Skip to content

ฝึกดูจิต

หลวงพ่อชา สุภัทโท

| PDF | YouTube | AnyFlip |

ต่อไปนี้เป็นเวลาที่พวกพุทธบริษัท ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตทั้งหลาย จะได้ตั้งใจรับโอวาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราโดยความเคารพ และวันนี้ได้ปรารภซึ่งศรัทธาอันมาจากกรุงเทพ พระนคร ซึ่งมีคุณอาคม ซึ่งเป็นประธานนำคณะมามากพอสมควรเพื่อจะมาทอดผ้าป่า ณ วัดหนองป่าพงในวันนี้ เมื่อทำกิจอันใดเสร็จแล้ว เป็นโอกาสที่ว่าต่อไปเพื่อจะได้ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นเนื้อหาอันสาระแก่พวกพุทธบริษัททั้งหลาย

ต่อไปการฟังธรรมในครั้งพุทธกาลนั้น ก็คงจะไม่มีพิธีรีตองอะไรมากมาย นอกจากผู้ที่แสดงธรรมกับผู้ที่รับฟังธรรม สองอย่าง ติดต่อกัน เมื่อคนผู้จะตั้งใจฟังธรรม และผู้ให้ธรรมะ ก็มีกำลังใจที่จะให้ธรรมะ เปรียบประหนึ่งว่า เราจะให้วัตถุอันใดของอันใดอันหนึ่งแก่บุคคลใดคนหนึ่งเป็นต้น ในความพอใจมีเจตนาอันดี เมื่อผู้ที่รับก็พอใจที่จะรับ ทั้งสองฝ่ายก็เรียกว่า มีอุดมคติกลมกลืนซึ่งกันและกัน เหมาะสมกับการฟังธรรมะ หรือเหมาะสมกับการที่จะให้ของหรือรับของเช่นนั้นเหมือนกัน

ฉะนั้นอาตมาจึงได้เตือนใจว่าวันนี้เป็นวันที่สำคัญ อย่าพากันทำใจให้ร้อน บางคนก็จะกระสับกระส่ายในใจว่าวันนี้มีอุปสรรคมาก การมาสร้างบุญ สร้างกุศลวันนี้น่าจะไม่มีอุปสรรค แต่ว่าเกิดมีอุปสรรคขึ้น บางท่านอาจจะสงสัยว่ามันเป็นอะไรต่ออะไรกันเนี่ย อันนี้ขอให้เห็นว่า เรื่องอุปสรรคนั้นนั่นแหละ เมื่อมีอุปสรรคทุกครั้ง เราจะมีความอดทนทุกครั้ง เมื่อมีอุปสรรคทุกครั้ง เราทั้งหลายจะมีปัญญาทุกครั้ง พระผู้มีพระภาคท่านตรัสว่าเมื่อเราทำประโยชน์ มันจะยาก มันจะลำบากเท่าไร เราก็ไม่กลัวมัน เพราะว่าเราสร้างประโยชน์ที่ดี เราทำประโยชน์ที่ดี ที่เป็นประโยชน์แก่ตนและบุคคลที่ทั่วไป มีเจตนามุ่งหมายเช่นนี้แล้ว ถึงได้มีความยาก มีความลำบาก มันก็ยังมีส่วนดีอยู่ เพราะเรามีเจตนาอันดี มุ่งการกระทำที่ดีที่งามที่ถูกต้องเช่นนี้ ไม่ว่าทุกข์ทางกาย ใจมันก็ยังเป็นสุข เป็นเช่นนั้น ดีกว่าบุคคลที่ทำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ลำบากมาก แต่ใจก็ยังเป็นทุกข์ นอกจากกายเป็นทุกข์แล้ว ใจก็ยังเป็นทุกข์อีกต่อไป ถ้าเราสร้างประโยชน์ที่ดี ประโยชน์ตน ประโยชน์คนอื่นทั่วไปโดยเจตนาอันดี ถึงแม้มันจะทุกข์กาย หมดอันตรายไปแล้ว ใจเราก็ยังมีความสุข ก็เป็นฉันนั้นเหมือนกัน 

ไม่ใช่ว่าเป็นแต่ตัวพวกเราทั้งหลายนี้ ถึงแม้พระพุทธเจ้าท่านก็ฝ่าฟันอุปสรรคอันนี้มาตลอดกาล ตลอดเวลา ถ้าไม่มีอุปสรรคนะ ไม่มีอุปสรรค ก็ไม่มีกำลังใจ ก็ไม่ได้ปฏิบัติธรรม เมื่อมันทุกข์ตรงไหน ก็พยายามพิจารณาตรงนั้น ฉะนั้นทุกข์นี้พระพุทธเจ้าท่านสรรเสริญเหลือเกิน แต่คนผู้ที่ไม่มีปัญญา ไม่สรรเสริญเลย ทุกข์เนี้ย พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสว่า ทุกขสัจ ทุกนี้เป็นสัจธรรม ถ้าเมื่อเกิดทุกข์เมื่อใด พระพุทธเจ้าของเราสบายเมื่อนั้น มีปัญญาเมื่อนั้น เช่นกับรบกับพญามาร นี่เป็นอุปสรรค ขัดขวางไว้ ท่านชนะทุกที ทำไมท่านชนะทุกที ก็ท่านได้ปฏิบัติทุกที ท่านก็มีปัญญา ได้ชนะทุกที อันนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน วันนี้เรียกว่าเราไปพบกันเสีย ซึ่งว่าอริยสัจคือทุกขสัจ คือของจริงเช่นนี้ ให้พวกเราควรพากันนึกถึงคุณพระพุทธเจ้า เห็นว่าพระพุทธเจ้าเนี้ย ท่านพบทุกขสัจ คือของจริงเช่นนี้ให้พวกเราพากันนึกถึงพระพุทธเจ้า เห็นว่าพระพุทธเจ้าเนี้ย ท่านพบทุกขสัจ ท่านพิจารณาในทุกข์อันนั้น ท่านจึงมีความอดทน ชนะมารทั้งหลายทั้งปวง เพราะการประพฤติปฏิบัติ 

เพราะฉะนั้นขอพุทธบริษัทวันนี้ จงมีความเข้าใจในการกระทำของเราทุกๆคน แต่อาตมาก็เห็นความลำบากลำบนของญาติโยมทั้งหลายซึ่งเดินมาจากทางไกลเป็นอันมากเหมือนกัน แต่ว่าก็มีการดีใจส่วนหนึ่งที่มากที่สุดเหมือนกัน มีความอุตส่าห์พยายามมา ตั้งแต่โน้นมาถึงนี่ เป็นระยะทางหลายร้อยกิโล อันนี้เรียกว่ามาด้วยศรัทธากันจริงๆ ไม่ใช่มาหนเดียวซะด้วย มาบ่อยซะด้วยนะ อันนี้เห็นว่าญาติโยมมาด้วยศรัทธาที่ประกอบด้วยปัญญาจริงๆ มีชวนกันมา พร้อมใจกันมานี่ เห็นประโยชน์ เพราะว่าเห็นประโยชน์ในอริยทรัพย์ ทรัพย์ที่ญาติโยมที่ทำไปนี้เรียกว่ามาแสวงใหม่ หาอริยทรัพย์ อริยทรัพย์ ทรัพย์อันนั้นเป็นทรัพย์ภายใน ไม่ใช่ทรัพย์ภายนอก แต่เดิมมันก็เป็นทรัพย์ภายนอก เปลี่ยนมาเป็นทรัพย์ภายใน 

วันนี้ญาติโยมทั้งหลาย เอาทรัพย์ภายนอก มาเปลี่ยนให้เป็นทรัพย์ภายใน อันนี้มันจะพ้นจากอุทกภัย อุบัติภัย โจรภัย ตามไปไม่ได้ เอาไม่ได้แล้ว เพราะว่ามันเป็นอริยทรัพย์ ทรัพย์อันนี้ เอาออกจากข้าศึกแล้ว น้ำท่วม ลมพัด ไฟไหม้ อันตรายต่างๆ อันตรายทั้งหลายเหล่านี้เข้าไม่ถึงแล้ว เพราะว่าเข้าถึงจุดมันคือที่ความสบายใจ หรือความดีใจที่ฝังไว้ในวิญญาณอันนี้ ดังนั้นพระพุทธเจ้าของเราท่านจึงเรียกว่า บุญ มันไม่อยู่ภายนอก จับเอามาข้างในซะ ท่านจึงจัดเป็นอริยทรัพย์ ทรัพย์ภายใน น้ำท่วมไม่ได้ ไฟไม่ได้ โจรลักไปไม่ได้ ส่วนนี้โยมจะสบาย ส่วนที่บริจาคไปวันเนี้ย เก็บไปที่มันดีๆแล้ว พ้นอันตรายแล้ว สบายใจ อันนี้เรียกว่า ไอ้ความสบายใจนั่นน่ะ มันไม่มีโทษอะไร ฉะนั้นการบริจาคนี้ท่านว่าปราบกิเลสส่วนหนึ่ง ซึ่งที่ว่าตัวโลภะ ซึ่งมันทำใจเราให้มัวหมอง เมื่อจิตมัวหมองแล้ว ทำไปได้ทุกประการฉันนั้น การกระทำอันนี้ของญาติโยมทั้งหลายเป็นไปในทำนองอันนี้ 

แต่อย่างไรก็ตาม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ท่านสอนว่าการให้ทาน การรักษาศีล การเจริญเมตตาภาวนานั้น รวมเข้าไปหาจุดอันเดียว จุดอันเดียวคืออันใด…จุดอันเดียวอยู่ที่ไหน…จุดอันเดียวเพื่อจะให้ถึงความสงบ หาความสงบ จากสิ่งทั้งหลายทั้งปวง เรียกว่าหาความสงบ จุดนี้คือความสงบ เมื่อได้ความสงบแล้ว ก็เรียกว่ามันจบ ก่อนจะสงบนั้นน่ะ เราจะรู้เรื่องว่า เราจะทำอย่างไร ใจเราจึงจะสงบ อย่างนี้เป็นต้น เมื่อจิตเราไม่สงบ เราจะอย่างไร มันถึงจะสงบ ถ้าเมื่อจิตสงบแล้ว ก็ถึงจุดของผู้มีพระภาคของเรานั้นน่ะ ที่ท่านต้องการที่สุดแก่พุทธบริษัททั้งหลายนั้น 

เรื่องที่จิตของเราที่ไม่สงบนั้น เพราะว่าจิตของเรานั้นน่ะ ไม่ถึงธรรมะอันแท้จริง ไม่ถึงจุดธรรมะอันแท้จริง จิตเรายังโง่อยู่ จิตเรายังไม่ฉลาด ไม่มีปัญญา รู้เท่าตามความเป็นจริง ในสภาวะธรรมทั้งหลาย สภาวะธรรมทั้งหลายนั้นที่เรียกว่าปฏิบัติธรรมะ อะไรมันเป็นธรรมะ…ทุกอย่าง สิ่งที่ไม่เป็นธรรมะ ไม่มี คือของทุกสิ่งทุกอย่างนั้นแหละ ท่านเรียกว่าเป็นธรรมะ จะเป็นรูปที่เรามองเห็นด้วยตาก็ตาม จะเป็นนาม สิ่งที่เรามองเห็นด้วยตาไม่ได้ก็ตาม เป็นธรรมะกันทั้งหมดเลยทีเดียว นี่เรียกว่าธรรมะ เรียกว่าสภาวะ สภาวะคือความมันเป็นอยู่อย่างนั้น มันเป็นเองของมันอยู่อย่างนั้น แม้พระพุทธเจ้าจะบังเกิดขึ้นก็ตาม ไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม สภาวะธรรมก็เป็นอยู่อย่างนั้นเอง ไม่แปรเป็นอย่างอื่น 

ทีนี้ความไม่สงบของเราทั้งหลายนั้น คือยังไม่ได้ประพฤติธรรมและปฏิบัติธรรม เช่นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราตรัสว่า ให้เห็นให้ถูกต้อง เรียกว่าสัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมากัมมันโต สัมมาวาจา สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้แหละ แปดประการนี้ ไม่ใช่มีแปด มันองค์ของมรรคมีแปดอย่าง มรรคมีองค์แปด เป็นองค์ของมัน มรรคมีอันเดียว คือเอกายมรรค เป็นมรรคอันเดียว และก็เป็นของบุคคลที่จะสัญจรไปคนเดียว ไปคนเดียว ไปแต่ผู้เดียว แต่มีองค์​๘ประการ เมื่อเรามาเห็นชอบ ดำริมันก็ชอบ วาจามันก็ชอบ การงานก็ชอบ เลี้ยงชีวิตมันก็ชอบ ตั้งสติก็ชอบ ตั้งใจก็ชอบ พยายามก็ชอบ มันชอบที่ตรงไหน มันชอบอยู่ที่ใจของเรานี่แหละ มันชอบ มันจะไปตรงไหนก็ช่างมัน มันออกจากจิตดวงนี้ เห็นชอบออกจากจิต ดำริชอบก็ออกจากจิต เมื่อจิตมาตั้งไว้ชอบแล้ว มันก็จะชอบกันไปหมดนั่นแหละ ไม่มีอะไรจะไม่ชอบ 

มรรคทั้งหลายเหล่านี่มันสามัคคีกันขึ้นที่จิตใจของเรา เป็นอันเดียว คือความสงบ จุดนี้เป็นทางที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราท่านตรัสว่าให้เดินมรรค อันนี้เป็นสัมมามรรค อันนี้เมื่อเราคิดแล้วจิตใจสงบ เช่นว่าเราถูกอารมณ์อันใดเกิดขึ้นมา ถ้าเราเป็นสัมมาทิฐิ มีความเห็นชอบแล้ว ทุกอย่างมันชอบทั้งนั้น ไม่มีผิด เพราะธรรมท่านสอนให้การปล่อยวาง ไม่มีอะไร เมื่อมีความสุขเกิดขึ้นมา ไอ้ความสุขอันนี้ท่านก็สอนว่าสักว่าเป็นสุข ทุกข์เกิดขึ้นมา พระพุทธเจ้าก็สอนว่า อันนี้ก็สักว่าแต่ทุกข์ ไม่มีใครสุข ไม่มีใครทุกข์ เป็นแต่ความรู้สึกเกิดขึ้นมาเฉยๆ ท่านจึงว่าสักว่าแต่สุข สักว่าแต่ทุกข์ 

ไอ้ความสุขทุกข์อันนี้ มันก็เกิดขึ้นมามี แต่ว่าเมื่อเราทั้งหลายมาประพฤติปฏิบัติธรรมแล้ว อาการของสุขนี้มันก็เกิดขึ้นมา แต่หากว่าหาเจ้าของสุขนั่นไม่มี ไม่มีใครเป็นเจ้าของ บางทีทุกข์มันก็เกิดขึ้นมา มีอยู่ แต่ว่าทุกข์นั้นไม่มีใครเป็นเจ้าของของทุกข์ เรียกว่าสุขหรือทุกข์นั้น มันเป็นมาตามเรื่องของมัน เกิดมาตามกิริยาของมัน มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น ท่านจึงบอกว่าถ้ามีความสุขแล้ว ก็ให้รู้ตามความเป็นจริงเสียว่า สุขนี้ก็สักแต่ว่าสุข ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ถ้าทุกข์เกิดขึ้นมาแล้ว ท่านก็ให้รับรู้พิจารณามันว่า ทุกข์นี้ก็สักว่าแต่ทุกข์ ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา แน่ะ ถ้าเราคิดเช่นนี้เรียกว่าเป็นสัมมาทิฐิ เราก็ไม่ได้ไปเป็นเจ้าของสุขนั้น เราก็ไม่ได้เป็นเจ้าของทุกข์อันนั้น สุขทุกข์อันนั้นเป็นของที่ไม่มีเจ้าของ นะ ไม่มีเจ้าของ 

ถ้าใครเข้าไปยึดมั่นถือมั่น มันก็ไปเป็นเจ้าของสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อไปเป็นเจ้าของสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ของทั้งหลายเหล่านั้นมันก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มันไหลไปเรื่อยๆไป บางทีมันก็หายไป บางทีมันก็ได้มา เราก็ดีอกและก็เสียใจตามวัตถุทั้งหลายเหล่านั้น เพื่อว่าอันนี้เกิดความยุ่งขึ้นมา เพราะว่าตัวมิจฉาทิฐิมันเข้ามาแทรก มันเข้ามาแทรก ให้มีความเห็นผิดเช่นนั้น เห็นผิดอะไร เราเข้าไปเป็นเจ้าของของสุข เราเข้าไปเป็นเจ้าของของทุกข์ เข้าไปแบกสุขอันนั้น ไปแบกทุกข์อันนั้นอยู่ มันก็หนัก อันนี้มันเป็นมิจฉาทิฐิในทำนองอย่างนี้ 

ถ้าเป็นสัมมาทิฐิแล้ว เวทนานี่ก็สักว่าเวทนา ท่านสอนอย่างนี้ เวทนานั่นคือความเสวยสุขหรือทุกข์ สองประการนั้นแหละ ถ้ามันเกิดขึ้นมา เวทนานี่ สุขเวทนานี่ก็สักว่าแต่สุขเวทนา ทุกข์ที่เกิดขึ้นมานี่ก็สักว่าแต่ทุกขเวทนาเท่านั้น เกิดแล้วมันก็ดับไป เจ้าของสุขนั้นไม่มี เจ้าของทุกข์นั้นมันก็ไม่มี พระพุทธเจ้าท่านให้พิจารณาอย่างนี้ เมื่อเราพิจารณาเข้าไปเช่นนี้บ่อยๆ เอหิปัสสิโก เรียกจิตเข้ามาดูว่า ดูซิว่าอันนี้คืออะไร อันนี้มันคืออะไร สุขนี้มันคืออะไร ทุกข์นี้มันคืออะไร มันเป็นของแน่นอนมั้ย มันเที่ยงมั้ย หรือมันเป็นยังไง พิจารณาตามมัน เราพอมองเห็นที่ว่าสภาวะที่เราเป็นอยู่นั้นน่ะ เราเคยสุขมามั้ย…เคยมา แล้วมันหายไปมีมั้ย…หายไปมันก็มี ทุกข์เคยมีมั้ย…เคยมีทุกข์มาทุกคน เรียกว่ามันทุกข์ไปตลอดมั้ย…บางทีมันก็หายไป นี่ เราจะไปเอาเรื่องราวอะไรกับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ นี่แหละเป็นอารมณ์อย่างนี้ นี่พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนี้ 

เมื่อเรารู้สิ่งทั้งสองประการนี้ จิตเราก็สงบ สงบ…ทำไมถึงสงบ…เพราะเราไม่ได้เป็นเจ้าของอะไรทั้งนั้น แต่ว่าเราใช้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้ตามสบาย ถ้วยโถโอชามที่มีในบ้านในช่องของเรา โต๊ะ เก้าอี้ อะไรที่มันมีอยู่นั้น ก็ไม่ใช่ของเรา เราใช้ไปเพื่อไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของเรา แต่เราใช้อันนั้นตามสบายใจโดยที่ไม่ต้องทุกข์ ใช้โดยผู้มีปัญญารอบคอบ ให้อยู่เหนือสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ให้รู้เหนือสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ถ้าไม่อยู่เหนือสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น เราก็แบกมันโดยอุปาทานว่า อันนี้ของเรา อันนี้เราเรื่อยไป อันนี้ท่านว่าเป็นมิจฉาทิฐิ ไอ้ความเห็นที่เกิดขึ้นมา เพราะให้เราเป็นทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร ผิดหวัง อันนั้น เธอจงเป็นอย่างนี้ อันนี้ แกจงเป็นอย่างนี้ ไม่ได้ตามปรารถนาตัวเรา 

ฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านสอน พุทธบริษัทเราทั้งหลายเพื่อให้พ้นจากวัฏสงสารทุกๆคน แต่ว่าเรา สัตว์ผู้ที่มีกิเลสหนา ปัญญาหยาบนั้น ก็คิดไปอย่างหนึ่ง ที่ฟังธรรมะแล้ว อะไรก็ไม่ใช่ของตน อะไรก็ไม่ใช่ของตนทั้งนั้น กลัวจะไม่ได้ ก็ไม่สบายใจ ไอ้ความเป็นจริงนั่น ที่เรียกว่าของตน ตนน่ะ หรือเรียกว่าของตนนั้น เป็นได้ แต่มันเป็นของสมมุติ แต่ว่ามันไม่เป็นวิมุตติ เราต้องเรียนรู้มันซะทุกอย่างนั่นน่ะ มันเป็นของสมมุติ 

เช่นตัวของเราเนี้ย ชื่อเราเนี่ย ไม่มีชื่อมาแต่เมื่อวันเราเกิดนะ เกิดมาแล้วมาตั้งชื่อใหม่ ชื่อเก่านั้นไม่มี เพราะมันไม่มี ทำไมมันถึงไม่มี มันว่างอยู่ตรงนั้นแหละ ตรงที่ไหนมันว่าง ก็เอาอะไรไปวางตรงนั้นก็ได้ เอาไปวางที่มันว่างๆ เพราะสัตว์เกิดมามันว่าง ไม่มีชื่อ มาตั้งชื่อให้มันเสีย ชื่อใหม่เนี่ย เอาไปใส่ใหม่ที่สมมุติขึ้นมา เป็นนาย ก นาย ข นาย ค นาย ง นี่ชื่อใหม่ สมมุติที่ตรงนั้น ทำไมจึงสมมุติมัน เพราะตรงนั้นมันไม่มีอะไร ไม่มีอะไร จึงสมมุติว่าให้มันเป็นนาย ก นาย ข เสีย นาย ก นาย ข นั้นจึงถูกสมมุติขึ้นมา ไม่ใช่นาย ก จริง นาย ข จริง เป็นนาย ก สมมุติ นาย ข สมมุติ มันไม่ใช่วิมุตติ 

ถ้าไปถามถึงแล้ว จริงๆนี่มันจะไม่มีอะไร เป็นสภาวะธรรมเท่านั้น เกิดแล้วมันก็ดับไป ดับไปแล้วเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไป เกิดๆดับๆอยู่เช่นนั้น สภาวะทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อเรานำเอาอันนี้ไปพิจารณา จะได้เห็นตามความเป็นจริงของพระพุทธเจ้าท่านสอนจริงๆ ท่านสอนจริงๆ ฉะนั้นเราจึงเอาเรื่องอันนี้ไปประพฤติปฏิบัติ เมื่อเราเห็นตามความเป็นจริงมันเช่นนั้นแล้วนะ ไม่ใช่ว่าเราจะทุกข์ ไม่ใช่ว่าเราจะจนลงไป เห็นว่าอันนี้ไม่ใช่เรา อันนี้ไม่ใช่ของเราเช่นเนี้ย ยิ่งสบายกว่าเก่า ยิ่งสบาย ใช้ของนั้นอย่างสบายๆ บางคนถ้าคิดเช่นนั้นแล้วว่า ไม่อยากจะทำการงานอะไร ทำแล้วก็ไม่ใช่ของเรา ไอ้ความเป็นจริงนั่นน่ะ ไอ้คนที่ทำอะไรก็ว่าใช่ของเรานั่นแหละ คนนั้นเป็นทุกข์มาก มันเป็นทุกข์มากทีเดียวแหละ เมื่อเราทำไปๆๆอยู่ ก็เห็นว่าอันนี้ทำไปเพื่อการกระทำ แต่ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ทำไปด้วย วางไปด้วย ละไปด้วย นี่ตามความเป็นจริงของมันเช่นนั้น อันนี้เป็นสัมมาทิฐิ ความเห็นชอบ มีอะไรรู้สิ่งทั้งหลายตามเป็นจริงของมันเสียเช่นนั้น อันนี้เรียกว่าเป็นของสมมุติ รู้จักสมมุติแล้ว เราก็สบายใจกัน 

เรื่องสมมุติ คือสมมุติให้มันเป็นขึ้นมา เช่นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราท่านว่า ไอ้ที่ตรงนั้นนั่นน่ะมันว่าง ท่านสอนท่านโมฆราช ท่านสอนว่าพระโมฆราช ท่านจงมองดูโลกอันนี้ให้เป็นของว่าง แน่ะ อย่างนี้คนก็ตกใจนะ มองดูโลกนี้ให้เป็นของว่าง มัจจุราชจะตามไม่ทัน จะมองไม่เห็นตัวเรา นี่ท่านสอนพระ มองให้เห็นเป็นของว่าง คำที่ว่าเรามองให้เห็นเป็นของว่างนั่น เห็นว่ามันจะไม่มีอะไร มองดูกระโถนนี่ มันกระโถนมันก็มีอยู่ มองดูถ้วย ดูจานนี้ มันก็มีถ้วยมีจานอยู่ ไม่ใช่ว่ามันไม่มี แต่มันมีอยู่ในที่ว่างๆ มันเป็นของว่าง จะถามกระโถนใบนี้หรือว่า แกเป็นอะไร มันก็ไม่ตอบเรา ก็มันก็ไม่เป็นอะไร จะเรียกว่ามันเป็นกระโถนก็ได้ ก็เราสมมุติมัน หรือเราจะเรียกว่าว่าหม้อก็ได้ เพราะเราไปสมมุติมันขึ้นมา ไอ้ตัวจริงของมันนั้นมันไม่มีอะไร เราก็ไปยึดมัน ยึดมั่นถือมั่นมัน 

ยกตัวอย่างเช่นว่า คนสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งเป็นคนฉลาดมาก กลุ่มหนึ่งเป็นคนโง่ ไปซื้อของในตลาดมา ไอ้คนกลุ่มที่โง่ไม่รู้จักน่ะ ก็ไปซื้อเอาหม้อมูตรมา หม้อมูตร เอามาก็มาตักข้าว หุงใส่ กินกันสบายนะ แต่ก็ไม่รู้เรื่อง ไอ้ที่คนฉลาดมาเข้ามาเห็นก็ว่า ทำอะไรกันเนี่ย มันน่ารังเกียจ เนี่ย มีหม้อมูตรเนี่ย มันเอามาเป็นหม้อข้าวยังไงกันเนี่ย น่ารังเกียจ อย่างนี้เป็นต้น นี่กลุ่มหนึ่งเป็นคนโง่ กลุ่มหนึ่งเป็นคนฉลาด ทำไมถึงจะรังเกียจมันเล่า หม้อมูตรนั่นก็ใหม่ๆ ไม่ได้ไปทำอะไรก็เหมือนหม้อธรรมดาเนี่ย มันก็สะอาดอยู่แล้ว ทำไมจะรังเกียจมันเสีย ก็เพราะว่าเราไปยึดว่ามันเป็นหม้อมูตรนั่นเอง ไอ้ความเป็นจริงมันเป็นหม้อสะอาดธรรมดาเรานี่แหละ นี่เข้าไปยึดมั่นถือมั่น มันเลยเกิดทุกข์ขึ้น เกิดรังเกียจขึ้นมาแล้ว ก็ไปเห็นคนนั้น เอ๊ะ ไอ้นี่มันโง่นะ อันนี้มันเป็นหม้อมูตรนะเนี่ย เอามาตักข้าวทำไมหละ ไอ้คนสองคน เรียกว่าคนไหนฉลาด คนไหนโง่ อันนี้เรียกว่าวัตถุ หม้อมูตรมันก็ไม่รู้จักมัน หม้อธรรมดามันก็ไม่รู้จักมัน เราไปสมมุติว่าหม้อมูตร ก็เลยรังเกียจ เอาไปใส่แกงก็รังเกียจ เอาไปใส่ข้าวก็ไปรังเกียจมันทุกอย่าง นี้ ใครรังเกียจใคร นี่เพราะเราเห็นผิด ติดสมมุติ ถ้าเป็นหม้อมูตร ไปเป็นหม้อมูตรจริงๆ ไม่ใช่อย่างนั้นน่ะ 

เมื่อพูดไปถึงความเป็นจริงแล้วน่ะ มันเสมอกันน่ะ วัตถุสองอย่างนี้ แล้วแต่เราจะใช้มันเถอะ เมื่อมันสะอาดอยู่ก็ใช้มันไป เอาไปทำอะไรก็ได้ เรื่องของมันเป็นอย่างนั้น ถ้าเรารู้ความเป็นจริงมันแล้ว มันก็ไม่มีอะไร ไม่ได้ไปเป็นเจ้าของอะไร มีหม้อมูตรมาก็ใช้มันได้ มีหม้อธรรมดาก็ใช้มันได้ สบาย อันนี้เรียกว่ารู้ รู้ตามเป็นจริงของมันแล้ว เช่นว่ากระโถนใบนี้ เราก็เรียกมันขึ้นว่าเป็นกระโถน แต่ความเป็นจริงมันไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร จะเรียกว่ามันว่าถ้วยก็ได้ จะเรียกมันว่าหม้อก็ได้ นี่เรียกว่าสมมุติเอา ความสมมุติเช่นนี้น่ะ คนเอามาติดสมมุติเช่นนี้เอง จึงเกิดเป็นมิจฉาทิฐิแล้ว ก็จึงเกิดติดสมมุติ สมมุติว่าตัวตน สมมุติว่าตน สมมุติว่าของๆตน 

อันนี้พระพุทธเจ้าของเราท่านว่าเป็นภาษาโลก สมมุติเพื่อให้รู้จักกันเท่านั้นเอง อย่างคนเกิดมาก็เป็นคนธรรมดากันนั่นแหละ แต่มาสมมุติว่าเป็นนาย ก นาย ข นาย ค นาย ง ขึ้นมา เพื่ออะไร เพื่อให้มันใช้ในภาษานั่น รู้จักกัน จะเรียกว่านาย ก คนนั้นมันก็มา จะเรียกว่านาย ข คนนั้นมันก็มา เพื่อให้มันสะดวกแก่การเรียก การใช้ในโลกกันเขาเท่านั้นเอง เมื่อรวมกลุ่มเข้าไปแล้ว ก็ไม่มีอะไร เป็นอะไรหมด ทุกสิ่งทุกอย่างรวมตรงนั้น ฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงว่า ให้พูดอย่าง ใจอย่าง เค้าเรียกว่ากระโถน ก็เรียกกับเขาได้ เค้าเรียกว่าหม้อมูตร ก็เรียกว่าได้ นี่จะพูดอย่าง ใจอย่าง คือพูดปรับตัวให้เข้าถึงโลกเขา เสมอกับโลกเขา ความเป็นอยู่ในโลกอันนี้ ฉะนั้นพระพุทธเจ้าและสาวกของท่านทั้งหลายนั้น ท่านก็มีความเป็นอยู่กับประชาชนทั้งหลาย กับอันธพาลทั้งหลาย กับโจรทั้งหลาย กับคนธรรมดาทั้งหลายเนี่ย ท่านก็ปรับตัวเข้าอยู่ได้ เพราะท่านรู้จักสมมุติ เพราะท่านรู้จักวิมุตติ รู้จักความเป็นจริงมันเช่นนั้น เมื่อเรารู้จักเช่นนั้น ใจเราก็สบาย สงบ ไม่เกิดความยึดมั่นถือมั่น เป็นธรรมดาของมัน เรารู้จักว่าอันนี้เป็นสมมุติ อันนี้เป็นวิมุตติ รู้ตามเป็นจริงแล้ว ตอนนี้หละ ใจก็ไม่วุ่นวาย จิตใจมันก็วาง 

ฉะนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราท่านจึงให้ปฏิบัติธรรมะ ปฏิบัติธรรมะมันเป็นยังไง ธรรมะคือของทุกสิ่งทุกอย่างที่เรียกว่าธรรมะ สิ่งที่ไม่เป็นธรรมะ ไม่มีในโลกอันเนี้ย ทุกอย่างจะมองเห็นด้วยตาก็เป็นธรรมะ จะได้ยินด้วยหูก็เป็นธรรมะ จะได้กลิ่นด้วยจมูกก็เป็นธรรมะ มันเป็นธรรมะไปหมด เพราะว่าธรรมะแปลว่าสภาพที่ทรงตัวมันอยู่อย่างนั้น มันเกิดแล้วมันก็ดับไปเช่นนั้น มันไม่ต้องการอะไรของมันทั้งนั้น มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นเอง ทุกสิ่งทุกอย่างต่อไปก็น้อมเข้ามาถึงกายและใจของเรานี่เอง ไม่ได้อยู่อื่นไกล ไอ้ความดีทั้งหลาย ความชอบทั้งหลาย การปฏิบัติทั้งหลาย มันอยู่ที่กายกับใจของเรา ไม่ใช่มันเป็นของมาก กายนี้อย่างหนึ่ง ใจนี้อย่างหนึ่ง เดี๋ยวนี้สิ่งสองสิ่งนี้ก็อยู่กับพร้อม ก็เรียกว่าเรา มีอยู่ เรื่องกายเรื่องจิตนี่มีอยู่แล้ว ก็คือข้อปฏิบัติกายกับใจเราที่นี่ รู้กันที่นี่ มีของสองอย่างเท่านี้เอง 

ถ้าพูดตามพระสูตรก็พิสดารไปหลายอย่างหลายประการ เมื่อสรุปลงแล้วเห็นว่าธรรม รูปธรรม นามธรรม เป็นรูปธรรม เป็นนามธรรม สิ่งที่เรามองเห็นด้วยตาของเรานี้เรียกว่ารูป อันนี้ก็มีอยู่ เราก็เห็นมันอยู่ว่าเกิดแล้ว แก่ เจ็บ ตาย ทุกคนก็เป็นมาอย่างนั้น จิตใจของเรานี่ก็เหมือนกัน มันก็เกิดมาแล้ว มันก็ดับไป กายกับจิตทั้งสองอย่างนี้ เรียกว่ารูปกับนามนี้เป็นของไม่เที่ยง เป็นของไม่แน่นอน ของไม่จริงไม่จัง พวกเราทั้งหลายก็อยู่อาศัยธรรมอันสองประการนี้คือ รูปกับนาม พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า อย่าไปเอาจริงเอาจังกับมันเลย ของที่มันไม่จริงไม่จัง เราจะไปเอาจริงเอาจังกับมันเช่นนั้นไม่ได้ มีแล้วก็หาไม่ เกิดแล้วมันก็หายไป มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น 

ถ้าหากว่ามันไม่จริงนี่ ไอ้ความจริงมันอยู่ที่ไหน…ไอ้ความจริงก็คือ มันเป็นอยู่อย่างนั้นเอง มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น อันนี้คือความจริง มันแปรมันปรวนเป็นอยู่อย่างนั้นน่ะ ฉะนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราท่านเรียกว่า อันนั้นน่ะเป็นธรรมะที่มีอยู่ในกายในใจเราทุกวันนี้ เมื่อเราสร้างคุณงามความดีทั้งหลาย ทั้งปวงนั้นก็เพื่อให้เรามุ่งเข้าไปเห็นธรรมอันนี้ตามความเป็นจริง เห็นเป็นจริง เห็นยังไง เห็นว่าอันนี้มันไม่เที่ยง เห็นว่าอันนี้มันเป็นทุกข์ เห็นว่าอันนี้มันเป็นอนัตตา คือไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันถึงเป็นของมันอย่างนั้น ถ้าเราไม่รู้เรื่องอนิจจัง เราก็ไปยึดมั่นหมายมั่นมัน มันก็เปลี่ยนไป เราก็ทุกข์ มันเกิดขึ้นตรงนี้ 

มิฉะนั้นท่านจึงสอนว่า โอปนยิโก ให้น้อมเข้ามา อย่าน้อมออกไป น้อมธรรมเข้ามาหาใจเรา น้อมใจเข้าไปหาธรรม ดูธรรมทั้งหลายอยู่ที่จิตใจของเจ้าของ เห็นจิตใจก็เห็นธรรมะ เห็นธรรมะก็เห็นจิตใจ สิ่งสองสิ่งนี้มันรวมกันอยู่เท่านั้นเอง เราหลงสิ่งสองสิ่งนี้เท่านั้นเองซึ่งมีอยู่ในตัวของเรานี้ ไอ้ที่ความไม่สงบนั้นก็เรียกว่า มันเป็นเฉพาะความรู้สึกนึกคิดเท่านั้นเอง ไม่ใช่มีอะไร ไม่ใช่เป็นตัวเป็นตนอะไร เกิดแล้วมันก็หายไปเช่นนั้น ฉะนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราให้สร้างประโยชน์ ให้เราพากันสร้างประโยชน์ปัจจุบันอันนี้ อย่าไปรอไว้ว่าพรุ่งนี้ หรือมะรืนนี้ 

อดีต ปัจจุบัน อนาคต มันรวมอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันที่เราอยู่กันนี้ก็คือผลของอดีต อดีตก็คือสิ่งนั้นมันเป็นเหตุของปัจจุบัน เมื่อถึงปัจจุบันนี้ ปัจจุบันนี้เป็นผล เมื่อปัจจุบันเป็นผลนี้ ปัจจุบันเป็นเหตุ อนาคตเป็นผล ทางพุทธศาสนาเค้าเรียกว่า อันนี้แหละเป็นวิบาก เกิดจากการกระทำดี กระทำชั่ว เกิดการกระทำดีกระทำชั่ว เรียกว่าวิบาก ฉะนั้นวิบากทั้งหลาย อดีตก็ดี อนาคตก็มารวมอยู่ที่ปัจจุบัน เรานั่งอยู่เนี่ย ทำเสียเมื่อเรามีอยู่ มีชีวิตอยู่ในปัจจุบันนี้ รีบทำ ท่านก็ว่าอย่าไปห่วงอนาคตเลย อย่าไปห่วงอดีตเลย ทำไมท่านถึงพูดอย่างนั้น เพราะว่าที่เราอยู่อย่างนี้เพราะมันเป็นผลของอดีตอยู่แล้ว ที่เราอยู่เดี๋ยวนี้มันก็เป็นเหตุของอนาคตอยู่แล้ว เมื่อเราอยู่ในปัจจุบันนี้ มันก็เรียกว่า ไอ้อดีตอนาคต มารวมที่จุดอันเดียวคือปัจจุบัน 

ฉะนั้นมาทำปัจจุบันนี้ให้มันเป็นปัจจุบันอันนี้ ปฏิบัติเห็นธรรมในปัจจุบันว่าวันนี้เราทำอะไร ว่าเดี๋ยวนี้เราคิดอะไร เนี่ย จิตของเราวันนี้ทุกข์มั้ย สุขมั้ย เป็นอะไรมั้ย ก็เห็นในปัจจุบันนี้ ไม่ต้องตามไปถึงอดีตแล้ว ไม่ต้องตามไปถึงอนาคตแล้ว เพราะเหตุมันก็อยู่ตรงนี้ ผลมันก็อยู่ตรงนี้ ฉะนั้นพระพุทธเจ้าของเราท่านจึงสอน เมื่อตรัสรู้ธรรมใหม่ๆ แล้วท่านก็มาเทศน์เป็นปฐมโพธิกาล ท่านเทศน์เรื่องกามสุขัลลิกานุโยโค อัตตกิลมถานุโยโค สองประการอันนี้เอง สองประการอันนี้

กามสุขัลลิกานุโยโค คือความสุข ติดในความรัก ติดในความสุข ติดในความสบาย จมลงไปลึก มันลึก ไม่ค่อยจะเห็น ทิ้งยากเหลือเกิน เนี่ย ไอ้ความสบาย ไอ้ความสุขความลึกเนี้ย เป็นกิเลส่วนหนึ่งที่คนมองไม่เห็น แล้วก็คนก็ปรารถนาด้วยแหละเรื่องกาม เรื่องสุข สบายให้มันจมลงไปในพื้น ไม่ค่อยเห็นเนื้อเห็นตัว ติดความสบายแล้ว เนี่ย อันเนี้ยพระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่าเป็นกามสุขัลลิกานุโยโค ถ้าผู้ประพฤติปฏิบัติให้ถึงความสงบ เมื่อเห็นเช่นนี้ให้ระวัง เหมือนไปเห็นทางโค้ง จะได้เห็นป้ายทันทีว่าไอ้นี่โค้ง โค้งอันตรายนะ เห็นมั้ย เรานั่งรถไป เห็นทางโค้งๆ เห็นมั้ย นั่นน่ะ โค้งอันตราย โชเฟอร์ต้องระวัง โค้งอันตรายนะ สุข ถ้าคนจมในความสุขนั้นน่ะ โอ้ย มันสบาย มันจมลงไปลึก ไม่ค่อยเห็นเนื้อเห็นตัวเลย ไม่ค่อยเห็นว่ามันผิด ไม่ค่อยเห็นว่ามันเป็นทางโค้ง ไม่ค่อยเห็นว่ามันเป็นอันตราย ไอ้ความรัก ความสุขนั่นแหละ อันนี้ประการที่หนึ่ง 

ประการที่สอง ท่านพูดถึงความทุกข์ คือความไม่ชอบ หรือพูดถึงความโกรธซะก็ว่าแล้วมันก็เป็นโค้งเหมือนกัน โค้งอันตรายเหมือนกัน อันนี้คนไม่ชอบ เป็นกิเลสอันนี้ แต่คนไม่ชอบ ทุกข์ ไม่ชอบ มันเป็นอัตตกิลมถานุโยโค ไม่ชอบ แต่สุขนี่ชอบ ทุกข์ ไม่ชอบ สุข ฉันจึงชอบ ไอ้ความเป็นจริงนั้นน่ะ สุขหรือทุกข์เนี่ยนะ มันมีโทษเท่าๆกัน มันมีโทษเท่าๆกัน มีคุณค่าเท่าๆกัน แต่ว่าสุขนั้นน่ะ มันเข้าข้างเรา ไอ้ความรักนั่นมันเข้าข้างเรา ไอ้ความเกลียดน่ะมันไม่เข้า มันอยู่ข้างนอก มันหยาบเหลือเกิน มองเห็นได้ง่ายๆ เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็ไม่ใจดี ดีใจไม่ได้ ไอ้ความดีใจนั้นแหละ เราพากันแสวงกัน แสวงหาความดี ดีใจ ดีใจก็เป็นกิเลสอย่างยิ่งเหมือนกันนะ เหมือนกันกับความที่ไม่ดี 

ธรรมะน่ะ จริงแล้วน่ะพระพุทธเจ้าท่านไม่ให้ยินดียินร้าย ไม่ให้ยินดียินร้าย เราประพฤติปฏิบัติ ทำยังไงมันจะถูกต้อง กามสุขัลลิกานุโยโค อัตตกิลมถานุโยโค เราเห็นสองข้างเสมอเลยทีเดียว สุขเกิดมารู้อย่างหนึ่ง ทุกข์เกิดมาเรารู้ สองอย่างนี้ พระพุทธเจ้าว่าปฏิบัติให้เป็นสัมมาปฏิปทาของจิต เมื่อเห็นความสุขเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ให้รู้โทษของมัน อย่าไปติดมันเลย อย่าไปหมายมั่นมันเลย อย่าไปยึดมันมั่นหมายมันเลย ให้เห็นว่าสุขนี้ก็สักว่าแต่สุขเท่านั้น มันก็หายไป ทุกข์เกิดขึ้นมาก็เหมือนกัน ให้รู้ว่าสภาวะคือทุกข์เนี้ย ก็สักว่าทุกข์เท่านั้น ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขาเป็นทุกข์ ทางซ้ายท่านก็ไม่ให้ไป ทางขวาท่านก็ไม่ให้ไป ให้ท่านตรงแน่นอน ก็เลยทุกข์ไว้ข้างนี้ สุขไว้ข้างนี้ นี่เป็นสัมมาปฏิปทาของจริง 

ถ้าเราประพฤติปฏิบัติ เมื่อจิตมันเป็นเช่นเนี้ยนะ จิตมันผิดจากทางเราก็รู้จัก เมื่อมีความรักเกิดขึ้นมา มันจะไปยึดมั่น เราก็บอกมัน เอ้ย อันนี้ก็อันตรายเหมือนกัน แน่ะ สิ่งใดๆที่เราไม่ชอบ เราก็เป็นทุกข์ เราก็เตือนจิตเราว่า เอ้อ อันนี้มันก็อันตรายเหมือนกัน ที่ไหนที่ไม่เป็นอันตรายอยู่ที่ไหน…ที่มันไม่สุข ไม่ทุกข์นั่นแหละ ไม่เข้าข้างสุข ไม่เข้าข้างทุกข์นั่นเอง ตรงนั้นเป็นสัมมาปฏิปทาของพระอริยเจ้าทั้งหลายที่เดินไป นั่นเรียกว่าเป็นปฏิปทาพอดีๆ นี่เรียกว่าถูกต้องแล้ว เราต้องรู้จักธรรมะก่อน อันนี้พระพุทธเจ้าของเราท่านย้ำเหลือกัน เพราะท่านติดมาหลายภพหลายชาติแล้ว ท่านก็นึกว่าสุขนั่นดี ท่านก็เอาที่สุขนั่นแหละ ทุกข์ท่านก็ไม่เอาทั้งนั้น ท่านเข้าใจว่ามันดีแล้ว ไอ้ความเป็นจริง สุขน่ะมันเปลี่ยนของมันได้ มันก็ไม่แน่เหมือนกัน 

ดีๆนี่ก็เหมือนกัน ประพฤติดี เมื่อได้ดีแล้ว ให้อยู่เหนือมันนะ อย่าไปยึด ให้มันรู้จักดี ถ้าไม่รู้จักดี มันก็ไม่ดีอีกแล้ว มันเป็นเช่นนั้น ฉะนั้นจึงว่าธรรมะเนี้ย มันอยู่ที่จิตใจของเราผู้ที่มีปัญญามองเห็นได้ง่ายๆ เห็นที่กายที่จิตของเจ้าของนี่เอง มันจะหลอกลวงเราอยู่ทั้งวันทั้งคืนนั่นแหละ ไม่ใช่อื่นหรอก อันเดียวอันเก่านี่แหละ ให้มันเปลี่ยนไปมาอยู่เสมอเลยเชียว ฉะนั้นพวกเราทั้งหลายให้พยายามมอง มองตามธรรมะคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราอันมีอยู่ ถ้าเรามีความรู้อยู่ เราก็เห็นอยู่ เห็นอยู่ก็รู้อยู่ ฉะนั้นท่านจึงว่าภาวนาให้เห็น ยกลมหายใจเข้ามาสู่จิต แล้วเรียกว่าพุทโธๆๆ 

คำว่าพุทโธเนี่ย ไม่ใช่รู้แต่ลมอย่างเดียวเท่านั้นนะ พุทโธนี่มันกว้างไปหมดทุกอย่างหละ รู้ทางที่ผิด รู้ทางที่ถูกทั้งหมด ไม่ใช่ว่าพุทโธๆ บางคนจะเข้าใจว่าภาวนาพุทโธๆน่ะ จะเอาคุณงามความดี อารมณ์เช่นนี้ คำที่ว่าพุทโธนี่ทำให้เป็นอารมณ์อันเดียว ที่เรียกว่าอารมณ์ฟุ้งซ่านรำคาญ เอาอารมณ์เนี่ยเป็นหลัก เอาลมนี้เป็นหลักไว้ เพื่อจิตเราให้ยับยั้งให้เห็นอยู่ในพุทโธอันนี้เท่านั้นเอง พุทโธนี่รู้สารพัดทุกอย่าง เหมือนพระพุทธเจ้าของเราตรัสมา ท่านย่อเป็นคำพูดอันนี้ว่าเป็นพุทโธๆ บางคนจะไปภาวนาพุทโธ ไม่เห็นจะได้อะไร บางทีก็ง่วงนอนด้วยซ้ำ ไม่เห็นผลประโยชน์มัน พุทโธนั่นท่านแปลว่าผู้รู้หรือผู้ตื่น ก็เรื่องจิตใจเรานี่เองเป็นผู้รู้และก็เป็นผู้ตื่น 

เมื่อจิตเราสงบ ทำจิตสงบเรียกว่าสมถะภาวนานะ สมถะภาวนา วิปัสสนาภาวนาในครั้งพระพุทธเจ้าของเราไม่ค่อยมี มีแต่ว่าท่านประพฤติหรือปฏิบัติธรรมเท่านั้น บรรลุซึ่งธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ บัดนี้เรามาแยกว่าสมถะ วิปัสสนา บางคนก็เข้าใจแยกกันออก ฉันจะทำสมถะซะก่อน อีกปีสองปีฉันจะทำวิปัสสนา ไอ้ความเป็นจริง สิ่งสองสิ่งนี่มันแยกกันไม่ได้ มันแยกไม่ได้ กำลังของสมถะคือความสงบ อย่างเราอยู่บ้านมันวุ่นวาย ออกมาอยู่ป่าซะ มันไกลรูป ไกลเสียง กลิ่น รสอย่างเนี้ย กิเลสมันก็มีอยู่แต่มันห่างหน่อย มาอยู่ที่นี่มันสงบ เพราะไม่เคยได้ยิน ไม่ได้ฟัง ไม่ได้เห็น อยู่ไปนานๆไป มันก็สงบ สงบชั่วคราว นี่เรียกว่าสมถะ คือมาหลบอารมณ์อยู่ แต่ว่าเมื่ออารมณ์มันมากระทบ ไม่สบายอีกแล้ว เท่านี้กำลังเท่าเนี้ย 

ก่อนอื่นสมถะนี่เป็นบทบาททางแรกมัน จะต้องมาพักผ่อน จะต้องมาให้มันมาสงบเป็นบทบาทของมันครั้งแรกเท่านั้นเอง ต่อไปนั้นไอ้ความสงบในที่เนี้ย มันไม่ใช่เป็นของสงบที่แท้จริง สงบที่แท้จริงคือความรู้ เกิดขึ้นมาจากความสงบอันนั้น รู้แจ้งตามสิ่งทั้งหลายทั้งปวง รู้เท่ารู้ถึง ถ้าเรารู้ไม่ถึง มันก็ไม่สบาย มันก็เป็นสมถะ ถ้ามันรู้ถึง มันก็สบาย เช่นกระโถนใบเนี้ย เราทุกคนก็เรียกว่ากระโถนกันทั้งนั้นหละ รู้ แต่ว่ามันรู้ไม่ถึง ถ้าไปบ้านอื่นเค้าเรียกว่า หม้อ เราก็จะไปว่าเค้าอีกหละ แน่ะ เรียกว่าหม้อ เค้าเรียกว่าหม้อกัน เราก็จะไม่สบายใจ ไอ้ความเป็นจริงนั่นคือเรารู้ไม่ถึงมัน รู้ไม่ถึงกระโถน ถ้ารู้ถึงมันน่ะ เค้าจะเรียกว่ากระโถน แล้วก็จะสบาย เค้าจะเรียกว่าหม้อ เราก็สบาย เพราะวัตถุนี้ไม่มีกระโถนในที่นี้ ไม่มีหม้อในที่นี้ มันจะเกิดเป็นกระโถนขึ้นมา เราก็สมมุติว่ามันเป็นกระโถน มันจะเกิดหม้อขึ้นมา เราก็สมมุติมันว่าหม้อ แต่แล้วทางในความเป็นจริง เราจะเรียกว่าหม้อกับเขาก็ได้ เรียกว่ากระโถนกับเขาก็ได้ ถ้าเรารู้ตามเป็นจริงและรู้ถึงที่รู้แล้ว จะเรียกอะไรก็สบายอยู่ มันเป็นเช่นนั้น 

อารมณ์ทั้งหลายทั้งปวง เมื่อเราลืมตาขึ้นมาแล้ว จิตเราสงบ ทำไมมันถึงสงบ มันรู้ตามความเป็นจริงของมัน เหมือนกับบุคคลที่รู้กระโถนใบนี้ ให้ถึงกระโถน ถ้าคนรู้ถึงกระโถนแล้ว ไม่มีอะไร เค้าจะเรียกว่าถ้วยก็ได้ เค้าจะเรียกว่าหม้อก็ได้ เค้าจะเรียกว่ากระโถนก็ได้ ใจก็ยังสบายอยู่ เพราะมันรู้ถึงกระโถนเช่นนั้น ฉันใดก็ฉันนั้นเหมือนกัน ถ้าเรารู้ธรรมะในรูปอันนี้ ในนามอันนี้ตามเป็นจริงแล้วเช่นนั้น เราก็จะพากันมีความสบาย สงบอยู่จากอันนี้ สักกายทิฐิ วิจิกิจฉา สีลพตปรามาสอันนี้ มันก็จะเกิดขึ้นไม่ได้ ไม่ได้สงสัยแล้วในสมมุติอันนี้ ในขันธ์ก้อนนี้ ในกองอันนี้ ในรูปอันนี้ ในนามอันนี้ ไม่สงสัยแล้ว ไม่ยึดถือเป็นเนื้อเป็นตัวของเรา เห็นตามเป็นจริงแล้ว สีลพตปรามาส ลูบคลำก็ไม่ลูบคลำ ไอ้ความรู้สึกนึกคิดอันนี้ อันนี้เป็นกิเลสอย่างหนึ่ง ถ้ามันหายออกจากใจของบุคคลเรานั้น ก็เปลี่ยนทันทีเลยว่าเป็นอริยจิต อยู่เหนือสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น อันนี้คือผลเกิดจากการประพฤติปฏิบัติให้รู้ตามเป็นจริงเรียกว่าปัญญา 

มิฉะนั้นญาติโยมเราทั้งหลายก็ค่อยๆทำไป ค่อยๆทำไป ทำสมถะมันเป็นอยู่ในนี้แหละ วิปัสสนามันก็เป็นอยู่ในนี้แหละ แยกกันไม่ได้หรอก แต่พูดแยกกันได้ แต่ว่าไอ้ตัวมันแยกกันไม่ได้ เช่นว่ามะม่วงใบหนึ่ง มันจะแยกมันออกไม่ได้ มันยังเล็กอยู่ มันยังเล็กอยู่แล้วมันก็โตขึ้นมา แล้วพอเมื่อมันสุก ก็แยกมันไม่ได้ เมื่อมันมีเล็ก มันก็มีโต เมื่อมีโต มันก็มีเล็ก มะม่วงใบเดียวเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เปลี่ยนไปๆเป็นนั้นน่ะ มันเปลี่ยนไป จึงกว่ามันจะสุกก็มะม่วงใบเดียวอันนั้นน่ะ มันจะแยกมันไม่ได้หรอก จะแยกสุกๆดิบๆ มันไม่ได้หรอกมะม่วงใบนั้น มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น เราจะได้เห็นว่า ในระยะหนึ่งนะ มันจะเปรี้ยว ในระยะต่อมา มันสุกมันจะหวาน ไอ้เปรี้ยวมันไปไหนหละ มันก็มาเป็นหวานนั่นแหละ เปลือกมันก็เขียว เมื่อมันสุกแล้วมันก็เหลือง ไอ้เขียวมันไปไหนแล้ว มันก็มาเป็นเหลืองนั่นแหละ มันไม่เป็นอะไรหรอก มันแยกกันไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้นเหมือนกัน 

เหตุธรรมะที่พระพุทธเจ้าของเราให้ประพฤติปฏิบัติมันติดกัน มันชิดกัน จนเราแยกไม่ออก เพราะฉะนั้นกิเลสทั้งหลาย มันก็เกิดจากที่นี่เอง จะทำจิตใจของเราไม่สบาย เพราะเราไม่รู้รูปอันนี้ ขันธ์อันนี้ ก้อนอันนี้ กองอันนี้ตามเป็นจริง ถ้าเรามีความสบายแล้ว มันเป็นสัมมาทิฐิ มันรู้รูปอันนี้ตามเป็นจริง รู้นามอันนี้ตามเป็นจริง รู้ก้อนอันนี้ตามเป็นจริงแล้ว มันก็ว่าง ฉะนั้นเมื่อวางแล้ว มันมีความรู้อยู่รอบๆอยู่ มันระวังมันอยู่เรื่อยๆไป เรื่อยๆไป อันตรายมันรู้จัก ความสุขเกิดขึ้นมามันก็รู้ ไอ้ความทุกข์เกิดขึ้นมา มันก็รู้ ไอ้ความดีใจเกิดขึ้นมา มันก็รู้ ความเสียใจเกิดขึ้นมา มันก็รู้ รู้อะไร รู้ว่าอันนี้มันเป็นอันตราย มันก็ไม่เข้าไปใกล้ 

ฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านสอนว่าเป็น กามสุขัลลิกานุโยโค อัตตกิลมถานุโยโค ทั้งสองประการนี้ เป็นธรรมอันสมณะผู้ทำความสงบ อย่าพึงแวะเข้าไปเลย เป็นธรรมของชาวบ้าน ไม่ใช่เป็นธรรมของสมณะ สมณะคือใคร…สมณะคือจิต ผู้ต้องการให้จิตสงบนั้น ให้รู้สิ่งทั้งสองนี้ ไม่ใช่ว่าสมณะเหมือนอาตมาบวชอยู่เนี้ยนะ สมณะอันนั้นคือจิต ถ้าจะทำจิตของเราให้สงบแล้ว อย่าไปวิ่งตามความสุขอันนั้น อย่าไปวิ่งตามความทุกข์อันนั้น อย่าไปวิ่งตามความดีใจอันนั้น อย่าไปวิ่งตามความเสียใจอันนั้น ให้เป็นผู้มีปัญญารอบรู้อยู่เสมอว่า สุขนี้เป็นของไม่เที่ยง ทุกข์นี้ก็เป็นของไม่เที่ยง ไอ้ความดีใจนี่ก็เป็นของไม่เที่ยง ไอ้ความเสียใจนี้ก็เป็นของไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ ให้เราเห็นอยู่เช่นนี้เอง ไม่ตามใครทั้งนั้นแหละ ไม่เข้าข้างใครทั้งนั้นแหละ ธรรมะนี่ เดินตรงไปเช่นนี้ บุคคลนั้นจะสงบ ผู้ตามไปตามความสุขนั่นแหละ คนนั้นจะทุกข์ ผู้วิ่งตามความทุกข์นั้นแหละ คนนั้นก็จะทุกข์ 

นี้พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ไปครึ่งๆเช่นนี้ เป็นสัมมาปฏิปทา พูดเรื่องจิตนะ ไม่ใช่พูดเรื่องอื่น พระพุทธศาสนานี้ เป็นเรื่องของจิต ไม่ใช่เรื่องของกาย ไม่ใช่เรื่องของเนื้อหนัง มันเรื่องของจิต มันเรื่องของจิต เราจะต้องมาพิจารณาซึ่งจิต เพราะจิตนี้มันเป็นเหตุทั้งหมดเลยทีเดียวแหละ เราจะได้เห็นสุข มันเกิดมากจากจิต มันเป็นผู้รู้เลยทีเดียว ทุกข์มันเกิดมา ใครรู้…จิตมันเป็นคนรู้ มันเป็นคนรับทุกส่วนอยู่ในเนี้ย ถ้าเรามาตามดูจิตของเราแล้วน่ะ มันจะเห็นจิตของเรา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงตามดูจิตของตน ผู้ได้ตามดูจิตของตน ผู้นั้นจะพ้นจากบ่วงของมาร เพราะเราทำจิตของเรา ตามดูจิตของเรา เพราะจิตเป็นผู้รับรู้ เป็นผู้รับเห็น เป็นผู้รับเอาความสุข ความทุกข์ ถ้าเราตามดูจิตของเราอยู่ เราก็ไม่เป็นคนอนาถาเท่านั้นแหละ เป็นพุทธบริษัทโดยสมบูรณ์เท่านั้นแหละ มีความรู้อยู่ มีความเห็นอยู่ มีความเป็นอยู่อย่างนั้น จะยืนก็ตาม จะเดินก็ตาม จะนั่งก็ตาม จะนอนก็ตาม รู้อยู่อย่างนั้นเอง มันเป็นอยู่อย่างนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว กิเลสทั้งหลายจะได้มาอยู่ในจิตใจ แปลงอยู่ในใจให้เศร้าหมอง ไม่ผ่องใส อันนั้นก็เป็นไปไม่ได้ เป็นไปได้ยากเหลือเกิน มันไม่เป็นไปเพราะความรู้ เพราะผู้รู้ผู้ตื่น เห็นอยู่ รู้อยู่ ทั้งการยืน การเดิน การนั่ง การนอน เช่นนั้น เป็นต้น อันนี้คือผลที่เราประพฤติปฏิบัติให้ถึงความสงบระงับ 

วันนี้ญาติโยมเราทั้งหลาย ที่ได้มาบำเพ็ญการบริจาค สมาทานซึ่งศีล ได้ฟังพระธรรมเทศนาในวันนี้ ทั้งสามประการนี้ รวมเข้ามาเป็นกลุ่มอันเดียวกัน เพื่อจะทำจิตของญาติโยมตั้งให้รวมเป็นสัมมาทิฐิ เมื่อรวมเป็นสัมมาทิฐิแล้ว ไม่วันใดก็ไม่วันหนึ่ง มันถึงที่สุดทุกข์จริงๆ ฉะนั้นพระพุทธเจ้าของเราท่านจึงสอนให้ถึงความสงบ ไอ้ความสงบนี่มันเลิศจุดหมายแล้ว มันเป็นเช่นนั้น ฉะนั้นวันนี้เวลาที่ญาติโยมทั้งหลาย ที่ได้มานั่งฟังธรรมนี้ เวลานี้มันก็ เวลาของโยมมันจะน้อย แต่เวลาของเวลาน่ะมันมากหรอก จะได้เหนื่อยกันละมั้ง ทีนี้ก็เอาแต่ว่าพอสมควร 

การบรรยายธรรมะมาวันนี้ก็ให้น้อมกลับไปเป็นโอปนายิกธรรม ให้ไปเข้าถึงใจของเจ้าของ ให้อยู่ในใจของเรา อย่าไปมองอย่างอื่น ให้มองจิต อะไรมันเกิดขึ้นจากจิต มันเป็นอยู่ที่จิต ให้มองที่จิต ความฉลาดเห็นอยู่ที่จิต ความโง่เห็นอยู่ที่จิต สุขทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงเห็นอยู่ตรงนั้น นี่คือ เอโก ธัมโม ธรรมมีอันเดียวคือจิตอันนี้ มิฉะนั้นญาติโยมทั้งหลายจงน้อมไปโอปนยิโก น้อมธรรมะนี้ไว้ในใจ จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน ให้มีความรู้อยู่ เห็นอยู่ เป็นอยู่ ประพฤติอยู่ ปฏิบัติอยู่เรื่อยๆ ปฏิบัติผิดตรงไหน ปฏิบัติว่าธรรมมันปรากฏขึ้นมา ธรรมอะไรปรากฏขึ้นมา เมื่อความไม่สบายปรากฏขึ้นมา เมื่อความโกรธปรากฏขึ้น เมื่อความโลภปรากฏขึ้นมา อยู่ในรถ อยู่บนรถก็ปฏิบัติมันตรงนั้น สอนมันตรงนั้นแหละ ไม่ใช่ว่าที่ปฏิบัติอยู่หนองป่าพง 

ขอจะอำนวยอวยพรให้ญาติโยมทั้งหลายซึ่งเป็นผู้ที่ตั้งใจดีแล้ว ตั้งเจตนาดีแล้ว มาถวายผ้าป่าในวันนี้ ขอส่วนคุณงามความดีอันนี้จงปกปักษ์รักษาญาติโยมทั้งหลาย ที่มีจิตศรัทธามีจิตกันมาในวันนี้ ผลที่สุดนั้น ขอให้ท่านทั้งหลาย จงมีส่วนแก่พระนิพพานในอนาคตกาลข้างหน้าโน้น