หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป
เป็นพระโสดาบันบุคคลขั้นตัดสินก็คือสังโยชน์ ๓ เป็นขั้นตัดสิน รับรองด้วยตนเองของบุคคลนั้น อาตมาก็ไม่ได้เป็นพระโสดาบันบุคคล ก็จะเล่าตามระดับของพระโสดาบัน สักกายะทิฐิ รู้ไตรลักษณ์ ร่างกายนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในบุญในบาปไม่มี เชื่อกรรมอย่างมั่นคง ไม่มีความสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าท่านชี้ว่าบาปก็ต้องบาป บุญก็ต้องบุญ บัดนี้ไม่ลูบคลำศีลของตน สีลพตปรามาส ว่าตัวเองมีศีลมั๊ยในปัจจุบัน ไม่ต้องคิด มันมีอยู่ในอัตโนมัติจึงจะรู้จักว่าตนเองเป็นผู้มั่นคง
บัดนี้สิ่งที่จะรับรองจริงๆคือมีหิริโอตตัปปะ ความละอายต่อบาป สะดุ้งกลัวต่อบาปที่จะติดตาม นี่เป็นพื้นฐานมูลของหลักผู้ที่บรรลุธรรม เขาจึงทำบาปไม่ลงพระโสดาบันบุคคล เค้าจึงเอาชีวิตแลก ทำแต่บุญ เรียกว่าบาปไม่มีในที่ลับที่แจ้งหละพวกนี้ จะทำอยู่ในห้องแม้ไม่มีใครเห็น ก็บาป เค้ารู้กัน ทำให้คนเห็นข้างนอกก็บาป ทำบุญให้คนเห็นก็ได้บุญ ทำอยู่ในห้องไหว้พระสวดมนต์ นั่งภาวนาก็ได้บุญ ใครเห็นไม่เห็นก็ช่าง นี่แหละบาปไม่มีในที่ลับที่แจ้ง จึงมีหิริโอตตัปปะเป็นเจ้าเรือนของจิตใจ
สมัยครั้งก่อนนะ ผู้หญิงเค้าบรรลุเยอะ ผู้ชายบรรลุเยอะทางพุทธกาล พระโสดาบันบุคคล แต่พระโสดาบันบุคคลมัน ๓ เกรด มันแปลกอยู่ที่ ๓ เกรด เอกพิชี เกรดหนึ่ง เป็นภาษาสมัยใหม่เค้าเรียกเกรด (หัวเราะ) โกลังโกละ อีกเกรดหนึ่ง สัตตักขัตตุงปรมะ อีกเกรดหนึ่ง น่าจะได้เกรดเดียวเนอะโยม อันนี้มันได้ ๓ เกรด เพราะอะไร ก็เพราะภูมิสติปัญญาต่างกัน ถ้าเปรียบเทียบทางโลกก็เหมือนกับเรียนจบชั้นเดียวกันนี่แหละ แต่คนหนึ่งมันสอบได้ที่หนึ่ง คนหนึ่งมันสอบได้ที่สิบแปด แต่มันก็สอบได้อยู่ มันคาบเส้น เกือบจะตกแล้วแต่มันก็ได้อยู่ชั้นหนึ่ง อันนี้ความฉลาดมันจะต่างกันใช่มั้ย หมอก็เหมือนกันนะ นายแพทย์นี่ จบด้วยกัน เปิดคลีนิคนี่คนเต็มคลีนิคหมอหนึ่ง อีกหมอหนึ่งไม่ค่อยมี ก็เพราะเทคนิคการรักษาโรค ผู้ฉลาดนั้นต่างกันนั่นเอง อันนั้นแหละ ภูมิเป็นอย่างนั้น
พระโสดาบันบุคคล เอกพิชีนี่ถ้ามาเกิดอีกชาติหนึ่งข้างหน้านี่ ก็แล้วหละได้สำเร็จมรรคผล คือเป็นพระอรหันต์ โกลังโกละ เป็นห้าชาติหกชาติมาเกิดอีก สัตตักขัตตุงปรมะ เจ็ดชาติ นับแต่ชาตินี้ไปเกิดอีก ๗ ชาติจึงจะพ้นทุกข์สำเร็จเป็นพระอรหันต์ อันนี้คนจะสงสัยนะ อาตมาพูดให้ฟังอีก ทำไมจึงเป็นถึง ๕ ชาติ น่าจะได้เป็นขึ้นเร็วๆ มีสี่ขั้น แล้วมันยังเหลืออยู่ ๓ สมมุติว่าเป็นพระโสดาบันบุคคลแล้วนี่ สมมุติว่าห้าชาติหรือหกชาติ พอมาเกิดชาติใหม่ ตั้งใจบำเพ็ญ พอบำเพ็ญก็บรรลุพระโสดาบันบุคคลแล้ว บำเพ็ญต่อก็เลยได้สกิทาคามีบุคคล เอาหละชาตินี้พอแล้ว มันพอแล้วนี่ เข้าไปนั่งภาวนาในวัดพอแล้วแหละ ฉันนี่ใจสบายแล้ว ได้แค่นั้นน่ะ บำเพ็ญแค่นี้พอแล้ว ก็ไปล่องลอยไปในสกิทาคามี ตามไปอีก ตามไปอีกมาชาติหลังก็มาบำเพ็ญอีก ก็ก้าวขึ้นไปถึงที่เก่า เอ้ มันสบายอยู่นา อยู่นี่ก็สบาย ก็เลยเล่นอยู่นั่นน่ะ เหมือนคนเดินทางไปเที่ยวอยู่ต่างจังหวัดนี่นะ ไปเล่นอยู่จังหวัดกลางทางมันยังไม่ถึงเพราะมันสนุกอยู่ เลยบำเพ็ญไปแค่นั้น มันเฒ่ามันแก่มันตายไปเสีย ก็มาเกิดใหม่อีก ตั้งใจบำเพ็ญอีก บำเพ็ญอีกไปถึงโน่น ถึงอนาคามี โหย ก็ยิ่งไกลหละบ่นี้ ยุ่งอยู่นานหละบัดนี้ ล่องลอยว่าตนเองถึงนิพพานแล้ว เข้าฌาณ ถ้าเกิดเข้าฌาณโลกีย์ มันเสื่อมรึบ่เนี่ย มันถึงแล้วแต่เข้าได้นานเหมือนกัน แต่มันออกมาแล้วมันเสื่อม ไม่ใช่โลกุตรฌาณ ไปเล่นอยู่นี่แหละ
เหมือนพระนั่งทุกวันนี่แหละ บางองค์นั่งได้ ๒ วัน ๓ วัน ๔ วันนี่ นั่งสบายเข้าอยู่ในฌาณสบาย ก็เลยไปค้างอยู่ในนั่น อยู่พรหมโลก ไม่ถึงสุทธาวาส เป็นพรหมชั้นต่ำ เป็นเทพชั้นสูงที่มาเกิดอยู่นี่ มันยังไม่ถึงพระอนาคามีที่ชั้นสูงนะ ก็เลยไปนั่นอยู่นั่นน่ะ พอไปเล่นในนั้นหลายชาติก็มาอีกแล้ว ไปทำชาติอื่นก็ได้นิดๆหน่อยๆ เห็นมั้ยเค้าสอบทุกวัน สอบปริญญาเค้า ได้อนุปริญญา ได้ปริญญาตรี หยุดเท่านั้นแหละ เฒ่าก่อน ชาติหน้าทำวิทยานิพนธ์ยังไม่จบปริญญาโท ได้ทุนไปซักหน่อยแล้ว ชาติหน้ามาต่อ เผยอขึ้นไป แต่ปริญญาโทก็ทำวิทยานิพนธ์นะ ทำปริญญาเอกไม่ได้กับเขา ชาตินี้มันเฒ่าตายไปมาเกิดอีก ทำต่อ กว่าจะจบเลยงมอยู่นั่นแน่ะ บางคนอยากหยุดแล้ว ทำไปสามปี สี่ปี โอ้ยไม่ไหวแล้ว นี่มันก็หยุดเสีย จนเป็นแม่เฒ่าพ่อเฒ่ามันก็หยุดเอง บัดนี้ถึงที่สุดมัน มาบำเพ็ญต่อชาติสุดท้ายก็ไปถึงชาติที่ สมมุติที่เจ็ด มันยังเหลือน้อยแต่มีทุน ก็เลยทำปริญญาให้จบ
พอพระพุทธเจ้าเทศน์ทีหนึ่ง เห็นมั้ย พระปัญจวัคคีย์นั่นแหละ ชาติสุดท้ายของท่าน ก็เล่นมาไม่รู้กี่ชาติ พอเทศน์อนัตตลักขณสูตรจบเท่านั้นแหละ ไม่ถึง ๓๐ นาทีอะไร พระพุทธเจ้าคงจะเร็วกว่าเราสวดทุกวันนี้ เพราะท่านเป็นคนอินเดีย เทศน์เร็วฟังเกือบจะไม่ทัน คงจะไม่ถึง ๓๐ นาทีแน่เทศน์ พอจบปั๊บ ได้เป็นพระอรหันต์พร้อมกันทั้ง ๕ องค์เลย เพราะท่านยังมีนิดเดียว มันก็กล้วยมันสุกแล้ว เปลือกมันเหลืองแล้ว เข้าใจบ่ พอแกะเปลือกออกเนื้อให้กินหวานฉ่ำ นี่! ท่านไปแกะเปลือกมัน แกะเปลือกกล้วย ก็คือไปเทศน์ รูปัง อนัตตา รูปไม่ใช่ตน รูปัง ทุกขัง รูปัง อนิจจัง รูปัง ทุกขัง รูปัง อนัตตา แล้วก็ท่านถาม รูปัง อนิจจัง วา อนิจจัง วาติ รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง พวกเธอว่าไง อนิจจัง ภันเต พะเจ้าค่า ตอบทันทีด้วยปัญญาของท่าน ใจจริงพระพุทธเจ้าตอบเอง พระพุทธเจ้าตอบให้ฟังเอง แล้วสิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า พูดภาษาไทย ทุกขัง ภันเต เป็นทุกข์พะเจ้าค่ะ ก็สิ่งใดไม่เที่ยงเป็นทุกข์มีความแปรปรวน ไปเป็นธรรมดา ควรหรือพวกเธอที่ตามเห็นสิ่งเหล่านั้นว่าตัวของเรา เราคือนั่นคือนี่ นั่นเป็นตนของเรา โน เหตัง ภันเต หาอย่างนั้นไม่พะเจ้าค่ะ ไม่ใช่ๆ ท่านตอบทันทีเลย
เรานี่งมกันไม่รู้กี่ปียังตอบไม่ได้อยู่ มันก็ไม่เลยบรรลุ เข้าใจบ่ เพราะปัญญาของเรามันไม่รู้ ตนของฉันนี่และ ตนของผมนี่แหละ อยู่นี่แหละ ลูบอยู่นี่ ตาบอดคลำช้างอยู่ นั่นมันเป็นงั้น อันนั้นท่านไม่คลำเฉยๆนะ ท่านคลำด้วยปัญญา พอจบปั๊บ รูปัสมิงปิ นิพพินทะติ โอ้ย เบื่อหน่ายมันจริงๆ มาเกิดเป็นรูป เวทะนายะปิ นิพพินทะติ เบื่อหน่ายจริงๆทั้งทุกข์ทั้งสุขนี่ ทำให้วุ่นวายจริงๆ สัญญายะปิ นิพพินทะติ จำแล้วมันก็หลงก็ลืมอยู่แล้ว แล้วก็เบื่อมัน สังขาเรสุปิ นิพพินทะติ ย่อมเบื่อหน่ายในสังขารทั้งหลาย เกิดขึ้นมาแล้ว แหม มันเป็นอยู่เนี่ยปรุงแต่ง วิญญาณัสมิงปิ นิพพินทะติ ย่อมเบื่อหน่ายในวิญญาณ ตานี่มัน วิญญาณตานี่เห็นรูปทั้งรักทั้งชัง น่าเบื่อหน่าย นี่ธรรมของท่าน อาตมาพูดให้ฟังเฉยๆ นี่ของท่าน เบื่อหน่าย คลายความกำหนัด สิ้นความยินดี หมดรักหมดชัง ท่านหมดเกลียด ท่านก็เลยหมดความยึดมั่นถือมั่นเป็นอุปาทาน ไม่มีอยู่ในใจ ให้ขาดลอย หรือเรียกว่า จิตรู้เข้าถึงธรรม เลยวางได้สบาย พอเจ็บขึ้นมา คงจะไม่เจ็บขาแล้ว เพราะใจมันไม่เจ็บของท่าน นี่มันเป็นยังงี้ แต่เรามันไม่เป็นอย่างนั้น ค่อยๆทำไป พอฟังออกมั้ย
ชีวิตของเราก็พอรู้กันนะ ชีวิตของเทพนี่เสวยความสุขที่กรรมเค้าสร้างเอาไว้ อยู่ไม่เฒ่าไม่แก่ ไม่เจ็บไม่ป่วย เป็นโอปาติกะเกิดผุดขึ้นตามบุญตามกรรมของตนเอง ใหญ่เท่ากันหมดเลย ตัวเท่ากัน แล้วก็สวยเท่าๆกันอีกซะด้วย หมู่ใครหมู่มัน เป็นภูมิของเหมือนบุคคลรักษาศีล ๕ ก็ภูมิของพวกนั้น ภูมิรักษาศีล ๘ ก็ภูมิของใครของมัน ก็เสวยบุญของตนเอง เรียกว่าบุญทิพย์ เทพเจ้า ถ้าอยากไปทางไหน สมมุติว่าเราอยู่นี่แหละ แต่เราอยากไป อยากไปโน้น ประเทศอื่นที่อื่นในโลก สิ่งที่เราก่อสร้างไว้ สร้างกุฏิวิหารศาลาอะไร วัตถุทั้งหลายมันก็ไปปรากฏคอยอยู่ ก็ไปถึงนั่นก็ไปนั่ง ถ้าอย่างนี้ที่นั่งก็หายแว้บไปเลย เหมือนเครื่องนุ่งของเรานี่เหมือนกัน เราบริจาคทานด้วยสีอะไรบ้าง ถ้านึกอยากนุ่งมันก็เกิดขึ้นเป็นสีนั้น ไม่ได้นุ่งเหมือนอย่างเรานะ มันเกิดขึ้นมาเอง เป็นของทิพย์
พวกนี้ไม่มีเวทนา เป็นขันธ์ ๔ รูป เวทนาไม่มี มีแต่สัญญา สังขาร ขันธ์ ๔ และ ขันธ์ ๑ มีขันธ์ ๕ และ ขันธ์ ๔ และ ขันธ์ ๑ ขันธ์ ๕ ก็พวกเรานี่แหละ ขันธ์ ๔ เค้าไม่บ่นว่าเค้าทุกข์เจ็บปวดที่นั่นน่ะเทวดาเค้าไม่มี ขันธ์ ๑ ก็คืออะไร พรหม ขันธ์ ๑ เป็นอย่างนั้นเทวดาเค้าอยู่ ถ้าใครได้ทำบุญอะไรบ้าง เหมือนถวายน้ำปานะเนี่ย นึกจะกินน้ำปานะ อิ่มอย่างนี้เลย อิ่มขึ้นมาเลย เพราะเค้าได้ทำบุญไว้แล้ว ถ้าใครไม่ได้ทำ นึกยังไงก็ไม่อิ่ม นี่สวรรค์
ถ้าหากมีปราสาทไปนั่งอยู่ ถ้าบุคคลถวายพระพุทธรูป ก็นั่งดูพระพุทธรูปอยู่เนี่ยแล้วก็เดินไป ถ้าใครสร้างกุฏิ ศาลา มีสระน้ำล้อม มีสระ มีดอกบัวห้อมล้อม ใครทานดอกไม้ บริจาคทานดอกไม้ไว้มาก สวนไม่รู้กี่ไร่ ล้อมปราสาท มันให้แต่มันดอกใหญ่ อาตมาไม่มีเงินซื้อเครื่องบินจัมโบ้พาไปนะ เหมือนบางอาจารย์นะ แต่จะสอนให้ปฏิบัติให้ถึงเอาเท่านั้นเอง ถ้าปฏิบัติถึง แล้วมันถึงเห็นเอง ดอกกุหลาบ ดอกขนาดนี้เลย เมืองสวรรค์ ที่เราใช้ดอกน้อยๆไปบูชาอยู่ทุกวัน พูดแล้วก็อยากให้ซักคนไปเที่ยวเอง ไปดูแล้วคงจะพูดกันง่ายหน่อย อันที่ไม่เห็นจะไปบอกกันอยู่อย่างนี้แหละ ถ้าไปเห็นแล้วคงจะขยัน บางคนขยันทำบุญ อยากมาอยู่อย่างนี้แหละ เอาละนั่น เป็นภวตัณหาหละ (หัวเราะ) แล้วก็ดีไม่เป็นอะไร ตัณหามันอยากพาไปดี บัดนี้ถ้าขั้นสูงขึ้น มีตามลำดับจริงๆแน่นอนเลย ชั้นตาวะติงสา ยามะ ดุสิตให้ต่างกัน นิมมานรตี ปรนิมมิตวสวัตตี สวรรค์ ๖ นี่มีต่างกันแน่นอน
บัดนี้ผู้ที่ไม่เห็นคงจะค้าน เป็นฝ่ายค้านแน่นอน พระนี่ โยมก็ค้าน แต่ก่อนนั้นอาตมาก็ค้านเหมือนกันนะ ค้านคำสอนพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก ฮื้อ จะมีได้ยังไง มหาสมัยสูตรไปอ่านดูคำแปล เทพเจ้าทั้งหลายหมื่นโลกจักรวาลมากราบภิกษุ แต่ละสีๆพระอานนท์เปิดโลก พระพุทธเจ้าเปิดโลก มองเห็นอย่างนี้เลย ตาภิกษุทั้งหลายเห็นหมดเลย เห็นเทพทั้งหลาย เห็นหมดเลย ไม่ต้องปิดบัง พระพุทธเจ้าเปิด มองเห็นเลย ก็เลยเป็นหมู่ใครหมู่มัน เหมือนพวกเรานี่แหละ อันนี้หมู่หนึ่ง หมู่เทวดา หมู่เค้าไปกินเหล้ากินอยู่เดี๋ยวนี้ หมู่มัน หมู่เล่นไพ่มันก็เล่นอยู่ หมู่ของเขา หมู่เที่ยวเค้าก็ไปเที่ยวอยู่ หมู่ตากแดดไม่รู้จักร้อนก็ไปตีกอล์ฟอยู่ก็ไป เมาลูกกอล์ฟ เป็นเด็กเกิดเมื่อวานนี่ ตีกอล์ฟเล่นป๊อกๆแป๊กๆ อันนั้นมันของเขา มันคนละหมู่กัน
นี่! เทวดานี่ชั้นที่บำเรอบำรุงที่สุดจริงๆก็คือชั้นดุสิต เราก็เลยเอามาตั้งอำเภอดุสิต กรุงเทพ เอาเมืองสวรรค์เค้ามาตั้งชื่อ เมืองนี้เป็นเมืองเกิดของพุทธภูมิ ผู้ใดปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าเข้ามาเกิดในเมืองนี้แล้ว คนนั้นเข้าเกทแล้ว มีหวังหละที่จะได้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล แต่ก็ไม่รู้จักกี่ล้านโกฎปีถึงจะได้เป็น อันดับไหนก็ไม่ทราบ เพราะมีคู่นั่นมาก เมืองนี้สวยวิจิตรพิสดาร ประดับประดา ตีประโคมอะไรมีทุกอย่าง เมืองสวรรค์ เมืองนี้เป็นเมืองของสวยงาม เมืองประดับประดา แต่เมืองอื่นนั้นไม่เหมือนกัน ไม่ได้ประดับประดาถึงขนาดนั้น
อาตมาไปถามเขา จึงพูดได้ ถ้าไม่เห็นแล้วคงจะเงียบ โยมถามมา ไปเห็นต่างๆ ไปถามดู บางทียังไม่ตายเลย ตัวเจ้าของเค้าทุกวันนี้ แต่ปราสาทเค้ามีแล้วอยู่ในเมืองสวรรค์ ไปถามแล้ว พอเค้าสร้างกุฏิวิหารเสร็จ ทางนั้นก็เสร็จเหมือนกันในสวรรค์ แต่คนยังไม่ตาย ตัวยังอยู่ในเมืองมนุษย์ แต่ทางนั้นเค้าเสร็จเรียบร้อยคอยอยู่ ทำแท่นประดับด้วยแก้ว ปูพรมไว้เรียบร้อยเลย รองรับแล้วปราสาท แต่บางคนมาคิดอย่างนี้นะ ถ้าทำโบสถ์นี่บุญไม่ถึง ตายง่าย กลัว พระก็กลัว ถ้าสร้างโบสถ์เสร็จแล้ว หนีญาติไปจำพรรษาวัดอื่น กลัวตาย แหม พระยังกลัว โยมจะไม่กลัวยังไง พระยังกลัว ทำไมโง่นี่ พระ อาตมานี่ จะไม่เชื่อกรรมซักหน่อย มีหลายองค์นี่ เป็นเรื่องขององค์ท่าน ไม่ใช่เรื่องของอาตมา อาตมาไม่ยอมหนี สร้างแล้วก็อยู่นั่น นั้นแหละเมืองสวรรค์เป็นอย่างนั้น เค้าเสวยสุขด้วยบุญทิพย์ของเค้า ถ้าหากบุญใครน้อยก็อยู่ไม่นาน อยู่ไม่นานแล้วก็จุติลงมาเกิดเมืองมนุษย์ หาที่เกิด
แล้วเค้าไม่มีซากศพ คนเมืองสวรรค์ หายแว้บไปเลย หายจ้อยไปเลย ไม่เห็น ก็ลงมาเกิดเมืองมนุษย์ แต่มัน ใครอยากอยู่ก็อยู่ไม่ได้นะ ถ้าหมดบุญน่ะ ต้องจุติ ร่างกายจะเศร้าหมอง ลักษณะเห็น สวนดอกไม้จะเหี่ยว แน่นอนหละ แน่นอนจะหมดบุญแล้ว เค้ารู้กันเองเค้า คนนั้นหมดบุญแล้ว ไปจุติ บัดนี้ถ้าหากเราอยากลงมาเกิดก่อนที่ยังไม่หมด จะได้มั้ย ได้ บุญยังไม่หมด อยากลงมาสร้างบารมีได้ จุติได้ หาเลือกที่เกิดเหมาะสมกัน เพราะเมืองมนุษย์นี่เป็นเมืองสร้างคุณงามความดี ไปอยู่สวรรค์นี่ไม่ได้อะไรหละ อิ่มมม กินดอกเบี้ยอยู่นั่นแหละ ไม่มีดอกเบี้ยซิด้วยว่าเงินกินจนหมด เรียกว่าเงินอยู่ในกระเป๋ากินจนหมด ดอกเบี้ยไม่มี เพราะไม่มีที่สร้างบุญในสวรรค์ เห็นหอปราสาทของคนอื่นมันใหญ่กว่าเรานี่ มันมีกิเลสอยู่น่ะ อยู่ในเมืองสวรรค์ โอ๋ เค้าได้หลังใหญ่กว่าเรานี่ วุ้ย ลงไปสร้างอีกซะก่อน เอาให้ได้ใหญ่ เห็นเค้าทองคำเลี่ยมอยู่ ใหญ่กว่าเรา เค้าก็เลยไปเกิด ไม่อยู่หละ ไปสร้างบุญดีกว่า
พอกลับลงมาแล้ว เอาแล้ว ชวนเข้าวัดบ่เข้าอีกแล้ว มืดตื๋อตึ๊บอีกแล้ว เหมือนคนทุกวันนี้ เห็นมั้ยเค้ามีเงินมีทอง ชวนเข้าวัดก็ไม่เข้า พ่อแม่ปู่ย่าตายายบางคนเหมือนกัน ชวนเข้าไม่เข้าเลย มีเงินเยอะๆก็ไม่เข้า ชวนมาวัด มันหลง ลงมาเมืองมนุษย์มันหลงอีก มันทำให้เราวนอยู่ตรงนี้แหละ แต่เจตนาทุกคนอยากลงมาสร้างความดีเพื่อจะให้พ้นทุกข์ แต่กลับลงมาแล้วมาสร้างทุกข์ให้เพิ่มขึ้น มันเป็นอย่างนี้ ก็มันจะมืด มันต้องอยู่ในพระโสดาบันบุคคลก่อนมันจึงจะไม่หลงมัน แต่จะได้มาอยู่ใต้โสดาบันมันลำบาก สวรรค์ก็ได้ไป แต่มันยังไม่ได้เข้าเขตโลกุตรธรรม สวรรค์ได้ศีล ๕ มันก็ไป ศีล ๕ บริสุทธิ์ ไปแล้ว ไปสวรรค์ บัดนี้กลับลงมา ไม่เอาแล้ว ชวนไปก็มันหมดจากตัวเลขอยู่ในสมุด วิตามินเอ็ม (เงิน) มันก็จะหมด นั่นแหละก็ชวนเข้าวัดก็ไม่เข้า ชวนไปภาวนาก็ไม่ไป เห็นมั้ยบางคน จะได้ฮิต(ตี)กันเลย ลูกชวนมา ฮิตกับลูกเลยลูกก็มาฟ้องอาตมาหลายคนแล้ว ลูกดีแท้ พ่อแม่ยังฮิตลูกอยู่ ลูกชวนเข้าวัด ท่านอาจารย์ไปชวนก็เอาแล้ว ชวนจนเหน็ดจนเหนื่อยไม่ได้เลย อาตมาชวนไม่รู้กี่คน คนเฒ่าคนแก่มันหลงอย่างนี้ มันก็เลยกลับตกต่ำไปอีกได้ เข้าใจมั้ยเพราะไม่ถึงพระโสดาบันบุคคล
ถ้าหากลงมาแล้วมีความตั้งใจจริงแล้วค่อยยังชั่ว ดูๆอย่างนี้กับเค้า เข้าใจนะ ดูเด็กที่เกิดมาสามขวบ สี่ขวบ เค้าชวนคุณตา คุณยายไปไหว้พระก่อนจึงนอน พอเห็นพระเดินผ่านหน้าบ้านเค้าไหว้เค้าเอง ไม่ต้องสอนเค้า นั่นน่ะคนนั้นมาจากคุณงามความดี มาจากสวรรค์ พอมาแล้ว เอาหละระวังให้ดีนะ อายุ ๑๗ ๑๘ ปีเป็นสาวเป็นหนุ่มน่ะ จะไปตอนนั้น เข้ามหาวิทยาลัย จะมืดตรงนั้นน่ะ มันจะมืดเสียเวลาตรงนั้นอีกเวลาหนึ่ง ก็เลยไม่เข้าวัด อาจารย์ไปเทศน์ ไม่เห็นนักศึกษาซักคนเลย เห็นแต่อาจารย์มาฟัง เมื่อไปหลงเพลิดเพลินก็เสียเวลาใช่มั้ย เสียเวลาทำคุณงามความดี ขาดตอน ขาดวรรค ขาดตอน เกิดไปคบคนชั่วก็ตกต่ำทันทีเลย นี่หละปัญหา
นี่ว่าไง ฟังออกมั้ย ทำไมจึงว่าลงมาได้ แม่อาตมาลงมาเกิดแล้ว อาตมารู้ดี อาตมาไปพบเขาอยู่บนสวรรค์ คุยกับเขาสนุก เขาก็ว่าจะลงมา เขาก็ยังไม่หมดสมบัติเขา นี่ก็ไม่คุยคนเดียว คุยกับหลายคน ก็ไปเที่ยวเล่น แต่เสียทีไม่มีเงินซื้อเครื่องบินจัมโบ้เท่านั้นหละ เหมือนอาจารย์บางคนพาไป นั่งเข้าไปสิบนาทีเห็นแล้ว ไม่มียังเห็น ถ้าจิตของเราถึงสวรรค์ เห็นเอง เหมือนเราเดินทางไป ถ้าเราไปจังหวัดนั้น ถ้าเราไปถึงเราจะเห็นเอง เราต้องเดินทางไปถึง คือความเพียรนั่นเอง คือความดีของเรานั่นเอง พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกไว้ ถ้าอาจารย์พูดอย่างนี้ อาตมาจะสอนให้ โยมปฏิบัตินะ เมื่อโยมปฏิบัติได้ จิตของโยมถึง โยมจะเห็นเอง อันนี้อาตมาไม่ค้านเลย เชื่อเลย เชื่อแน่นอนเลย เชื่อแน่นอน ถ้าว่าพาไปนี่ โหย ถ้าพาไปสอน ถูก ถ้าพาไปอย่างพาไปเป็นหมู่ โยมก็เลยเก่งกว่าพระ นั่งยังไม่ถึงนี่สิบนาที เดี๋ยวก็เห็นโน่น เดี๋ยวก็เห็นนี่ นี่พอฟังได้มั้ย เมืองสวรรค์มันยาวนะ ไม่ต้องพูด มันมีหลายคนที่อาตมาไปคุยกับเค้ามา เอาแค่นี้ก็พอได้
อันหลักความจริง จริงๆนั้นคือไม่ได้พระพุทธองค์ไม่ได้ตรัสไว้ว่า ฆราวาสเป็นพระอรหันต์อยู่เพื่อจะเทศน์อบรมคนต่อไป เห็นแต่เป็นพระ ต้องบวช ถ้าไม่บวชอยู่ไม่ได้ ไม่ใช่วิสัยของฆราวาส ผู้บริสุทธิ์น่ะ อาตมาก็จะพูดแค่นี้ให้ฟังก็ได้ แค่เป็นพระอนาคามีนี่ก็ โดดแล้ว ไม่ต้องเป็นพระอรหันต์หรอก โดดหนีแน่นอนแล้ว ไม่อยู่เป็นฆราวาสแน่นอน เพราะเค้าเป็นขันธ์เดียว มีอยู่ขันธ์หนึ่ง อยู่ในฌาณตลอดทั้งวันทั้งคืนจะไปยุ่งกับอะไร ไม่มียุ่งแล้ว
อันนี้หละญาติโยมเป็นพระอรหันต์จะอยู่ไปได้ยังไง เพราะไม่ใช่วิสัยของฆราวาส ถ้ามาบวชมาได้ยี่สิบปี สามสิบปี ไม่มีปัญหาอะไร พระพุทธเจ้ามีแน่นอนเรื่องอย่างนั้น แต่ฆราวาสนี่จะได้เห็นมั้ย พระราชบิดาพระพุทธเจ้า วันสุดท้ายสำเร็จมรรคผล พอจิตจะหลุดพ้น หลุดพ้นก็ออกก็นิพพานเลย เป็นฆราวาส ไม่อยู่ไปอีกวันข้างหน้า ฆราวาสมันเป็นอย่างนี้ ได้ ดูนั่นน่ะ พระพาหิยะ หรือองค์ไหนก็ดี ปลงผม พอผมตกลงมา เห็นเส้นมันหงอก ปลงอนิจจังเลยบรรลุธรรม ก็ต้องบวช ปลงผมเสร็จก็ต้องบวชเป็นภิกษุก็อยู่ได้ต่อไป ท่านคิดว่าไม่เกินเจ็ดวัน ต้องบวช ถ้าไม่บวชแล้วนิพพาน ไม่ใช่วิสัยของฆราวาส เพราะเป็นผู้บรรลุธรรมชั้นสูง
ถ้าพระโสดา สกิทาคา อาตมาไม่ว่า อยู่ได้สบาย ไม่มีปัญญา ถ้าถึงอนาคามี อาตมาว่าเค้าอยู่ในพรหมแล้ว พรหมคืออะไร อพรหมจริยา คนเดียวใช่มั้ย โดดเดี่ยว ไม่มีคู่เรียงเคียงหมอนใช่มั้ย ไม่ยุ่งใช่มั้ย แค่นี้ ยังไม่ถึงเป็นพระอรหันต์เลย แค่นั้นก็ออกไปแล้ว ออกไปไกลแล้ว ตีห่างแล้ว อันนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์นี่แหม มันจะไปคลุกคลีอะไร คลุกคลีไม่ได้ ก็เหมือนครูบาอาจารย์ท่านละปล่อยวาง ที่เราไปกราบไปไหว้นี่ อะไรท่านก็ไม่เอาๆอยู่นั่นน่ะ เอาให้ท่านก็รับ ท่านก็ให้พร แต่ใจท่านไม่เอา ท่านพอแล้ว ดูหลวงปู่แหวนนั่นน่ะ ขนให้เท่าไหร่ จะมาได้เท่าไหร่ ไม่รู้เรื่องอะำร จับแล้วก็วาง จับแล้วก็วางปุ๊บก็วาง ผู้พอแล้ว
แต่โยมนี่พอรึเปล่าหละ เห็นมันหิววิตามินเอ็มอยู่ (หัวเราะ)พอฟังออกมั้ย อาตมานี่รับรองอย่างนั้น ถ้าบริสุทธิ์ อยู่ไม่ได้ ต้องบวช ถ้าบวชนี่มาอยู่ได้สามสิบ สี่สิบปีแล้วแต่อายุท่านจะอยู่ แต่บางองค์นี่ท่านไม่อยู่นะ ถ้าพูดถึงครั้งพุทธกาล ท่านสำเร็จแล้ว ท่านก็จะไปน่ะ ท่านเบื่อหน่ายน่ะ ท่านไม่อยากอยู่เลย ไม่อยากสอนใครแล้ว เบื่อ เปิดเลย นิพพานเลย วันหนึ่งสองวันก็ไป อยากไปแล้ว ก็ไปได้ทุกเวลา
นางภิกษุณีก็เหมือนกัน ทีแรกว่าคนก็ถามอาตมาว่านางภิกษุณี ผู้หญิงนี่จะสำเร็จมรรคผลเป็นพระอรหันต์ได้มั้ย โถ สมัยครั้งพุทธกาลมากมายเลยทีเดียว เข้านิพพาน ผู้หญิง ก็บรรลุได้เหมือนกัน บางคนปรารถนาเป็นผู้ชาย อยากบวช อยากสะพายบาตร แบกกลดไปเที่ยวธุดงค์ ปรารถนาไม่รู้กี่ร้อยคนกับอาตมาน่ะ ปรารถนาทำไม ปรารถนาเป็นผู้ชาย เป็นผู้หญิงก็บรรลุเต็มบ้านอยู่นี่ (หัวเราะ)
เบื่อหน่ายมีสองเบื่อหน่ายนะ เบื่อหน่ายเพราะความไม่พอใจหนึ่ง เป็นโทสะนะ เป็นกิเลสนะ เบื่อหน่ายเพราะความรู้แจ้งจึงจะถูก จะเข้าใจแจ่มแจ้งในรูปธรรม นามธรรม ต้องเบื่อหน่าย เบื่อหน่ายตา หู จมูก ลิ้น กายใจ ถ้าเบื่อหน่ายอย่างนี้ เบื่อหน่ายด้วยความแช่มชื่นเบิกบานจึงจะถูก ถ้าเบื่อหน่ายหงุดหงิดๆ โอ้ย เบื่อหน่ายมันจริงๆ เบื่อหน่ายผิดไม่ได้ เดี๋ยวผูกคอตายนะ ไม่ได้นะแบบนั้น อันนั้นเป็นโทสะ เป็นกิเลส จะเบื่อหน่ายอย่างนั้นมั้ย แบบยิ้มแย้มแจ่มใสมั้ย สบายมั้ย ถ้าสบาย ถูก ก็รีบดูเข้าไปให้มันแจ้งๆอีก ดูไม่ดูอะไร ดูขันธ์ห้านี่แหละ มันวางได้มั้ย ดูเข้าไป จะเบื่อพอมั้ย
นี่ท่านสารีบุตรท่านบรรลุ คิดว่าบรรลุถึงที่สุดแล้วท่านมากลับมาดูอีก เรียกว่าดูรูปกาย ดูร่างกาย เพราะเราไม่พ้นทุกข์ก็เพราะเรื่องนี้เอง ก็มาดูสิ่งที่นี่ จะให้มันรู้แล้วมันจะพ้นทุกข์ จะวางขันธ์ห้าได้ ก็มาดู แล้วมาดูทุกวันทุกคืนเรื่องของเรื่อง รู้อยู่ตลอดว่ามันจะเป็นยังไง มาพูดถึงเบื่อหน่าย ไม่ต้องพูดเลยเรื่องแบบนั้น อยากไปเดี๋ยวนี้แหละ ดูตนเองว่าเบื่อหน่ายด้วยสติปัญญาหรือความแช่มชื่นเบิกบานมั้ย ถ้าความแช่มชื่นเบิกบานขึ้นมาพักหนึ่ง ดอกบัวชักจะแย้ม มันจะบาน จึงว่าเป็นผู้ตื่นอยู่ เพราะตื่นอยู่แล้วเค้าเบื่อจึงถูก ไม่ใช่เบื่อแบบหงุดหงิด ถามตนเอง ผู้ถามมาถามตนเองว่าเบื่อแบบไหน ถ้าเบื่อแบบแช่มชื่น แบบจะพิจารณาดูไป มันถูกแล้ว คิดดูให้มันเบื่อจริงๆ จนถึงที่สุดมัน ก็มาดูต่อ
เป็นหนี้เป็นสินกันน่ะรึ ก็ไปทำกันเอาไว้ เป็นหนี้กันเอาไว้ แต่ก่อนเราไปเอาของเขา มาชาตินี้เค้าก็เอาของเรา ก็เลยกังวล มาจากที่ไหนหละ มันก็กังวลน่ะเป็นหนี่ พระพุทธเจ้าจึงว่าไม่ให้เป็นหนี้ใคร มันจึงมีความสุข ฆราวาส ถ้าเป็นหนี้หละมันทุกข์ ไปไหนอะไรมันจะทุกข์ มันก็อยากได้ จึงไปเอารถมา มันก็จึงเป็นหนี้ (หัวเราะ) มันก็หากิเลสนั่นแหละ ก็เลยหาเงินใช้ให้เขาไม่ทันก็เลยกังวล เค้าจะมาเอา เป็นหนี้จึงเป็นทุกข์อย่างนี้ ทุกข์สุขของคฤหัสถ์มันอย่างหนึ่ง สุขจากการมีทรัพย์ สองสุขแต่การจ่ายทรัพย์บริโภคไม่หมดไม่สิ้น สาม สุขเกิดจากการไม่เป็นหนี้เป็นสินของใคร ข้อนี้แหละมันชัด คือเป็นหนี้สินแหละมันทุกข์ ถ้าไม่เป็นหละมันสุข สุขจากการงานปราศจากโทษ ด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ ไม่มีโทษ สุข พระเค้าก็ทำอยู่ข้อสุดท้าย แต่พระบางองค์ยังติดหนี้เค้าใช่มั้ย มันจะมีบ้าง สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร มีนะบางองค์ยังติดหนี้ ถ้าไม่เชื่ออาตมา ไปถามที่ร.พ.สงฆ์ เป็นโรคประสาทอยู่หลายองค์ พระน่ะ เป็นโรคประสาทเพราะสร้างศาลาไม่เสร็จ สร้างโบสถ์ไม่เสร็จ ดูดู๊ พระก็จะไปแก้โยมได้ยังไง เจ้าของเป็นเองซะด้วย
ไปหล่อพระ แท้ที่จริงนี่ คนที่ไปหล่อพระพุทธรูปนี่นะ ถ้าเป็นผู้มีศีล จะหล่อพระพุทธรูปไม่ค่อยจะมีรูมีด่างมีพล้อย จะสะอาด ถ้าพระกล่าวถึงพระผู้มีศีลบริสุทธิ์ เป็นผู้ไปหล่อพระองค์ประธาน หล่อมาแล้วจะไม่มี มันสมบูรณ์ไม่ค่อยมีรู จะได้ไปฉาบ หรือว่าพระมันบริสุทธิ์ สำคัญ บัดนี้ถ้าญาติโยมไปนุ่งขาวห่มขาว เหมือนอยากให้มีศีล ทำพราหมณ์ทำพิธีต่างๆ ก็อยากให้มันศักด์สิทธิ์ ก็อยากไม่ให้มันรูนั่นเอง อยากให้มันเรียบร้อย จึงได้พากันสวดชยันโตเป็นสิริมงคล เพื่อหล่อ เพื่อจะได้กราบไหว้บูชา
จริงๆแล้วอาตมาไปดูแล้วว่าเวลาขัด เวลาปิดทองนี่ผู้หญิงทั้งนั้นเลย ผู้ชายไม่เห็นใครทำ โยมผู้หญิงเอาบุญไปกินหมด นี่! การหล่อพระเพื่อการกราบไหว้บูชา อธิษฐานว่าสร้างเพื่อเป็นสักการะบูชา จะปรารถนาเข้านิพพานก็ได้ แต่สิ่งที่มันให้จริงๆน่ะมันสวยนะ อานิสงส์ที่จะได้ หล่อพระพุทธรูป ทำให้มันสวยๆหน่อย พระพุทธเจ้าสวยเลอเลิศ ไปทำพระพุทธรูปไม่สวย มันไม่น่ากราบนี่แหละ ระวังให้ดี ใครจะไปหล่อ พระพุทธเจ้าสวยจริงๆ ก็ต้องทำให้สวย ให้น่ากราบไหว้ บัดนี้เกิดมาชาติหน้ามันมีอานิสงส์จะไปพบพระพุทธศาสนา เป็นที่ชักชวนคนให้กราบไหว้บูชา คนที่ยังไม่เลื่อมใส พอเค้าเห็นพระพุทธรูป เค้าก็ได้กราบไหว้เพราะเค้าได้เห็น ก็ตัวเรานี่เป็นคนจูงเพราะมีสารูปพระพุทธเจ้า สุดท้ายก็คือสวยงาม อานิสงส์นะ สวยงามเป็นหลานของพระสังกัจจายนะ ไม่ใช่ท้องใหญ่อย่างนั้นนะ สวยรองพระพุทธเจ้าเลย ก็เพราะหล่อรูปของพระพุทธกัสปะ พระพุทธเจ้าองค์ที่ผ่านไปก่อนพระพุทธเจ้าของเรา ครั้งไปเกิดในชาตินั้นท่านหล่อพระพุทธรูปให้กราบไหว้บูชา มาเกิดในภพพระพุทธเจ้าของเรา ท่านจึงสวยมาก อันนี้อานิสงส์ที่ให้นะนี่ พระพุทธเจ้านะตรัส ไม่ใช่อาตมาพูดเฉยๆ เพราะท่านสวย พระสังกัจจายนะได้อธิษฐานท้องให้ใหญ่ คนก็ยังชอบอยู่นั่นแหละ ยังชอบอยู่ ไม่แล้วอยู่เพราะท่านสวย
นี้บัดนี้ ไปสวดอภิธรรม ไปร่วมสวดอภิธรรมแล้วจะอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่เราไปทำบุญแล้วไปฟังสวด เดี๋ยวนี้พระสวดให้คนเป็นฟังนะ ไม่ได้สวดให้คนตายฟังนะ สวดให้พวกเราฟังอภิธรรม เพราะเป็นยอดของธรรมะ เราก็เรียกเอาธรรมะชั้นสูงๆมาสวดในงานศพ เพื่อให้เป็นสิริมงคลแก่ศพ เพื่อให้คนได้ยินได้ฟัง จะได้ฟังธรรมะสูงๆบ้างในงานนี้ นี่หลักมัน เมื่อคนฟังเฉยๆนี่นะ ยังไม่เข้าใจในธรรม แต่เคารพธรรม ตายแล้วก็ยังจะได้ไปสวรรค์ นี่อานิสงส์ ตายแล้วเวลานั้นยังบ่ได้กลับบ้านหละไปตายกับศพอีกหละ ก็จะไปสวรรค์นั่น มันจิตสงบ จิตเคารพจริงๆ
เห็นมั้ย ค้างคาวนี่ ถ้าผู้ได้เรียนพระไตรปิฎก ค้างคาว ๕๐๐ ตัวอยู่ในถ้ำ พระสารีบุตรสวดกับหมู่ สวดไปแล้วเพลินฟังอภิธรรม เท้าหลุดออกจากเพดานหิน ตกลงมาตายหมดเลย ทั้งตัวเมียตัวผู้ตายไปเกิดเป็นเทพบุตรเทพธิดาหมดเกลี้ยงเลย อยู่บนสวรรค์ อานิสงส์ฟังเฉยๆนะ เคารพเฉยๆ จนลืมไป เท้านี่หลุด เพราะเคลิบเคลิ้ม แหม น่าสรรเสริญ เพราะจริงๆ น่าเคารพจริงๆนะ จิตมันเลยเป็นกุศลใช่มั้ย ตายแล้วเลยไปกับบุญ นี่มันดีอย่างนี้แหละ ถ้าใครฟังไม่ออกก็ไปฟังด้วยความเคารพ พอบัดนี้เวลาพระให้พร เราตั้งใจอุทิศที่เราไปทำบุญส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับดับไป เชิดชูวิญญาณดวงนั้นเพื่อให้รับอนุโมทนา
บางวิญญาณยังรอดูศพอยู่นะ บางวิญญาณ ยังไม่ได้เกิดภพอื่น รออยู่ ยังไม่ไป เจ็ดวัน แต่บางศพนี่ไปแล้ว ไปเป็นเทพแล้ว เทพบุตร เทพธิดาแล้ว แต่จะลงมาดูหรือไม่มาดูก็แล้วแต่เค้า ถ้าเค้าอยากมาดูก็มาได้ หรือมาอยากดูแล้วมันใช้งานไม่ได้แล้ว ไปแล้ว บางคนนี่พอออกจากร่างนี่ไปเลย จะไปสุขก็ไปเลย ไปทุกข์ก็ไปเลย ไม่สนใจแล้ว บ้านหลังนี้มันนอนไม่ได้แล้ว ฝนรั่ว มันตากแดดแล้ว ไม่เอาร่างแล้ว มันก็ไปแล้ว นี่ตัวนั้นไป แต่ทุกคนควรอุทิศส่วนกุศลพร้อมกันเวลาพระให้พร ส่งไปให้แก่วิญญาณผู้ที่ตายอยู่ ตายอยู่นอนอยู่ในหีบ
บัดนี้หลักที่เราจะพิจารณา เราเอาคนที่นอนอยู่ในหีบ ยึดเป็นหลักปฏิบัติของเราว่านี่คนเราเกิดขึ้นมามันตายอย่างนี้แหละ เราเขาได้อะไรไป เขามีเงินหลายพันล้านอยู่ในธนาคาร เอาไปมั้ย นี่ถามตนเองอย่างนั้นก็ไป เค้าเอาไปมั้ย เค้าเอาใครไปบ้าง ไม่มีใครไป เค้าไปส่งถึงแค่เตาน่ะ นั่งเก้าอี้ดูอยู่นั่นน่ะ เค้าก็เลยปิดฉากละครเลยตอนเค้าจะเผา มันเล่นละครสุดฉากมันก็ต้องปิดม่าน เราดูแล้วน้อมมาหาตนเอง เอ้ เราก็ต้องจะตายเหมือนกับเขา ทิ้งของนั่น ก็มามองหน้ามองหลังนั่น รีบทำความดีให้เรา เห็นบ่ เครื่องยืนยันนะเนี่ยเกิดแล้วต้องตาย เรามานึกอันนี้จึงจะเป็นประโยชน์ไปเผาศพ อย่าไปเช็ดน้ำตา พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เช็ดน้ำตา นะ หิรุณณัง วา โสโก วา ยา วัญญา ปะริเทวะนา การร้องไห้ก็ดี การเศร้าโศกก็ดี ไม่เป็นประโยชน์แก่ผู้ตาย ภาษาไทยก็แปลอย่างนั้น มีอย่างเดียวคือทำบุญอุทิศไปให้เมื่อคนตายแล้ว มีแค่นั้น ให้ได้แค่นั้น ของที่จะให้ เราอุทิศความดีได้แค่นั้น เอ มันอดไม่ได้ มันรักกันก็ต้องให้เนาะ ถ้าจะไปหารักไปหาตัณหาอีกนั่นแหละ มันเรื่องธรรมดา
ท่านสอนให้กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อัพยากะตา ธัมมา นี่ ธรรมที่เป็นกุศล ธรรมที่เป็นบุญ อกุสลา ธัมมา ธรรมที่เป็นบาป ท่านสอนบุญสอนบาปด้วยนี่ พระนั่นท่านสอน ท่านสอนบุญสอนบาป จะเป็นกลางๆ อัพยากะตา ธัมมา ทำไปซิ อย่าทำบาปจะไปกับบาปนะ ทำบุญจะได้ไปกับบุญนะ ต้องพูดง่ายๆกันข้อต้น สุดท้ายท่านก็เลยว่า อนิจจา วาตะ สังขารา พระท่านว่า สังขารไม่เที่ยงนะโยมนะ มันเป็นอย่างนี้แหละ มันก็นอนอยู่ในหีบนี่แหละ
ท่านก็ไม่แปลซะบ้าง ท่านก็เลยครางไปฟังก็ไม่รู้เรื่องเลย ครางอ๊อยๆไปอย่างนั้น พระพุทธเจ้าถ้ามีชีวิตอยู่ อาตมาว่าด่าแหลกแน่ เพราะไปร้องเพลง ครางอ๊อๆแอ๊ๆอย่างนี้ไม่ได้ ใช้เสียงยาวๆอย่างนั้นไม่ได้ มันบาป มันผิดอักขระของภาษามคธ แต่ว่าพระก็ทำ เพราะโยมนั่นแหละชอบ โยมนี่พาให้พระตกนรก ระวังให้ดี (หัวเราะ)ท่องๆให้ดีหน่อย
นี่แหละเราไปฟังอันนั้น อุปปาทวะยะธัมมิโน มีความเกิดขึ้นแล้ว นิรุชฌันติ เค้าสอนอย่างนี้ คนนี้เกิดขึ้นมาแล้วต้องตายนะ ถ้าพูดอย่างง่ายๆ เตสัง วูปะ สโม สุโข การเข้าไปสงบระงับแห่งสังขารเป็นสุขนะ สังขารถ้าเราไปสงบได้ เราก็นิพพานแล้วเนี่ย ไม่มาเกิดเป็นรูปอย่างนี้แล้ว สุข เตสัง วูปะ สโม สุโข ความเข้าไปสงบแห่งสังขารเป็นสุขนะโยมนะ นี่ ท่านบอกอย่างนี้ โยมก็ฟังแต่ภาษาอินตะระเดีย เลยไม่รู้เรื่องอะไร เลยแปลให้ฟัง ก็ภาษาพระพุทธเจ้า แต่ทิ้งไม่ได้ ต้องมาแปลกันใหม่
เห็นมั้ยท่านว่า เหตุปัจจะโย ธรรมเป็นปัจจัยเกิดจากเหตุ อารัมมะณะปัจจะโย เป็นอารมณ์อยู่ในใจเป็นปัจจัย อะธิปะติปัจจะโย เป็นใหญ่ในการที่เค้าจะยึดในปัจจัยนั้นๆ อนันตะระปัจจะโย ไม่มีประมาณแล้ว เล่นอารมณ์มานี้ไม่รู้กี่ชาติแล้ว ธรรมนี้เป็นธรรมสมานสังวาสกัน อุปะนิสสะยะปัจจะโย เป็นอุปนิสัย เป็นปัจจัย ที่ไปหา กัมมะปัจจะโย เป็นกรรม มัคคะปัจจะโย เป็นหนทางเดินของจิตที่จะเสวยอารมณ์นี้เป็นปัจจัย โอ้ย ไม่พูดกันมาก มันยาว มันเป็นอภิธรรม โยมก็ฟังให้มันเข้าใจ
บางคนอาจจะได้เรียนอยู่นี่ เรียนแต่แผนที่เฉยๆ ไม่ภาวนาเลยไม่รู้รส มีแต่ทำอาหารเฉยๆ ไม่กิน เลยหิวอยู่ ต้องเรียนแล้วต้องปฏิบัติ พอฟังออกมั้ย เอาอันนี้แหละ พอฟังอันนี้แล้ว อื้อ ได้ฟังธรรมแล้วเว้ย นึกมีบุญแล้วเรา ได้ฟังธรรม ได้อุทิศความดีของเราให้แก่ผู้ตาย ข้าพเจ้าได้มาฟังธรรม ข้าพเจ้าระลึกถึงความดีนี้ เป็นบุญคือความสุขใจที่ข้าพเจ้าได้ทำแล้ว ขออุทิศส่วนกุศลให้จิตวิญญาณจงรับเอาความสุขนี้ ถ้ามีสุขก็ขอให้สุขยิ่งๆขึ้นไปเทอญ แค่นี้ก็พอแล้ว เวลาพระให้พร ให้กันตรงนั้นเลย อันนี้ไปเราก็ไปนั่งเฉยๆ เจ้าของก็ไปฟังเฉยๆอยู่เวลาพระให้พร เค้าก็ไม่ได้อะไร ไม่ได้ให้เขา เราไม่ได้ให้เขา ไม่ส่งให้เขา บางคนไปพูดเอาใส่บั้งไฟจุดขึ้นฟ้าขึ้นจรวดโน่น จะได้ขึ้นสวรรค์ อันนั้นทั้งโง่ทั้งเง่า อาจารย์พาหลงไปทั่วโลก (หัวเราะ) มันจะไปได้ไง มันอยู่ที่จิตวิญญาณ (เทปจบ)