Skip to content

บุญกุศลเป็นที่พึ่งของสัตว์ไปในโลกหน้า

หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป

| PDF | YouTube | AnyFlip |

ณ บัดนี้พากันตั้งใจนั่งทำสมาธิไปด้วยกันก็ได้ พวกเราท่านทั้งหลาย การที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็เป็นผู้โชคดี ได้ร่างกายบริสุทธิ์บริบูรณ์ไม่ขาดตกบกพร่อง มีแข้งขาหูตาครบบริบูรณ์ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเป็นผู้โชคดี ส่วนบุคคลเหล่านี้เกิดขึ้นมาแล้วส่วนมากก็มีรูปร่างกายยังไม่สมบูรณ์ ไม่ประกอบด้วยมนุษย์ที่สมบูรณ์ ขาดตกบกพร่อง อวัยวะต่างๆทุพพลภาพ ให้พวกเราได้รู้ได้เห็นได้ยินได้ฟัง การเกิดมาซึ่งของบุคคลทั้งหลายก็ถือว่าพวกเหล่านั้นเป็นผู้ที่ทำบาปความชั่วเอาไว้ กรรมก็เลยให้ผลแก่เค้า เกิดขึ้นมาเป็นคนก็ไม่บริสุทธิ์บริบูรณ์ 

ส่วนพวกเรานั้น เกิดขึ้นมาแล้วได้สมบัติกับรูปร่างกายบริบูรณ์ จึงถือว่าเป็นผู้โชคดีอย่างหนึ่ง โชคดีอีกอย่างหนึ่ง ชีวิตของเรานั้นดำเนินมาถึงปัจจุบันนี้ ยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นโชคดีอีกอย่างหนึ่ง โชคดีอีกอย่างหนึ่ง ได้มาพบพระพุทธศาสนามีเหตุมีผล ว่าทำดีได้ดีมีความสุขเป็นผล ว่าทำบาปความชั่วมีความทุกข์ความเดือดร้อนเป็นผลของบาป เรามาได้ยินได้ฟังเรื่องอย่างนี้ ก็เป็นผู้โชคดี มีครูบาอาจารย์บวชสืบศาสนามา ศึกษาธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็ได้มาเทศนาแนะนำสั่งสอนพวกเราให้รู้จักบุญจักบาป รู้จักดีจักชั่ว รู้จักอะไรเป็นประโยชน์หรือไม่ใช่ประโยชน์ เพื่อจะได้ขวนขวายแสวงหาสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้ชีวิตของเรานี่มีคุณค่าสูง มีประโยชน์เกิดขึ้นไม่เสียเปล่าประโยชน์ ที่ได้เกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์ เรียกว่าเป็นผู้โชคดี 

พวกเราท่านสาธุชนทั้งหลายที่เป็นพุทธบริษัทเลื่อมใสในพระศาสนานี้เป็นผู้มีความเชื่อมั่นในกรรมดังได้กล่าวมานั้น เรียกว่าพุทธบริษัทที่แท้จริง ความที่พวกเรามีศรัทธาความตั้งมั่นเชื่อมั่นอย่างนี้เอง เราจึงพากันขวนขวายสร้างคุณงามความดี เพื่อจะให้เพิ่มพูนบุญบารมีของพวกเรานั้นให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นไป ดังพวกเราทั้งหลายได้ถวายเทียนจุดบูชาพระรัตนตรัยในพรรษา และผ้าผ่อนท่อนสไบอาบน้ำฝน และของที่เป็นบริวารนั้นก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเราได้บริจาคทาน กล่าวคำถวายไปแล้ว อันความเชื่อมั่นในคุณงามความดีที่เราพากันทำนี้เอง จึงทำให้เรานี้มีคุณค่า คนที่มีความเชื่อมั่นในบุญในบาป ฝังอยู่ในจิตใจเป็นพื้นฐาน ก็ย่อมพากันสร้างแต่คุณงามความดี บาปความชั่วนั่นไม่เอาเพราะมันจะมีความทุกข์ จึงแสวงหาแต่ความสุขให้เกิดให้มีขึ้นแก่ตนด้วยกันทุกท่านทุกคน 

เราควรเชื่อมั่นที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสั่งสอนเอาไว้ การบริจาคเทียนจุดบูชาพระรัตนตรัยคือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี้เอารวบรวมเพื่อการบูชา แต่ถ้าเราพิจารณาอีกมุมหนึ่ง เพื่อจะให้เข้าใจแจ้งชัด ก็คือการบูชาเทียนนี้ส่วนมากเราก็บูชาสองเล่ม เหมือนพวกเราได้ถวายเมื่อตะกี๊นี้เอง เรียกว่าบูชาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า พระธรรมวินัย เราบูชาทั้งสองอย่างนี้เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา หากเราไปจุดบูชาในที่มืด แสงสว่างก็ย่อมกำจัดความมืดออกไป ให้มองเห็นสว่างไสวเห็นชัดเห็นเจนเกิดขึ้น 

ฉันใดก็ดี เทียนที่เราจุดบูชานี้ก็เหมือนพระธรรมวินัย คำสั่งสอนพระพุทธเจ้า หากบุคคลทั้งหลายนั้นน้อมนำธรรมะ คำสอนของพระพุทธเจ้าไปประพฤติปฏิบัติแล้ว ก็จะกำจัดความมืดคือกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลงนั้นให้เบาบางจากดวงใจของพวกเรา จึงถือว่าเราบูชาซึ่งพระธรรมวินัย คำสอนในพุทธศาสนาทุกคำที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนเอาไว้ ก็เรียกว่าพระธรรมคำสอน เราขอบูชาพระธรรมนั้น ปฏิบัติในศีลก็ดี ในภาวนาก็ดี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นเครื่องกำจัดกิเลสให้ลดน้อยถอยลงไปเบาบางจากดวงใจของพวกเรา ให้เห็นเด่นชัดขึ้นมามีความสุข 

ไม่ใช่แต่ได้อานิสงส์แต่เพียงเท่านี้ อานิสงส์ที่จะได้บุคคลบูชาเทียน ถวายเทียนจุดบูชา บุคคลนั้นจะเกิดชาติใดภพใดย่อมมีดวงตาแจ่มใส มองได้เห็นชัดเจน ตาไม่มีโรคภัยไข้เจ็บตั้งแต่เล็กจนถึงเฒ่าถึงแก่ ไม่ต้องตัดแว่นตา อานิสงส์ของผลบุญ ถ้าหากบุคคลล่วงลับดับไป ไปเกิดที่บนสวรรค์เป็นเทพบุตร เทพธิดาย่อมมีรัศมีสว่างไสวออกจากร่างกายของเทพบุตร เทพธิดาเป็นอานิสงส์ของผลบุญ พวกเราท่านทั้งหลายการบูชาได้อานิสงส์อย่างนี้ บูชาเทียนอีกอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งนั้นจะทำให้บุคคลนี้ เป็นผู้มีสติปัญญาสว่างไสว ว่องไวเฉลียวฉลาด รู้จักบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์หรือไม่ใช่ประโยชน์ เป็นอานิสงส์อีกอย่างหนึ่งเพิ่มเติมเข้าไป นี่เป็นเรียกว่าบุญผู้บุคคลที่ได้สร้างบริจาคเทียนบูชาเอาไว้ 

เราทานผ้าผ่อนท่อนสไบเครื่องนุ่งห่มผ้าอาบน้ำฝนแก่ภิกษุสามเณร เพื่อจะได้อาบในพรรษา ผลัดเปลี่ยนให้ความสะดวก อานิสงส์ที่จะได้เกิดชาติใดภพใด จะมีเครื่องนุ่มห่มสะดวกสบายเป็นอานิสงส์ของผลบุญ นี่เราได้บุญ 

ส่วนด้านยารักษาโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายที่เราบริจาคมา ยานั้นสำหรับบำบัดทุกขเวทนาเมื่อเวลาไม่สบาย เป็นไข้ เจ็บป่วย อาพาธ ภิกษุสงฆ์ทั้งหลายเมื่อกินยารับประทานยา ฉันยาลงไปก็ระงับดับทุกขเวทนาให้หายไป ได้รับความสุขเกิดขึ้น อานิสงส์ที่จะได้ บุคคลบริจาคยารักษาโรคภัยไข้เจ็บนี้เกิดชาติใดภพใดก็ดี จะเป็นคนที่ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ตั้งแต่เล็กจนถึงเฒ่าถึงแก่อยู่มีแต่ความสุขสบายเป็นอานิสงส์ของผลบุญ 

บุคคลบริจาคทานหนังสือ ให้เป็นหนังสือสวดมนต์หรือหนังสือธรรมะก็ดี หนังสือศึกษาเล่าเรียนก็ดี ให้คนมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด เกิดชาติใดภพใดจะได้มีสติปัญญาว่องไว เฉลียวฉลาด รู้แจ้งซึ่งธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นอานิสงส์ของผลบุญ 

บุคคลบริจาคสบู่ แฟ้บก็ดีเครื่องกำจัดความสกปรกออกให้สะอาด เกิดชาติใดภพใด จะได้มีผิวพรรณผุดผ่องใสเกลี้ยงเกลา สะอาดหมดจดเป็นอานิสงส์ 

บุคคลบริจาคอาหารการกินเครื่องบริโภคบำรุงร่างกาย เกิดชาติใดภพจะได้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ ไปอยู่ที่ไหนก็มีอาหารการกินสมบูรณ์ เป็นอานิสงส์ของผลบุญ อันนี้เรียกว่าบุญด้านวัตถุ 

เมื่อเราบริจาคทานเอาไว้แล้ว สิ่งใดก็ดี บริจาคเงินทอง เงินก็เป็นสิ่งสำคัญจะซื้อเครื่องนุ่งเครื่องห่มมานุ่งห่ม ก็ต้องอาศัยเงิน จะซื้ออาหารการกินมาบริโภคให้ร่างกายแข็งแรงมีความสุข ก็อาศัยเงิน จะซื้อรถ ซื้อเรือ ซื้อบ้าน ซื้อช่อง ซื้อสิ่งของใช้ภายในบ้านอำนวยความสะดวก ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ต้องอาศัยเงิน เวลามีโรคภัยไข้เจ็บไปหาหมอ ซื้อหยูกซื้อยามาพยาบาลตนเองให้ระงับดับทุกขเวทนาให้หายไป ให้ได้รับความสุขก็ต้องอาศัยเงิน เหตุฉะนั้นผู้บริจาคเงินเอาไว้ ก็เหมือนบริจาคปัจจัย ๔ โดยสมบูรณ์ อานิสงส์ที่จะได้เกิดชาติใดภพใดจะได้มีเงินมีทองใช้จ่ายสะดวกสบายเป็นอานิสงส์และปัจจัย ๔ ดังได้กล่าวมานั้น แต่รับซึ่งผลบุญเป็นของบุคคลที่บริจาคเอาไว้ 

พวกเราท่านสาธุชนทั้งหลาย เมื่อหากเราได้บริจาคทานการกุศลด้านวัตถุเอาไว้ พวกเราจะเห็นเด่นชัดขึ้นมาในใจของตน ว่าเราจะเสียสละบริจาคได้ เราต้องมีชัยชนะ ละความตระหนี่ ความหวงแหนทรัพย์สมบัติของเรานั้นออกจากใจของพวกเรา พวกเราจึงบริจาคทานได้ เมื่อเราบริจาคทานแล้วเรามีความปลื้มปีติยินดี มีความสุขใจ ระงับดับความทุกข์ร้อนอยู่ภายในใจออกไป คือความเศร้าหมองนั้นออกไป ใจก็เลยมีความสุขก็เห็นผลบุญในปัจจุบันแล้ว ว่าเราได้สร้างความดีไว้ ใจของเรามีความสุข เกิดชาติใดภพใดไม่ต้องหวั่นไหว เราต้องมีสิ่งของดังได้กล่าวมานี้อำนวยความสะดวกให้มีความสุข ใจก็เลยมีความสุขเกิดขึ้นอยู่กับบุญ เรียกว่าเราได้บุญคือความสุขเกิดขึ้น เราได้บุญได้คุณงามความดีเกิดขึ้นแก่ตน 

อันนี้พวกเราก็พากันมารักษาศีล สมาทานศีล ให้เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ในปัจจุบันเดี๋ยวนี้ ศีลก็เรียกว่าเป็นของเย็น เพราะศีลเป็นเครื่องระงับดับความโกรธให้เบาบางลงไป มันจะระงับให้สิ้นไป ผู้รักษาศีล ๕ ก็ดี ศีล ๘ ก็ดี เป็นเครื่องระงับดับความโกรธให้เบาบางลงไปจนสิ้นสุด จึงเรียกว่าเป็นของเย็น เป็นปกติ ปกติกาย ปกติวาจา ปกติจิตใจ เป็นผู้จิตใจมีศีล ศีลอยู่ประจำตัวของตน ศีลนี่เองเป็นบ่อเกิดแห่งคุณงามความดีอีกอย่างหนึ่ง 

ถ้าหากบุคคลเราอยู่ด้วยกันในโลกนี้ บ้านใดเมืองใดก็ดี แห่งหนตำบลใดที่ไหน หากมีศีลแล้ว พวกเราจะอยู่ด้วยกันแบบความร่มเย็นเป็นสุขสงบสุข มีสันติสุขเกิดขึ้น นี่ทุกคนก็ควรที่จะเข้าใจในเรื่องอย่างนี้ ถ้าพูดธรรมดาก็ศีลนี่ก็ตัดสิ่งของที่ไม่ดีไม่งามออกจากกายทางวาจาและจิตใจ ศีลตัดขาดออกไป สิ่งไม่ดีไม่งาม ถ้าเราเปรียบเทียบก็เหมือนต้นไม้ ต้นไม้มันมีทั้งกิ่งทั้งก้าน มีทั้งปูดทั้งเปาก็มี มีที่เล็กที่ใหญ่ ศีลนั้นก็เหมือนกับเลื่อยกับบันทัด เมื่อตีบันทัดก็เลื่อยออกไป เลื่อยตรงไปตามบันทัด ตัดสิ่งที่ไม่สวยไม่งามมันออกไปหมด อะไรมันไม่ดีไม่งามทางกาย อะไรไม่ดีไม่งามทางพูด อะไรไม่ดีไม่งามทางคิด ถ้าตัดสิ่งเหล่านั้นออกไป มันก็เป็นระเบียบเรียบร้อย มันก็เลยสงบอยู่ในความเรียบร้อย เรียกว่าศีล เรียกว่าของเย็น เราก็ละกิเลสออกไปให้เบาบางจากใจ ก็ได้บุญอีกเป็นขั้นหนึ่ง 

ทีนี้บุญอีกขึ้นหนึ่งคือเราฝึกฝนอบรมจิตใจของพวกเรา เพื่อจะให้ใจของเราอยู่ในความร่มเย็นเป็นสุข ใจของคนเรานี้ ถ้าไม่ฝึกฝนอบรม ไม่แก้ไข ไม่ปรับปรุงไม่พัฒนา จิตใจของบุคคลนั้นจะรั่วไหลไปตามกระแสของกิเลส ไปตามอำนาจของกิเลส ตามความคิด คิดไปเรื่อยๆ คิดทุกข์มันก็คิด คิดสุขมันก็คิด ส่วนมากแล้วมันจะคิดแต่เรื่องมีความทุกข์ จิตฟุ้งซ่านรำคาญ จิตไม่อยู่กับตนกับตัว พวกเราท่านทั้งหลายก็จะเห็นแล้วว่า คนเป็นบ้าใบ้เสียจริตผิดมนุษย์ก็ดี เป็นโรคประสาททั้งหลายอยู่ทุกวันนี้ ก็อาศัยซึ่งจิตของเขาไม่ดี เค้าคิดมากนั่นเอง เมื่อคิดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความกังวลและมีความทุกข์มากเกิดขึ้น 

เหตุฉะนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงอยากให้ฝึกฝนอบรมที่จิตใจ เรามีพื้นฐานดีแล้ว บริจาคทานเราได้ทำแล้ว เรามีพื้นฐานดีมีศีลเป็นเครื่องรองรับอยู่แล้ว บัดนี้เรามาทำสมาธิ ฝึกฝนอบรมจิตใจของตนเพื่อจะให้จิตใจของเราได้สงบเป็นปกติ จิตใจไม่ฟุ้งซ่านรำคาญไม่คิดมาก ไม่มีความกังวล ไม่มีความทุกข์ ก็อยากให้จิตของพวกเรานั้นนิ่งอยู่ สงบอยู่ อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งเป็นอารมณ์เดียว เรียกว่าจิตสงบเป็นสมาธิ

ถ้าจิตของเราไม่สงบเป็นสมาธิ จิตก็มีแต่ความทุกข์ ความเดือดร้อนวุ่นวายอยู่ตลอด เราควรที่จะใช้สติคือความระลึกได้ สัมปะชัญญะความรู้ตัว มาประคองจิตใจของตนให้อยู่กับตนกับตัวก่อน อย่าให้ไปคิดที่ไหน เราอยู่ที่นี่ เราอยู่ที่วัดนี้ สถานที่นี้ เราไม่ต้องคิดถึงบ้านถึงช่อง ไม่คิดถึงสิ่งของ ไม่ต้องคิดถึงบุคคลอื่น ให้จิตของเราอยู่กับตนกับตัวเรา ลองดูซิ ไม่ต้องคิดวุ่นวายกับอะไร ลดละปล่อยวางออกไป ให้จิตใจของเรานี้ว่าง ให้จิตใจของเรานี้หยุด คิดอยู่กับตนกับตัวเท่านั้น ไม่ต้องไปคิดภายนอก นี่การฝึกฝนอบรมจิตใจ จะทำให้จิตของเราไม่ยุ่งเหยิงกับของภายนอก ให้อยู่ภายใน ให้อยู่ที่ตนที่ตัวของเราเอาไว้จุดใดจุดหนึ่ง ก็คือเอาความคิดนั่นเองคือจิต 

ถ้าจิตของเราไม่ไปคิดยุ่งเหยิงกับภายนอก มาสงบอยู่ มาสงบอยู่แล้ว เราก็จะเห็นความสุขเกิดขึ้น จิตสงบ ถ้าจิตของเราไม่สงบ เราก็เห็นแต่ความทุกข์ เราจึงหยุดอยาก ฝึกฝนอบรมจิตใจ การที่จะทำให้จิตใจสงบได้รวดเร็วนั้นก็คือต้องละทั้งอดีตอนาคต อดีตก็สิ่งที่ล่วงแล้วไปแล้ว อย่านำมาคิด อนาคตสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ก็ไม่ต้องคิดเหมือนกัน เรามาคิดในปัจจุบันธรรม เดี๋ยวนี้จิตของเราอยู่ที่ไหน อยู่กับตนกับตัวมั้ย อยู่กับลมหายใจเข้าออกมั้ย กับข้อธรรมกรรมฐานมั้ย หรือจิตของเราไปอยู่ที่อื่น วิ่งไปอยู่ที่อื่น เราควรที่จะมีสติสัมปะชัญญะ รู้ว่าจิตของตนอยู่ที่ไหน ถ้ามันอยู่ข้างนอก มันอยู่ที่อื่น ต้องเอามาไว้กับตนกับตัว กับลมหายใจเข้าออก นี่การวิธีทำสมาธิ 

ถ้าจิตใจของเรานิ่งอยู่ สงบอยู่สักนิดหน่อย เราก็รู้ว่าจิตของเราสงบนิดหน่อยได้ นี่ผู้ฝึกได้ง่าย ถ้าบางบุคคลก็ฝึกยาก จิตก็ยังฟุ้งซ่านอยู่ ยังไม่สงบ เราก็พยายามที่จะใช้สติสัมปะชัญญะของตน ควบคุมดูแลจิตใจอยู่กับข้อธรรมกรรมฐาน ถ้าจิตใจของเราสงบนานลงไป ๒๐ ๓๐ นาทีก็ดี ๔๐ นาที สงบนิ่งอยู่ในอารมณ์หนึ่งอารมณ์เดียวได้ เราก็เห็นจิตใจของเราสงบนานลงไปถึงอุปจาระสมาธิได้ ถ้ามีความสุขสบายเกิดขึ้น จิตที่สงบเป็นอย่างนี้ เรามีสติสัมปะชัญญะประคองจิตของตนอยู่ในอารมณ์นั้น 

เมื่อตั้งอยู่ในอารมณ์นั้น จิตก็นิ่งนานลงไปจนถึงชั่วโมงอย่างนี้ สงบนิ่งอยู่ ดิ่งอยู่ เราก็จะเห็นเด่นชัดขึ้นมาทันทีว่าจิตของเรานี่สงบนาน จิตสงบนานมันก็สุขนาน เป็นอัปปนาสมาธิได้ ผู้ฝึกได้ง่าย นี่การฝึกฝนอบรมจิตใจ ถ้าจิตใจของเราสงบแล้วเราก็เห็นความสุขชัดเจนว่าความสงบนี้คือความสุข เปรียบเทียบเหมือนกับน้ำอยู่ในโอ่ง หรือน้ำอยู่ในทะเลก็เหมือนกัน เราไปยืนอยู่ริมทะเล ถ้าน้ำมันนิ่งเราก็สามารถมองเห็นปลา เห็นหอย เห็นกุ้ง เห็นกรวด เห็นทราย อยู่ในพื้นน้ำนั้นได้ชัดเจน ถ้าหากน้ำไม่นิ่งถูกลมพัดอยู่ น้ำนั้นเป็นฟอง เป็นคลื่นอยู่ กระเพื่อมอยู่ตลอด ไม่สงบ น้ำไม่สงบ เราก็ไม่สามารถที่จะมองเห็นหอย เห็นปู เห็นปลาอะไร และก้อนกรวดทั้งหลายอยู่ในน้ำ เพราะมันไม่สงบ น้ำไม่สงบ ลมพัดอยู่ จิตใจที่ไม่สงบก็ฉันนั้นเหมือนกัน ถ้าจิตใจสงบ ก็เหมือนน้ำมันสงบ มันนิ่ง ก็สามารถที่จะเห็นสิ่งต่างๆอยู่ใต้น้ำได้ชัดเจน 

ฉันใดก็ดีถ้าจิตใจของพวกเรานั้น ถ้าหากว่าจิตไม่สงบ เราก็มองไม่เห็นความโลภ ความโกรธ อยู่ในใจของพวกเรา แล้วความทุกข์เกิดขึ้นในใจก็ไม่รู้ มีแต่ความวุ่นวายเท่านั้นเพราะจิตไม่สงบ ถ้าจิตของพวกเราสงบเป็นสมาธินิ่งอยู่ เราก็สามารถที่จะเห็นว่าจิตของเรานี่มีทุกข์หรือมีสุข หรืออยู่ในอารมณ์อะไร เราก็เข้าใจได้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน 

นี่การฝึกฝนอบรมจิตใจอย่างสั้นๆ เพื่อให้พวกเราได้พากันนำพาไปปฏิบัติในปัจจุบันธรรม ในชีวิตประจำวัน น้อมนำธรรมะไปประกอบกับกิจการงานและชีวิตประจำวัน เพื่อจะให้จิตใจของเรานั้น รับรสของธรรมะดื่มด่ำในธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นคู่กันไปกับกิจการงานต่างๆ แล้วจะให้จิตใจของเราสงบ จิตใจของเราว่างจากความยุ่งเหยิง จิตใจก็จะมาสงบระงับเป็นสมาธิ มีความสุขเกิดขึ้นมาได้ด้วยการมีความพากเพียรพยายาม เพราะการนั่งทำสมาธินี้ เราต้องขยันหมั่นเพียร ไหว้พระสวดมนต์เสร็จก็นั่งทำสมาธิ ได้สติสัมปะชัญญะประคองจิตของตน ให้อยู่กับข้อธรรมกรรมฐาน ทั้งเช้าและทั้งค่ำ ตอนว่างมีเวลาไหนก็ต้องทำ เพราะเราจะฝึกจิตของเรานั้นให้สงบ 

เมื่อจิตสงบแล้วเราจึงจะมาแก้ไขเรื่องความโลภ ความโกรธออกจากใจของเรา ให้เบาบางลงไป ให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขเกิดขึ้น จึงได้พากันทำสมาธิ ทำไมเราจึงฝึกฝนอบรมจิตใจของพวกเรา ก็เพราะจิตใจของพวกเรานั้นถ้ามันทุกข์แล้ว มันไม่ดีไม่งามแล้ว มันคิดไปในทางที่ต่ำที่สุด บุคคลที่จิตใจไม่ดีนี่เอง เค้าทำบาปความชั่วอยู่ในปัจจุบันนี้ เพราะจิตเค้ามีความทุกข์ จิตเค้ามีบาปมีความชั่วอยู่ เค้าจึงพาทำบาปความชั่ว ทำให้วุ่นวายอยู่ บ้านเมืองไม่สงบ ไม่มีศีลธรรมประจำใจของเค้า จิตใจของเค้าไม่สงบแล้ว ก็ทำให้เกิดความสับสนวุ่นวาย ความเดือดร้อนเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า และทุกแห่งหนตำบลบ้านใดเมืองใดประเทศใดที่ไหน คนไร้ศีลธรรมนำแต่ความทุกข์ความเดือดร้อนเกิดขึ้นในสถานที่นั่น ไปอยู่ที่ใดก็ดี นี่มันเป็นอย่างนี้ เพราะจิตใจของเขาไม่ดีนั่นเอง เค้าจึงทำบาปความชั่ว ทำให้มีความทุกข์เดือดร้อนเกิดขึ้นอยู่ทุกบ้านทุกเมืองแห่งหนตำบลใดที่ไหน เกิดความวุ่นวายอยู่ที่นั่น เพราะคนไม่มีศีลธรรม 

บัดนี้พวกเรามาพิจารณาดูว่า ถ้าหากเราเป็นผู้มีศีลธรรมมันก็ทำให้มีความสงบ เพราะศีลมันเป็นของปกติ เพราะเราละความชั่วออกไป มันมีแต่ความดี และมีแต่ความดีมันก็มีแต่ความสุขเกิดขึ้น มันเป็นอย่างนี้เราก็ควรที่จะรู้ว่าเมื่อฝึกจิตใจของเรานั้น มันดีแล้ว มันมีความสุขแล้ว มันก็ทำอะไรก็ทำให้มีแต่ความสุข พูดอะไรก็มีแต่เป็นประโยชน์ คิดอะไรก็คิดให้มีแต่ความสุขทั้งตนและบุคคลอื่น 

เหมือนพวกเราสวด สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายอย่างนี้น่ะ เกิดขึ้นมาเป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น ถ้าหากเราจะอยู่ด้วยกัน ว่าเกิดเป็นเพื่อนร่วมทุกข์กัน เราก็ไม่ควรเบียดเบียนกัน ไม่อิจฉาพยาบาทอาฆาตจองเวรกันอยู่ภายในจิตใจของพวกเรา เราก็มีแต่เมตตาอารี อยากให้คนอื่นมีความสุข ตนเองก็อยากมีความสุขเกิดขึ้นเช่นนี้ มันก็เรียกว่าบุคคลคิดดี จิตก็มีความสุขอยู่กับความเมตตา ดื่มด่ำน้ำธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ เอาฝังไว้ในใจของตน ใจนั้นรับรสอารมณ์คือความสุข มีอาหารกินคือความสุขใจ ใจมีอาหารเรียกว่าวิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่ของใจ ใจที่มีธรรมะนี้เอง ใจที่มีความสุข 

ใจที่มีความสุขมันก็สั่งงานให้พูดตั้งแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่จะนำความสุขมาให้ ใจที่มีความสุขเค้าก็สั่งงานให้แต่รูปร่างกายทำแต่คุณงามความดี ฉะนั้นมันสั่งงานพวกเราให้เรามาทอดผ้าป่าก็ดี ถวายเทียนพรรษา ผ้าอาบน้ำฝนก็ดี ปัจจัยไทยธรรมทั้งหลาย ก็มาจากจิตใจของพวกเรานั่นเองเป็นผู้มีศรัทธา มีบุญ มีกุศลเกิดขึ้นเสียก่อน เราจึงได้หาวัตถุทั้งหลายเหล่านี้มาบริจาคทาน ก็เพราะใจของเราดีนั่นเอง ใจของเรามีบุญมีกุศลนั่นเอง นี่เราเห็นชัด เค้าสั่งงาน ก็เลยมาพูดคุยกัน ชักชวนกันมาทำบุญทำกุศล กราบไหว้ครูบาอาจารย์สถานที่โน่นที่นี่ และได้ถวายสิ่งของเพื่อให้เป็นประโยชน์ในชีวิตของตน ได้เป็นบุญเป็นกุศลเกิดขึ้น ชีวิตก็เลยมีคุณค่าสูง มีประโยชน์มากเกิดขึ้นอย่างนี้ นี่มันเกิดขึ้นมาจากจิตใจถ้าเราฝึกจิตใจของเราเป็นบุญเป็นกุศลมีความสุข เมื่อจิตมีความสุขแล้ว พูดก็ดี ทำก็ดี ได้ฝ่ายในเป็นสุจริตธรรมเป็นกุศลกรรมเกิดขึ้น เราก็เห็นชัด คนใจดีเค้าพูดเค้าก็พูดดี ทำก็ทำดี 

นี้แหละเมื่อฝึกฝนอบรมใจดีแล้ว บุคคลก็จะมีคุณค่าสูง สร้างสมแต่บุญบารมี สร้างแต่คุณงามความดี สร้างแต่ความบริสุทธิ์เป็นมนุษย์ว่าเป็นผู้มีจิตสูงกว่าสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย จึงพากันแสวงหาตั้งแต่คุณงามความดีเอาไว้เป็นเครื่องประดับตน ถ้าบุคคลมีทาน มีศีล มีภาวนาเป็นเครื่องประดับตนแล้ว บุคคลนั้นย่อมสวยสง่างามเพราะมีคุณธรรม มีจริยธรรม ประจำตัวของบุคคลนั้นอยู่ ทุกคนก็ย่อมรู้ย่อมอยากได้อย่างนี้ 

ถ้าเราอยากได้อย่างนี้มีเครื่องประดับที่ดีที่สวยสดงดงามอย่างนี้ เราก็พากันขวนขวาย สร้างสมอบรม เอาไว้ตามมักมาหาได้ของตน เหมือนทุกท่านทุกคนพากันทำนี่เอง ควรพยายามที่จะอบรมฝึกฝนจิตใจของพวกเรานี่แหละ เพราะต้นเหตุมันอยู่ที่จิตใจ เขาจะรักษาศีล เค้าก็อยู่ ใจเค้าอยากมีศีล เค้าจะบริจาคทานก็เพราะใจเค้าอยากบริจาค ทำทานการกุศลเอาไว้ ออกมาจากจิตใจหมด จึงไปฝึกที่ต้นเข้า รากเหง้าเค้ามูลของกุศลทั้งหลายอยู่ที่ใจ 

เหตุฉะนั้นเมื่อหากพวกเรามาฝึกฝนอบรมจิตใจแล้ว จะยืน เดิน นั่ง นอนอยู่ที่ไหน นั่งรถ นั่งเรือไป ดูจิตใจของตนเองอยู่เรื่อยๆ เรื่อยๆนั่นแหละ ถ้าเกิดมันคิดไม่ดีไม่งาม มันคิดทุกข์ขึ้นมา ก็รีบหาวิธีละ วิธีปล่อย วิธีวาง ทิ้งออกไป ถ้ามันจะสั่งให้พูดไม่ดีไม่งามก็พยายามหาวิธีเสียสละละทิ้งคำพูดที่ไม่ดีนั้นออกไป ถ้ามันกำลังทำไม่ดีไม่งามเกิดขึ้น ก็รีบหาวิธีเสียสละ ละออกไป อย่าไปทำสิ่งที่ไม่ดีไม่งามนั้น เนี่ยเราเป็นผู้มีสติสัมปะชัญญะตรวจตราดูตนเอง พัฒนาตนเองแก้ไขปรับปรุงตนเองเพื่อจะให้ดีขึ้น 

แต่คนเราทุกคนนี้ไม่ใช่จะดีมาแต่เกิด พอเรามาฝึกฝนอบรม มาแก้ไข มาพัฒนา มาปรับปรุง สร้างสมคุณงามความดีเกิดขึ้น เพิ่มเติมเกิดขึ้นใหม่ในทีหลัง ความชั่วทั้งหลายที่เคยทำมาก็ละปล่อยวางทิ้งไป สร้างแต่คุณงามความดีเอามาแทนที่ไว้ ใจมันก็เลยมีความสุขว่ามองเห็นตั้งแต่คุณงามความดีที่ตนเองสร้างเอาไว้ นี่! พวกเราควรสร้างอย่างนั้น สร้างแต่ความดี 

วันนี้เราก็สร้างความดีนี่แหละ ให้ถวายทานแล้วรับศีลแล้ว ได้ฟังเทศน์ฟังธรรมนั่งเจริญเมตตาภาวนา มีแต่คุณงามความดีทั้งนั้น ควรปลื้มปีติยินดีในชีวิตของพวกเรา แล้วพวกเราจะมาจากกรุงเทพมหานครก็ดี หรือต่างจังหวัดที่ไหนไกลแสนไกล แสวงหาคุณงามความดีเป็นเครื่องประดับตนเอาไว้ บุคคลมีคุณงามความดีเป็นเครื่องประดับตนก็เรียกว่าบุคคลมีที่พึ่ง เหมือนบุคคลที่มีสตางค์ 

ส่วนบุคคลไม่ได้สร้างสมอบรมบุญบารมีอะไร ไม่ได้ทำบุญทำทานการกุศล รักษาศีลเจริญภาวนาอะไร ไม่ปรับปรุงพัฒนาจิตใจของตน ทำแต่บาปความชั่ว พูดแต่ชั่ว คิดก็คิดแต่ในทางที่ชั่วที่ต่ำ ชีวิตของบุคคลทั้งหลายเหล่านั้น ความชั่วทั้งหลายจะนำไปสู่ความทุกข์ ความหายนะ ความเสื่อมโทรม เสียภพชาติที่เกิดขึ้นมาเปล่าประโยชน์ ตายจากคุณงามความดี สิ่งที่พอจะได้เป็นคุณงามความดีก็ไม่ได้ไม่ถึง เพราะตนเองไปทำชั่วเสียหาย ทำลายชีวิตของตนเองให้เปล่าประโยชน์ ไม่ได้อะไรเกิดขึ้น เหมือนกับลิงหรือไก่เค้าเห็นเพชร ลิงมันเห็นเพชร มันเล่นไปเฉยๆไม่รู้จักคุณค่าของเพชรก็ทิ้ง ขว้างทิ้งไป ไก่ก็เหมือนกัน มันคาบเพชร ก้อนเพชรคาบเล่นไปเล่นมา อยู่เฉยๆ ไม่รู้คุณค่าก็วางทิ้งไปก็เปล่าประโยชน์ 

ฉันใดก็ดี คนเกิดขึ้นมาแล้วมีรูปร่างกายแล้ว ไม่สร้างสมอบรมคุณงามความดี ทำแต่บาปความชั่ว ชีวิตนั้นก็ไร้ประโยชน์ เปล่าประโยชน์ ไม่ได้คุณงามความดีอะไร ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ส่วนบุคคลสร้างคุณงามความดีมีการทำทาน การกุศล รักษาศีล เจริญภาวนา ฝึกฝนอบรมจิตใจของตนอยู่ บุคคลเหล่านี้ก็เหมือนได้รูปร่างกายมาแล้ว แต่สร้างคุณงามความดีทั้งนั้น มีการพูดก็พูดดี มีจิตใจก็คิดแต่ดี สร้างสมอบรมแต่บุญบารมีเอาไว้ ร่างกายของเรานี่ก็เหมือนกับก้อนเพชร รู้จักคุณค่าของเพชร ถ้าเพชรนี้มันมีราคาแพง ขายได้เงินได้ทอง เอามาไว้ใช้ไว้จ่ายได้ ร่างกายของพวกเราก็เหมือนกัน เอามาสร้างคุณงามความดีให้มันมีคุณค่าสูงเกิดขึ้นเหมือนพวกเรา ควรแล้วที่พวกเราควรปลื้มปีติยินดีในชีวิตของตนด้วยกันทุกท่านทุกคนที่นั่งฟังเทศน์อยู่นี้ 

ชีวิตของเรามีคุณค่าสูงเหมือนกับเพชรมีราคาแพง สร้างสมอบรมบารมีเอาไว้ ก็เหมือนบุคคลมีสตางค์ มีทรัพย์สมบัติ มีเต็มกระเป๋าอยู่แล้ว ก็มีความอบอุ่นใจว่าตัวเองนี่มีเงิน ใช้จ่ายสะดวกสบายก็มีความสุข ถ้ามองดูเห็นคุณงามความดีของตน สร้างสมอบรมเอาไว้ จะเกิดชาติใดภพใดเราก็ไม่ต้องหวั่นไหว ว่าเราจะทุกข์ยากลำบาก นี่เราไม่ต้องหวั่นไหว เพราะเรามีบุญกุศลเป็นเครื่องประดับจิตใจของตนเอาไว้แล้ว 

พระพุทธองค์จึงทรงสั่งสอนเอาไว้ว่า เครื่องประดับของพระราชามหากษัตราธิราชก็ดี จะเป็นเครื่องประดับประดาหลายสิ่งหลายอย่าง แก้วแหวนเพชรนิลจินดา เครื่องทรงต่างๆ ว่าสวย ว่าสดว่างดงามเต็มตนเต็มตัวก็ตาม แต่ยังไม่สวยงามเท่าบุคคลที่มีศีล สมาธิ ปัญญา บริจาคทานการกุศลเอาไว้ เครื่องประดับนี้สวยสดงดงามมาก ถ้าหากบุคคลใดสร้างเอาไว้แล้ว พวกเราท่านสาธุชนทั้งหลายควรที่จะรู้อย่างนี้ คนมีทาน มีศีล มีภาวนาเป็นเครื่องประดับ มีปัญญารู้ดีรู้ชั่วเป็นเครื่องประดับ รอบรู้ในกองสังขารทั้งหลาย เป็นเครื่องประดับตนแล้ว ก็ทำให้บุคคลนั้นอยู่โดยมีความผาสุข ไปยืน เดิน นั่ง นอนอยู่ที่ไหน ก็จะทำให้ตนเองนี่มีความสุข เพราะตนเองมีเครื่องประดับดีอยู่แล้ว มีอาหารกินอยู่แล้ว เรียกว่าเหมือนเรามีวัตถุพร้อมอยู่แล้ว มีเงินพร้อมอยู่แล้วที่จะไปที่โน่นที่นี่ใช้จ่ายได้อย่างสะดวกสบาย นี่เรียกว่าคนมีบุญเป็นที่พึ่งของตน 

พวกเราท่านสาธุชนทั้งหลาย การบรรยายธรรมตั้งแต่เรื่องการบริจาคทานและเป็นบุญชนิดหนึ่ง รักษาศีลเป็นบุญชนิดหนึ่ง กำจัดกิเลสตามขั้นตอน พากันฟัง เจริญเมตตาภาวนาฝึกฝนอบรมจิตใจของตน ยืน เดิน นั่ง นอน อยู่ที่ไหนใช้สติปัญญาตรวจตราดูจิตใจของตนเองอยู่ ถ้ามันเศร้าหมองก็ละทิ้งไป เอาคุณงามความดีมาไว้ในใจของตนเป็นที่พึ่ง ให้ใจมีความสุขดื่มด่ำอยู่ในรสพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ เราก็ได้ที่พึ่ง เรียกว่ามีความสุข เหตุฉะนั้นการบรรยายธรรมมาแต่ต้นจนอวสานนี้ ดังภาษิตที่อาตมาได้ลิขิตในเบื้องต้นนั้นว่า ปุญญานิ ปรโลกัสมิง ปติฏฐา โหนติ ปาณินังติ บุญย่อมเป็นที่พึ่งอาศัยของสัตว์ในโลกหน้าได้ฉะนั้นแล เหตุฉะนั้นก็ขออำนวยพรให้สาธุชนทั้งหลาย เมื่อได้ยินได้ฟังแล้ว ควรกำหนดจดจำข้อธรรมดังได้บรรยายมานี้ น้อมนำไปประพฤติปฏิบัติ ฝึกหัดกายวาจาใจของตน ผลออกมาก็จะได้รับความสุขความเจริญเกิดขึ้น ก็ขอให้ทุกท่านเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปรารถนาในสิ่งใดไว้ในใจก็ให้ได้สำเร็จในความมุ่งมาดปรารถนาด้วยกันทุกท่านทุกคนเทอญ ก็ขอยุติการบรรยายธรรมไว้เพียงแค่นี้ เอวังก็มีด้วยประการะฉะนี้