Skip to content

ความสุขในทางธรรม

หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ

| PDF | YouTube | AnyFlip |

เมื่อพร้อมเพรียงกันแล้ว ตั้งใจปฏิบัติจิตภาวนา การปฏิบัติจิตภาวนานี้ ทุกท่านทุกคนล้วนแต่เป็นผู้ที่มีศรัทธา ตั้งใจมาปฏิบัติเพื่อบำเพ็ญประโยชน์ คือความสุขให้บังเกิดขึ้นในตัวของเราทุกๆคน การภาวนาก็เป็นส่วนหนึ่ง เป็นหนทางที่ให้เกิดความสุข ถ้าหากว่าเราปฏิบัติอบรมจิตใจให้มีกำลัง อุปกรณ์ของการภาวนานั้นก็จำเป็นจะต้องมีอยู่บ้าง เราคิดแต่เพียงภาวนาต้องการความสงบ ถ้าไม่มีกำลังช่วยหนุนแล้ว เพียงแต่คิดใครๆก็คิดไป เพียงแต่อยาก ใครๆก็อยากได้ แต่ที่จะได้ความสงบเป็นสมาธินั้นจะต้องมีอุปกรณ์เครื่องสนับสนุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยย่อๆแล้ว คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เราตรวจเวลานี้ 

ความสำรวมกายของเรา พร้อมหรือยัง เมื่อพร้อมแล้ว นั่งเรียบร้อยแล้ว เราเข้าใจเถิดว่า ศีลของเราพร้อมแล้ว ตรวจวาจาของเรา เวลานี้เราหยุดสนทนาปราศรัยกัน หยุดวิตก วิจาร ฟุ้งซ่านไปภายนอก เรื่องภายนอกต่างๆ เพราะวิตกวิจารนั่นเป็นสังขารของวาจา ที่ให้เกิดวาจาออกมาเพราะตรึกก่อนนึกก่อนแล้วจึงพูด เพราะฉะนั้นเราไม่ได้ตรึกถึงสิ่งภายนอก แต่ว่าเราสำรวมในการคิด เหลืออย่างเดียวที่เราระลึกทำคำบริกรรม เพื่อให้จิตตังนั่นเป็นสมาธิ 

วาจาของเราก็ถูก ได้อบรมแล้ว ศีลของเราก็เราระลึกได้แล้ว สมาธิของเราคือสติระลึกต่อเนื่องกันด้วยความเพียรพยายามที่เราตั้งใจมั่น ส่วนปัญญาอาศัยศรัทธาความเชื่อความเลื่อมใสที่เราทั้งหลายได้ตั้งใจที่เคยสดับตรับฟังมาเรียกว่า สุตมยปัญญา เราได้ยินมาด้วยดีแล้ว จินตมยปัญญา เราก็ได้ตรึกตรองพิจารณาวิจัยเลือกแล้ว ตกลงใจแล้วว่าการปฏิบัติอบรมจิตภาวนานี้ เราเชื่อในจิตใจ ยังบริสุทธิ์ใจแน่วแน่ว่าเป็นทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้เราพ้นจากทุกข์ ให้ได้ถึงซึ่งความสุขที่แท้จริง ในใจของเราเชื่อมั่นแน่วแน่ นี้ก็เป็นส่วนปัญญาที่เรียกว่าเป็นเครื่องตัดความกังวลใดๆ สงสัยใดๆในการปฏิบัติภาวนาออก เพื่อจะได้มุ่งมั่นในการภาวนาอย่างเดียว นี้ก็เป็นส่วนปัญญาที่รอบรู้หรือรู้รอบในกองสังขาร 

บรรดาสังขารทั้งหมด ความปรุงความแต่งทั้งหมด ซึ่งความปรุงแต่งมรรคไม่ได้ ความปรุงแต่งมรรคจิตภาวนานี่เป็นความปรุงแต่งที่ประเสริฐ ถึงแม้จะเป็นสังขารอยู่ ยังไม่ละเอียด แต่ก็เป็นเหตุให้สร้างความรู้ตัว สร้างสติ สร้างความเพียรในจิตใจภายในให้บังเกิดความรู้อันแน่นหนาและมั่นคง ส่วนไหนที่เกิดขึ้นในจิตใจเวลานั้นหรือในปัจจุบันนั้น เราก็จะได้รู้ชัด สะกดชัด สิ่งนี้เป็นส่วนที่ทำจิตของเราให้ตั้งมั่น ให้ละความกังวลภายนอก เป็นเหตุให้เรารู้ ได้สัมผัสในจิตที่สงบและวิเวก แจ้งประจักษ์ในตัวของเรา เราก็ประคับประคองพยายามภาวนา อาศัยความรู้ คอยเพ่งเล็งจิตให้มีความเพียรพยายามดำเนินไปด้วยดี 

ถึงแม้ว่าเราทำซ้ำๆซากๆก็ตาม เราก็ควรทำด้วยความพอใจเพราะเป็นเบื้องต้น เหมือนกับเรามีเท้าสำหรับเดิน เมื่อเราต้องการเดินแล้ว เราก็ใช้เท้าเดินทุกวันๆ ทางเราก็เดินทุกวันๆ หรือขึ้นบันได เราก็ขึ้นทุกวัน ลงทุกวันไม่เคยเบื่อ เพราะจำเป็นจะต้องขึ้น จำเป็นจะต้องลง จำเป็นจะต้องอาศัยเท้าขึ้น ฉันใดก็ดีเราทั้งหลายที่เราอาศัยความเพียร อาศัยสติระลึกคำบริกรรมอยู่นั่น จำเป็น เพราะเป็นการเตรียมดำเนินเพื่อเข้าสู่ความสงบและความละเอียด เพราะปกติเมื่อเราออกจากสมาธิแล้ว จำเป็นจะต้องใช้จิต ใช้สติระลึกการระลึกงาน ระลึกสิ่งอื่นต่างๆเอามาใช้ เวลาเอาไปใช้แล้ว เราต้องการปฏิบัติเราก็ต้องกลับมาอีก ดำเนินตามทางที่เราไป 

เหมือนกับเราเลิกจากงานแล้ว จำเป็นจะกลับเข้าบ้าน เมื่อเข้าบ้านก็จำเป็นจะออกไปทำงาน ก็จะอยู่แต่ในบ้านตลอดไปก็ไม่ปลอดภัยเพราะความหิวโหยผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น ทะนุบำรุงมีอยู่ หรือเราจะทำแต่งาน ทิ้งบ้านทิ้งช่อง ยุ่ง มันก็ไม่ปลอดภัย เพราะร่างกายนี้จะต้องอาศัยพักผ่อน อาศัยความสงบ เมื่อเป็นเช่นนี้ถึงเวลาทำงานเราก็ทำ เวลากลับบ้านพักผ่อนเราก็พักผ่อน การปฏิบัติจิตภาวนาก็เช่นเดียวกัน เมื่อเวลาเราใช้สติ ใช้จิตนี่ระลึกการงานสิ่งแวดล้อมภายนอก ภาระจำเป็นจะต้องทำ เราก็เอามาใช้ เมื่อเวลาเราเลิกใช้แล้ว เราก็เตรียมเพื่อความสงบ เราก็จำเป็นจะต้องสำรวมมีสติ มีความระลึกทำคำบริกรรมภาวนาอยู่ตลอด 

แต่ถ้าหากว่าเราชำนาญ ทำไปๆคล่องแคล่วแล้ว ก็ไม่เป็นอุปสรรค ไม่เป็นสิ่งที่น่ารำคาญ เลยกลับไปเป็นสิ่งที่ผลดีแก่การปฏิบัติให้ยิ่งๆขึ้นไป เพราะเหตุใด เพราะกำลังศรัทธาเลื่อมใส ถ้าเราได้ปฏิบัติเห็นความสงบเห็นความสุขบังเกิดขึ้นเสมอๆ เราก็เป็นเครื่องตัดสินใจได้ว่า ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว ที่มีความสุขอันละเอียดปราณีต ความสุขอย่างยิ่งคือความสงบ เพราะฉะนั้นเราจะปล่อยจิตให้คลุกเคล้าอยู่แต่ภายนอกโดยส่วนเดียวนั้น ไม่ควรแก่เรา ชื่อว่าชีวิตของเราไม่มีประโยชน์เลย ส่วนชีวิตที่ได้อบรมจิตใจ ซักฟอกให้ได้ความสงบ ประจำอยู่ทุกวันๆทุกเวลานั้น เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ เราต้องการจุดนี้ เราบำรุงอัตภาพร่างกาย พอมีชีวิตอยู่ได้ ก็เพื่อเอาความสุขในทางอบรมจิตใจของเราให้สงบนี่เอง เป็นแก่นของชีวิต 

ส่วนความสุขที่ได้จากร่างกายที่โรคไม่กำเริบนั้น มันมีชั่วคราว เราไม่ควรหวังอะไรมากนั้น ความสุขอันเกิดขึ้นจากวัตถุ ที่เรียกว่าอามิส คือได้ปัจจัย ๔ มาบำรุงร่างกายนี้อยู่ได้ เราทั้งหลายก็ได้ตรวจตรองพินิจพิจารณาแล้ว ความสุขของร่างกายนี่เป็นของนิดหน่อยชั่วคราวเท่านั้น แท้ที่จริงถ้าเราดูให้ละเอียดลึกซึ้ง เอามาเปรียบเทียบกับความสงบแล้ว ปรากฏว่าร่างกายนี้ไม่มีความสุขเลย เพียงแต่ว่าทุกข์มันกำเริบ เราก็มาแก้ไขให้มันน้อยลง ให้สงบไปชั่วคราว ชั่วระยะเท่านั้น ไม่ใช่ว่ามันไม่มีทุกข์ ส่วนทุกข์นั่นคอยเผาอยู่ในตัวของเราตลอดเวลาเพราะมันทรุดโทรมตลอดเวลา มันกระทบกระเทือนกับสิ่งภายนอก กับเย็นร้อนอ่อนแข็ง เกี่ยวแก่โรคภัยไข้เจ็บวิปริตแปรปรวนอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวปวดนั่น เดี๋ยวปวดนี่ เดี๋ยวเจ็บตรงนั้น ตรงนี้ 

ถ้าเราตรวจดูให้ดีแล้ว พระพุทธเจ้าจึงว่า ขันธ์ ๕ นี่เป็นภาระอันหนัก เป็นทุกข์จริงๆ ทุกข์เพราะเกิด ทุกข์เพราะแก่ ทุกข์เพราะเจ็บ ทุกข์เพราะตาย เวลาเกิดก็ทุกข์แสนทุกข์ ทั้งผู้ให้กำเนิด ทั้งตัวเองที่เข้าไปเกิด แต่อาศัยที่มันผ่านมาแล้ว โมหะความหลงมาเห็นสิ่งอื่นที่น่าชื่นใจ น่าปรารถนาอยู่ในโลก ที่ตาเห็น หูได้ยิน ก็เลยมัวเมา เพลิดเพลินอยู่ที่นั่น ก็เลยมาได้เปลี่ยนอารมณ์ใหม่ๆระบายถ่ายเทไป เราก็ลืมทุกข์ที่มันผ่านไปๆ ถึงมีทุกข์ใหม่ตามมาเกิดขึ้น แต่เราก็ไปใช้ชีวิตมัวเมา หลงเพลิดเพลินอยู่ตรงนั้น ผลสุดท้าย มันก็ทุกข์ที่อะไรช่วยไม่ได้ ก็เมื่ออยู่ไปๆ ก็ร่างกายคร่ำคร่าทรุดโทรม ตาเคยผ่องใสก็มืดมัวไป หูเคยได้ยินก็หนักไป กำลังวังชาเคยคล่องแคล่วก็หายไป ยิ่งจะมากไปเท่าไหร่ ก็พยุงตัวเองไม่ได้ กลับเป็นเด็กอีกเสียแล้ว ต้องให้เค้าป้อนข้าว ต้องให้เค้ายกขึ้น ช่วยตัวเองไม่ได้ นี่ กลับทุกข์ขึ้นมา 

เมื่อทุกข์เหล่านี้เกิดขึ้น เราระลึกถึงความสุขด้วยอามิสข้าวของเงินทองที่เราเคยมี หรือยศถาบรรดาศักดิ์ หรือความยกย่องสรรเสริญ ลาภยศต่างๆที่บรรดาลมี ที่ให้เกิดความสุขแต่อดีตนั่น กลับมาช่วยอะไรไม่ได้เลย ช่วยอะไรเราไม่ได้ มีแต่ทุกข์ล้วนๆ สิ่งที่ช่วยเราได้มีอย่างเดียวเท่านั้น คือการอบรมจิต เข้าสมาธิ ให้จิตมีสติดี ระลึกด้วยดี สำรวมดี มีปัญญาเป็นเครื่องตัดกระแสอุปสรรคจากกิเลสที่มันขัดขวางได้ขาด เข้าถึงความสงบ 

แม้เวทนาที่เกิดขึ้นจากขันธ์ ๕ ด้วยอาศัยอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้ากำลังจิตพอ สามารถจะตัดอันนั้นเข้าสู่ความสงบอย่างแน่วแน่ ทุกข์ดับไปอย่างแน่นอน เราทั้งหลาย ถ้าไม่ได้ฝึกสมาธิแล้ว ถึงเวลานั้นเราจะอยู่ได้อย่างไร มีแต่ทุกข์ครอบงำ มีแต่เศร้าหมองในจิตในใจ เราจะได้ที่พึ่งตรงไหน นี่แหละที่ท่านให้เราสวดอยู่เสมอว่า ที่พึ่งของเราอย่างอื่นไม่มี มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งอันประเสริฐ จุดเนี้ยเราจะเห็นที่พึ่งของเราไม่มี อะไรช่วยไม่ได้ซักอย่าง เราคนเดียว ลูกหลานก็ช่วยไม่ได้ สามีภรรยาก็ช่วยไม่ได้ ครูบาอาจารย์ก็ตามไปช่วยไม่ได้ มีแต่การปฏิบัติที่เราสั่งสมอบรม ศีล สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรอันนี้เอง ที่เราสามารถทำจิตของเราให้เข้มแข็ง ตัดกระแสอันนั้น เข้าสู่ความสงบได้อย่างแน่นอน มีความสุข ไม่ต้องใครมาช่วย 

เพราะฉะนั้นเราทั้งหลายต้องฝึกแต่เดี๋ยวนี้ ถึงเวลานั้นฝึกไม่ได้ ก็เหมือนกับนักรบที่จะมีชัยในสมรภูมิ ถึงเวลาจะรบ เราจึงไปจับอาวุธ ไม่มีทางจะไปสู้เขาได้ เค้าต้องเตรียมไว้ ซ้อมไว้อยู่ตลอดเวลา เราก็ต้องเตรียมไว้ ซ้อมไว้อยู่ตลอดเวลา นักมวยที่จะชิงชัยชนะได้ก็เช่นเดียวกัน ไม่ใช่ว่านั่งๆนอนๆ ลงไปแล้วก็ตีมวย ได้ชนะเป็นแชมป์โลก เป็นไปไม่ได้ ต้องอดทน ต้องเพียร ต้องพยายาม ต้องฝึก ต้องซ้อม จึงสามารถได้ชัยชนะได้รางวัลได้ ฉันใด การภาวนาเพื่อเอาชนะทุกข์ที่อยู่แวดล้อมสะกดรอยเราอยู่ตลอดเวลา เราจะต้องเตรียมพร้อม จะต้องระมัดระวัง แล้วจะต้องรักษาอยู่ตลอดเวลา เผลอไม่ได้ แม้จะไปที่ไหนก็ตาม ให้มีสติกำกับระลึกรู้อันนั้น อันไหนเป็นฝ่ายไหน เพราะกิเลสทั้งหลายบางพวกเป็นจารบุรุษปลอมมาหลอก ให้เราหลง มาล่อลวงให้เรา ถ้าเราไม่ดูให้ชัดๆ เราก็เสียท่าให้มัน นึกว่าดี นึกว่ามีความสุข นึกว่า…เหมือนกับคนที่ปลอมแปลงตัว เอาคนไปขายคนนี่แหละ ทำท่าเป็นมิตร ทำท่าจะให้ความสุขความเจริญสะดวกสบายทุกอย่าง ช่วยเหลือทุกอย่าง พอได้ไปอยู่ในอำนาจของเขาแล้วนะ เสียท่าแล้ว หมดหนทาง เสียเปรียบ

เราทั้งหลายมีองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระบรมครูสอนให้เรามีสติมีปัญญา อย่าให้เสียเปรียบแก่พญามาร อย่าให้มาร ถูกหลอกลวงให้เราหลงอยู่ตลอดไป เราควรใช้สติปัญญาที่เราได้ศึกษามาดีแล้ว ให้เป็นตัวของตัวเอง ให้มีความเด็ดเดี่ยวเด็ดขาดในการสิ่งที่คาดว่าอันนี้หลอกลวงเรา เรียกว่ารู้เท่าสังขาร คือปัญญาอันนี้เอง ก็สังขารที่…ฝ่ายที่มันมาในรูปแบบหลายอย่าง ที่ทำให้เราหลง มีผู้พลาดท่าเสียทีมากต่อมาก คนที่จะหลุดพ้นเนี่ยมีจำนวนน้อยเพราะรู้ไม่เท่าสิ่งเหล่านี้เอง เพราะเหตุนั้นเราทั้งหลายพยายาม ตั้งจิตภาวนาสังเกต ถึงแม้ว่าจะมีอุบายเล่ห์เหลี่ยมมาหลอกขนาดไหนก็ตาม แต่มันก็ไม่เป็นสิ่งที่เหนือวิสัย ถ้าเรามีสติดี มีความเพียรดี มีความระลึกดี ปฏิบัติด้วยความเคารพ ตั้งใจศึกษา สำเหนียกด้วยเหตุด้วยผล หลักแห่งความจริงแล้วเราก็จะเอาชนะได้ ไม่สงสัย เราจะได้ถึงซึ่งความสงบ ถึงความผ่องใส ถึงความสะอาดบริสุทธิ์ 

เพราะฉะนั้นเราทั้งหลายควรพยายามสังวร สติสังวร ญาณสังวร แม้แต่สติหรือการระลึกก็ต้องสำรวม แม้แต่ความรู้ก็ให้สำรวมเพื่อให้พอดี เป็นมัชฌิมาปฏิปทา นอกจากนี้สำรวมตา สำรวมหู สำรวมจมูก สำรวมลิ้น สำรวมกาย สำรวมใจแล้ว ยังมีสติสังวร ยังมีญาณสังวร เพื่ออะไร ก็เพื่อให้อยู่ในจุดที่เราต้องการคือสมาธิ ให้มันแน่วแน่ ไม่ให้เผลอ ไม่ให้เถลไถลไปทางอื่น ให้มันแน่วแน่ 

ถ้าเราทำอยู่ได้นิจ ติดต่อเนื่องกันไปสักพักหนึ่ง เป็นศัตรูเครื่องเผากิเลส กิเลสทั้งหลายมันไม่ชอบให้เรามีสติ ชอบทำลายสติ ชอบทำลายความเพียรเรา พอเราไปทำนิดหน่อยแล้ว มันก็เสนอเข้ามา กลัวอย่างนั้น กลัวอย่างนี้ ถ้าเสนอทางกลัว เราก็ไม่กลัว ทำไปด้วยความกล้าหาญ มันเสนอทางอ่อน ทางให้สงบ ให้เบา แล้วก็ให้หลับ ให้ขี้เกียจลงไป นี่มันเล่ห์เหลี่ยมของมัน มันมีหลายอย่าง เรื่องมารกิเลสเรียกว่านิวรณ์ ถ้าไม่มันฟุ้งซ่าน มันก็ให้ง่วงเหงาหาวนอน มันมีอยู่สองอย่าง เพราะฉะนั้นเราต้องสายกลาง ระลึกสติอยู่ให้เสมอ ดำรงไว้ รู้เท่ามายาของมาร เรียกว่ารู้เท่าสังขารที่มันหลอก มันหลอกให้ฟุ้งซ่านก็สังขาร มันหลอกให้ขี้เกียจขี้คร้าน อยากหลับอยากนอน นั่นมันก็สังขาร เราไม่เอา รู้เท่าทั้งสองอย่าง ไม่เอา 

เราเอาภาวนาพุทโธของเรา เอาสติความระลึก เอาความรู้ตัว ทำใจให้สบาย เฉยไปๆ ผลที่สุดมารก็ดี นิวรณ์ที่ว่านี้ก็ดี มันมีอายุชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น มันหมดกำลัง เหมือนกับลูกปืนที่ยิงไป แล้วมันก็พุ่งไปขณะหนึ่ง ถ้าหากว่ามันหมดกำลังมันก็ตกไปเอง มันจะตั้งอยู่ตลอดไปไม่ได้ สังขารทั้งหลายมันก็ไม่เที่ยง เพราะฉะนั้นเราสนับสนุนกำลังสังขารในส่วนที่เป็นมรรคเป็นผล ทางกุศลในทางนี้ให้มีกำลังเหนือกว่า ถึงจะเป็นสังขารก็สังขารในส่วนที่เป็นทางออกจากทุกข์ เราเอาสังขารนี้แต่ส่วนที่มีประโยชน์ ให้มีต่ออายุไขและกำลังใจในทางนี้เหนือกว่า เราจะได้ชัยชนะ มันก็พ่ายแพ้ เราได้ถึงความสงบและความสุขแน่วแน่เที่ยงตรง 

ถึงคราวนั้นเราอัศจรรย์ เมื่อเราได้ชนะแล้ว มีรางวัลภายใน ไม่ต้องใครให้ เกิดขึ้นเฉพาะในใจของเราเอง ได้รับรางวัลที่น่าภาคภูมิใจเกิดขึ้น ใครๆถ้าไม่แข็งแรงพอ ไม่มี ไปไม่ถึง ไม่ได้เพราะอย่างอื่น ได้เพราะความพยายามโดยจำกัดที่จริง เพราะฉะนั้นเมื่อได้ยินได้ฟังแล้ว พากันจำไว้ให้ดี สิ่งใดบรรยายมาสมควรแก่เวลา หยุดแต่เพียงเท่านี้ก่อน