Skip to content

ไตรลักษณ์

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

| PDF | YouTube | AnyFlip |

ตั้งใจฟังธรรมเทศนาเพื่อให้สำเร็จประโยชน์แก่ตัวเอง เพื่อประโยชน์ส่วนตัวและส่วนมาก การฟังเทศน์ถึงแม้ประโยชน์คนอื่น ถ้าหากไม่ทำประโยชน์ส่วนตัว มันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเล้ย ประโยชน์ส่วนตัวเป็นของสำคัญที่สุด คนอื่นมันเห็นหัดทำตามเรา ถ้าเราทำเป็นประโยชน์แก่ตนแล้ว ถ้าตนเองไม่ทำให้เป็นประโยชน์แก่ตนเองแล้ว คนอื่นมันจะเอาตัวอย่างที่ไหน ตัวอย่างที่ดีนั้นก็เข้ามาดีที่ตัวของเรานั่นเอง 

การฟังเทศน์คอยคิดอย่างนี้ ที่เขาว่าพุทธศาสนาสอนให้เอาประโยชน์ส่วนตัว ไม่คิดเผื่อแผ่คนอื่น อันนั้นไม่จริง มหายานไม่ต้องเอาประโยชน์ส่วนตัว คิดประสงค์ประโยชน์ของคนอื่น เหตุนั้นพระโพธิญาณจึงค่อยมาก กวนอิมกวนเอิมอะไรต่างๆ เป็นพระโพธิญาณทั้งน้น ผู้หญิงก็เป็นโพธิญาณ ความเป็นจริงก็ประโยชน์ส่วนตัวนะแหละ เป็นพระโพธิสัตว์ก็ส่วนตัวนั่นแหละ แต่ว่ามุ่งไปเพื่อประโยชน์คนอื่น พระโพธิสัตว์ก็มุ่งความตรัสรู้นั่นแหละ จึงเรียกเป็นพระโพธิสัตว์ เค้าถือตื้นๆ ถือเปลือกๆ ถือพวกโพธิสัตว์ เอาพระโพธิสัตว์นั้นเป็นตัวอย่าง พระพุทธเจ้ามีอยู่แต่ไม่ถือ 

สมัยเมื่อพระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์อยู่ หรือพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ายังมีอยู่ก็เหมือนกับตัวพระองค์เจ้ายังอยู่ ทำไม๊จึงต้องไปถือพระโพธิสัตว์ การทำประโยชน์ส่วนตัวนี้คือการภาวนาตั้งใจกำหนดที่จะภาวนาส่วนตัว อะไรเป็นตัว อะไรเป็นตน ให้เห็นตัวของตนเสียก่อน ร่างกายนี้หรือเป็นตัว ร่างกายนี้หรือเป็นตัว ร่างกายนี้เป็นตนของตัวหรือไง คนเพียงถือเพียงตื้นๆเขินๆ ก็เลยขึ้นมาพิจารณาเป็นตนเป็นตัว แต่ว่าไม่ได้ทำตัวให้เป็นประโยชน์แก่ตัวของตนเอง ถือร่างกายเป็นตัวก็เลยทะนุถนอมบำรุงบำเรอ ปรนเปรอให้อิ่มหนำสำราญให้อยู่เย็นเป็นสุข 

คำว่าอยู่เย็นเป็นสุข คำว่าอิ่มหนำสำราญ มันอยู่ที่ไหน มันสุขที่ไหน มันไม่มีความสุขหรอก จะทำยังไง๊ ยังไงก็ไม่มีความสุข ยิ่งกินก็ยิ่งแก่ ยิ่งกินก็ยิ่งเฒ่าทุกวัน โรคภัยไข้เจ็บก็มีแทบทุกวัน เรายืน เดิน นั่ง นอน อิริยาบถต่างๆ คือเปลี่ยนอิริยาบถนั่นเอง การเปลี่ยนอิริยาบถก็หมายความถึง ไม่สบาย ไม่สบายจึงเปลี่ยนอิริยาบถ อิริยาบถเป็นเครื่องระงับเสียซึ่งความกระวนกระวาย เรียกว่าระงับทุกข์ได้ชั่วคราว อิริยาบถนั่งไปหายืน อิริยาบถยืนไปหานั่ง อะไรต่างๆ คือมันไม่สบายแล้ว มันจึงคอยเปลี่ยนอิริยาบถ นั่นจึงว่ามันมีสุขที่ไหนอ้ะของที่บำรุงบำเรอมันอยู่ หาความสุขไม่ได้หรอก ยิ่งมีโรคประจำตัวซะแล้ว ออดๆแอดๆตลอดเวลา นี่หรือตัวของเรา บอกได้ไว้ฟังก็ยังค่อยยังชั่วหน่อย บอกไม่ได้ ห้ามให้ไม่ฟัง ไม่ให้เจ็บ มันก็เจ็บ ไม่ให้แก่ มันก็แก่ ไม่ให้ตาย มันก็ตาย ตายทุกวัน เรานั่งอยู่นี่ก็เรียกว่าตายซะแล้ว หลายนาทีเป็นชั่วโมงแล้ว คือความแก่นั่นเอง 

แต่ตัวของเราระลึกไม่ได้ เลยประมาทอยู่ ถ้าระลึกความแก่ของตนอยู่เสมอๆแล้ว เห็นความแก่ของตนเป็นนิจ ไม่มีความประมาทหรอก ต้องรีบเร่งประกอบความเพียรภาวนา หรือสร้างคุณงามความดีให้เกิดให้มีในตน มันแก่ก็ไปหาตายนะสิ อุปมาเปรียบเหมือนกับคนเข้าป่าตอนค่ำ ไปหาฟืนหาไม้อะไรก็ตามเถอะ เข้าป่าไปตอนค่ำ ได้สิ่งเล็กน้อยก็รีบเก็บมา ได้หลัวได้ฟืนอะไรก็รีบเก็บมาซะ เพราะได้ใช้ได้สอย มันกว่าจะมืดกว่าจะค่ำ อันนั้นท่านก็ยังเรียกว่าเป็นผู้ไม่ประมาท ไฟไหม้ผมคนเราน่ะ ไฟไหม้ศีรษะน่ะ ต้องรีบดับ ไม่มีใครจะปล่อยให้มันไหม้ตลอดเวลาหรอก รีบๆดับเลย ท่านเห็นชีวิตของคนเปรียบเหมือนกับไฟไหม้ผม ขยันหมั่นเพียรประกอบความเพียร ให้รักษาศีลเป็นนิจ 

อันนี้การที่ว่าตนน่ะมันไม่ใช่ตัวของเรา เค้ามาเกิดขึ้นมาแล้ว ก็มาแก่ มาเจ็บ ชรา และผลที่สุดก็ดับสลายไป เป็นเรื่องของสังขาร ไม่ใช่ตัวของเรา เรามาถือเอาต่างหาก เรามายึดว่าของกูๆต่างหาก แต่แท้ที่จริงไม่ใช่ของกู ถ้าพูดว่าของกูๆนั่น ก็ไปยึดเอาว่าตัวและตนนั้นของกู เวลาแตกดับก็ไม่เห็นว่าของกู เวลาแตกดับก็เท่ากับหมดเรื่อง หมดผู้ว่าของกูก็หมด ไม่ทราบว่าหายไปไหน นี่จึงว่าไม่ใช่ของเรา การพิจารณาเห็นที่ว่าไม่ใช่ของเรานั้น มันเป็นประโยชน์แก่เราจริง คนอื่นเห็นตัวของเราเช่นนั้นย่อมกระทำตาม เป็นเหตุให้เป็นประโยชน์แก่ตน เป็นเหตุให้เป็นประโยชน์แก่คนอื่นต่อไป จึงควรพิจารณาอยู่เป็นนิจ คิดค้นอยู่เป็นนิจถึงเรื่องตัวของเรา ไม่มีใครเห็นหรอก เราเห็นตัวของเราเอง ไม่มีใครคิดค้นหรอก มีตัวของเราคิดค้นเอง ตัวของเราเป็นคนยึดคนถือ ตัวของเราก็ต้องเป็นคนละซิ 

อันนี้มีแต่ยึดแต่ถือ ไม่มีการละซักที มันก็แย่หละสิแบบนั้น ถือมันก็ไม่ใช่ของเรา ไปยึดไปถือมันก็ไม่ใช่ของเรา ไปยึดเก่าๆ ยึดลมๆแล้งๆไปงั้นน่ะ ไม่เห็นได้อะไรขึ้นมา เพียงแต่เราอยู่ชั่วคราว อาศัยชั่วคราว ถ้าหากเราไม่หล่อเลี้ยงร่างกายนี้มันก็อยู่ไม่ได้ การที่จะเสื่อมสูญฉิบหายไปคือตาย เหตุนั้นหล่อเลี้ยงไว้ แต่อย่าไปหล่อเลี้ยงอย่างเดียวนะ หล่อเลี้ยงเหมือนอย่างเดียวนั้นไม่ได้ มันเพลิดเพลินมัวเมา ทำให้เราลืมตัว หล่อเลี้ยงแล้วเห็นคุณค่าของการที่มันอยู่นั่น ที่มันอยู่ มันอยู่ได้ชั่ววันหนึ่งๆนะ เห็นคุณค่าของมัน เห็นประโยชน์ของมัน ว่ามันทำประโยชน์ให้แก่เรา รีบเร่งค้นหาความดีซะ 

อาตมาจึงเคยพูดอยู่เสมอว่า เลี้ยงมันน่ะ คือว่า เลี้ยงมันให้อยู่ชั่วคราว หล่อเลี้ยงเอาไว้อยู่ชั่วคราว เปรียบเหมือนกับคนเช่าบ้านเช่าเรือน ถ้าไม่ให้ค่าเช่าเค้าก็ไล่หนี คือตาย ให้ค่าเช่าก็พออยู่ได้ เช่าแล้วไม่ใช่อยู่เปล่า ต้องทำประโยชน์ เช่าบ้านเช่าเรือนก็ไม่ใช่อยู่เปล่าเมื่อไหร่ ต้องทำมาหากินจึงค่อยมีเงินสำหรับที่จะให้ค่าจ้างเขา ให้ค่าเช่าเขา อย่างนั้นก็เป็นประโยชน์แก่ตัวของเรา วันหนึ่งๆนะคิดดู ว่าเราคิดถึงความตายมั้ย อย่าให้ล่วงเลยเสียเปล่า ให้คิดถึงความตายที่อย่างที่ว่านี่แหละ จะเป็นผู้ไม่ประมาท ได้ชื่อว่าเป็นคนไม่ประมาท ทำคุณงามความดีอันนั้นให้สืบเนื่องไปโดยลำดับ เทศนาอะไรก็เทศน์เถอะ ลงมาสู่ความตายเกลี้ยง ใครจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ ลงมาสู่ความตาย ตายแล้วก็หมดเรื่องกันไป 

ถ้ายังไม่เห็นความตายตราบใดแล้ว ภาวนาก็ไม่เป็น ถ้าลงสู่ความตายแล้ว ภาวนาลงเลย ตายแล้วมันได้อะไรไป คุณงามความดีที่เราทำนั่นน่ะ เป็นของติดตัวของเราไป สมบัติข้าวของทั้งหมด กองทิ้งอยู่ในโลกอันนี้ ทิ้งไว้ในโลกอันนี้ก็ฉิบหายเป็นเองเหมือนกัน อย่างเขาทำที่ดินไร่น่าสาโทกว้างขวางมากมาย สมบัติพัสถานที่เค้าหามาได้มากมาย เราตายแล้วทิ้งไว้นี่แหละ มันจะไปไหน คนที่รับมรดกต่อไป คนที่รับทอดต่อเราไปนั้นมันก็ทิ้งเอาเหมือนกัน ในผลที่สุดก็ต้องทิ้งหมด ไม่เห็นหรือไร่น่าสาโทที่กว้างขวาง มันเป็นของใคร มันกี่คนมาแล้ว ไร่น่าตามป่าตามดงเป็นไร่เป็นสวนอยู่นั่นน่ะ เจ้าของไปไหนหมด มันก็เหมือนกับที่ว่านี่เอง ทิ้งหมด คนก็ไม่มีตัวตน ผู้ทำก็ไม่มีตัวตน วัตถุโบราณสิ่งที่เป็นสิ่งก่อสร้าง ที่เป็นถาวรวัตถุ พระธาตุพนมนั่นน่ะ คนโบรงโบราณสร้างไว้แล้วก็ต้องไปตายกันหมดพวกสร้างนี่ นครปฐม นครศรีธรรมราช สร้างไว้ใหญ่โตแล้วไปไหนหมดน่ะพวกนั้น ไอ้พวกที่สร้างเดี๋ยวนี้เหมือนกัน มันก็ยังเหมือนกับพวกนั้น จึงว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นของไม่ใช่ของเรา เป็นของอนัตตาทอดทิ้งอยู่ในโลกนี้ทั้งหมด พอสุดของพวกนี้ในโลกก็ทิ้งเหมือนกัน อย่างธาตุพนม ธาตุนครปฐม หมดคนทั้งปวง ในโลกนี้หมด มีวันหนึ่งที่จะต้องฉิบหาย ของเหล่านั้นจะต้องสลายเสื่อมสูญไปหมด ที่เรียกว่าบรรลัยกัปป์ บรรลัยกัลป์ ไม่มีคนเหลือหลอซักคนในโลกนี้ 

พิจารณาเห็นอย่างนี้ จิตใจมันจะค่อยลง ทำภาวนาทำสมาธิต้องลงถึงความตาย เห็นความตายจึงค่อยลงเป็นสมาธิได้ พิจารณาอานาปาก็คือความตายนั่นเอง ลมหายใจเข้าหายใจออก ให้มันเห็นความตายนั่นแหละ หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตาย หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตาย ตายหมด เรื่องไม่มีอะไร ให้มันเห็นสั้นๆตรงนั้น ทำสมาธิภาวนามันต้องสั้น ไม่ต้องยืดยาว กว้างขวางยืดยาวไม่เป็นสมาธิ ต้องทำเฉพาะสั้นๆ เห็นเฉพาะลมหายใจเข้าออกไปดูความตาย จึงเฉพาะลมหายใจเข้าออก แล้วมันจึงค่อยรวมลงมาเป็นสมาธิได้ ลงเป็นสมาธิเป็นเอกัคคตารมณ์ มีอารมณ์อันเดียวแน่วแน่ จนถึงเอกัคคตาจิต ไม่มีอะไรซะเลย หมดเรื่องไป 

ทำสมาธิมันต้องรวมลงมาอย่างนั้น อันกว้างขวางมันกว้างไปเองหรอก มันกว้างอยู่แล้ว แต่ไหนแต่ไรเกิดขึ้นมามันกว้างอยู่แล้ว แต่ไหนแต่ไรเกิดขึ้นมาก็กว้างแล้ว มันกว้างออกไปเอง ไม่ต้องกว้างขวาง ทำยังไงมันจะรวมเป็นสมาธิได้ ขอให้ทำไปเถอะ แค่นี้ก็พอ ไม่ต้องทำมากมาย เอาหละเท่านั้น