Skip to content

ศรัทธากับปัญญา

หลวงพ่อชา สุภัทโท

| PDF | YouTube | AnyFlip |

เอ้า ให้ญาติโยมทุกคนทั้งเจ้าถิ่นทั้งอาคันตุกะที่มาสู่ วันนี้เป็นวันที่สองแล้ว เป็นคืนที่สอง ญาติโยมทางชาวกรุงเทพมหานครมาบำเพ็ญกุศลสมทบกับญาติโยมที่วัดหนองป่าพง อันนี้เป็นวันสุดท้าย อาตมาเลยถือเอาสิ่งที่เป็นมงคลคือรูปแจกเพื่อเป็นอนุสรณ์ในการไปมาของพวกท่านทั้งหลาย พระพุทธรูปองค์เล็กที่ยืนอยู่ก็เป็นพระของ น.อ. ณรงค์ ดิถีเพ็ง ท่านสร้างเมื่อเวลาที่ท่านออกอุปสมบท ไปอยู่วัดท่านอาจารย์ฝั้น แล้วท่านก็มาขอเส้นผม ในเวลาวันพระที่โกนผม ท่านมาขอ เอาไปผสมกับอะไรไม่รู้ ท่านก็ปั้นเป็นรูปพระแล้วให้ลูกศิษย์ทหารอากาศสร้าง ท่านไม่เอาไว้ที่ไหน ท่านก็เก็บมาถวายไว้ที่วัดหนองป่าพง สั่งว่า กระผมสร้างพระนี้ เห็นว่าหลวงพ่อนั่นไม่ยอมสร้างเหรียญ กระผมถึงเห็นประโยชน์ จึงได้ให้ลูกศิษย์ปั้นพระเล็กๆยืน เพราะว่าพระประธานในวัดหนองป่าพงนี้ก็เป็นพระประธานยืน แต่ว่ายืนอธิบายจับชี้แจงสองมือ ไม่ใช่มือเดียวอย่างนี้ ทำเป็นสองมืออย่างนี้ แต่เป็นพระปางปฐมเทศนา 

ได้มีคนถามมาว่า หลวงพ่อ พระปางปฐมเทศนานี้ท่านอธิบายมือเดียวอ้ะ อันนี้ทำไมมีสองมือ อาตมาตอบเค้าว่า คนในเวลานี้มันไม่ค่อยได้ยิน มันหนาหลาย ต้องทำสองมือ มันถึงเข้าใจ คนแต่ก่อนนั้น พระพุทธเจ้าเทศน์ในอาสนะนั้น ก็เป็นโสดา สกิทา อนาคา ไปมาก ท่านเน้นมือเดียวก็พอแล้ว ทุกวันนี้ลูกหลานประชาชนมันคงจะหนาไปมั้ง เลยเน้นสองมือไปเสีย เพื่อจะได้รู้สึกซักหน่อยหนึ่ง วันนี้ก็เลยเก็บไว้เพื่อมาฝากพุทธบริษัททั้งหลาย 

พระนี้ก็เหมือนมีดเล่มนึง มันคมๆ มีดคมๆเล่มเนี้ย ถ้าหากว่าเราเอาไปใช้ประโยชน์ มันก็เป็นประโยชน์มาก ถ้าเราเอาไปใช้ ไม่รู้จักประโยชน์ของมีด มันก็ไม่เกิดประโยชน์ พระนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น เรานับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งเป็นชาวพุทธเราทั้งหลายนั้น ไม่หมายถึงว่าให้พระมาคุ้มครองเรา ให้เราคุ้มครองพระ โดยมากคนไม่อยากปฏิบัติตามพระ ได้พระไปแล้ว ก็ให้พระมาคุ้มครองเรา อันนี้คิดใหม่ ท่านจะคุ้มครองเรา ก็เรียกว่าเราปฏิบัติตามคำสอนของท่าน คือคำสอนของท่านน่ะมันถูกแล้ว ไม่ต้องแก้ไขแล้ว มันถูกต้องดีแล้วทุกอย่างทุกประการ ที่ถูกต้องนั่นแหละเป็นคำสอนของพระ ถ้าเราทำกาย ทำวาจา ทำใจของเราให้ถูกต้องแล้ว ก็ไม่มีทางที่แก้ไข ก็มันหมดเท่านั้นแหละ นี้เรียกว่าเราเข้าใจเช่นนั้น 

เราเอาพระไปบูชา ไปแขวนไว้ที่คอนะ ไอ้เมื่อความไม่สบายกาย ไม่สบายใจมาถึงก็ อันนี้หลวงพ่อนะ คลำดูเห็นหลวงพ่อแขวนอยู่นี่ อืม อันนี้มันเป็นอย่างนั้นนะ อย่างนี้ ไม่ใช่ว่าหลวงพ่อคุ้มครองเราแล้ว เราจะไปทำอะไรก็ได้ จะไปกินเหล้าก็ได้ จะไปเป็นนักเลงก็ได้ จะไปเป็นอะไรก็ได้นะ หลวงพ่อคุ้มครองเราอยู่ ไม่กลัวแล้ว ไม่ใช่อย่างนั้นน่ะ คือประดับความดีของเรา เช่นว่าเราเข้ามาในวัด เข้ามาในวัดถ้าเราเดินมาแต่ตัวเปล่า ก็ไม่ค่อยปรากฏกับหูกับตาคน คนที่เข้ามาวัดนี่บางทีก็ถือธูปมา แล้วก็มีเทียนมา แล้วก็มีอะไรต่างๆมา แสดงว่าคนนี้มีศรัทธาจะไปวัด ถ้าเดินเข้ามาเฉยๆก็ไม่ค่อยจะรู้ อันนี้ให้ปรากฏแก่ตามนุษย์ทั้งหลายด้วย เป็นเครื่องหมาย 

พระพุทธรูปนี่ก็เหมือนกันฉันนั้น พระพุทธรูปนี่เกิดทีหลังพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านิพพานไปหลายร้อยปีเหมือนกัน ทีนี้มีคนที่มีปัญญาคิดถึงพระพุทธเจ้า จะทำไงดีน้อ ก็เลยคิดปั้นพระพุทธรูปขึ้นมา ดังนั้นคนมาปั้นขึ้นมาเช่นนี้อย่างนั้น พระพุทธรูปจึงเหมือนกัน ไอ้พวกจีนก็เป็นรูปหนึ่ง ก็เชียงใหม่ก็เป็นรูปหนึ่ง ญี่ปุ่นก็เป็นรูปหนึ่ง แต่ก็ยังไงก็ตามเถอะ ใครๆก็ปั้นเป็นรูปพระนั่นเองน่ะ แต่ว่ามันไม่เหมือนกัน เหมือนกันที่ว่าพระ ฉะนั้นเราผู้เป็นพุทธบริษัทนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ก็มีพระไว้ประจำตัว เป็นวัตถุเพื่อจะให้มองเห็นด้วยตาเช่นนั้น เหมือนกับหูของเรานั่นแหละ รู้จักว่ามันผิดอยู่ แต่ว่าไม่มีใครพูดให้ฟัง มันก็ไม่สะกิดใจเรา ถ้ามีใครเตือนไว้ว่าไอ้ตรงนั้นมันผิดนะลูกนะ ตรงนั้นมันผิดนะอย่างนี้ เราก็มีสติขึ้นมา อันนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น เราเอารูปพระไปแขวนคอนะ ไปแขวนคอ ก็เพื่อให้เรามีสติอย่างนั้น 

วันหนึ่งอาตมา ผู้กำกับนิมนต์ไปสถานีตำรวจ ไปทำบุญกัน ทำบุญแล้วท่านก็ว่า “หลวงพ่อ นิมนต์สาดน้ำมนต์ให้เป็นสิริมงคลด้วย” ที่เค้าหามาแล้ว อาตมาก็สาดไป เค้าบอกว่า “หลวงพ่อนิมนต์มาทางนี้ด้วย มาสาดให้พวกนี้ด้วย” อาตมาก็เดินไป ไม่รู้จักว่าที่คุมขังของเขาว่า “เอ้ยๆ ไอ้พวกเนี้ย มาลุกมานี่ หลวงพ่อมาแล้ว สาดน้ำมนต์” เสียงหลวงพ่อมันโดนกันดังสัวะเสียะๆ มันก็เฮโรอีนทั้งนั้น จิ๊กโก๋ทั้งนั้นแหละ อาตมาก็จะทำยังไงหนอ นี่คือมันไม่เข้าใจ ไปทำความชั่วอยู่ ก็เป็นเช่นนั้น แต่พระมันแขวนอยู่ในคอ มันไม่รู้สึกตัวเพราะมันไม่เข้าใจพระ 

ถ้าเข้าใจพระ อันใดท่านห้าม มันผิดแล้วก็เลิกเท่านั้น มันจะมีอะไรกัน มันก็ไม่มีอะไรกันแล้ว ดังนั้นจึงเป็นอนุสติที่เราจะระลึก ที่เรียกพระวันนี้ ไม่ใช่ว่าพระคงกระพัน หยาบมันเหนียว มันอะไรหลายอย่าง เพื่อน้อมจิตของเราไปบูชาพระ ให้ใจเรามันเป็นพระ พระนี้ก็หมายความว่าผู้ที่รับพิษภัยต่างๆ ให้เป็นคนที่เยือกเย็น จิตตั้งมั่นในการละความชั่ว ประพฤติความดีอยู่ทุกเวลาที่เป็นพระ ที่แจกพระให้ญาติโยมทั้งหลายวันนี้ บางคนก็คงดีใจมาก บางคนก็สงสัยอะไรหลายๆอย่าง ไอ้คนก็เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นอย่างไรก็ตามเถอะ พ่อแม่ของเราที่ท่านเสียไปแล้ว เราเหลือรูปพ่อแม่เราไปบูชาก็ดีใจ ไม่ใช่ตัวจริงของท่านก็จริง แต่เป็นรูปของท่าน เราก็สบายใจที่เรามองเห็นแล้ว ถ้าเรานับถือว่าพ่อแม่เป็นพ่อแม่ของเรา อันนี้เหมือนกันฉันนั้น จึงเป็นอนุสติที่เป็นเหตุให้พวกเราทั้งหลายระลึกถึงได้ 

อันนั้นอาตมาก็ไม่มีอะไรที่จะแจกนอกจากแจกธรรมะให้ฟัง ธรรมะนั่นก็คือเน้นให้ความเข้าใจ ความผิดความถูก ในชีวิตมนุษย์ทั้งหลายที่เกิดมา อาตมาก็ดำรงสอนลูกศิษย์ลูกหามาหลายสิบปีแล้วจนถึงบัดนี้ โยมทั้งหลายก็คงจะได้ดูๆหรอกว่า พระวัดหนองป่าพงเนี่ยโดยมากหลวงตาน้อย ไม่ค่อยมาก ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เป็นเพราะว่าปฏิบัติตรงตามพระพุทธเจ้า คนแก่นั้นเดินตามไม่ค่อยไหว แต่คนที่ตัดสินใจว่า เอ้า ตายมันเป็นตายเสีย แก่มันก็ตาย หนุ่มมันก็ตาย ขอมามอบกายถวายชีวิตอย่างนั้นก็มี แต่ว่ามีน้อย 

ปฏิปทาของวัดนี้ อาตมาจะให้เป็นเหมือนๆกัน คนเราทั้งหลายนั้น ศาสนาที่จะเสื่อมหรือคนที่จะทะเลากันนั้น ก็เพราะไม่มีอื่น เพราะความเห็นไม่เข้าใจกัน ไม่ถูกกัน ในครั้งพระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน ที่จะเกิดเหตุอะไรต่างๆขึ้นมา คณะสงฆ์จะแตกกันนั้นก็เพราะความอยากเอกลาภ (หมายถึง อติเรกลาภ ในหลักธรรมวินัยหมายถึง ปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิตที่พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้บริโภคใช้สอยได้เพิ่มขึ้นจากที่กำหนดไว้เดิม ) เกิดขึ้นมามาก เกิดมาขึ้นมาหลาย อย่างอาตมานี้ได้เป็นสมภารวัด บวชก่อนเค้า โยมก็ชอบถวายของมากๆ ขนมก้อนใหญ่ๆโตๆ ก็ชอบถวายอาตมา อะไรดีๆก็ถวายอาตมานั่นแหละ มนุษย์เราก็ชอบเป็นอย่างนั้น ถ้าอาตมานี้ไม่เป็นพระ ก็เก็บไว้คนเดียวเท่านั้นแหละ หมด ท้ายแถวมันก็หิวเท่านั้นแหละ เหมือนคนจนกับคนรวยนั่นแหละ ไอ้คนจนนี่มันก็มันจน มันไม่รวย ไอ้คนรวยมันก็ไม่แบ่ง เดี๋ยวก็ชวนกันไปปล้นน่ะ มันไม่แบ่ง มันไม่มีกิน จะทำยังไง มันเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าแต่มนุษย์ด้วย แม้สุนัขเราก็เหมือนกัน ลองดูสิ ให้มันกินตัวเดียว ดูซิ มีมั้ย สุนัขที่บ้านเราเคยมีมั้ย มีสุนัขสองตัว สามตัวมั้ย เอาให้มันกินตัวเดียวดูสิ ลองดูสิ มันจะกระโดดขยำกันตรงนั้นแหละ อันนี้ก็เหมือนกัน นั่นธรรมชาติมันเหมือนกันอย่างนั้น 

ฉะนั้นที่วัดนี้หรือสาขาออกจากวัดนี้ พยายามให้สอนว่า เอกลาภทั้งหลายที่มันเกิดทั้งหลายในที่นี้ เช่นว่า โยม ก นิมนต์ไปสวดมนต์เย็น ๙ องค์ อย่างนี้อาตมาก็จัดไป ๙ องค์ ที่จัดไป ๙องค์นั้น ทายกก็จะถวายเอกลาภมา องค์ละชิ้นๆๆ เมื่อมาถึงวัดแล้ว ทั้ง ๙ องค์ ทิ้งไว้ตรงนั้นเลย ไม่มีของเจ้าของแล้วที่นี่ ทิ้งไว้กองกลางนั้นแหละ ประกาศว่าใครไม่มี ใครขาดแคลนอะไรมั้ย นิมนต์ จะได้ไปสวดมนต์หรือไม่สวดมนต์ก็ไม่ว่าอะไร เอาวางไว้ตรงนั้น 

ถ้าพูดถึงสิ่งที่มันหนักๆเข้าไปเช่นว่า เงินหรือทองนี้ อย่างที่โยมเอาถวายนี้ ก็ไม่ใช่ของพระ พระเณรในวัดเนี้ย ในย่ามไม่มีซักสตางค์อ้ะ ทุกองค์ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น อาตมาเชื่อพระพุทธเจ้า ยังไม่กี่ปีมาแล้ว แต่ก่อนไม่เชื่อท่านน่ะ อย่างเงินทองญาติโยมถวายมา ทำไมมันบาป ทำไมมันผิด นี่ คิดว่าพระพุทธเจ้าท่านหลง ไอ้ความเป็นจริงนั้นก็ เมื่อได้ออกมาประพฤติปฏิบัติแล้วก็รู้เรื่องว่า เอ้อ เงินทองนี่เป็นของฆราวาส ไม่ใช่เป็นของพระ ถ้าพระมาร่ำมารวยอย่างฆราวาสนั้น ก็แยกกันเท่านั้นแหละ มันแยกกันต่างคนก็ต่างอยู่ ต่างคนก็ต่างก็มีเงินมีทอง พูดไม่ฟังเสียงใคร เป็นก๊กเป็นเหล่า หลวงพ่อคณะเหนือ หลวงพ่อคณะใต้ หลวงพ่อคณะตะวันออก หลวงพ่อคณะตะวันตก โยมก็เป็นสามกลุ่ม สี่กลุ่มเท่ากัน ใครชอบตะวันออกก็ไปตะวันออก ใครชอบตะวันตกก็ไปตะวันตก ก็เป็นพระกูพระมึงเข้าไปเสียแล้ว เสียหายหมดเพราะอันนี้เอง 

วันนี้อาตมาจึงสอนลูกศิษย์ลูกหานั่น ไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น ที่มันเหลือมีอยู่นั้นก็มาบอก ผมเป็นคนปวารณา เป็นคนปวารณา จะไปที่ไหน มีประโยชน์มั้ย ไปอุบล ไปทำไม ไปเล่น ไม่รับรู้ถ้าไปเล่น ไปพยาบาล ไปพยาบาลหารถให้อะไรให้ ถ้าไปไม่มีประโยชน์แล้วก็ไม่รับรู้ ไปเล่นอย่างนี้ไม่รู้ เล่นมันเด็กน่ะก็มันเล่น ผู้ใหญ่มันต้องหยุดเล่นกันแล้ว พระสงฆ์นี่พูดความเป็นจริง นิมนต์ไปไหนเจ้าค่า ไปเล่น เท่านี้ก็เป็นอาบัติแล้ว พระนี้ไม่ใช่พระเล่น ไม่ใช่เณรเล่น ไม่ใช่บวชมาเล่น ถ้าญาติโยมถามว่า หลวงตาไปไหน ไปเล่น นี่ผิดแล้ว มันขนาดอย่างนี้ แต่ว่าทุกวันนี้มันเสื่อมโทรมไปเพราะเอกลาภ ลาภหนึ่ง ยศหนึ่ง ถ้ามีลาภมียศสรรเสริญก็ชู เกิดขึ้นมาอีก ก็ลืมเนื้อลืมตัวไปเสีย อย่างนี้ ก็ต่างคนก็ต่างแย่งเอกลาภกันเท่านั้นแหละ ไอ้ความเป็นจริงที่เราบวชมาในพุทธศาสนา ไม่จำเป็นจะไปตามของอย่างนั้น ทำให้มันดีๆกว่านั้นดีกว่า 

ยกตัวอย่างเช่นโบสถ์วัดป่าพงเรานะ ลูกศิษย์หลายคนเลยมาอ้อนวอนให้อาตมา ทำเหรียญ บางคนโกรธด้วย ทำใบอนุโมทนาบัตร เซ็นชื่ออาตมาใส่ไปนั้น จะไปหาเงิน อาตมาว่า ไม่ได้อ้ะ เลยไม่ยอม ไม่ยอมให้ทำเหรียญ ถ้ามันมีในหนังสือพิมพ์บางครั้งก็ มันขโมยทำกัน ไอ้คนที่มาถ่ายรูปไป เอารูปไป ไปทำบล็อค อะไรต่ออะไร อาตมาก็ไม่รู้เรื่อง แต่มันก็ไปไม่ไหวหรอก มันขโมยทำไป อย่างนี้อาตมาก็ไม่ส่งเสริม 

อาตมาคิดว่าโบสถ์หลังนี้ คนจะสร้างโบสถ์นั้น จะสร้างเพื่อเอาเหรียญหรือเปล่าก็ไม่รู้ มีเหรียญที่จะสร้างกันดียังไง ไอ้ว่าคนมนุษย์จิตสูงๆน่ะมีหรือเปล่าทุกวันนี้ ที่ว่าไม่ต้องการเหรียญ ต้องการบุญจริงนั้นมีหรือเปล่า อาตมาก็ทดลองดูซิ อยากจะดูประชาชน พุทธบริษัทเราทั้งหลายว่าเมืองในเมืองนอกมีมั้ย ใครว่ายังไงก็ช่างเถอะ อาตมาไม่ฟังเสียง อาตมาจะทำอย่างเนี้ย โบสถ์หลังนี้จะให้มันเสร็จก็ให้มันเสร็จไป มันจะไม่เสร็จก็ไม่ให้ มันเสร็จไปเหอะ ทำวันนี้มันก็เสร็จวันนี้ ทำพรุ่งนี้มันก็เสร็จพรุ่งนี้ ถืออย่างนั้น ก็เลยทำกันไป โยมว่ามีงบประมาณเท่าไหร่ไม่รู้ มันเสร็จนั่นน่ะโยม งบประมาณมัน ก็เลยทำมาเรื่อยๆ มาอย่างเนี้ย ก็ยังมีคนดีหลายคน มีคนดีมาก ที่จะสร้างบุญเพื่อเอาบุญจริงๆน่ะมีมาก ตรงเนี้ย ไม่ได้ไปเรี่ยไรใคร ไม่ได้ไปบอกบุญใคร ที่ไหนก็ไม่ได้ไป โบสถ์บางแห่งอาตมาว่า เมื่อทำช่อฟ้าหรือลูกนิมิตแล้ว ตอนเช้ามาก็เอาขึ้นรถยนต์วิ่งตลอดวัน ไปเถอะ กี่จังหวัดน่ะเอามา กลับมา แล้วก็ถึงพรุ่งนี้ก็ไปอีก เอาอยู่อย่างนั้นแหละ โบสถ์หลังนั้นนานเสร็จเหมือนกัน มันนานเสร็จ โบสถ์นี้เรียกว่า ไม่มีอะไรมาก ที่ญาติโยมมาถวายไว้ แม้แต่สตางค์หนึ่ง สองสตางค์ก็ตาม แต่ไม่มีไปที่ไหน ตรงนี้รวมในที่นั่นตลอด ทำบุญให้ทาน บุญบ้านอะไรต่างๆ รวมไปตรงโน้น ก็พระไม่เอานี่ ก็ทุ่มเทลงไปในนั้นหมด ฉะนั้นของมันจึงไม่แยกกันนะ มันจึงมารวมเป็นอันเดียวกันหมด ไม่มีอะไรตรงนั้น 

แต่โดยมากก็ที่วัดหนองป่าพงนี้ จะไปวารินอย่างนี้ก็โยมมีศรัทธาได้เอารถถวายไป ไม่จำเป็นที่จะทำอะไร ไม่จำเป็นที่จะเสียเงิน ก็เพราะพระไม่มีเงิน ลูกศิษย์ลูกหาประชาชนทั้งหลายกำลังเข้าใจกัน จะไปโน่นไปนี่ก็สะดวก ถึงว่าจะเดินไปตรงไหนก็เดินไปเถอะ อย่างพระฝรั่งมาอยู่ด้วย ท่านอยากจะไป ท่านก็เดินไปกรุงเทพเถอะ ผมไม่มีค่ารถจะส่งให้ท่านหรอก ท่านก็เดินไป เดินไปเถอะ ปฏิบัติไป แต่ไม่ถึงกรุงเทพหรอก ไปถึงหลายกิโลแล้ว เค้านิมนต์ขึ้นรถ ท่านมาจากไหน มาวัดหนองป่าพง นิมนต์ครับ ก็ขึ้นวัดหนองป่าพง เอาสตางค์ถวายใส่ย่ามท่าน ไม่เอา ฉันเอาไม่ได้ ผิด บาป ญาติโยมทั้งหลายก็ถ้าจะส่งก็ส่งไปวัดหนองป่าพงโน่นดีกว่า อาตมาจึงได้รับปัจจัยมาหลายราย นายสถานีบ้าง นายตำรวจบ้าง ใครๆบ้าง พ่อค้า ประชาชนทั้งหลาย ส่งเช็คมาที่พระฝรั่งเดินธุดงค์ไป ว่าพระฝรั่งนี่เอาเงิน ท่านก็ว่าให้ส่งมาวัดป่าพงนี้ ให้มันเป็นประโยชน์อย่างนั้น อันนี้ก็อำนาจที่พระไม่ต้องการเอาเงิน ต้องการสร้างคุณงามความดี เห็นโทษมันอย่างนั้น 

สมัยนี้โยมก็ไม่ค่อยจะรู้กันน่ะ แต่ว่าเงินมันเหมือนมีดเล่มหนึ่ง ถ้าเราไปใช้ในทางประโยชน์ มันก็เกิดประโยชน์มาก ถ้าไปใช้ให้เป็นโทษ มันก็เป็นโทษมาก อย่างเงินนี่มันดีหรือ มันดีทั้งเป็นคนใช้ที่ดี มันก็ดี ไม่ใช่ว่ามันไม่ดี ถ้าเรารู้จักประโยชน์ของมัน รู้จักใช้ ทุกวันนี้ นี่โยมมานี่กันมาก แต่ทำไม่ค่อยถูก บางทีก็เอาแบ๊งค์ ไปฉันก็ใส่ย่ามพระไปเลย อย่างนั้นถือว่าเป็นบุญแล้ว อันนั้นคือว่าผิดแล้ว มันผิด มันน่าจะให้มันถูก แต่ว่าให้มันผิด มันผิดแล้วโยม มันผิด ยกตัวอย่างง่ายๆนะ โยม ก กับโยม ข สองคน คนหนึ่งถวายเหล้าแม่โขงกับพระ คนหนึ่งเอาใบแดงๆถวายพระ สองคนนี้ถ้าหากว่าประชาชนเราดูก็เห็นว่า โยม ก น่ะมันผิด เอาเหล้าไปถวายพระ โยม ข น่ะมันถูก เอาเงินถวายพระ จะได้เห็นกันอย่างนั้น อย่างน้อย ๙๐ เปอร์เซ็นต์ เห็นว่าเหล้าไม่ควรแก่พระ เงินมันควรแก่พระอย่างนั้น อันนี้เรียกว่ามันจะเกิดประโยชน์อยู่แต่เราไม่รู้จักประโยชน์ในการใช้ มันก็เกิดโทษ 

มิฉะนั้นถ้าหากว่ามีของมากๆขึ้นมา มันก็เกิดทิฐิมานะ เกิดตัณหาขึ้นมาก แล้วก็เกิดอันตรายกัน ฉะนั้นแต่คนไม่ค่อยพิจารณาอย่างนี้ สมมุติว่าเงินทองมันถึงขนาดนี้ว่า พระ ก จะไปซื้อเงาะมาซักพวกหนึ่งซะ ซื้อลำไยมาซักพวงหนึ่งซะ ซื้อด้วยตนเองมาก็เอามาซะ มาฉันเนื้อมัน เอาเมล็ดเหน็บเข้าไปในดินนั่นน่ะ มันเกิดขึ้นใหม่อีกเป็นต้นลำไยอีก พระองค์นั้นจะไปอยู่ร่มมันก็ไม่ได้ อย่าว่าแต่จะไปกินมันเลย อยู่ร่มลำไยไม่ได้นะโยม ไม่ได้ จะไปซื้อผ้าจีวรมา ไปซื้อเตียงมาเองอย่างนี้ มันนอนไม่ได้ แต่ว่ามันนอนได้ มันเป็นซะอย่างนั้น แต่อันนี้ไม่รู้ซึ้งในจิตใจมนุษย์ทั้งหลายในเวลานี้ มิฉะนั้นมนุษย์เราทั้งหลายจึงอุปัฏฐากพระ ส่งเสริมพระในทางที่ไม่ถูก เห็นว่ามันถูก มันจึงมีความเสียหายเกิดขึ้นมามาก ฉะนั้นจะเรียกว่า เรานับถือพุทธศาสนานี้ เราทำอย่างนั้นเราเข้าใจว่า เราปฏิบัติศาสนาให้เจริญถาวร ความเป็นจริงมันเหยียบย่ำพุทธศาสนาให้ยับเยินไปนั่นแน่ะ แต่ละคนไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจอย่างนั้น 

ฉะนั้นวันนี้ อาตมาพยายามที่สุด พยายามที่สุด ถ้าเป็นวัดป่าพง หรือสาขาวัดป่าพงแล้ว ไม่มี ไม่มีเงินในย่าม ไม่มี เป็นอย่างนั้น ถ้าหากว่าไปเดินทางไปถวายค่ารถ ก็ให้เจ้าของรถไป จะให้เงินปัจจัยท่านล้วนๆนี่ไม่มี มิฉะนั้นทุกสาขานี่ที่ออกจากวัดหนองป่าพงนี้ ประมาณราวๆซักสามสิบกว่าสาขานะทุกวันนี้ เกือบจะถึงสี่สิบแล้ว อันนี้ก็ค่อยๆทำมาเรื่อยๆ มาอย่างนั้นน่ะ เป็นมา เรื่อยมาๆๆ ตลอดทุกวันนี้ การสร้างวัดทุกแห่ง ก็จะเป็นไปในระเบียบอันเดียวกันนี้ โดยมากจะต้องเป็นอย่างนี้ มิฉะนั้นวันนี้จึงแถลงให้ญาติโยมทั้งหลายให้รู้จักซะว่าพระวัดหนองป่าพง ทำมาก็ทำมาเรื่อยๆมางี้ มิฉะนั้นแต่พระไม่มีสตางค์ แต่พระมีวินัย มีข้อวัตรปฏิบัติ สมัยนี้ข้อวัตรปฏิบัติเราเกือบจะหมดกันแล้ว หมดกัน จะหมดกันแล้ว 

ฉะนั้นญาติโยมทั้งหลายที่มาบำเพ็ญบุญกุศลในวันนี้ หรือทุกวันที่ไหนก็ตาม ให้โยมระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้านั่นระลึกยังไง พระพุทธเจ้าท่านทำยังไง ท่านทำยังไง ท่านสอนยังไง ก็ระลึกถึงคุณท่าน เราก็รู้จักคุณของท่านแล้ว เราก็ปฏิบัติตามธรรมะคำสอนของท่านนั้น ก็เรียกว่า เราปฏิบัติตามธรรมะ เมื่อเราปฏิบัติเข้าไปใกล้ธรรมะ เราก็เข้าใกล้พระพุทธเจ้า เมื่อเราเห็นธรรมะ เราก็เห็นพระพุทธเจ้า เมื่อเราเห็นธรรมะเห็นพระพุทธเจ้าแล้ว เราก็หายสงสัย บาปก็หายสงสัย บุญก็หายสงสัย ปัจจุบันนี้ก็หายสงสัย อดีตก็หายสงสัย อนาคตนั้นก็หายสงสัย ว่าทำดีได้ดีหรือเปล่า ทำบุญได้บุญหรือเปล่า แน่ะ อย่างนี้รู้ 

จะรู้ตัวบุญจริงๆ โดยมากคนทุกวันนี้มีศรัทธาแต่ไม่ค่อยมีปัญญา ว่าทำบุญนั้นก็ได้บุญมั้ยไม่รู้ พ่อแม่ทำมา อิฉันก็ทำมาอย่างนั้นแหละ ฉะนั้นมันถึงมีการฟังธรรม การแนะนำพร่ำสอนให้ทายกทายิกาเข้าใจ เรื่องปฏิบัตินี้ มันก็เปลี่ยนไปๆทุกวันนี้ ไอ้ที่มันตรงตามหน้าที่ของมันนี่มันก็น้อย คล้ายๆกับมะเขือ มะเขือต้นนึงน่ะ เราจะปลูกมันปีนี้ ปีหน้าต้องถ่ายเอาลูกใหม่ ทำพันธุ์ จะเอาเมล็ดอันเก่าไปทำพันธุ์เรื่อยๆ แต่มันก็เป็นมะเขือขื่นทั้งนั้นแหละ มันเสียหายไป ถ้าเราไม่ปฏิบัติให้เข้มงวดเท่าในนี้ก็เรียกว่ามันหย่อนกันไปเสีย ถ้ามันหย่อน มันผิดจากความจริง ความจริงก็เรียกว่ามันถูกต้อง มันผิดจากความจริงก็เรียกว่ามันไม่ถูกต้อง 

เราจะดู ดูที่ประชาชนเราทุกวันนี้ ทำไมทำให้เสื่อม อะไรทำให้เราเสื่อม ความเจริญทำให้เราเสื่อม ความสุขทำให้เราเสื่อม ความสบายทำให้เราเสื่อม ไม่ให้ถูกต้อง เพราะความสบาย เพราะความสุข เห็นแก่ตัวมาก เช่นนี้ไม่รู้จัก ฉะนั้นประชาชนทั้งหลายรู้สึกว่า เมืองไทยมันเจริญขึ้นมา เมื่อความเจริญมันเกิดขึ้นมา ไอ้ความเสื่อมมันก็เกิดขึ้นมาตาม มันตามกันมาเรื่อยๆมาอย่างนี้ ตลอดจนทุกวันนี้ จะพูดอะไรให้ลูกหลานเราฟัง ไม่ค่อยจะมีอะไรจะพูด 

วันหนึ่งอาตมานั่งรถกับนักศึกษามาจากจังหวัดทางจันทบุรี ขึ้นมาก็ อยากจะถามอะไรอยู่ อาตมาก็รู้อยู่ ถามหลวงพ่อโกนผมทำไม อาตมาตอบว่า โกนเล่น อืม โกนเล่น บวชโกนผมทำไม โกนเล่น พอดีกับคำที่เค้าถาม เลยเลิกกันเลย เท่าเนี้ย ก็คือมันถามหาเนื้อหาอะไรไม่รู้ มันเป็นซะอย่างนั้น คือไม่เข้าใจความจริง ฉะนั้นพอดีปีนี้ มีนักศึกษาจุฬา นิสิต นักศึกษาจุฬา แล้วก็รามคำแหง นักศึกษาชุดนี้ มีการศึกษาอยู่ ศึกษาจบแล้วก็มี มีทั้งตำรวจสันติบาล ร้อยโท เดี๋ยวนี้ยังอยู่วัดเขื่อนประมาณซัก ๔๐ กว่าคน มาขออบรมตั้งแต่โน้นก็มาขอ อาตมาก็อนุญาตให้ทำ อาตมาก็อยากอบรมนักศึกษา เพราะว่านักศึกษาเนี่ย มันทำความเจริญให้เมืองไทย แล้วก็ทำความเสื่อมให้เมืองไทย สองอย่างมันดีทั้งนั้นแหละ ถ้าว่าลูกหลานเราพวกนี้ พวกศึกษาสูงๆนี่ มีความถูกต้อง อาตมาเห็นว่ามันเจริญในเมืองไทยหรอก เพราะมีแต่คนดีๆทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่คนไม่ดี มีคนมีความรู้ มีความรู้ เมื่อมีความรู้แล้วน่ะ มันก็ไปปฏิบัติ ไม่ปฏิบัติไปตามความรู้ มันขาดจากความดี ก็มีแต่ความรู้เฉยๆ ก็เรียกว่ามีดนี้มันคม แต่เอาไปใช้ในทางที่ไม่ถูก มันก็เลอะเทอะกันไปหมด 

ฉะนั้นตามที่อาตมาสังเกต ที่ไปอบรมอยู่ทุกวันนี้ อาตมาเห็นว่าก็ไม่มีอะไร อาตมาอบรมให้ ก็ไม่มีใครมีปัญหาอะไรที่จะถามอะไรมากมาย แต่อาตมาก็ไม่อบรมทุกวันนะ ไม่อบรมทุกวัน เพราะอาตมาเห็นว่า อบรมกันทุกวัน เห็นว่ามันจะดีหรือไม่ดีอ้ะ ให้โยมอบรมลูกทุกวันสิ ลองดูซิ ตอนเช้าก็อบรม ตอนเย็นก็อบรมอยู่เรื่อยๆนะ ถ้ามีลูกชายมันจะหนีไปจากบ้าน มันรำคาญ มันเป็นซะอย่างนั้น อาตมาบอกให้ฟังว่าพวกท่านทั้งหลายที่มาอยู่กับผมนี้ ไม่ใช่ว่าผมเป็นผู้สอนท่านนะ ผมสอนท่านไม่ได้หรอก ท่านต้องสอนท่านเอง ลองดูสิว่าที่วัดป่าพงนี่ ที่วัดเขื่อน หรือวัดโพธิญาณนี่ เป็นที่สงบเงียบ สมกับผู้ประพฤติปฏิบัติ เหมือนกันกับโคมันกินหญ้า ต้องเอามาปล่อยในสนามหญ้า มันก็ต้องกินหญ้า ถ้ามันไม่กินหญ้า มันก็เป็นหมูเท่านั้นหละ ไม่เป็นโค คนมีศรัทธาต้องการความสงบ ต้องการคุณงามความดี เมื่อปล่อยใส่หมู่พระสงฆ์เณรที่ดี มันก็ดูแล้ว หูมันมีนี่ ตามันมี มันก็เห็น ถ้าหากว่ามันชอบการประพฤติดีประพฤติชอบเหมือนกับโค ชีวิตมันกินหญ้า ไม่ปล่อยไปสนามหญ้า มันก็กินหญ้า มันก็แย่งกันกินเท่านั้นแหละ ถ้าไม่กินก็เป็นหมูเท่านั้นแหละ ไม่ใช่โคเท่านั้นแหละ 

อาตมาสอนอย่างนี้ก็หยุดไป นะ แล้วก็ดูไป ถามไปเรื่อย ก็ไม่มีอะไร มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ คนมันไม่สอนมากหรอก ที่บังคับมันมี มันมีจิตมีใจ ตามันก็มี หูมันก็มี จมูกก็มี ลิ้นก็มี กายมันมี จิตมันมี มันรู้อยู่ ถ้าหากว่าคนเราไปสอน มันไม่รู้เรื่อง มันก็ไม่ได้ อาตมาแค่อบรมสามครั้ง ต่อไปนานๆค่อยอบรม ให้อาหารแก่คนไม่หิว นี่มันจะเอามั้ย จะเอามั้ย ไอ้ที่มันหิวเราก็ไม่เล่นกับมันนี่ บางทีวันหนึ่งจากบิณฑบาต เดินมา “หลวงพ่อๆ พระนิพพานเป็นยังไง” “หยุด อย่าเพิ่งพูดกันเลย ไปฉันจังหันกันก่อน” เรื่องพระนิพพานมันทีหลังเถอะ เราสะพายบาตรไปนี่ มันเหนื่อยแล้ว ไปฉันอาหารถึงพูดกันนี่ เป็นซะอย่างนี้ ถ้าคนไม่รู้จัก มันก็พูดเรื่องพระนิพพานให้มันฟังน่ะ เหมือนพูดอะไรให้คนหูหนวกฟัง ชี้มันไปตาม ไม่รู้เรื่องน่ะ 

ฉะนั้นจึงบอกว่า นักศึกษาปีนี้ ท่านทั้งหลายมีบุญ มีบุญได้มาประสบเหตุการณ์ที่นี่ ก็ได้เลยเตรียมคำสอน สอนแต่พอสมควรให้ คนที่ฉลาดแล้วไม่มากหรอก คนที่ไม่ฉลาด สอนให้มันเถอะ มันจะเป็นยังไงก็สอนให้มันเถอะ แต่ว่ามันเป็นกับคนสอนด้วย คนไม่รู้กฏเกณฑ์ ไม่รู้จักบทบาทของคน โดยมากคนสอนคนนี่ทุกคนชอบว่า ไม่สบายใจจึงสอน อย่างเราจะสอนลูกเรา มันโกรธแล้วถึงสอน ด่ากันเท่านั้นแหละ ไม่ได้สอนกันดีแล้วทั้งนั้น พ่อบ้านจะสอนแม่บ้าน ก็มันโกรธจึงจะสอน สอนกันก็ด่ากันทั้งนั้นแหละ ก็คนใจไม่ดี ไปสอนกันทำไม อาตมาว่าอย่าไปสอนในเวลานั้น ให้ใจสบายก่อน มันจะผิดยังไงก็เอาไว้ก่อนเถอะ ให้ใจมันดีๆซะก่อนนะ คิดว่าพ่อบ้านแม่บ้านจะสอนกัน ที่มันผิดมาเมื่อเวลาใจไม่ดี ปล่อยมัน วันใดทานข้าวอิ่มๆสบายแล้ว “คุณ วันนั้นฉันสงสัยว่า ไม่ค่อยดีนะ ไปพูดกับลูก ไม่ค่อยดีนะ วันหลังอย่าไปทำอย่างนั้น” มันก็รับฟัง กินข้าวอิ่มๆแล้วน้อ ไอ้คนหิวๆ โมโห ไปพูดกัน ไอ้ที่บ่นรับฟังก็หิว ไอ้ที่พูดก็โมโห มันก็เอาไฟไปใส่กันเท่านั้นแหละ 

นี่โยมจำไว้นะ บางทีเป็นประโยชน์นะ โยมเนี่ย อาตมาคอยสังเกต ไปสอนลูกแต่เวลามันโมโหเท่านั้นแหละ มันก็เจ็บใจเหมือนกัน เอาของไม่ดีให้เขา เขาจะเอาทำไม ตัวเราก็เป็นทุกข์ ลูกมันก็เป็นทุกข์ ไม่สบายเลย อย่างเนี้ย อันนี้สอนมันก็เป็นของบุคคล ไอ้คนมันชอบความดีกันทั้งนั้นแหละ แต่ความดีเราไม่พอ ให้ความดีมันไม่เป็นเวลา ไม่รู้จักบทบาท ไม่รู้กาลเวลา มันก็เป็นไปไม่ได้ อันนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น อาหารที่มันเอร็ดอร่อยนะ เราต้องซดเข้าทางปาก เกิดประโยชน์มั้ย เอาซดเข้าทางหูซิ มันจะเกิดประโยชน์มั้ย เอาสิ ลองๆดูสิ อาหารเอร็ดอร่อย มันมีประโยชน์มั้ย คนเรามันมีประตูเหมือนกัน ต้องเข้าหาประตูมันอย่างนั้น ทุกคนก็เป็นอย่างนั้น 

ฉะนั้นวันนี้มีโอกาสแต่เท่านี้ ที่จะแนะนำพร่ำสอนพุทธบริษัททั้งหลาย ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต ต่อนั้นไปขอฝากคำสอนอันนี้ไว้กับพวกท่านทั้งหลายทุกคน จะให้เข้าใจว่า ไอ้คำสอน สอนเท่านี้ยังไม่ได้ โยมยังไม่รู้นะ ที่พูดไปนี่ โยมยังไม่รู้ ฟังน่ะ รู้จักฟังเท่านั้นน่ะ แต่ไม่รู้จริง ถ้าไม่รู้จริง ถ้าจะรู้จริงเมื่อไหร่ รู้จริงเมื่อโยมไปสอนโยมเอง อาตมาสอนโยมไม่รู้หรอก เมื่อโยมไปสอนโยมเองนั่นแหละ ถึงจะรู้จัก 

วันนี้จะเปรียบให้ฟังง่าย ให้ผลไม้สองใบ อาตมาเห็นว่าไอ้ใบนี้มันเปรี้ยวนะ ใบนี้มันหวานนะ โยมก็เข้าใจกัน ก็นึกว่ามันจะเปรี้ยวมันจะหวานทั้งหมดนะ ก็เข้าใจอย่างนั้น เมื่อเราไปชิมดูซะ โอ้ย ใบหนึ่งมันฝาด ใบนี้มันขม แต่อาตมาบอกว่าอันนี้มันหวานนะ อันนี้มันเปรี้ยว โยมก็เข้าใจ เชื่ออาตมานี่ ท่านจึงว่าคนไปเชื่อคนอื่นอยู่นั่นน่ะ พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญหรอก ไม่สรรเสริญ ท่านว่าให้เชื่อเจ้าของ ให้เห็นกับเจ้าของแล้วเชื่อซะ ผลไม้อันเนี้ย อาตมาบอกว่ามันเปรี้ยว แล้วก็มันหวานนี่ โยมคงจะเชื่อกันนี่ เพราะนับถืออาตมานี่ ไอ้ความเป็นจริง อาตมาเอาผลไม้ที่มันฝาดให้ใบนึง แล้วก็ขมใบนึง โยมก็ถือไปกรุงเทพ ไปถึงก็ขึ้นรถ ขึ้นบนรถก็เอาผลไม้มาทานเล่น เอ๊ะ มันขมนี่ มันฝาดนี่ เข้าใจมั้ย อันนั้นมันเชื่อคนอื่นเขา อันนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น ถ้าเราเชื่อเราว่าอันนี้มันฝาด อันนี้มันขม อันนั้นเรียกว่า ปัจจตัง เวทิตัพโพ วิญญูชนรู้เฉพาะเจ้าของเองอย่างนี้ อันนี้เป็นคำสอนพระพุทธเจ้าทุกอย่างทุกประการนั้น

แล้วผลที่สุดนี่ขอให้ฝากธรรมะอันเนี้ยกับญาติโยมทุกๆคน จงนำไปพินิจพิจารณา ภาวนาให้มันเห็นแจ้งชัด มันจะถอนความทุกข์ ความลำบาก ความยาก ความสงสัยออกจากใจของเรา ถึงความสงบได้ก็ธรรมะ บัดนี้คงจะได้ฟังธรรมะแต่คนที่ไม่นอนเท่านั้นหละนะ ไอ้คนที่นอนก็เห็นจะไม่ได้ฟังธรรมะ เนาะ ก็เหมือนคนตายนะ ไม่ได้ประโยชน์ ฉะนั้นมนุษย์เราทั้งหลายถึงไม่ได้มีประโยชน์เสมอกันแหละ อย่างมาฟังธรรมวันนี้ บางคนก็นอนหลับ ไม่รู้ว่าเราพูดอะไรกันเนาะ แล้วก็ไม่รู้เรื่องเท่านั้นน่ะนะ นี้คนมันไม่เหมือนกันอย่างนี้นะโยมนะ มาวันนี้ก็ได้ซักครึ่งหรือไร ก็ครึ่งเท่านั้น จะรู้จักแต่คนที่นั่งฟัง ที่ไม่นอนเท่านั้นแหละนะ ไอ้คนที่นอนมันก็เงียบ ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลยนะ เหมือนกับคนที่นอน นอนเอาดินงอกมาป้ายหน้าซะ เท่านั้นหละ ไม่รู้ว่าเขาเอามาป้ายหน้าเราเมื่อใดนะ ตอนเช้าก็ไปลุกขึ้นมา ไอ้คนเค้าก็หัวเราะเยาะอยู่ ไม่รู้เรื่องอะไรเนาะ ว่าเค้าป้ายหน้าเราเมื่อไหร่ อันนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น การฟังธรรมวันนี้ก็รู้แต่คนที่ฟัง คนที่ไม่ฟังก็ไม่ได้ฟัง เมื่อไม่ได้ฟังก็ไม่ได้รู้ นะ เอาหละวันหลังถึงแบ่งกันใหม่นะ ไปถึงบ้านก็ค่อยๆแบ่งกันก็ได้ ช่วยๆแบ่งกับพวกนอนด้วยนะ 

เอาแล้ว วันนี้เลิกกันนะ ใครจะไปนั่งไปนอนก็อย่าลืมการภาวนา ความดีของเราเด้อ ปีหน้าปีต่อไปขอให้มีอายุมั่นขวัญยืนนะ ได้มากราบมาไหว้ ได้มาทำบุญด้วย สมัยก่อนเค้าเรียกว่า โอ้ย ภาคอีสานนี่มันแห้งแล้งเหลือเกิน ไม่อยากจะมาแหละ คุณหญิงถามอาตมาว่า หลวงพ่อ มันมีโรงแรมมั้ย เมืองอุบลเนี่ย มีน้ำประปาหรือเปล่า อะไรต่ออะไร วุ่น เค้าคงนึกว่ามันแห้งแล้ง ไม่ได้กินน้ำจะตายกัน พอมาถึงแล้ว แหม มันดีกว่าบ้านเรานะ อาตมาพาไปเดินถ้ำแสงเพชรน่ะ อย่างนี้มันก็มี คนพูด คนอื่นพูดก็ไม่เหมือนเราเห็นเอง ทุกวันนี่เหมือนกัน (เทปขาดตอน)

นี่ไม่ใช่ว่ามันเป็นอย่างอื่น บางทีเราก็อยากได้ไว อาตมาว่าอย่าให้มันไวสิ เอานานๆ ดูเรื่องมัน คล้ายกับว่าเราจะปลูกต้นไม้ต้นหนึ่งนะ เปรียบอย่างนี้ จะปลูกต้นไม้ต้นหนึ่ง จะปลูกต้นไม้ก็เป็นหน้าที่ของเรานะ เพราะเราอยากจะปลูกมันเนี่ย ก็ไปหาต้นไม้มา ไปหาเอาจอบมา เอาต้นไม้มา ก็เป็นเรื่องของเรา เราจะมาขุดหลุมลงไป ก็เป็นเรื่องของเรา จะหยอดต้นไม้ลงไปในหลุมก็เป็นเรื่องของเรา จะกลบต้นไม้ก็เป็นเรื่องของเรา จะให้น้ำมัน ก็เป็นเรื่องของเรา จะให้ปุ๋ยมันก็เป็นเรื่องของเรา จะรักษาแมลงต่างๆก็เป็นเรื่องของเรา เท่านี้เรื่องของเรา ไอ้เรื่องของต้นไม้ จะโตเร็วโตช้า ไม่ใช่เรื่องของเรา มันเรื่องของต้นไม้ เราก็ปล่อยให้มันสิ ให้ปุ๋ยมันไปเถอะ ให้น้ำมันไปเถอะ รักษาแมลงให้มันไปเถอะ ทำหน้าที่ของเราเนี่ย ไปเพ่งกันว่าเมื่อไหร่มันจะโตนี่นะ ไปวุ่นวาย ไปเอาหน้าที่ของต้นไม้มาทำ มันก็วุ่นน่ะ ไม่ใช่หน้าที่ของเรา เราก็ให้น้ำของเราไปเถอะ ให้ปุ๋ยมันไปเรื่อยๆ รักษาแมลงมันไปเถอะ ต้นไม้มันจะโตเองของมัน ต้นไม้จะทำหน้าที่ของมันเอง เราก็ทำหน้าที่ของเรา ต้นไม้ก็ทำตามหน้าที่ของต้นไม้ ต่างคนต่างก็ทำหน้าที่เท่านั้น มันก็เกิดผลเท่านั้นแหละ อันนี้ไปรดไม่กี่วัน แหม เมื่อไหร่มันจะโตนะ ต้นพร้าวนี่ กี่ปีมันจะได้กินนะ แล้วก็โดดหนีแห้งทิ้งหมดเสียแล้ว มันแห้งมันเป็นเช่นนี้ 

ก็เหมือนคนโบราณนั่นแหละ แต่ก่อนมันไม่มีไม้ขีดไฟน่ะ มันเกิดจากหินจากเหล็กนั่นแหละ ไม้ไผ่อย่างเนี้ย เรียกว่า เอ้ย ไฟมันอยู่ที่ไม้ไผ่นี่ เอาไม้ไผ่สองซี่มาสีกัน เกิดไฟ เท่านั้นแหละ เราก็ได้ยินก็นึกว่าจะง่ายๆนะ เอาไม้ไผ่สองซี่มาสีให้เกิดไฟ สีไปเรื่อยๆ สีไปมันจะเกิดเหมือนกันแหละ บางทีถึงควันออกแล้วก็เหนื่อย ขี้เกียจก่อนหยุด หยุดมันก็เย็นแล้วนั่น เริ่มใหม่อีก จวนจะมีไฟแล้วก็เย็นอีกแล้ว ทำไมไม่มีไฟ ความร้อนมันไม่สมดุลย์กัน มันก็ยังไม่มี ใจเรามันไปร้อนไปก่อนเช่นนั้น ก็เลยว่าซี่ไม้ไผ่นี่ไม่มีไฟ ไม้ลำปอนี่ไฟไม่มี ก็เพราะเราทำไม่ถึงที่มัน เราขี้เกียจก่อนซะ ถ้าเราทำเรื่อยๆของมันไปอย่างนั้น มันก็เกิดไฟขึ้นมาได้เท่านั้นแหละ 

อันนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น อดทน อดทนนี่เป็นแม่บททั้งหลายทั้งปวงเช่นนั้น ทุกคน ใครจะมีหน้าที่การงาน ข้าราชการ จะทำมาหากินทุกประการ ก็เป็นคนอดทนในหน้าที่การงานของตน ความอดทนนั้นเป็นแม่บทของธรรมะทั้งหลายทั้งปวงนั้น ฉะนั้นจะร่วมทุกข์ได้เพราะการอดทน ความอดทนนี่จึงเป็นของสำคัญ ฉะนั้นทุกคนก็ให้อดทน เมื่อถูกอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา ไม่ชอบใจให้อดทน ที่มันชอบใจเกินไปก็ให้อดทน อย่างเนี้ย มันก็ไปได้เท่านั้นแหละ นี่เรียกว่าการประพฤติปฏิบัติ 

วันนี้ที่ได้บรรยายธรรมะมาวันนี้นะ เอาธรรมะใกล้ๆเรา เอาธรรมะกับตัวของเรามาพูดให้ฟัง จะได้เห็นกันง่ายๆ มีอยู่ในตัวในตนทุกๆคน จะพูดให้ฟังอย่างนี้ ฉะนั้นขอจงโอปนายิกธรรม ให้น้อมคำสอนนี้เข้าไปพิจารณา จะได้เห็นทุกสิ่ง ทุกส่วน ทุกประการในกายในจิตของเจ้าของเท่านั้นแหละ ที่เรียกว่าไม่รู้ ก็คือไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักเหตุให้เกิดทุกข์ ไม่รู้จักความดับทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ อันนี้เรียกว่าเราไม่รู้ทั้งนั้นน่ะ 

เพราะฉะนั้นบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตในวันนี้ ได้มาพร้อมเพรียง สามัคคีกัน ทำบุญกุศล ผลที่สุดท้ายก็ได้มาฟังธรรมะ เมื่อฟังธรรมะแล้วเอาไปพิจารณา ไปปฏิบัติให้มันเป็นธรรมะ ให้ธรรมะมันอยู่ที่ใจ ให้ใจอยู่ที่ธรรมะ ให้มันเข้าใจ ถ้ามันเข้าใจแล้ว ไปพบอะไรต่างๆ มันก็เห็นอยู่ในใจของเรา เราไม่เห็นที่อื่นหรอก ไปพบความผิดอะไรมันรู้จัก ปากพูดไปจะพูดไปผิดใจ มันก็รู้จัก ตามองไป มันรู้สึกว่าผิด จิตรู้จักนะ ไม่ใช่อื่น มิฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านให้พึ่งตน ให้พึ่งตนของตน อัตตโน โจทยัตตานัง จงเตือนตนด้วยตนเอง คนอื่นใครจะเตือนเราได้มั้ย ต้องเตือนเจ้าของ อย่าอาศัยคนอื่นนะโยมนะ อาศัยตัวเรานะ อาศัยตัวเราปฏิบัติเอา ที่มาอยู่ร่วมมากๆนี่อาศัยเป็นเพื่อนกันมาเท่านั้นแหละ แต่ว่าพระพุทธเจ้าสอนไว้เข้าใจมั้ย ว่าวันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่ อันนี้ท่านสอนและท่านถามแล้วนะ แต่ว่าอันนี้มันเป็นคำสอนของท่าน แต่ตัวท่านไม่อยู่ ถึงเอามาพูด ก็เฉยๆเสีย ไอ้ความเป็นจริงท่านถามว่า วันคืนมันล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่น่ะ วันคืนล่วงไปๆ คือชีวิตมันหมดไป หมดไป ทำอะไรอยู่มั้ยวันเนี้ย วันนี้คิดอะไรอยู่มั้ย ทำอะไรอยู่มั้ย ผิดมั้ย ถูกมั้ย ดีมั้ย ชั่วมั้ย ทำอะไรอยู่เดี๋ยวเนี้ย ท่านให้สอบสวนเจ้าของอย่างนี้เอง ถ้าเราคิดเช่นนี้ เราก็เห็นผิดถูกที่ตัวของเจ้าของ เมื่อรู้จักผิดถูก ก็รู้จักแก้ไข ถ้ารู้จักที่แก้ไข ก็มันก็ถูกต้อง อันนี้เรื่องการภาวนานะ ฉะนั้นมันก็เป็นบุญเป็นกุศล ถ้าเราแก้สิ่งที่ผิดมันก็หมดเท่านั้น อันนี้เป็นโอวาทธรรมะคำสอนสอนให้ในวันนี้ ขอฝากชาวนครหลวงไปพิจารณานะ 

อันนี้เทศน์ตามความรู้สึกให้ฟัง อันนี้เรียกว่าธรรมะ ไม่มีต้นไม่มีปลาย เป็นธรรมะทั้งนั้นแหละ อยู่ในเนี้ย ถ้าเราเห็นได้ก็สบายใจ ฉะนั้นบัดนี้กาลเวลาก็พอสมควร ญาติโยมก็คงจะเหน็ดจะเหนื่อยละมั้ง พรุ่งนี้จะอยู่ไปอีกซักคืนนึงอีกซะด้วย วันนี้ก็จึงพากันพักผ่อนกำลังและภาวนา ฉะนั้นผลที่สุดนี้ขอด้วยอำนาจของคุณพระศรีรัตนตรัย จงปกปักษ์รักษาพุทธบริษัททั้งหลาย ผู้ทำมั่นในพระธรรมวินัยนี้ให้เป็นผู้มีอายุ วรรณะ สุขะ พละ ตลอดกาลนาน