย่างนี้ๆ และเมื่อได้กำหนดพิจารณาให้รู้จักความเกิดดั่งนี้แล้ว ก็พิจารณาให้รู้จักความดับ ว่าความดับของรูป ก็คือความดับที่เป็นความสิ้นความเสื่อมไปตามธรรมดา ความดับที่เป็นความขาดอาหารคือหากขาดเหตุปัจจัยที่จะมาก่อให้เกิด เมื่อสิ้นเหตุสิ้นปัจจัยที่ก่อให้เกิดก็ดับ และความดับที่เป็นธรรมดาที่เป็นความเกิดความดับ ก็เป็นความสิ้นเหตุสิ้นปัจจัยนั้นอีกเหมือนกัน ซึ่งมีอยู่เป็นธรรมดา และความดับนี้มีอยู่เป็นประจำ เป็นปัจจุบันธรรม

แต่อาศัยสันตติคือความสืบต่อ ดังเช่นบริโภคอาหารเข้าไปบำรุงเลี้ยงรูปกาย แล้วก็บริโภคอาหารเพิ่มเติมเข้าไปอีก ความสืบต่อชีวิตจึงดำรงอยู่จึงเป็นไปอยู่ แต่ว่าในที่สุดเมื่อถึงคราวที่จะดับในที่สุดแล้ว ก็ไม่สามารถจะใส่อาหารเข้าไปได้ ก็ต้องดับเป็นความตายในที่สุด แต่เมื่อยังเพิ่มอาหารเข้าไปได้ก็เป็นความดับที่ยังต่อได้

เพราะฉะนั้นบุคคลเราจึงต่ออายุกันอยู่เสมอด้วยอาหาร ซึ่งความจริงนั้นอายุของรูปกายนั้นสิ้นไปหมดไปอยู่ทุกขณะ แต่ต่ออายุกันได้ด้วยอาหาร ก็ต่อไป อาหารที่เห็นได้ชัดก็คือลมหายใจเข้าลมหายใจออก ซึ่งต้องบริโภคกันอยู่ทุกลมหายใจเข้าทุกลมหายใจออก ดังที่ปรากฏ ถ้าหากว่าต้องขาดอาหารคือลมหายใจแม้เพียงไม่นานนัก ชีวิตนี้ก็ดำรงอยู่ไม่ได้ แต่ชีวิตนี้ดำรงอยู่ได้ก็เพราะว่ายังหายใจเข้าหายใจออก รับเอาลมเข้าไปเป็นอาหารบำรุงเลี้ยง

ฉะนั้นช่วงของอายุของรูปกายจริงๆ นั้นจึงไม่ยาว สั้นนิดเดียวแค่ลมหายใจเข้าลมหายใจออกนี้นั่นแหละ แต่อาศัยที่ต่อได้ คือหายใจต่อกันไปได้ อายุก็จึงต่อไป ไม่สามารถหายใจได้เมื่อใด ก็เป็นอันว่ายุติกันเมื่อนั้น แปลว่าต่อไม่ได้ เพราะเป็นความดับที่ปรากฏ เมื่อยังต่อได้อยู่ก็เป็นความดับที่ไม่ปรากฏ แต่อันที่จริงนั้นอายุของรูปกายสิ้นอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกอยู่แล้ว แต่ต่อได้เท่านั้น คือดับอยู่แล้วแต่ว่าต่อได้ จนถึงต่อไม่ได้จึงเป็นความดับที่ปรากฏ เป็นความตายที่ปรากฏ นี้เป็นความดับของรูป

ความดับของเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ดับอยู่ทุกอารมณ์ เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณเกิดขึ้นในอารมณ์อันหนึ่ง แล้วก็ดับไปในอารมณ์อันหนึ่งนั้น อารมณ์ทุกอารมณ์นั้นเกิดดับเร็วมาก ทุกๆ คนนั้นรับอารมณ์ทางตาที่เรียกว่ารูปารมณ์ อารมณ์ทางหูที่เรียกว่าสัทธารมณ์ ครู่หนึ่งก็มากมาย อย่างในบัดนี้กำลังรับสัทธารมณ์อารมณ์คือเสียงที่อบรมนี้ เสียงที่อบรมนี้คำหนึ่งๆ ก็เป็นอารมณ์หนึ่งๆ คำที่หนึ่งเข้ามาก็เป็นเกิด แล้วก็ดับ

จึงถึงอารมณ์ที่สอง เข้ามาก็เกิดดับ จึงถึงอารมณ์ที่สาม ก็คือว่าคำที่หนึ่ง คำที่สอง คำที่สามนั้นเอง คำหนึ่งก็เป็นอารมณ์หนึ่งๆ เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณก็เกิดไปดับไปกับอารมณ์ที่เกิดดับไปโดยลำดับ

เพราะว่าจิตนี้รับอารมณ์ได้คราวละหนึ่งเท่านั้น เมื่ออารมณ์ที่กำลังรับอยู่ตั้งอยู่ อารมณ์ที่สองก็เข้ามาไม่ได้ ต้องอารมณ์ที่หนึ่งดับ จึงถึงอารมณ์ที่สองเข้าได้ แล้วก็ดับอีก จึงถึงอารมณ์ที่สามเข้าได้ ฉะนั้นคำหนึ่งก็คืออารมณ์หนึ่งๆ เมื่อจิตรับเข้ามา ก็เกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ อยู่ทุกๆ อารมณ์ อารมณ์เกิดดับ เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณในอารมณ์นั้นก็เกิดดับไปพร้อมกับอารมณ์ และอารมณ์นี้ก็เกิดดับอยู่ทุกขณะ ทุกคำดังที่ยกตัวอย่างนั้น

เพราะฉะนั้นเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณนี้จึงเกิดดับ แต่ว่าติดต่อเป็นเรื่องเดียวกัน เมื่อไม่พิจารณาจึงไม่รู้สึกว่าเกิดดับ เมื่อพิจารณาแล้วจึงจะรู้สึกว่าเกิดดับ แต่เพราะมีสันตติคือติดต่อกันอีกเหมือนกัน จึงรู้สึกว่าเป็นเรื่องเดียวกันไป จนกว่าจะขาดสันตติคือความสืบต่อในที่สุด อันเรียกว่าความตายในที่สุด ความแตกสลายในที่สุด จึงปรากฏเป็นความดับที่ไม่มีต่อ เพราะฉะนั้นก็พิจารณาให้รู้จักว่า รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณดับอย่างนี้ อย่างละเอียดก็ดับถัดจากเกิดในปัจจุบัน แต่ยังมีสันตติ แต่เมื่อพิจารณาอย่างหยาบก็คือว่าขาดสันตติในที่สุด ก็เป็นอันว่าดับในที่สุดไม่มีต่ออีก เป็นความตายหรือเป็นความแตกสลายของขันธ์ที่ปรากฏอยู่

เพราะฉะนั้นก็หัดพิจารณาให้รู้จักขันธ์ ๕ ว่าเป็นอย่างนี้ ความเกิดของขันธ์ ๕ ว่าเป็นอย่างนี้ ความดับของขันธ์ ๕ ว่าเป็นอย่างนี้ ดั่งนี้ก็เป็นสติปัฏฐาน ตั้งสติในขันธ์ อันนับว่าเป็นวิปัสสนาปัญญา อันผู้ปฏิบัติธรรมสมควรที่จะปฏิบัติหัดพิจารณาให้รู้จัก

ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวดและตั้งใจทำความสงบสืบต่อไป

(ถอดเสียงธรรมโดย คุณ อณิศร โพธิทองคำ)