หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร
เทศนา วันที่ ๒๒ มิ.ย. ๒๕๔๖
ฤดูกาลคือฤดูร้อนจะหมด จะหมดฤดูแล้วก็ใกล้เข้าสู่ฤดูฝน ระหว่างความร้อนกับความเย็น ฝนมันก็เย็นน้ำ ร้อนมันก็ร้อนแสงแดด ร้อนธาตุไฟ มันใกล้มันมาบรรจบกัน น้ำกับไฟ มันเป็นธาตุ มันเป็นธรรมเครื่องมีอยู่ในร่างกายของเรา เรียกว่าเป็นภูตธาตุ ภูตธาตุนี่มันเป็นพวกตั้งอยู่เป็นภูเขา ตั้งอยู่ในตัวของเราทุกคน คือภูเขามันก็เป็นชื่อของดินของต้นไม้หละทีนี้ แต่ว่าร่างกายที่มันเป็นธาตุ มันเป็นสิ่งที่มีในตัวเรา มันจึงว่าภูตธาตุ เมื่อความเปลี่ยนแปลงหรือว่าการเป็นอยู่หรือการทรงไว้ซึ่งสภาพคือความร้อน ความเย็นอย่างนี้ เช่นนั้นธาตุคือธรรม หรือว่าทรงตัวของเราไว้ มีอยู่ในร่างกายของตัวเรา ท่านจึงเรียกว่าภูตธาตุ มันตั้งอยู่เหมือนตัวภูเขา แล้วมันก็มีอยู่ในตัวของเรา แล้วมันมีครบ มีทั้ง ๔ ธาตุ คือมีน้ำ มีไฟ แล้วก็มีดิน มีลม นั่นมันเป็นธาตุเป็นธรรมที่มีอยู่กับร่างกายของคนเรา แล้วก็มีอยู่กับพื้นโลกที่เราอาศัยอยู่นี่ มันก็ติดกันอยู่กับตัวเรา เวลามันมีอาการ มันหมุนเวียน มันกระทบ มันก็เกิดอาการขึ้น อย่างที่ว่ามันทำให้หนาวก็ได้ ทำให้ร้อนก็ได้
เหตุนั้นธาตุธรรมคือสิ่งที่ปฏิบัติแล้วก็เป็นเครื่องทรงอยู่ ทรงอยู่ซึ่งสภาพตามสิ่งที่มีอยู่ในโลกในตัวเรานั่นน่ะ คำว่า ธาตุ แปลว่าทรงไว้ซึ่งธรรม ถ้าเรามากำหนดเอาร่างกายของเรา มาปฏิบัติตัวของเรา แล้วก็เราปฏิบัติตามธรรมะ ตามธุดงค์ ตามข้อวัตรอย่างนี้ แต่ทว่าเรามาทำธรรมะสิ่งที่มีในตัวเราให้เกิดความรู้ขึ้นมาในร่างกายในจิตของเราให้รู้จัก รู้จักว่ามันมีที่มา สิ่งที่ตัวเราได้มานี่ แล้วสิ่งต่างๆที่เรามีอยู่ ได้อาศัยอยู่ทุกวันนี้ มันก็มาจากธรรม จากการปฏิบัติ แล้วการปฏิบัตินั้น มันก็ต้องได้รับการฝึกสอนอบรม คือการที่ท่านให้คำแนะนำหรือให้กรรมฐาน ให้อุบายเพื่อจะปฏิบัติร่างกาย ปฏิบัติธรรมที่มีอยู่ในตัวเราให้มันเกิดขึ้นให้มันรู้ปรากฏขึ้นมาอย่างนี้
แต่ว่าเราก็รู้ธรรมดามาแต่เกิด มันไม่ใช่มันไม่รู้ แต่เรารู้ไปตามธาตุต่างๆทีนี้ เราไม่ได้รู้จักแก้ ไม่ได้รู้จักป้องกันรักษาอย่างนี้ ก็เรื่องคำสอนตามพระพุทธศาสนาคือสอนเรื่องปฏิบัติ คือสอนกันสอนแก้สิ่งที่เราเข้าใจผิด ทำผิดมาก่อนแล้วก็ได้เป็นนิสัย เป็นอุปนิสัยเป็นปัจจัยที่จำมาที่ทรงความรู้มา มันเป็นฝ่ายกิเลส ฝ่ายสิ่งที่ไม่ดีอย่างนี้น่ะ ส่วนการปฏิบัติท่านก็สอนให้เราแก้ให้เราขัดขูดชำระออกจากจิตของเรา เรียกว่าผลของการปฏิบัติมันเป็นการแก้ การเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่ผิดมา การทำผิดมา คำพูดผิดมา ความคิดผิดมาก่อน มันมีที่มาอย่างนี้ ดังนั้นการที่เรามาสู่รูป สู่ร่างกายเรานี่ มันมาจากความมืด และก็มาจากความกำหนัดยินดี มาจากความหลง มันทำให้เราได้มาเกิด อย่างคนมาเกิดนี่ เรามาเกิด คนอื่นมาเกิดมันก็มาทางเดียวกัน มาที่เดียวกันอย่างนั้นแหละ
แต่ความแตกต่างจากที่มาที่เกิดน่ะนะ จากการปฏิบัติมาอบรมมาอย่างนี้น่ะ อย่างที่เรานับมา เริ่มต้นจากที่เราเกิดในชาติปัจจุบันนี่ เกิดจากพ่อแม่แต่ละคนอย่างนี้ อันนั้นคือเราเริ่มต้น แต่ส่วนที่มันยาวต่อไปเบื้องหลังนั่นแน่ะ จึงเป็นชาติก่อนชาติที่ล่วงมาน่ะ เราไม่ต้องเอามานับมาต่อ มันมีมาก่อนแล้ว แล้วมันก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างนี้แหละ เหมือนกับเรานับผลการปฏิบัติ อย่างเราปลูกพืชผลประจำปี อย่างที่ว่าเราปลูกข้าวอย่างนี้ เป็นพืชประจำปีของคนเราแต่ส่วนปีก่อนๆไปเราก็ไม่นับแต่เราก็ได้พืชได้พันธุ์มาจากปีก่อนนั่นแหละ ได้เชื้อได้ข้าวปลูกมา มันถึงได้เอาหว่านมาปลูกมาทำปักดำได้ ถ้ามันไม่มีเชื้อมีพันธุ์มาจากเก่า มันก็ไม่มีที่จะมาเพาะ
แต่ว่าที่เราจะนับการปฏิบัติ เราก็นับปี นับเริ่มต้นอย่างนี้ อย่างที่ว่าตามพระพุทธศาสนาท่านก็นับ ต้นปี นับฤดูฝนอย่างนี้ เป็นต้นปีของพระพุทธศาสนา อย่างที่ว่าพระพุทธเจ้าของเราอุบัติขึ้นมาในโลก นับตั้งแต่ท่านได้ตรัสรู้เป็นพระศาสดา เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะนี่ ก็นับตั้งแต่นั้นมาก็ ๔๕ พรรษาอย่างนี้ ท่านก็นับกันอย่างนั้น คือนับปี นับพรรษา นับกาลเวลาของฤดู ก็เหมือนอย่างที่เราอยู่ปัจจุบันนี้ มันก็เป็นฤดูที่จะมาชนกันมาต่อกัน คือร้อนกับฝน น้ำกับไฟ อย่างนี้มันจะต่อ มันก็มีการกระทบ มีดินฟ้าอากาศที่ให้เราได้สัมผัส มันก็จะร้อนๆ มันก็จะมีอาการรบกวนทำให้ร่างกายของเรานี่ได้รับความรู้สึก มันก็เป็นสิ่งที่เกี่ยวกับว่าภูตธาตุที่มีในตัวเราคือสิ่งที่มีเชื้อที่มีในร่างกายเรา ถ้าตัวเราไม่มีธาตุมีภู มีที่ตั้งมีภูมิรับอย่างนี้ มันก็ไม่รู้ ถ้าอย่างคนตายอย่างนี้ ธาตุมันดับ ธาตุมันไม่รับไม่ทำงาน มันไม่รู้แล้วว่าดินฟ้าอากาศของฤดูกาลโลกมันจะเป็นอย่างไร มันก็ไม่รู้ แต่มันรู้ได้ก็เพราะว่าจิตเรามีธาตุในตัวของเรายังครบถ้วน ยังทำงานอยู่ มันก็จะรับรู้หละทีนี้ ทีนี้จิตของเราก็รู้ไปตามอาการของมัน บางทีเราก็มีความคิดเกิดอารมณ์ขึ้นว่ามันไม่พอดี แล้วมันไม่พอเหมาะกับความต้องการของจิตเราอย่างนี้ บางทีมันร้อน มันเหงื่อออก มันเหนียวตัว มันอะไร มันมีประจำเป็นภูตธาตุ เป็นภูตธรรมที่มีประจำโลกมานาน
เช่นนั้นพระพุทธเจ้าท่านก็อนุญาตหลักพระวินัยไว้อย่างนั้น อย่างที่ว่า ๑๕ วันจากท้ายฤดูร้อน ๑๕ วันก่อนฤดูฝน รวมกันแล้วเป็นหนึ่งเดือน ก็เป็นอากาศที่ไม่ค่อยดีเพราะมีผลกระทบ จะทำให้ร้อนๆหนาวๆ ทำให้ร่างกายมีเหงื่อไคลไหล ท่านก็ทรงอนุญาตให้ ถ้ามีศรัทธาของทายก ทายิกาถวายผ้าอาบน้ำฝน ซึ่งเป็นผ้าที่สำหรับใช้ในฤดูฝน หรือนอกนั้นถ้าเราไม่มีที่จะได้มา เรารู้จักว่าผู้คนมีศรัทธาอยากทำบุญ ท่านก็จะปรารภให้เขารู้สึกเกิดศรัทธามีสติระลึกขึ้นว่าตอนนี้ใกล้จะถึงฤดูฝน เขาก็จะนึกได้ทีนี้ เขาก็จะถวายผ้าอาบน้ำฝนอย่างนี้ บางวัดก็ปฏิบัติกันมาเป็นกิจเป็นประจำนั่นแหละ ศรัทธาบางที่บางกลุ่มเขาก็รวมกันทำอย่างนี้ เขาทำทุกปี แต่ของที่เรานี่ เราไม่ได้รวมกันทำมา เราทำอย่างอื่น เราถวายเฉพาะผ้าออกพรรษา ส่วนผ้าอาบน้ำฝนนี่ที่อื่นเขานำมาถวาย เขานับจำนวนพระอย่างนี้ อย่างทางอำเภอฝางเค้านี่ทำมาประจำเป็นสิบๆปี ถึงเวลาเค้าก็จะมาถวายผ้าอาบน้ำฝนอย่างนี้ อันนั้นเป็นกาลทาน คือเป็นการให้ทานตามกาลตามฤดูนั่นหละ ก็พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ถวาย แต่ถ้าเราถวายนอกฤดูก็ได้ มันก็ไม่ผิดอะไร มันก็เป็นบุญ
แต่คนเราถ้าทำถูกกาล ตามฤดู มันก็จะเป็นคุณเป็นประโยชน์กว่า คือมันได้ใช้ตามเหตุการณ์สถานที่ อย่างที่ว่าฤดูที่มันร้อนมันเหงื่อไคลอะไร ผ้ามันก็เปื้อนง่าย ก็ได้ใช้ทีนี้ผลัดเปลี่ยนนุ่ง ท่านจึงทรงอนุญาตให้ใช้ไปก่อน คือพินทุ อธิษฐานใช้เป็นชื่ออื่นก่อน ภายในหนึ่งเดือนก่อนฤดูฝน พอถึงฤดูฝนท่านก็ให้อธิษฐานเป็นชื่อผ้าอาบน้ำฝนเพราะว่าเป็นฤดูที่ถึงแล้ว เพราะพระองค์ทรงเห็นโลกที่มันเป็นธรรม เป็นภูตธาตุ ภูตธรรมที่มีอยู่มานาน ถึงรอบปีซึ่งเป็นการนับรอบนับอายุของคนนั่นแหละท่านก็นับหละทีนี้ อย่างที่เรานับมาอย่างนี้ เข้าพรรษา ออกพรรษา ก่อนเข้าพรรษา หลังออกพรรษาอย่างนี้ เราก็รู้กัน แล้วก็การศรัทธาญาติโยม ทายก ทายิกา เค้าก็ทำไปตามกาลหละทีนี้ คือให้ทานถวายทานตามกาล ก็เป็นการบำรุงพระพุทธศาสนา ถวายเครื่องใช้ปัจจัยไว้ในพระพุทธศาสนา แต่ว่ามันก็มีครบทั้ง ๔ อย่างนั่นแหละ อย่างที่ว่าผ้า ถ้าเป็นผ้าอาบน้ำฝนก็ถวายฤดูฝน อันนั้นประเภทผ้า อย่างอาหารนี่เราทำเป็นประจำอยู่ แล้วก็ที่อยู่อาศัยเสนาสนะ เราก็มีอยู่แล้ว แต่เราก็มีการปฏิบัติ มีวัดมีวินัยเกี่ยวกับการปฏิบัติรักษาเสนาสนะ และนอกนั้นก็มีศรัทธา มีทายก ทายิกาเค้าปรารถนาบุญเค้าก็ร่วมสร้าง บางทีก็ร่วมซ่อม เพื่อให้มันได้อยู่อาศัย พวกเครื่องรักษาหยูกยาอย่างนี้ เราก็ต้องมีไว้ เตรียมไว้ทุกอย่างหละทีนี้ เพราะว่าการเข้าอยู่ฤดูฝนก็เป็นฤดูที่ไม่สะดวกกับการจะแสวงหาจะทำอะไร
สำหรับในฤดูฟ้าฝนตกน่ะ ท่านก็จัดก็เตรียมไว้ แล้วก็ทำเป็นกิจวัตร แล้วก็เป็นข้อปฏิบัติสำหรับผู้ท่านรู้จักกาลรู้จักเวลาอย่างนี้ ก็ทำไว้ ในธรรมวินัยท่านก็วางไว้อธิบายไว้ เรื่องพิธีเข้าพรรษา ภาวนาออกพรรษาอย่างนี้ ท่านก็วางไว้ให้เราได้เข้าใจ อันนี้เป็นธรรมที่ปฏิบัติสำหรับตัวของเรา เป็นภูตธรรม ภูตธาตุที่เราจะต้องปฏิบัติแล้วเป็นข้อวัตรเป็นศีลหละทีนี้ แล้วก็เป็นข้อศึกษาข้อปฏิบัติเป็นกิจภาวนาของพุทธบริษัทด้วย อย่างที่ว่าญาติโยมอย่างนี้ไม่ได้ถือเพศบวชเหลืองอย่างพระแต่ก็ถือข้อปฏิบัติครบ ๔ เหมือนกันอย่างนี้ อย่างผ้า อย่างอาหาร อย่างที่อยู่พักอาศัย ยารักษาโรคภัยก็ต้องมีเหมือนกัน ถ้าเราขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง มันก็เกิดความลำบากขึ้น แต่ถ้าเรามี เราเตรียมไว้ เกิดมันมีอะไรต้องการจำเป็นมาอย่างนี้ มันก็ไม่เดือดร้อน ที่อยู่อาศัยก็เหมือนกันน่ะ เราซ่อมเรารักษาไว้ดี มันก็ไม่ลำบากเรื่องถึงเวลาถึงฤดูอย่างนี้น่ะ แล้วก็เป็นการรักษาพวกวัตถุที่อยู่อาศัยของผู้ปฏิบัติด้วย คือมันเป็นศีล เป็นสิกขาบทให้เราได้ปฏิบัติทีนี้
อย่างกุฏิอย่างนี้ มันก็ไม่ใช่กุฏิส่วนตัว มันเป็นกุฏิสงฆ์ เราอยู่ที่ไหนหลังไหน เราก็ต้องเข้าใจว่าเป็นของเราเอง ถ้าเรามีสิทธิ์ที่จะอยู่จะรักษาจะต้องปฏิบัติจะต้องดูแลอะไรให้มันดีอย่างนี้นะ มันถึงจะไม่มีหนี้มีบาป แล้วก็ถูกต้องตามพระวินัยด้วย ถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติ ไม่มีความคิดนึก ไม่มีปัญญาที่จะสอดส่องมองไป แล้วก็ไม่ได้ดูใกล้ๆตัวเรา ที่ของเราหละทีนี้ ถ้าเราคิดนอกคิดเป็นที่อื่นไปหละก็ ว่าไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ที่ของเรา เราเพียงแต่อาศัยชั่วระยะ มันไม่ใช่หละทีนี้ มันเป็น…พระพุทธศาสนานี่เป็นอันหนึ่งอันเดียวหมด ถ้าเราไม่เข้าใจไม่ปฏิบัติไม่รักษา ความผิดก็อยู่ที่เราหละทีนี้ เพราะว่าในวินัยของพระก็มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับปัจจัย ๔ เท่านั้นหละทีนี้ ถ้าเราเกิดประมาท เกิดไม่ใส่ใจแก้ไขอะไร มันก็ความผิดก็เป็นเรื่องของเราเอง เราไม่มีผาติกรรมการตอบแทนอย่างนี้ อย่างถ้าว่าคนก็ไม่รู้จักคุณของเครื่องใช้ปัจจัยอะไรต่างๆ คือใช้อยู่แต่ไม่ได้รู้จักคุณค่า ไม่รู้จักที่มา ไม่รู้จักแผ่เมตตาตอบสนองอย่างนี้ ถ้าว่าตามภาษาโลกเค้าก็ว่า เป็นคนที่หลบหลู่บุญคุณ เป็นคนเนรคุณ เป็นคนอกตัญญู เค้าก็ว่าได้หลายอย่างหละทีนี้
แต่ถ้าเราปฏิบัติถูกปฏิบัติดี มันก็มีแต่ผลดี มีแต่ความดี มีแต่ปัญญาที่จะเกิดมาให้เราเกิดความดีความรู้ความฉลาดขึ้นมาหมดทีนี้ แล้วก็ติดตัวเราไป เราอยู่ที่ไหน ไม่ใช่…เราพระปฏิบัติ ไม่ใช่เราจะอยู่ยาวตลอดชีวิตหละทีนี้ เราก็จะต้องมีกิจโน่นกิจนี่ เราจะไปพักที่ชั่วคราว ไปทุกหนทุกแห่งอย่างนี้แหละ มันก็คือวัดเป็นศีลติดตัวหละทีนี้ไป ถ้าเราปฏิบัติ เราเข้าใจ เราวินิจฉัยอย่างนี้ ไปอยู่ที่ไหนมันก็ติดตัวเราไป มันติดไป มันเป็นความดี มันเป็นทรัพย์ภายใน มันเป็นความดีที่เห็นด้วยใจท่านว่านะ ฉะนั้นเราเคยพูดอยู่เสมอ เราเคยสอนอยู่เสมอว่า ศีลที่เราสมาทานศึกษา เราปฏิบัติ เราฟังกันอยู่ อย่างพระปาติโมกข์อย่างนี้ เป็นสิกขาบทเป็นหัวข้อ เป็นหัวข้อห้ามไม่ให้เราล่วงเกินทำผิดอย่างนี้แหละ อันนั้นหละเป็นศีล เป็นศีลตามข้อ ตามสิกขาบท อันนั้นเป็นศีลรักษาตำรา รักษาตามเหตุการณ์ตามสถานที่
แต่ส่วนศีลที่ปฏิบัติ ศีลที่เกิดจากจิต มันเป็นศีลที่ได้จากการปฏิบัติ อย่างที่เรียกว่าศิลปะอย่างนี้ อันนั้นเรียกว่ามันเป็นผลของศีลภายนอก มันเข้าไปเกิดไปมีในใจทีนี้ มันเป็นศิลปะไป คือเป็นศีลที่ปฏิบัติ แล้วเป็นศีลที่ฉลาด อย่างที่เป็น ศ ศาลา ล ลิง ป ปลานั้น มันเป็นศิลปะ มันเป็นตัวหนังสือที่แตกต่างกันและมีความหมาย แต่ศีลธรรมดาเรียกว่า ส เสือ รักษาสิกขาบท อันนั้นเป็นการกันความชั่วเสียภายนอก ถ้าเรามีอย่างหนึ่งแต่เราขาดอย่างหนึ่งเราก็ไม่สมบูรณ์นะที่นี้ เราก็รู้แต่สิกขาบท ปาติโมกข์ข้อนั้นข้อนี้ บางทีก็ยิ่งไม่รู้ความหมายอีกน่ะ แล้วยังไม่มีศิลปะด้วย เราก็เป็นคนยากจนบกพร่อง ฉะนั้นคนที่มีศิลปะนั่นแหละเป็นคนที่มีบารมี มีทรัพย์ในตัว ไปที่ไหนก็มีความดี อย่างที่เราเห็นว่าถ้าคนมีศิลปะเป็นช่างทำ ช่างคิดได้ ออกแบบได้ แต่เป็นชาวบ้านก็เป็นคนดี จะเป็นพระเณรก็เป็นคนดี เพราะเค้าไปอยู่ที่ไหนเค้าก็ทำความดีความเจริญความประดับสถานที่ ถึงว่ามันมีค่ากว่ากันหละทีนี้ ไม่ใช่ศีลธรรมดา มีศิลปะ
ศิลปะจะเกิดขึ้นได้ก็เกิดจากการปฏิบัติ จากการภาวนา จากการดูร่างกายฝึกจิตอะไรต่ออะไรหละทีนี้ ฝึกทำฝึกจิตทุกอย่างหละทีนี้ การคิดการแต่งการดัดแปลงต่างๆมันเกิดจากศิลปะทั้งนั้นคือเกิดจากการปฏิบัติ คือเราเห็นแล้วว่า สิ่งที่อยู่กับที่ กับตัวเรา สิ่งที่ใกล้กับตัวเรา เราเห็น อย่างร่างกายเราอย่างนี้ เราก็ต้องแก้ไข ต้องเป็นเจ้าของ ต้องดูตลอดหละทีนี้ ไม่ว่าถึงวัตถุที่อยู่อาศัยข้างนอกหรอก คือตัวเรานี่เข้าปฏิบัติ เพราะนอกนั้นเรายังแผ่ขยายไปวงกว้างถึงกุฏิถึงวัดถึงสถานที่ บางที่บางส่วนเราก็ดูไม่ทั่วถึง อย่างที่ว่าเราดูเฉพาะในที่ของเรา ถ้าเราไม่ได้มองกว้างไม่ได้พิจารณารอบไป เราไม่ได้รู้เรื่องว่า ภูตธรรม ภูตธาตุอะไรมันอยู่กับเราอย่างไร เราไม่เข้าใจ เราก็คับแคบ เหมือนกับเราทอดตาลงเฉพาะตัวเราก็เห็น แต่ถ้าเรามองตาสูงขึ้นไป เรามองไกลไปก็เห็นหละทีนี้
ดังนั้นการที่เราพูดถึงเมตตา ก็เหมือนเป็นความรู้ที่เรามองไป แต่มันไม่ใช่ตาเราเห็น อย่างที่เราเห็นวัตถุเห็นสถานที่อย่างนั้น จิตเรามองไป เราก็จะเห็นหละทีนี้ เห็นความกว้าง ความเกี่ยวข้องกับสัตว์กับบุคคลกับสถานที่กับวัตถุที่จะต้องมีสำหรับเป็นเครื่องอยู่อาศัยเป็นปัจจัยและก็เป็นเครื่องที่ให้เราได้ปฏิบัติที่เกิดศีลภายใน ให้เกิดศิลปะขึ้น เกิดศิลปะมันก็เป็นสิ่งที่เกิดจากร่างกายที่เราปฏิบัติเราฝึก เราทำให้กายของเราได้เกิดผลขึ้นมามากน้อยอะไรต่างๆนี่ ก็แล้วแต่ที่เราจะปฏิบัติให้เกิดขึ้น เราก็รู้หละทีนี้ เพราะศีลมันก็จะมีคู่อย่างนี้ มันจะมีศีลสิกขาบทรักษา นอกนั้นก็มีศีลที่ภายใน ศีลที่เกิดจากจิต ศิลปะที่มันเกิดมา มันก็จะเป็นบ่อทรัพย์ เหตุนั้นท่านจึงพูดว่าศิลปะนั้นเป็นเงินเป็นทรัพย์เป็นเครื่องประดับหรือเป็นเครื่องสำรับกับผู้ที่ไปทางไกล ผู้ที่จะมีชีวิตเป็นไปอยู่ เมื่อมีศิลปะแล้วก็เป็นคนมีทรัพย์ร่ำรวยเป็นคนที่มีความดีเหลือล้นจะไปอยู่ที่ไหน ก็มีขึ้นด้วยทรัพย์บันดาลขึ้นมา ทำขึ้นมา รวบรวมขึ้นมาอย่างนี้ เหตุนั้นจึงว่าเป็นเครื่องประดับ ต่อเมื่อเราไปเคลื่อนที่ย้ายไปไหนมันก็ตามเราไป ท่านจึงว่าเป็นเงินเป็นทรัพย์ ไปสำหรับยามเมื่อเราไปตกถิ่นกันดาลลำบากไกล ยามเราทุกข์ยากจน เราก็เรียกมาใช้ เราก็เอามาใช้ตอนนั้นหละทีนี้ ท่านจึงว่ามันเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง เป็นทรัพย์ภายในอันเกิดจากจิตใจที่ปฏิบัติ แล้วก็อานิสงส์ไปจากศีลที่รักษา แล้วก็ไปจากปัจจัยที่พระพุทธเจ้าให้เราเอาไปพิจารณา อย่างที่อาหารธาตุต่างๆที่เราพิจารณา มันก็เป็นเครื่องบำรุงเครื่องอยู่ของเรา มันเป็นเครื่องประกอบร่างกายของเรา อย่างพวกเสนาสนะ พวกผ้า พวกยาต่างๆ มันก็ช่วยร่างกายชีวิตของเรา
ดังนั้นภูตธาตุ ภูตธรรม สิ่งที่มีประจำตัวของเราแล้วก็มาเป็นรูปของศีล แล้วก็มาเป็นศิลปะ เราเอามาฝึกปฏิบัติให้เกิดขึ้นมาด้วยสติปัญญาของเราเอง เราฝึกเราคิดแล้วผล…เหตุผลที่ได้ไปก็ไปจากปัจจัย ๔ หละทีนี้ ที่เราอาศัยฉัน กินอิ่ม มีความคิด พอกินอิ่มมีความคิดแล้วก็ต้องคิดว่าจะทำอะไรต่อ เรื่องที่จะให้เกิดผลเกิดทรัพย์ แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้เน้นได้บังคับให้เราไปทำวัตถุ ทำการงานอะไรเพื่อให้เป็นผลภายนอก คือท่านมุ่งให้ปฏิบัติ ให้ทำกิจทำกรรมฐานอย่างนี้กับตัวเรา แต่เรื่องที่เป็นภายนอกมันเป็นสิ่งที่งอกมาจากตัวเราก่อน ถ้าเราทำตัวเราเป็นแล้ว ภายนอกมันไม่ต้องไปคิดไปแต่งหละทีนี้ ถ้าทำจิตทำตัวเราไม่เป็นนี่ เราจะไปภายนอกก็ไม่เป็นเพราะว่ามันผิดที่
มันเหมือนต้นไม้อย่างนี้ มันไม่ได้เกิดจากเปลือกมัน มันเกิดจากเม็ด มันต้องงอกจากเม็ด ดังนั้นเราต้องมาปลูกที่จิตเราทีนี้ ปลูกให้มันเกิด บางที่สิ่งที่มันห่อหุ้มเม็ดเชื้อมัน พวกกิเลส มันห่อหนา มันไม่ให้เราออกได้หละทีนี้ มันปิดมิดเลย มันไม่ให้เราคิดออก บางทีเราเดินเหยียบย่ำ บางทีเรามองตาเห็นแต่เราคิดไม่ออก มันก็ไม่มีไม่เป็นสิ่งเหล่านั้น มันไม่รับรู้กับสติปัญญาของเราไม่ไปเก็บไปหามาหละทีนี้ มันก็ไม่มี นี่นะมันจะมี มันก็จากที่ว่าเราทำข้างในมา เราแก้ไข เราใช้การอบ อย่างเม็ดพืชพันธุ์มันจะงอกจะเกิดมันก็เกิดจากการอบ การกระเทาะกระแทะออกมา นี่ถ้าเราไม่ทำนี่ มันหุ้ม ความปิดบัง ความเหนื่อย ความเห็นลำบาก ร่างกายมันมีอาการขึ้นมา เราก็อยู่แค่นั้นหละทีนี้
อย่างที่ว่าความสุขของโลก ความสุขของร่างกายก็ได้กินอิ่มนอนหลับ ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน เราก็มีความสุขที่ไม่ต้องคิดอะไรต้องแก้ไขอะไรแล้ว แต่สิ่งที่ปฏิบัติ สิ่งที่เราจะฝึกจะทำนั้นมากกว่านั้น ลึกลับกว่านั้นเยอะแยะไป ไม่ใช่ธรรมดาแค่นั้น เหตุนั้นความสุขที่เกิดจากอามิสมันเป็นความสุขที่อยู่ได้ขณะระยะ อย่างรสชาติอย่างนี้มันก็ผ่านลิ้นเราแป๊บหนึ่ง ตาที่มันได้อาหารรูปมันก็แป๊บหนึ่ง ทุกอย่างหละทีนี้ มันให้ความสัมผัสรู้สึกนิดเดียว มันไม่ได้อิ่มในจิต มันก็ยังหิวโหย และยังแสวงหา ถ้ามันอิ่มมันมีสติปัญญา มีศิลปะมีความดีในจิตน่ะ มันก็ไม่จำเป็นทีนี้ ถึงเราจะกินจะอิ่มไม่อิ่มอะไรต่างๆมันก็รู้ว่าไม่ใช่ความสุขอยู่ที่กายที่ภายนอกหละทีนี้ มันอยู่ที่จิต อยู่ที่จิตของเรามันรู้จักสงบรู้จักอิ่ม
ส่วนร่างกายที่มันเป็นภูตธาตุ ภูตธรรมมันก็เป็นการปฏิบัติหละทีนี้ มันเรียกร้องมันบอกให้เรารู้ให้เราแก้ ถ้าเราว่าไปตามกิเลสมันก็เพิ่มหละทีนี้ เราก็เสริมมัน เราก็แต่งให้มันเมามัน เรียกว่ามันไม่ใช่ความสงบสบาย ดังนั้นเราต้องรู้จักว่าภูตธาตุ ภูตธรรม สิ่งที่เรามีเราได้เนี่ยแหละ หรือโลกที่เราอาศัยอยู่อย่างนี่แหละ อาการของธรรมของธาตุที่กระทบกระเทือนอยู่มันเป็นเครื่องสอนให้เรารู้พิจารณา ให้เกิดสติปัญญาว่าที่มาที่ไปเหตุผลต้นปลายอย่างไร เราต้องตามไปดูไปรู้มัน แล้วเราจะแก้อย่างไร ตรงที่มันติดขัดอยู่ตรงที่ไหน เราจะรู้จักหละทีนี้เพราะว่ามันมีพร้อมอยู่ในร่างกายของเราครบถ้วน ถึงว่าภูตธาตุ ภูตธรรมมันทำให้เราเป็นเจ้าของทีนี้
ฉะนั้นส่วนที่อยู่ภายนอกเราท่านเรียกว่า มหาภูตรูป ภูตธาตุ ภูตรูป ว่าคืออาหารนี่เป็นส่วนกว้างใหญ่ อย่างที่นอกจากตัวร่างกายของเราออกไป มันก็เป็นอันเดียวกันหละทีนี้ ถ้าว่าข้างนอกส่วนกว้างมันเป็นอย่างนี้ แล้วตัวเรามันก็เป็นสิ่งที่สืบที่ทรงที่เกี่ยวข้องกัน มันก็เป็นหละทีนี้ เราก็รู้จักทีนี้ นอกจากจะต้องทำให้มันไม่ทรมานไม่ทำให้เรา…บังคับให้เราไปทำชั่วทำผิดทำบาป เราก็จะมีความรู้ห้ามว่าเป็นศีล เป็นข้อปฏิบัติเป็นสิกขาบท เป็นไตรสิกขาขึ้นมาในจิตของเราทีนี้ นอกนั้นจิตของเราสงบ ไม่หวั่นไหว ไม่ดิ้นรน มันก็เกิดเป็นสมาธิขึ้นมาในจิตของเราหละ เรารู้ว่าอาการของมันเป็นให้เรารู้เราเห็น เราก็ดูเข้ามาที่จิต ฝึกจิตของเราให้มันเกิดความสงบขึ้นมา มันก็จะรู้กันหละทีนี้ สิ่งที่มันไม่สงบกับสิ่งที่สงบมันก็จะต่างกัน มันก็เรียกว่าทำสมาธิ มีคุณสมาธิเกิดขึ้นแล้ว อารมณ์อะไรมันจะกระทบมันจะเกิดมันก็รู้จักและรู้แก้ด้วย และนอกนั้นปัญญาเราก็เอามาฝึกมาทำให้เกิดให้มีขึ้น เอามาดู เอามาพิจารณา เอามาปฏิบัติหละทีนี้
คือเรื่องรูป เรื่องภูตธาตุ ภูตธรรมอะไรต่างๆ ที่มันเป็นเครื่องทรงเครื่องสอนเรานี่เอามา สอน สิ่งที่แสดงอยู่ในธาตุในร่างกายเรามันก็เป็นการสอนทีนี้ มันเป็นสอนจิตสอนความรู้สอนเจ้าของผู้อยู่อาศัยนี่ เจ้าของร่างกายเรานี่ให้มันรู้จัก แต่รู้จักแต่อาการของรูปของความไม่สงบอย่างนั้น มันก็ไม่มีเครื่องแก้ไข มันก็ทุกข์ แต่เราปฏิบัติรู้จักแก้อาการสิ่งที่มันไม่ดีที่มันเกิดขึ้น มันก็เป็นความดีทางธรรมทางปฏิบัติของเราทีนี้ คือมันแก้สิ่งที่ไม่ดี การที่ทำไม่ดี ห้ามตัวเราได้ เราไม่ปล่อยไปให้มันล่วงเกินให้มันผิด อย่างศีลนี่ก็เหมือนกันน่ะ เราก็รู้ข้อมันดี เราสมาทานเป็นประจำก็รู้ เราก็กั้นไว้ทีนี้ ไม่ให้มันข้ามมันล่วงมันเกินไป
เหตุนั้นการที่เราฝึกปฏิบัติฝึกจิตอย่างเดียวนี่ เราก็ได้ครบหมดหละ อย่างที่ว่าไตรสิกขา อย่างที่ว่าศีลรักษา ศิลปะ ก็เกิดขึ้นหมด ถ้าเราทำให้มันเข้าจิต ถูกจิต ถูกภูมิธรรม ภูมิรู้แล้วได้ มันเกิดเพราะมันเป็นทางที่เจริญ มันเป็นทางที่สว่าง มันเกิดขึ้นก็จะเห็น เห็นความแตกต่างอย่างคนที่จากทางบ้านทางฆราวาสอย่างนี้ ก็จะแตกต่างว่าเราอยู่บ้าน เรามาอยู่ที่ปฏิบัติ เราเป็นฆราวาสเรามาบวช เราบวชใหม่บวชเก่าเราก็รู้หละทีนี้…ความแตกต่าง ถ้าเราไม่รู้ไม่สังเกต มันก็เหมือนกับว่าเราปฏิบัติหลงผิดมาตลอดหละ เราไม่เคยได้ดีอะไรอย่างนี้ เราไม่มีความปีติ ไม่เกิดจิตสงบเป็นสมาธิเลย เราปฏิบัติมายาวนานอย่างนี้ มันไม่มีผลได้รับ อันนั้นคือการปฏิบัติ เราก็ผิด มันไม่มีอะไรดีขึ้นอะไรอย่างนี้ ก็เหมือนคนทำกิจทำการทำปลูกอะไรต่างๆไม่เกิดไม่เป็นผลอะไรอย่างนี้ บางทีมันก็อยู่แค่นั้นมันไม่อยู่ไม่งาม มันไม่ออกดอกออกผล มันก็ไม่คุ้ม อย่างนั้นถ้าเราคุ้มก็ดูที่จิตเรา ดีที่ความดี ดูที่ความเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา ดูนิสัยของเรา เราดูได้ดี ไม่ต้องให้คนอื่นไปทักไปว่าหละทีนี้ ถ้าเรารู้ดีถูกดี แล้วคนอื่นเค้าก็มีตามีหูด้วย เค้ามีเครื่องวัดรู้หมดหละทีนี้ เราไม่ไปถาม เค้ารู้ได้ว่าคือคนดีจิตดีปฏิบัติดี นี่เรียกว่าเป็นภูตธรรมที่เราจะต้องตั้ง จะต้องทำให้เกิดให้มีในตัวของเรา คือปฏิบัติให้มีขึ้น สิ่งที่เรามีอยู่แล้ว เราก็มีแต่ไม่เต็มที่ไม่เพียงพออย่างนี้ ก็ทำให้สมบูรณ์ขึ้น เราก็เป็นผู้ไม่ยากจนหละทีนี้ และก็มีครบ มีทั้งนอกทั้งในสมบูรณ์ทั้งกายทั้งใจเลย เรามาเป็นผู้เดินไปตามมรรคผลนิพพานของพระพุทธเจ้า
นี่เรียกว่าคำเตือนใจให้เราไปคิดพิจารณา ได้รู้จักว่าภูตธาตุ ภูตธรรมที่เรามีอยู่ เป็นที่เราจะตั้งจะสร้างความดีขึ้นในใจของเรา เราก็เป็นผู้เจริญในศาสนา นี่เป็นธรรมะเตือนใจให้เรานำไปพิจารณาก็จะเป็นผู้สงบร่มเย็นในศาสนา ขอยุติไว้เพียงเท่านี้