Skip to content

กรรม ๑

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

| PDF | YouTube | AnyFlip |

วันนี้จะเทศน์ถึงเรื่องกรรมให้ฟัง คนไม่ค่อยจะคิดถึงกรรม คิดก็คิดไม่ละเอียดถี่ถ้วนเผินๆ เห็นว่าเวลาตายด้วยประการต่างๆ อุปัทวเหตุเกิดขึ้นก็เรียกว่ากรรมของคนนั้น แท้ที่จริงนั้นกรรมมันยังลึกซึ้งไปกว่านั้นอีก อย่างท่านว่า 

สัพเพ สัตตา ลัทธะสัมปัตติโต มา วิคัจฉันตุ 

สัพเพ สัตตา กัมมัสสะกา กัมมะทายาทา กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ กัมมะปะฏิสะระณา

ยัง กัมมัง กะริสสันติ กัลยาณัง วา ปาปะกังวา ตัสสะ ทายาทา ภาวิสสันติ

อย่างนี้เป็นต้น คนเราถ้าไม่มีกรรมก็ไม่เกิด มันมีกรรมจึงค่อยเกิด ถ้าหมดกรรมหมดเวรแล้วก็หมดเรื่องกัน ถึงพระนิพพานเลย ตอนนี้มันมีกรรมอยู่นั่นแหละ จึงได้มาเกิดเป็นคน มาเป็นสัตว์สาราสิ่งทุกประการที่เกิดมานั้น ล้วนแต่เป็นกรรมทั้งนั้นแหละ สัพเพ สัตตา ลัทธะสัมปัตติโต มา วิคัจฉันตุ เราทำกรรมอะไรไว้ย่อมได้รับกรรมอันนั้น ทำกรรมดีกรรมชั่วก็ต้องรับกรรมอันนั้นที่เราทำ ไม่ใช่คนอื่นทำให้ ไม่ใช่ทำให้คนอื่น เราทำเอง เราได้เอง อันนี้เป็นการตายตัวอยู่ในนั้น จะเปลี่ยนแปลงพลิกไหวไปไม่ได้ 

กัมมัสสะกา เราทำ กัมมะทายาทา กรรมอันที่เราทำแล้ว เราต้องรับเป็นทายาท คือว่าเป็นรับผลกรรมนั่นเอง กัมมะโยนิ เรามีกรรมเป็นกำเนิด คือได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มาเป็นสัตว์ ที่เกิดมาเรียกว่ากรรม กัมมะพันธุ กัมมะปะฏิสะระณา เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กัมมะปะฏิสะระณา เราต้องอาศัยกรรม คนเราเกิดขึ้นมาต้องอาศัยกรรม เดี๋ยวนี้ก็ต้องอาศัยกรรมอยู่ คือการกระทำนั่นเองเรียกว่ากรรม เราทำดีทำชั่วก็ คือเราเกิดมาต้องทำ ไม่ทำอยู่เฉยๆไม่ได้ เหมือนกับท่อนไม้ท่อนฟืนนี้ไม่ได้ คนไม่ทำกรรมอะไรเรียกว่าคนตาย มีจิตวิญญาณเข้าครอบครองแล้วต้องมีกรรมทุกคน เรียกว่ากัมมะปะฏิสะระณา ทำกรรมดีก็เรานั่นแหละทำ ทำกรรมชั่วก็เรานั่นแหละทำ

ยัง กัมมัง กะริสสันติ เราจะทำกรรมอันใดไว้ ถ้าเมื่อเป็นเช่นนั้นเราจะทำกรรมอันใดไว้ ให้เลือกเอา ดีหรือชั่วให้เลือกเอา ถ้าเห็นว่ากรรมชั่วทุจริต เป็นผลให้เกิดทุกข์ เราก็เว้นเสีย กรรมดีเป็นเหตุให้เกิดสุข นำมาซึ่งความสุข เราก็ประกอบแต่ความดีอันนั้น แต่ก็ยังเป็นกรรมอยู่นั่นแหละ ประกอบทั้งดีและชั่วเป็นกรรมทั้งสองอย่าง แล้วจะไปพ้นจากกรรมได้ยังไง๊ 

เราอาศัยกรรมเช่นนี้แล้ว เห็นชัดเจนด้วยตนเอง ว่าไม่มีใครทำให้เรา เราเกิดมาต้องพึ่งกรรม อยู่ทุกวันนี้ก็คือกรรม คือทำดีทำชั่ว เราก็ต้องได้รับกรรมนั้นต่อไปอีก ไม่มีที่สิ้นที่สุด (วัฏ)สงสารนี่ว่าจะยืดยาวนานแสนนานที่สุด ที่จะพ้นจากกรรมได้ยาก เกือบจะมองไม่เห็น ริบหรี่เสียเลย กรรมเราทำทุกคนที่ทำอยู่นะ แต่ไม่ใช่ของเหลือวิสัยที่คนเราจะทำให้พ้นจากกรรมได้ ด้วยการประกอบคุณงามความดีอันเป็นโลกุตรธรรม พระธรรมทั้งหลายทั้งเป็นโลกิยะและโลกุตตระ พระองค์ไม่ได้ผูกขาด ใครทำก็ได้ ถ้าตั้งใจทำ พระองค์ชี้ทางเฉยๆที่เป็นโลกียะ โลกุตตระ พระองค์ชี้ทางเฉยๆ พระองค์ไม่ได้ผูกขาด 

คนไม่เชื่อกรรม หลงในกรรมของตนและของคนอื่นในโลกอันนี้ อย่าได้พากันเห่อเหิมตื่นเต้น เรื่องไม่ดีต่างๆ ข่าวเล่าลือเอิกเกริกเฮฮา ทางโน้นทางนี้อะไรต่างๆ ตื่นเต้นกันไปหมด บางทีก็อาจารย์นั้น อาจารย์นี่แก้กรรมแก้เวรได้ โอ้โหย ตายแล้ว ใครจะไปแก้ได้หนอ เป็นอาชีพของเขาต่างหาก แก้กรรมแก้เวรมันต้องมีค่ายกครู อย่างน้อยต้อง ๔๐ ๕๐ บาทขึ้นไป มันก็รวยนะสิ มันแก้กรรมได้อย่างนั้น แล้วมันแก้ได้อย่างไรหละ แล้วปลที่สุดก็ตายด้วยกันทั้งหมด ฉะนั้นนั่นแหละ จะตายนั่นแหละ รูปเหรียญอาจารย์นี้ดี วิเศษวิโส อยู่คงกระพัน อยู่ยงคงกระพันต่างๆ ยิงไม่ออก แทงไม่เข้า ตีไม่แตกอะไรต่างๆ ตื่นเต้นกัน ตั้งเป็นร้อยเป็นพันก็ซื้อกัน 

บางทีรูปพระพุทธรูปนั่งอยู่ในโบสถ์อยู่ดีๆ เอาไปเป็นเครื่องคงกระพัน ไปบน ไปเซ่นสรวง คนไม่มีลูกมีเต้า ไม่มีลูกมีหลาน ไปบนบานศาลเจ้า เอาพระพุทธรูปนั่นแหละ อะไร๊ ท่านจะรู้จะเห็นอะไรกัน ความตื่นเต้นความนิยมนับถือ คือไม่เชื่อกรรมเรื่องผลของกรรมนั่นเอง บางคนทำไมจึงต้องได้ลูกได้หลาน บางคนยังต้องอยู่คงกระพันพ้นอันตรายได้เป็นบางครั้งบางคราว อันนั้นมันก็เป็นเพราะกำลังใจของผู้นั้นต่างหาก ความศักดิ์สิทธิ์เพราะกำลังใจคนนั้นต่างหาก เชื่อแล้วก็กำลังใจมันแน่วแน่ลงไป มันก็เป็นได้บางครั้ง ไม่ใช่เป็นทั่วไป ขอโชคขอลาภก็เหมือนกัน ถ้าขอได้ คนทั้งหลายก็ไม่ต้องทำมาหากินแล้ว ถ้าขอโชคขอลาภก็รวยด้วยกันหมดทุกคนนั่นแหละ ขอแล้วก็ลองดูสิ ถ้าตนไม่ทำที่ใดจะได้มีโชคมีลาภมาจากไหน คนที่ขอโชคขอลาภนั้นด้วยกำลังใจนั่นแหละ ขยันหมั่นเพียรเข้า มันก็เลยบังเอิญให้เกิดให้มี ให้ได้ ให้รุ่มให้รวยขึ้นเท่านั้นแหละ

พระพุทธรูปไม่ใช่ของมีวิญญาณ เป็นโลหะอันหนึ่งต่างหาก รูปเหรียญก็เป็นโลหะอันหนึ่งต่างหาก จะไปศักดิ์สิทธิ์วิเศษอะไรกัน อาตมาอธิบายนักหนา อธิบายจนขี้เกียจอธิบาย ไม่เข้าใจทั้งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถือรูป ถือคุณ อย่าไปถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ถือคุณนั่นแหละตลอดเวลา มีคุณประโยชน์ตลอดเวลา คุณอย่างนี้พระพุทธรูปอย่างนี้เป็นรูปพระพุทธเจ้า รูปอย่างนี้เป็นครูบาอาจารย์ของเรา เรานับถือคุณของท่าน แล้วทำดีอยู่ตลอดเวลา เห็นรูปนั้นก็ไม่กล้าทำความชั่ว ท่านทำความดีอย่างนี้ ท่านเลยได้เป็นอย่างนี้ ได้เป็นรูปอย่างนี้ อย่างนั้นเราก็ทำความดี เมื่อเราทำความชั่ว เราก็ระลึกถึงคุณ นึกถึงรูปอันนั้นแหละ แล้วก็ละชั่ว อันนั้นไม่มีเสื่อมตลอดเวลาเลย ทำความดีตลอดเวลาเลย แต่อยากให้อยู่คงกระพัน ไม่ใช่ อยู่ยงคงกระพันด้วยประการต่างๆ ไม่ใช่ ให้เข้าใจโดยนัยนี้แหละ อธิบายให้ฟังให้เข้าใจโดยนัยนี้

พออาจารย์องค์นี้เก่ง ถือรูปถือศักดิ์สิทธิ์ คือรูปคืออาจารย์นั่นน่ะ ผู้ใดถือก็ศักดิ์สิทธิ์ ลองคิดดูว่า คนชั่วก็ถือรูปอาจารย์องค์นั้น คนดีก็ถือรูปอาจารย์องค์นั้น ต่างคนต่างอ้างอาจารย์คนเดียวกัน เค้าห้ำหั่นกัน ฆ่าฟันรันแทงกันด้วยประการต่างๆ เดี๋ยวนี้โลกมันวุ่นวายก็เพราะถืออาจารย์องค์เดียวกันนั่นน่ะ

ดื่มสุรายาเมา เข้าไปแล้วก็อวดอ้างว่ารูปอาจารย์ของชั้นจริง คนนั้นก็ว่ารูปอาจารย์ของชั้นจริง ก็เลยฆ่าฟันกัน เกิดวินาศฉิบหายไปประการต่างๆ แท้ที่จริงก็อาจารย์องค์เดียวกัน อาจารย์องค์นั้นเลยเป็นเหตุให้โลกยุ่ง เป็นเหตุให้คนวุ่นวาย ไม่ใช่ความสงบเสียแล้ว อาจารย์แทนที่จะนำมาซึ่งความสงบ อาจารย์แทนที่จะสอนให้คนสงบ หรือสอนให้คนยุ่ง ให้คนเกิดมานะทิฐิ ฆ่าฟันกัน ประหัตถ์ประหารกัน อธิบายมาอย่างนี้แหละ หลายครั้งหลายหน นับครั้งนับหนไม่ถ้วน แต่มันก็คนกลัวตายว่างั้นเถอะ คนชอบอยากได้โชคลาภ ฉันได้รูปแล้วก็เข้าใจว่าอยู่ยงคงกระพัน อยู่ยงคงกระพันด้วยประการต่างๆ มันกลัวตายอยู่ตรงนั้น เอาอันนั้นเป็นที่พึ่ง อันอื่นพึ่งไม่ได้ อยากโชคอยากลาภ อยากรุ่มอยากรวย ก็เอาอันนั้นแหละ มาเป็นเครื่องเป็นโชคเป็นลาภ 

นี่แหละพุทธศาสนามันแตกออกมาอย่างนี้ ของบริสุทธิ์หมดจดแท้ๆ แต่เอามาเป็นของแปลกปลอม เข้ามาแทรกซึมด้วยประการอย่างนี้แหละ ศาสนาจึงไม่ถาวร ศาสนาจึงไม่ยั่งยืน เดี๋ยวนี้เรียกว่า ศาสนาปลอมแปลงไปหมด แทบทุกแห่งทุกหน ที่พูดเชื่อมั่นเอาจริงเอาจังในพุทธศาสนานั้น มีน้อยนักน้อยหนา คนที่เชื่อถือพุทธศาสนาแท้ๆมันมีลักษณะอย่างนี้ เชื่อพระพุทธเจ้า ไม่ยกโทษ ดูถูก นินทา ประมาท เหยียดหยาม ตลอดชีวิต บางคนเชื่อพระพุทธเจ้า ก็เชื่อกันตายแหละ ถือพระพุทธเจ้า ถือคุณพระพุทธเจ้า ถือกันตายอีกแหละ ถ้าเวลาเกิดอุปัทวเหตุล้มตายหายสูญไปด้วยประการต่างๆ โอ้ย คุณพระก็ไม่ช่วย เอาอีกแล้ว 

ถือพระธรรมคำสอนพระพุทธเจ้า พระธรรมไม่มีตนไม่มีตัว พระธรรมที่แนะนำตักเตือนเราให้ละชั่วทำดี ไม่สามารถที่จะทำความชั่วได้เพราะพระธรรมตักเตือน เรารู้แล้ว เราได้ยินแล้ว เราได้ฟังแล้ว สอนไม่ให้เรากระทำความชั่วความผิด เมื่อจะทำความผิด สะกิดใจพลุบขึ้นมาเลย อันนั้นน่ะตัวพระธรรม ทำความชั่วไม่ได้ อันนั้นน่ะตัวพระธรรมตักเตือน 

พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบรู้แจ้งเห็นจริงแล้ว นำเอาคำสอนของพระพุทธเจ้า เอาคำสอนนั้นน่ะ อันนั้นที่ท่านรู้เห็นจริงเอามาแนะนำตักเตือน นี่เป็นสามแล้ว คือถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่งจนตลอดชีวิต ไม่ประมาท ยกโทษ ดูถูก ไม่นินทาว่าร้ายด้วยประการต่างๆ มีเพียงสาม 

ข้อที่สี่ เชื่อกรรม เชื่อผลของกรรมดังอธิบายให้ฟังมาแล้ว ไม่ถือมงคลตื่นข่าว คือเชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม ไม่ถือโชคลาภ ไม่ถือเครื่องลางของขลัง ดังอธิบายให้ฟังแล้ว เห็นว่าตนทำอันใด ตนได้อันนั้น เราทำดีก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว จะให้ใครแก้ไม่ได้ จะมาแก้เพราะขอให้ไม่ได้ บางคนนั้นถือโน่น ถือกระทั่งจนว่าเจ้ากรรมนายเวรไปโน่นอีก ทำบุญให้เจ้ากรรมนายเวร ให้ละกรรมละเวร อย่าให้เป็นกรรมเป็นเวรต่อไป อันนั้นก็ไม่จริง เจ้ากรรมนายเวรที่ไหนมันจะรับรู้ เราทำด้วยความอิจฉาริษยา ด้วยความโทมนัสน้อยใจ ทำกรรมอะไรต่างๆ ทำด้วยจิตเจตสิกอันที่แก่กล้าแรงที่สุด มาทีหลังรู้ตัวว่า จะไปขอให้อโหสิกรรมให้ มันจะรู้เรื่องอะไร คนจะพ้นจากกรรมจากเวรกันได้ก็ต่อเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ให้อโหสิกรรมกันได้เท่านั้นเอง ตายแล้วไม่ได้หรอก มันไม่ทราบว่าไปเปรตโลก มันไม่ทราบว่าไปอยู่ไหน อายุยืนนานแสนนาน เราตายอีก แล้วชาติก่อนชาตินั้นก็ไม่รู้ไม่เห็นกัน ในเมื่อแล้วเห็นอยู่ดีๆเนี่ยแหละ อโหสิกรรมให้กันเสีย อันนั้นน่ะจะพ้นกรรมได้ จึงว่าคนเราเกิดขึ้นมา ให้อภัยกันเสีย ถึงผิดพลาดอะไรกันนิดๆหน่อยๆ ก็ยังให้อภัยกันเสีย ดีกว่าที่จะไปเสวยกรรมข้างหน้า ไม่รู้แล้วรู้รอดกันซักที อันเนี้ยเชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม นี่เป็นข้อที่สี่ 

ข้อที่ห้า ไม่ทำบุญนอกพุทธศาสนา คือทำบุญอย่างศาสนาคริสเตียน อิสลามอะไรต่างๆ เค้ามาบอกบุญบอกกุศล เราให้ไปโดยฐานเป็นกันเอง เป็นเพื่อนเป็นฝูง แต่เราไม่ได้ถือว่าเป็นการทำบุญ นั้นเราก็ถือว่าการทำบุญอันนั้นไม่ใช่ทำบุญให้ศาสนา ทำบุญให้แก่บุคคล ในพุทธศาสนาให้ทำบุญให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพื่อบำรุงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อันนี้เรียกว่าทำบุญในศาสนา อันนี้แหละ ห้าข้อนี้แหละ นับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะจริงๆจังๆจนตลอดชีวิต อันนี้เป็นสามข้อ รวมเป็นหนึ่ง ไม่ถือมงคลตื่นข่าว คือเชื่อกรรม เชื่อของผลของกรรม ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว อันนี้เป็นข้อนึง ไม่ทำบุญนอกพุทธศาสนา นี่เป็นข้อนึง รวมเป็นห้าข้อ 

ข้อที่หก ถ้าคนนั้นเป็นคนเชื่อมั่นจริงจังในพระพุทธศาสนาแล้ว ศีล ๕ ประจำตัวเป็นนิจ ไม่มีผิดเลย คนเชื่อกรรม เชื่อผลของกรรมจริงจังแล้ว ไม่กล้าทำความชั่ว ไม่ทำความชั่วก็มีศีล ๕ อยู่ประจำตัวเป็นนิจ อันนั้นเค้าเรียกว่า โสดาบันบุคคล โน่นเลย ขึ้นอริยภูมิ 

คนในเมืองไทยของเรา ถือศาสนาไม่จริง ถือศาสนาไปนิดๆหน่อยๆ เกิดอุปัทวเหตุอะไร เกิดวิบัติขึ้นมาด้วยประการต่างๆ ศาสนาไม่ช่วย โน่นแน่ะ ไปโน่นแน่ะ คือไม่จริง ไม่เชื่อตามผลของกรรม ใครจะไปช่วยได้ พระพุทธเจ้าก็ช่วยพระองค์ไม่ได้ คิดดูสิพระเทวทัตลูกศิษย์กลิ้งก้อนหินลงมาจากบนภูเขามาทับหัวแม่เท้าพระองค์จนเลือดห้อขึ้นมา พระเจ้าอชาตศัตรูก็ถูกพระราชบุตรยึดราชสมบัติ เรียกว่าขบถ พระเจ้าปเสนฯก็เป็นอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้าจริงๆ ก็ถูกพระราชบุตรขบถคือยึดเอาสมบัติของพระองค์ ได้แก่วิฑูฑภะ พระราชบุตรวิฑูฑภะ พระองค์ช่วยยังไงได้ 

นอกจากนั้นอีก ในตระกูลของพระองค์ ศากยะราชในกรุงกบิลพัสดุ์ มีศีล ๕ ประจำเป็นนิจ ยอมสละชีวิตวิฑูฑภะไปรบ รบก็ยังไม่ใส่กระสุน ยิงกัน ยิงด้วยปืนผาหน้าไม้ แต่ไม่ยอมใส่ลูกกระสุน ในผลที่สุดวิฑูฑภะขยี้ซะจนเรียบหมด นั่นหละยอมสละชีวิตจริงๆ ในเริ่มต้นที่วิฑูฑภะจะไปรบทีแรก พระองค์ก็พิจารณาแล้วว่า เอ๊ จะไปช่วยได้ประการใด ไปสะกัดทาง ดักอยู่กลางทาง วิฑูฑภะเห็นก็เข้าไปกราบทูลถามปัญหาต่างๆกับพระองค์ วิฑูฑภะก็ได้กลับ ซักสองหนสามหน หนที่สามเนี่ยแหละ พระองค์มาพิจารณาเห็นว่ากรรมของศากยราชเค้าเคยทำไว้อย่างนั้นจะต้องฉิบหายอย่างนั้น พระองค์ก็เลยไม่ไป อันนี้ก็ทำเนายกไว้ 

พระโมคคัลลานะแล้วคราวนี้ โจรไปทุบเอาจนกระดูกแหลก เป็นจุลไม่จุลหมด มีแต่หนังหุ้มอยู่เหมือนกับถุงข้าวสาร ท่านกล่าวไว้อย่างนั้น เบื้องต้นก่อนเขาจะไปทุบพระโมคคัลลานะ พวกโจรเข้าไปปองร้ายท่านอยู่ถึงสี่เดือนล่วงไปแล้ว เค้ามาเวลาใดท่านก็เหาะไป มีฤทธานุภาพขนาดนั้น มาครั้งใดก็เหาะหนี มาครั้งไหนก็เหาะหนี เอ๊ มันหลายครั้งหลายหนนี่ ถึงขนาดนั้นท่านยังค่อยรู้เรื่องว่ากรรมของท่าน ทีหลังเลยไม่หนี ปล่อยให้มันทุบซะจนแหลกเหลวหมด แต่ด้วยอำนาจปาฏิหาริย์ด้วยฤทธิ์เดชของท่าน มาอธิษฐานกระดูกให้ติดประสานกันแล้วก็เหาะไปกราบทูลลาพระพุทธเจ้านิพพาน 

อะไรอย่างคนพวกเราสมัยนี้จะไปถืองมงายกันนักหนา รูปองค์นั้นดี อาจารย์นี้ดี อะไรต่างๆ โอ้โหย ไม่ฟังเลยพระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนาสอนแล้วไม่รู้เรื่อง ก็น่าเห็นใจเพราะคนเราใครก็ไม่อยากตาย เพราะคนเราใครก็อยากรวย ก็น่าเห็นใจหรอก แต่ควรที่จะพิจารณาตามที่พุทธศาสนาสอนไว้ อย่างครั้งหลังมาเกิดอุปัทวเหตุต่างๆขึ้นมากลับเลยเสื่อมสูญเสีย จากการนับถืออันนั้น จากการนับถือครูบาอาจารย์ จากการนับถือพระพุทธศาสนา นี่เพราะไม่เห็นจริง ไม่เห็นว่ากรรมของตนจริงๆ พระพุทธเจ้าสอนนั่นน่ะไม่ใช่สอนแต่เราอย่างเดียว พระพุทธเจ้าก็เป็นอย่างเดียวกับพวกเรา สาวกก็เป็นอย่างเดียวกับพวกเรา ใครจะไปห้ามปรามได้

ตัวนี้เกิดขึ้นมาแล้วเรียกว่ากรรม อธิบายให้ฟังอย่างนี้ ยังเหลืออยู่นี่เรียกว่าเศษกรรม ยังเป็นตนเป็นตัวนี่เรียกว่าเศษกรรม เศษกรรมนี่ยังต้องติดตามอยู่อย่างนั้น กรรมจะต้องติดตาม เมื่อมีเศษเมื่อไรมันก็ต้องติดตามเพราะใช้กรรมอยู่แล้ว ยังไงก็ไม่พ้นจากเงื้อมมือของกรรม ที่จะพ้นจากเงื้อมมือของกรรมเพราะจิตใจไม่มีตนมีตัวนั้นต่างหาก มันจิตใจนั่นน่ะมันไม่มีตนมีตัวหรอก ที่จะพ้นจากกรรมนั้นเพราะใจนั้นแหละ ครั้นใจมายึดมาถือนี่อยู่ มันก็ยังเป็นกรรมเป็นเวรนี้อยู่ ครั้นใจไม่ยึดไม่ถือ มันปล่อยวางเสียแล้ว นั่นหละจะพ้นจากกรรม กรรมตามไม่ทันแล้ว

เพราะใจไปยึด มันถึงได้กระเทือนถึงใจ ถือว่ากูว่ามึง ถือว่าเราว่าเขาอะไรต่างๆ มันไปยึด มันก็เลย มันทำอันนี้จริงหรอก ตัวกรรมนี้เศษกรรมนี้จริง แต่ไปถึงใจ กระเทือนถึงใจ เศร้าโศกเสียใจอาลัยอาวรณ์ ไม่พออกพอใจสารพัดทุกอย่างเกิดขึ้น  กิเลสเกิดขึ้นมา โน่นน่ะไปเกิดขึ้นที่ใจ ตัวกายไม่มีกิเลส แต่เป็นเหตุให้เนื่องถึงใจ ถ้าเมื่อใจนั้นไม่ยึดไม่ถือ ปล่อยวางละถอนได้ ส่วนกายอันนี้ถึงกรรมจะตามทัน ถึงเขาจะทุบจะตีจนแหลกเหลวมันก็ช่างมัน อย่างพระโมคคัลลาเป็นต้น ไม่ถึงใจ ใจนั้นไม่ถึง ทุบแหลกเหลวจนกระดูกนี่เป็นจุลไม่จุลหมด แต่ใจไม่ตาย ท่านยังอธิษฐานให้ประสานกันแล้วเหาะมากราบไหว้พระพุทธเจ้า อันนี้เป็นตัวอย่าง

เพราะฉะนั้นคนที่จะพ้นจากทุกข์ได้ พ้นจากโลกนี้ได้ก็เพราะใจอันเดียว จงยึดใจ จงถือใจนั้นเป็นสำคัญ จะมาเกิดก็เพราะใจ จะมาเกิดกิเลสก็เพราะใจ เป็นทุกข์ก็เพราะใจ ถ้าใจไม่ทุกข์ ไม่ยึด ไม่ถือ ก็ปล่อยทิ้งเสีย กายนี้ไปตามเรื่องของกาย ใจก็เป็นเรื่องของใจ หมดเรื่องหมดราวกัน เอาละอธิบายเท่านี้

กรรม ๒

ทุกคนใครก็ต้องการพ้นจากทุกข์ คือต้องการดับกรรมนั่นเอง คือต้องการพ้นจากทุกข์คือต้องการดับกรรมนั่นเอง แต่ดับไม่ถูก เหมือนกับไฟฟ้านี่นะ โรงใหญ่มันดังกึ้กๆๆกระจายอยู่ทั่วหมด ต้องการดับ ไปดับหลอดเล็กหลอดน้อย มันก็ดับได้เฉพาะอันนั้นสิ แต่ไฟมันยังเดินอยู่อ้ะดิ ดับต้นตอก็แล้วดับปุ๊บหมด เปิดมันก็ไม่ติดให้ ตัวกรรมเท่านั้นหละเป็นเหตุ ถ้าจะดับทุกข์ก็ต้องดับกรรมอันนั้น อย่างอธิบายให้ฟังมาแล้ว ครั้นเมื่อไม่กระทำกรรม คือคนพูด ใจนั้นไม่กระทำ งั้นก็หมดเรื่องกันไป มันก็ดับหมดเท่านั้น มีใจอยู่ตราบใด มันต้องทำอยู่ตราบนั้น ถ้ามีใจซะแล้ว ดับตัวใจนั่นแหละ อันที่ไม่มีนั่นแหละ ดับตัวใจนั่นแหละ อันที่ไม่มีนั่นแหละ ดับตัวใจตรงไม่มีใจนั่นแหละ กรรมมันก็ดับหมด ไม่ไปต่อที่ไหน มันไม่เกิดอีก มันก็ไม่มีกรรมต่ออีกหละสิ จึงให้เห็นตัวใจ ตัวใจแท้ 

อะไรตัวใจที่แท้นะ คือความไม่นึกไม่คิด ความรู้สึกอยู่แต่ไม่นึกไม่คิด ให้ทำเป็นตัวอย่าง สาธิตให้ดูว่า เรากลั้นลมหายใจน่ะนะ ไม่หายใจ กลั้นซักพักหนึ่ง มันมีอะไรในที่นั่น ไม่ใช่สมอง ไม่ใช่ประสาท ไม่ใช่เซล ตัวนั้นมันมีอะไร มันไม่มีอะไร มีความรู้สึกเฉยๆ ไม่คิด ไม่นึก ไม่ส่งไม่ส่าย อันตัวนั้นนั่นน่ะตัวใจ ตัวใจแท้น่ะ แต่มันอยู่ไม่ได้นาน พอหายใจออกมันก็ไปตามเรื่องตามราวนั่นแหละ หัดตัวนั้น จับมันให้ได้เสียก่อน มันคิดมันส่งส่ายไป อ๋อ มันออกไปจากใจนี่ต่างหาก มันก็จิตนั่นน่ะ 

สติควบคุมจิตนั่นให้อยู่ มันไม่อยู่ก็คุมให้อยู่นั่นน่ะ มันคิดอะไร มันส่งส่ายไปทำไม มันปรุงมันแต่งอะไร ให้รู้เท่ารู้เรื่อง รู้เท่ารู้ทันมัน อย่าไปรู้ตามมัน ให้รู้เท่าทันมัน ให้รู้เท่ากับมันเกิดก็ให้รู้เท่า คือให้รู้เท่าตัวมันนั่นเอง อย่าไปรู้ตาม ถ้ารู้ตามมันไม่ทันหรอก ไปตามก้น ตามหลังมัน ตามก้นมันไปไม่ทันหรอก เหมือนตามรอยวัวรอยความเนี่ย ตามรอยสัตว์เนี่ย ถ้ามันรู้เท่านี่ รู้เท่าข้างหน้าข้างหลังหมด รู้ตัวเลย ให้รู้เท่าอย่างนั้น แล้วมันจะเข้ามาเป็นใจอีก จิตอย่างนั้นจะรวมมาเป็นใจอีก คราวหลังเมื่อมันจะคิดจะนึกจะปรุงจะแต่งก็รู้เท่าอย่างนั้น มันก็ไม่เป็นเหตุให้เกิดก่อกิเลสต่างๆ อันนั้นมันจึงจะหมดกรรมหมดเวร จึงจะหมดทุกข์ มันจะสิ้นทุกข์ อยากสิ้นทุกข์ แต่ทำไม่ถึงทางสิ้นทุกข์ซักที เราเกิดขึ้นมา โอ้ย หลายภพหลายชาตินับภพนับชาติไม่ถ้วน แต่อยากพ้นทุกข์ แต่ไม่ทำให้พ้นทุกข์ซักที เราทำขนาดนี้เวลานี้ อย่างที่อธิบายให้ฟัง จะชั่วครู่ขณะหนึ่งยังดีอยู่ ให้มันทำเอาให้ชำนิชำนาญ มันก็อาจสามารถที่จะระงับดับทุกข์ได้ ความโกรธเกิดขึ้น ความอิจฉาริษยาเกิดขึ้น กลั้นลมหายใจก็ดีเหมือนกันนะ หยุดหายซักพักหนึ่ง ก็จะเห็นตัวใจของเรา อ๋อ ตัวใจไม่มีโกรธหรอก มีความรู้สึกแต่มันไม่โกรธ นั่นหละ นั่นน่ะหัดดูบ่อย ให้มันได้บ่อยๆ มันจะค่อยระงับได้ เอาละ ทำความเพียรภาวนา