หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร
เทศนาเมื่อวันที่ ๖ มี.ค. ๒๕๔๖
เทศน์ฉลองธรรมาสน์ใหม่ ปกติที่นี่ไม่ได้ขึ้นธรรมาสน์เทศน์นะ เทศน์อยู่กับพื้น บัดนี้ได้ธรรมาสน์ใหม่ก็เลยฉลองศรัทธาให้คนที่เอามา คนที่เอามาเนรมิตเอามา ไม่ได้ปรึกษาว่าจะเอาธรรมาสน์มาถวาย ก็เลยว่า เอ๊ะ ทำไมธรรมาสน์ใครเอามาตั้งไว้นี่วะ เค้าก็ว่า โอ้ ดิฉันนั่นแหละ เอ อย่างนี้มันก็เป็นสมบัติทิพย์บ่เนี่ย มันลอยมา วันนี้ก็เลยจะฉลองศรัทธาธรรมาสน์ใหม่ ให้ได้อานิสงส์ เพราะว่าทุกทีปกติก็เอาธรรมาสน์กับพื้นศาลานั่นหละ นั้นน่ะมันเป็นธรรมาสน์ที่กว้างใหญ่แน่นหนาดี ดีกว่าธรรมาสน์ที่เรายกเป็นชั้นเป็นตั่งอย่างนี้ ฉะนั้นวันนี้ก็เลยเทศน์ฉลองธรรมาสน์ใหม่ด้วย แล้วก็ฉลองศรัทธาผู้ที่มาใหม่ด้วย แล้วก็เทศน์ฉลองวันเกิดด้วย เพราะมันเกิดใหม่ สมมุติว่ามันจะเกิดใหม่วันนี้แหละ คือ ๖๒ ปีน่ะมันตายไปแล้ว นี่มันจะขึ้นใหม่นะเนี่ย ก็เลยว่าจะฉลอง ได้ฉลองของใหม่หลายอย่าง คือธรรมาสน์ก็ใหม่ ผู้ที่มาร่วมพิธีก็มีใหม่มาก แล้วก็เป็นรอบใหม่ของอายุด้วย อย่างนี้แหละเรียกว่าเทศน์ฉลอง ฉลองธรรมาสน์ใหม่ แต่ก็ไม่ใช่องค์ใหม่หละ องค์เก่าที่เทศน์ที่สอนอยู่นี่ ฉะนั้นต่อนี้ไปให้พวกเราทุกคนพากันตั้งใจฟัง
นโมตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ ครั้ง) ปฏิรูปเทสวาโส จ ปุพฺเพ จ กตปุญฺญตา
ต่อจากนี้ไปพวกเรา เราท่านทั้งหลายที่ได้มาร่วมงานคล้ายวันเกิดและก็ตั้งใจมาแสดงมุทิตาคารวะแก่หลวงพ่อนี่แหละ หรือบางคนก็เรียกว่าอาจารย์ มันหลายแล้วแต่ใครเรียกก็ถูกคนนั้นน่ะ คือคล้ายวันเกิด แต่มันไม่ใช่วันเกิดจริงๆ มันเป็นวันคล้าย เหตุนั้นเมื่อปรารภธรรมแต่ละครั้งนี่ หลวงพ่อก็มีความรู้สึกว่า มันเป็นวันคล้าย มันไม่ใช่วันเกิดดั้งเดิม คือวันเกิดเดิมนั่น เราเกิดด้วยความสงบ เราเกิดกันสองคนกับแม่เท่านั้นน่ะ รับรู้กัน จึงว่าเราทำวันคล้ายวัน คือว่าเราถือว่าคนเราเกิดมา มาด้วยบุญ บุญที่มีมาแต่ภพชาตินั่นแหละมาสร้างให้เกิดเป็นรูปร่างกายอย่างนี้ จึงว่าเราก็มาทำบุญวันเกิดกัน ปัจจุบันคนสมัยใหม่ ลูกหลานของพวกเราก็เข้าใจกันอย่างนั้นว่าเกิดมาแล้วก็ต้องทำบุญ ถึงว่าเกิดใหม่ๆตัวเด็กยังไม่รู้จักทำ และทำไม่เป็น พ่อแม่ก็ทำให้ลูกทุกวันนี้ เราก็จะเห็นได้ว่าการเกิดมาเป็นคนในโลกนี้ก็ต้องเกิดมาทำบุญ มาทำความดีกันทั้งหมดนั่นแหละให้เราเข้าใจอย่างนี้
เหตุนั้นอย่างหลวงพ่อเกิดก็เหมือนกันก็พิจารณาถึงที่เกิดที่มาของชีวิตของร่างกายมาตลอดนั่นแหละ อย่างที่ปฏิบัติธรรมภาวนาเจริญกรรมฐานมายาวนานก็เหมือนกัน เราก็พิจารณาย้อนหลัง พิจารณาหวนระลึกถึงที่เกิดที่มาอยู่ตลอดแล้วถึงบุญวาสนาบารมีที่เราทำมาแต่ใจโดยเฉพาะนี่ คือพิจารณาตามหลักธรรมะ ตามหลักคำสอนพระพุทธเจ้านั่นแหละ อย่างที่ท่านว่า บุพเพนิวาสานุสติญาณอย่างนี้ มันก็มีมาตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้านั่น พิจารณาถึงต้นกำเนิดที่เกิดที่มาของร่างกายอย่างนี้ เราก็หมายเอาต้นที่เราได้เกิดได้อาศัยในชีวิตของผู้ให้เกิด ก็อย่างแม่อย่างนี้หละ เป็นหลักที่เรากำหนดเอาปัจจุบันอย่างนี้ ฉะนั้นส่วนบุญกุศลกรรมต่างๆที่เราทำมาตั้งแต่อดีตชาตินี่เบื้องหลัง แต่ละคนมีมาหมดเหมือนกันจะมากหรือน้อย แตกต่างกันตามกำลังแห่งบุญกุศลบารมีที่ได้ทำมาอย่างนี้ แล้วก็พิจารณาถึงชีวิตนิสัยของตัวเองมาตลอดว่ามันแสดงบอกอย่างนี้ แสดงบอกถึงกรรม ถึงความดีที่เราได้ทำมาเบื้องหลังที่ส่งผลให้เราได้มาเกิดมามีชีวิตปัจจุบันอย่างนี้ ก็ทำให้เราได้เห็นความดีและมีความภาคภูมิใจในชีวิตที่ได้เกิดมาเป็นคนเป็นมนุษย์นี่ แต่ว่าคนอื่นเขาก็คงจะไม่แตกต่างกับเราเพราะเขาก็มาทางเดียวกันทั้งหมดนั่นแหละ พระเณร อุบาสก อุบาสิกานี่ ไม่ได้มาต่างที่ต่างทางกัน คือมาทางเดียว ทางพ่อทางแม่ทำให้เกิดให้มาอย่างนี้เหมือนกัน
เช่นนั้นเรื่องที่จะอธิบาย ที่จะเทศน์วันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเทศน์ธรรมะที่แตกต่างจากชีวิต จากความเกิดของร่างกายของเราทุกคนน่ะแหละ อย่างที่หลวงพ่อเกิดก็เหมือนกันหละ พอเกิดมาจากแม่อย่างนี้ แต่ว่าเรามาสมบูรณ์คล้ายวันเกิดนี่ เราทำคล้าย แล้วเราก็ทำมากคืออาศัยว่าเราได้มาเจริญเติบโตและได้มาบวชมาปฏิบัติ มาเจริญกรรมฐาน สร้างบารมีต่างๆ คุณความดีที่มีมาตั้งแต่วันเกิดถึงปัจจุบันอย่างนี้แหละ มาถึงปัจจุบันที่ว่านับแล้ว ๖๒ เต็ม แล้วจะ๖๒ ย่างวันพรุ่งนี้ อันนี้เราก็นับมาอย่างนี้หละทีนี้ มันจะเต็มและมันจะเริ่มนับต่อไปอย่างนี้ เหตุนั้นชีวิตเรื่องประวัติวันเกิดก็จึงมาทำกำหนดวันทำบุญคล้ายวันนี้นี่แหละ คือที่พูดให้หลายๆคนรู้ก็ให้มันตรงกับวันคล้ายวันเกิดจริงๆ คือวันพรุ่งนี้ วันเกิดจริงคือวันพฤหัส แต่ก็วันที่นั้นเป็นวันที่กำหนดโดยไม่ขาดไม่เกิน แต่ส่วนโบราณนั่นท่านถือท่านจำกันทางจันทรคติน่ะ ท่านไม่ค่อยนิยมจำวันที่ วันที่เรานับกันอย่างทุกวันนี้ ดังนั้นชีวิตที่ย้อนหลังไปทั้ง ๖๐กว่าปีนี้ สภาพความเป็นอยู่ของบ้านเมืองของผู้คนสมัยนั้นไม่เหมือนเราทุกวันนี้ ยังเป็นโบราณ ยังไม่ได้ศึกษาเล่าเรียน ยังอยู่ในป่าในดงอยู่น่ะสมัยนั้น จึงไม่เหมือนทุกวันนี้ แล้วก็เรื่องวันเกิดจริงๆนี่มันก็ไม่มีหลักฐานที่นี่ อย่างที่หลวงพ่อว่าพูดกับคนอื่นบ่อยๆ เพราะว่าสมัยนั้นไม่สะดวก อย่างแม่อยู่บ้าน พ่อไปเป็นทหารผ่านศึก ไปอยู่ในสงคราม ไปอยู่ในสมรภูมิอย่างนี้ ก็ไม่ได้มาเห็นด้วย ไม่ได้มาช่วยด้วย แล้วจะมอบให้คนอื่นช่วยจำช่วยทำ ก็ไม่ได้ทำตามที่คำขอ และอย่างวันเดือนปีเกิดท่านก็ไม่ได้เขียน ไม่ได้ไปแจ้งเอาไว้ ก็เลยไม่มีใบเกิด ถ้าพูดง่ายๆ คือใช้ความจำเอา ก็อาศัยว่าแม่เป็นคนเกิด แม่ก็เลยเป็นคนจำ เป็นแทนใบเกิดให้อย่างนี้
พอเกิดมาก็มาเจริญเติบโต เราก็มีความบกพร่องคือไม่มีใบเกิดกับเขา เพราะว่าพ่อไม่ได้อยู่ ไม่ได้ดู ไม่ได้ทำให้ ฝากพี่น้องกำนันผู้เป็นญาติท่านก็ว่าทำให้ แต่เวลาไปค้นที่บ้านท่านมันก็ไม่มี ก็เลยถือว่าวันเกิดจริงๆนั่นมันผ่านพ้นไปแล้วทีนี้ แต่ก็มีหลักฐานคำเดียวคือเป็นคำยืนยันของแม่ท่านว่าอย่างนี้ ท่านยืนยันคำเดียวเด็ดขาดลงว่า วันจริงๆน่ะวันเกิดวันพฤหัสแต่ว่าวันที่เท่าไหร่ แต่ว่าเดือนมีนา เดือน ๔ ท่านก็กำหนดเอาอย่างนี้ ก็เลย เราก็ต้องมาปฏิบัติต้องมาดูนิสัย ดูกิริยาดูอะไรต่างๆที่เราเป็นเจ้าของร่างกาย เราก็พอรู้ได้ว่าถูกจริงๆที่แม่จำแม่พูดเพราะแม่ก็รับรองด้วย คืออย่างอื่นนี่ไม่แน่นอน แต่วันพฤหัสนี่ไม่มีผิดไม่มีเคลื่อน ท่านพูดอย่างนี้ ก็เราก็เลยรู้ว่า เอ้อ ชีวิตเรามาอย่างนี้ คือมาที่ว่าเกิดมา มาทำ มาบำเพ็ญมาปฏิบัตินั่นแหละ ถ้าพูดตามหลักน่ะนะ ถ้าพูดถึงว่าพระประจำวันก็เป็นพระนั่งสมาธิ คือประจำวันของวันพฤหัส ก็รู้ทุกสิ่งทุกอย่างว่ามันบ่งบอกทางด้านจิตใจตั้งแต่เกิดมาอย่างนี้ มันจะมีหลักสมาธิโดยธรรมตลอด ซึ่งเราไม่เคยมาบวช เราก็จะได้ดูได้เห็นชีวิตที่เป็นฆราวาสตั้งแต่เริ่มเจริญเติบโตก็เหมือนกัน ฉะนั้นสิ่งที่ได้เป็นชื่อเป็นสมมุติอะไรที่ตั้งให้มานี่ เราก็พิจารณาถึงว่ามันก็เป็นสิ่งที่เทียบกับนิสัยความดีของชีวิตร่างกายทั้งหมดนั่นแหละ และก็อย่างที่ว่า เกิดมาก็ไม่มีหลายชื่อเหมือนคนอื่น เขาจะเรียกชื่อคำเดียวกันมาตั้งแต่เด็ก ไม่มี แต่จริงๆชื่อเดิมน่ะแหละก็ยังไม่ยาวเหมือนที่เรามาเจริญเติบโตหรอก ถ้าพูดถึงชื่อแรกๆ พ่อแม่เรียกกันว่า สิทธิ์ เฉยๆ สิทธินั่นแหละ ถ้าพูดถึงเขียนเป็นตัวหนังสือน่ะ คล้ายๆว่าชีวิตกรรมนี่มีสิทธิ์เกิดมา กรรมเป็นผู้ที่อุปถัมภ์มา และมีสิทธิ์ที่จะมาสร้างชีวิตสร้างความดีต่างๆในโลกมนุษย์เรานี่แหละ มาปฏิบัติคุณความดีให้เกิดให้มีให้เต็มที่อย่างนี้ และในชีวิตก็มีความรู้สึกอยู่ในจิตตลอดว่าถ้าเราจะทำสิ่งใด เราตั้งใจในสิ่งใดนี่ ใจมันแน่วแน่แล้วมันไม่เคยกลัว ไม่เคยท้อถอย อย่างชีวิตตั้งแต่เริ่มต้นจนตลอด จนได้มาบวชก็เหมือนกันน่ะ ก็ทำให้เราเห็นทะลุเหมือนกันหมด มันไม่เปลี่ยนแปลงตรงนี้หละทีนี้ จึงว่ามันเป็นความแน่วแน่ความมั่นคงที่ไม่เคยกลัว เคยคิดลังเลใจ ก็ทำด้วยความมั่นใจ ด้วยความแน่ใจตลอด
แต่บางครั้งเรื่องการทำการปฏิบัติก็มีการที่เรียกว่าเปลี่ยนแปลงหรือทำให้เราต้องประมาทไปได้ก็มี แต่ผลที่ออกมาที่ได้รับมันก็กลับคืนมาหละทีนี้ กลับคืนมาได้อย่างนี้ ก็เรียกว่ามันสอนให้เราได้พิจารณาถึงว่าความที่เราตั้งใจมากไปอย่างนี้ ความที่เราเชื่อเกินไปอย่างนี้ เราก็ต้องปรับสภาพจิตใจให้มันอยู่ในความที่พอดีอย่างนี้ อย่างที่เราพูดว่า ใครก็พูดกันว่าถ้าทำอะไร ถ้าตั้งใจมากเกินไปหรือเกร็งมากเกินไปนี่ มันก็ไม่ค่อยถูกต้องหรือมันไม่ค่อยได้ตามเป้าหมายอะไร ก็มีอยู่ ยกตัวอย่าง อย่างพระพุทธเจ้าของเรานี่ก็เหมือนกัน ความที่พระองค์ตั้งใจมากครั้งแรกน่ะ ก็จะบำเพ็ญแสวงหาทางตรัสรู้อย่างเต็มที่ ท่านก็ผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปถึง ๖ ปีอย่างนี้ เพราะว่าความตั้งใจมากเกินเต็มที่อะไรอย่างนี้มันก็เลยลงไม่ถูกที่ถูกธรรม และบางอย่างนี่ชีวิตที่เรามีประสบการณ์ผ่านมาก็เหมือนกันหละทีนี้ เราก็ดูมาตลอด ก็เลยจะต้องปฏิบัติจิต ปฏิบัติต่อร่างกายมาให้มันพอเหมาะพอดี ให้มันได้สัดได้ส่วนอะไรอย่างนี้
แต่บางครั้งมันก็กำลังใจมากเกิน มันก็ไม่ห่วงชีวิตและไม่กลัวตาย เป็นนิสัยเป็นชีวิตดั้งเดิมน่ะแหละ บางครั้งอย่างพูดกับแม่ด้วยกันมาแต่เกิด แม่เคยพูดอยู่ว่าบางครั้งเนี่ยเราทำเกินวัยเกินอายุเพราะว่าร่างกายหรืออายุยังน้อยแต่ทำงานมาก ทำงานของผู้ใหญ่ ก็ทำอย่างนั้นจริงๆอ้ะบางที เพราะว่าจิตใจกำลังใจมันพาให้ ชวนจิตเราทำไปก็เลยรู้จักเรื่องกำลังใจกำลังความดีที่เราเกิดมาด้วยธรรม หรือว่ามีสิทธิ์ที่จะมาปฏิบัติชีวิต สร้างความดีสร้างบารมีให้มันได้ตามที่ว่าเราได้มีมูลมีพื้นมีฐานมานั่นหละ ก็มาพิจารณาเห็นถึงความเกิด ความที่เรามาด้วยความลำบากหรือกำพร้าอนาถาบ้าง ก็คนอื่นก็เกิดเหมือนกัน มีญาติมีพ่อแม่ตระกูลพี่น้องเหมือนกัน แต่ของเราบางอย่างนี่เราพิจารณาแล้วก็กำพร้าอนาถาด้วย เพราะการเกิดก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่อบอุ่นและก็ผู้ที่ให้ความดูแลช่วยเหลือก็ไม่เหมือนสมัยนี้ อย่างที่พ่อท่านก็ไม่ได้อยู่ได้ดูด้วยอะไรอย่างนี้ ก็เรียกว่าความเกิดจริงๆนั่น มันไม่เหมือนวันคล้ายวันเกิดอย่างที่เราทำบุญอยู่วันนี้หรอก มันอยู่ในสภาพที่เป็นธรรมสอนใจ คือมันสงบ มันไม่ได้มีอะไรที่จะมาอนุโมทนามาร่วมเสริมสร้างบารมี แต่ว่าเราก็สร้างขึ้นมาด้วยการปฏิบัติ ด้วยรู้ว่าเราได้ที่มาทางมาอย่างนี้แล้วเราก็ได้เห็นว่าการเกิดมาในชาตินี้ เกิดมาเพื่อใช้หนี้ใช้กรรมใช้กิเลสให้หมดสิ้นกันไป ความรู้สึกอย่างนี้มีในใจมาตั้งแต่เกิดหละทีนี้ จึงไม่ได้หลงไปทางอื่น ถึงใครจะชักชวนให้ไปเรียนไปหาอาชีพยังไงมันก็ไม่ไปน่ะใจ มันมีความแน่ใจว่าอย่างนั้น มันมีความแนบสนิทในใจอย่างนั้น จึงว่าความเป็นมาของชีวิตของวันเกิดมันก็เลยทำให้เรามองตรงมองทะลุอย่างนี้ ก็ไม่ใช่ว่าคนอื่นเขาไม่เกิดเหมือนเราแต่ส่วนความตั้งใจชีวิตนิสัยอะไรต่างๆนี่มันเป็นเครื่องบอกให้เรา ให้เรามีกำลังใจในการปฏิบัติธรรม
ตั้งแต่เราเข้ามาบวชมาปฏิบัตินั่น แล้วมันก็พื้นฐานที่มาจากฆราวาสอย่างนี้ มันเป็นหลักฐานมันเป็นพยานให้เราทำ แล้วการทำก็ทำไม่ได้ไปแย่งไปเบียดเบียนคนอื่น ทำเพื่อแก้ไขเพื่อช่วยให้เรามีความดีความสมบูรณ์ขึ้นมานั่นแหละ ความสำนึกในจิต แล้วก็นิสัยก็เรียกว่าชอบทำเองปกติ ไม่ว่าอะไรทั้งนั้นน่ะเราก็ชอบทำเอง ไม่ใช่ว่าเราเป็นคนดีคนฉลาดคนเก่ง แต่ว่าในนิสัยของจิตรักความชอบทำเอง คือทำสิ่งที่ว่าสบายใจอย่างนี้ ถ้าคนอื่นทำเราก็แทนได้ แต่ความไม่สบายใจเรามีอยู่ ถึงลูกศิษย์ลูกหาญาติคนอื่นทำให้เราได้ แต่ความไม่สบายใจเรามีเหลืออยู่ ถ้าเราทำของเราด้วยนี่ เราสบายใจ แต่เราก็ไม่เก่ง ไม่ดี ไม่วิเศษอ้ะ แต่มันเป็นธรรมที่ทำให้เราสบายใจไม่ต้องมีตำหนิใคร ไม่ต้องมีอารมณ์กับใครอย่างนี้ เรียกว่าเป็นลักษณะนิสัยที่เราเพิ่งทำมา และมีความสบายใจและไม่เบียดเบียนคนอื่นด้วย แต่หลักจริงๆก็คือความตั้งใจซึ่งไม่เคยหลงเคยลืมหละทีนี้ ตั้งใจตั้งสติตั้งใจทำ หวังจะให้ได้ผล ให้เป้าหมายตามกำหนดไว้ มันเป็นสิ่งให้เรามองธรรม มองศาสนา มองการสร้างกรรมต่างๆนี่ด้วยชีวิตส่วนลึกความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนมันทำให้เรามองเห็น อย่างบางครั้งบางคราวชีวิตเนี่ยเป็นฆราวาสอย่างนี่ เราเป็นผู้ชายอย่างนี้ ผู้หญิงเค้าเป็นพี่สาวเราบ้าง บางทีเค้าไม่สะดวกไม่ทันเวลาเราอย่างเป็นฆราวาส เราบอกเขาว่า เอ้อ หยุดเลย กูจะทำเองดีกว่า ทำอาหารทำครัวทำอะไรต่างๆก็ทำเองจริงๆแล้วก็ไม่ได้เก่งแต่ก็สบายใจและก็เป็นคนได้อย่างนี้ เพราะว่าเห็นคนอื่นเค้าทำแล้วมันขัดๆขวางๆอะไรอย่างนี้ เราก็บอกว่าเราทำเองดีกว่า สบายดี
อันนี้เรียกว่าเราปฏิบัติเราดูหลักธรรม ดูนิสัย ดูหลักใจนั่นแหละ ถ้าพูดถึงตามหลักพระพุทธศาสนาเรา แล้วดูความดีที่เรามีมาซึ่งเป็นพื้นฐานน่ะ จึงว่าเรามีร่างกาย เราก็มีประเทศมีขอบเขตมีสัดส่วนทีนี้ มีการเกิดมาเป็นคนในโลกนี้ จึงว่ายกเป็นภาษิตว่า ปฏิรูปเทสวาโส จ เมื่อเรารู้จักการปฏิบัติ รู้จักประเทศขอบเขตร่างกายความเกิดมาของคนเรานี่ ปเทสวาโส จ ก็ทำชีวิต ทำความดีให้ใจของเราได้เกิดแสงสว่างเกิดความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมหลักคำสอนพระพุทธเจ้าได้ นี่แหละเราเห็นว่าความเกิดนี่เป็นที่มาของกรรม ของพระพุทธศาสนาเราอย่างที่ว่า วันเกิดใครก็ตามทีนี้ ไม่ใช่ว่าเกิดวัน…ปฏิบัติวันนั่งสมาธิอย่างหลวงพ่ออย่างนี้ คนเรามันเกิดทุกวันหละทีนี้ ทั้ง ๗ วันนี่จะเวียนกันเกิดไม่ให้ซ้ำวันกันน่ะ ตั้งแต่วันอาทิตย์เวียนรอบไปถึงวันเสาร์ครบอย่างนี้ แต่ว่าสิ่งที่นำไปเกิดก็คือกรรม คือธรรม คือบารมีต่างๆน่ะแหละ แต่ว่าทว่าถ้าดูตามดวงตามแรงของวันมันก็มีไปอีก อันนั้นเป็นส่วนร่างกาย แต่ส่วนหลักที่รู้ชัดจริงๆก็คือจิตของแต่ละคนนั่นหละทีนี้ รู้จิตว่าการมาของเวลาฤกษ์ยามต่างๆนี่ มันก็ไม่ต่างกัน มันมาจากกรรมที่จำแนกที่ส่งมาทั้งนั้น ฉะนั้นจึงว่าไม่มีหลักฐานก็จริง แต่ก็รู้นิสัย รู้ความเป็นมาของใจที่เคยเกิดเคยเจริญเติบโตมาจนถึงปัจจุบันน่ะแหละ มันมีความมั่นใจ มีความสงบ มีความแน่ใจ แล้วก็เป็นผู้ที่เรียกว่าทำอะไรแล้ว ไม่ค่อยปล่อยให้มันเสียหายทอดทิ้ง คือพยายามที่จะต้องเอาใจใส่ อันนี้เป็นหลักการปฏิบัติธรรมของพวกเราท่านทั้งหลายหละทีนี้
ถ้าพูดถึงว่าการมีประสบการณ์เที่ยวธุดงค์ไปทุกหนทุกแห่งที่อดีตผ่านมาก็เหมือนกัน บางครั้งเรามีความคิด มีสติปัญญาที่จะดัดแปลงแก้ไขอย่างไร ที่เคยเล่าให้ญาติโยมลูกศิษย์พระเณรหลายๆคนได้ฟังอย่างนี้ มันเป็นความรู้ที่เราได้มาจากการปฏิบัติจากอุบายธรรมะต่างๆ ทำให้เราเกิดขึ้นมาทางจิตของเราได้เป็นความสว่างให้รู้จักทางแก้ไขอะไรต่างๆอย่างนี่ ก็เลยว่าชีวิตกับวันเกิดจริงๆนั้น ก็ไม่ลังเลสงสัยอย่างที่แม่ท่านรับรองไว้ แต่ส่วนวันที่นี่เราก็เทียบเข้าไป เลื่อนวันขึ้นวันลงไปอย่างนี้ ก็เราได้ถือว่าเราได้ทำให้มันคล้าย แต่มันไม่ใช่วันแท้วันเดิมนี่มันผ่านพ้นมาทีนี้ แต่เราก็ยังหวนไประลึกนึกถึงอยู่ซึ่งอดีตที่ผ่านมายาวนานถึง ๖๐กว่าปีอย่างนี่ แล้วก็การปฏิบัติดู ความเป็นมาสม่ำเสมอตลอดระยะชีวิตนี่มันก็มาตลอด
เหตุนั้นความที่แตกต่าง สิ่งที่แตกจากคนบางคน หรือแตกต่างในรูปในพ่อแม่เดียวกันก็จะมีบ้างอย่างนี้เพราะว่ามาเกิดแต่ละวันก็จะมีความดีที่แตกต่างกันไปจากวันของแต่ละคน มันต่างกันตรงนั้น เหตุนั้นแม่ท่านเคยพูดเสมอ ตอนที่ยังเด็กยังเล็กท่านก็พูดถึงเรียกว่าให้กำลังใจ พูดให้ดีใจ ท่านว่าอย่างนี้เพราะว่าแม่นี่เรื่องผู้หญิง หรือเรื่องความเกิดนี่แม่เป็นคนที่สุขภาพไม่ดี มีโรคประจำร่างกายมาตลอด แล้วก็เกิดลูกยาก คลอดลูกยาก ก็ลูกทั้ง ๗ คนที่เกิดร่วมท้องเดียวกันน่ะ มีผู้หญิง ๔ ผู้ชาย ๓ ท่านบอกว่าลูกทั้ง ๗ คนนี่ ๖ คนนี่ คลอดแต่ละคนนี่ก็สลบตาย แล้วก็เคยไปคลอดที่โรงพยาบาลคนสุดท้ายก็มี ท่านบอกว่ามีลูกคนเดียวที่ไม่เหมือนเขา ท่านว่าอย่างนี้ ที่เกิดไม่ยากไม่ลำบาก แม่ไม่รู้สึกเลย เกิดมาไม่มีอาการ ไม่ทรมาน ไม่เจ็บปวด แม่จำได้ตรงนี้ ถึงไม่เหมือนคนอื่น และแม่ก็รักตรงนี้ ท่านพูดอย่างนี้ ท่านบอกว่าเกิดมาตอนแรกๆนี่ หลุดคลอดออกมานี่ตัวดำๆ แล้วก็ตัวเล็กนิดเดียว ท่านว่า เพราะคิดว่าจะเลี้ยงไม่โตท่านพูดอย่างนี้ แต่กลับแล้วเราเกิดมาเราก็ไม่ได้ป่วยไข้ลำบาก ก็มีบ้างตามธรรมชาติมาเป็นบางครั้งบางคราว แต่ก็ไม่ได้ถึงคราวที่จะต้องไปรักษาไปนอนโรงพยาบาลที่ไหนหละทีนี้ ไอ้นี้เป็นเครื่องหมายที่ทำให้ท่านจำไม่ลืมแล้วก็มีความรักมาก เพราะว่าไม่ได้ทุกข์ทรมานแม่ พอท่านพูดเราก็เข้าใจหละ
นี่เราเรียกว่ามาด้วยความดี ด้วยกรรมดี ไม่ได้มาเบียดเบียน ไม่ได้ทุกข์ทรมานใคร เรามาเพื่อใช้หนี้สินพ่อแม่ของเรา เพราะว่าชาติบังเกิดเรายังเหลืออยู่ เราก็รู้ตัวอย่างนี้จึงไม่ประมาท ไม่พลั้งเผลอไปใช้ชีวิตทางอื่นน่ะทีนี้ คือพยายามที่จะใช้หนี้ให้จบให้สิ้นกัน ไม่เหมือนคนอื่นเค้าไม่ได้คิดไปสร้างสรรค์สร้างสมบัติวัตถุอะไรอย่างอื่นอะไรอย่างนี้ คิดไม่ลืมมาตลอด เกิดมาเป็นคนไม่ลืมคุณพ่อคุณแม่ นึกถึงหนี้สินที่เราติดท่านมา ที่ต้องมาตามใช้หนี้ใช้กรรมกัน อันนี้มันเป็นหลักธรรมที่ส่วนที่เรานำมาเป็นคติ มาสอนใจตลอดถึงมีชีวิตอยู่ในวันสุดท้ายอย่างคุณพ่อที่เอามาบวชมาปฏิบัติอยู่ด้วยนี่ ถึง ๑๓ ปีติดต่อกันนี่ก็เหมือนกัน ก็เป็นการที่ตอบบุญแทนคุณอย่างเต็มความสามารถหรือเต็มที่ หรือว่าได้สบายใจว่าไม่ได้มีอะไรบกพร่อง นี่เรียกว่าเรามีความรู้สึกสำนึกในบุญคุณในทางที่มาของร่างกายของชีวิต ของกรรมนั่นแหละ เพื่อจะได้ให้คนอื่นที่เขาไม่ได้ทำไม่ได้คิด ได้เป็นคติไปพิจารณาอย่างนี้ว่าการมาของความเกิดของชีวิตนี่มันไม่แตกต่างกัน
ส่วนที่ว่าบุญบารมีความดีต่างๆที่เป็นเครื่องอุปถัมภ์นำมาจำแนกส่งมานี่ มันมีพลังมากน้อยต่างกันหละทีนี้ เพราะว่าทุกคนจะต้องได้ผลมาจากเบื้องหลัง ไม่ว่าเราทำอะไรทุกอย่างนั่นแหละ อนาคตอยู่ข้างหน้ามันไม่มีผลให้เราเพราะเรายังไม่ได้ทำมา เราหาทรัพย์หาสินหาสมบัติต่างๆสร้างความรู้ต่างก็เหมือนกัน เราก็ได้มาจากเบื้องหลังกันทั้งหมดทีนี้ เราจะไปเอาผลข้างหน้ามันไม่มี เพราะไม่ได้ทำมา ฉะนั้นเราจึงว่าทุกคนถ้าเราพิจารณาทางธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น เราพิจารณาไปถึงญาณเบื้องต้นของพระพุทธเจ้า ที่ว่าบุพเพนิวาสานุสติญาณอย่างนี้ คือญาณเบื้องต้น ญาณเริ่มแรกที่พระพุทธเจ้าได้รู้ ท่านก็พิจารณาดูบุพกรรม บุพวาสนาที่พระองค์สร้างพระบารมีมานั่น แต่ท่านไม่ได้คิดเอาธรรมดาทีนี้ ท่านทำจิตของท่านให้เป็นสมาธิสงบแล้วก็จิตใจมีความสว่างเกิดขึ้น เกิดความรู้ความสว่างเกิดขึ้น ท่านก็น้อมไปดูจึงว่า บุพเพนิวาสานุสติ คือ ความดีที่ท่านทำมาเป็นบุญกุศลที่ขาวสะอาดที่เคยเกิดเคยตายมาเบื้องหลัง เป็นสัตว์เป็นบุคคลเป็นอะไรต่างๆหลายภพหลายประเภทอย่างนี้ จึงว่า บุพเพนิวาสานุสติ ท่านมีสติที่มาภาวนามาปฏิบัติฝึกอบรมให้ดีให้บริสุทธิ์ขึ้นมา จึงว่าระลึกทีนี้ สานุสติญาณ มีความรู้ย้อนไปพิจารณาดู แต่ว่าความรู้ของจิต ความจริงของจิตท่านมี ไม่ใช่ว่าไปนึกเดาเอา ท่านก็จะเห็นเป็นทางที่ตรงไป คือว่าภพชาติ หลายภพหลายชาติที่จะต้องเวียนว่ายหาที่มาสร้างความดี มาแก้กรรมในชีวิตแต่ละภพแต่ละชาติ ท่านก็เห็น เมื่อมาเห็นแล้วท่านก็เห็นความทุกข์ที่จะต้องมาเวียนมาว่ายตายๆเกิดๆอย่างนี้
อย่างที่หลวงพ่อว่าวันเกิดมันผ่านพ้นมา แล้วก็ไม่ต้องเกิดอีก เพราะว่าเกิดมันลำบากมันทุกข์ แต่คนที่ยังชอบยังหลงความเกิด เค้าว่าดี ก็เป็นการที่ทำให้เกิดความปลื้มใจหรือว่าปีติในความดีของความเกิดอย่างนี้ แต่แล้วเนี่ยมันก็ไม่ดีอย่างที่เราทำความดีที่ว่าให้เราเกิด เพราะเกิดมาแล้วมันเกิดความทุกข์ เกิดความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันตามกันมา มันมาจากความเกิด มันไม่ได้มาจากที่อื่น ฉะนั้นท่านมารู้จักอย่างนี้ รู้จักที่มา รู้จักกรรม รู้จักกำเนิด รู้จักกรรมที่จำแนกมาแต่ละคนแต่ละร่างกายนะทีนี้ และความสุข ความทุกข์ของร่างกายนี่ มันมีมาสลับกันมา คือมันแย่งกันมาอย่างนี้ตลอด มันไม่ใช่สุขตลอดทุกข์ตลอดอย่างที่ว่าน่ะ อย่างที่ว่าเกิดง่ายเกิดสบาย ก็พูดกันแต่เพียงว่าเครื่องหมายแห่งความดี แต่พอเกิดมาแล้วความสบายที่ว่ามันก็ไม่มีหละทีนี้ มันจะต้องดิ้นรน จะต้องสร้างสรรค์ จะต้องทำโน่นทำนี่เพื่อชีวิตเพื่ออนาคตทั้งนั้นหละทีนี้ ชีวิตสุขภาพเราจะอยู่ได้ก็อาศัยความหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงแก้ไขดูแล ตรวจดูส่วนความเป็นอยู่อะไรต่างๆอย่างนี่ มันก็เป็นกรรม มันเป็นการต้องทำเกี่ยวกับร่างกายนั่นแหละ มันไม่ใช่มีความสงบสุข เหตุนั้นพระพุทธเจ้าท่านได้ญาณได้รู้อย่างนี้ ท่านจึงมีความอิ่มพอทีนี้ อิ่มพอในการเกิดเนี่ยแหละ ในการมาเกิดนี่เพราะไม่ปรารถนาอยากมาเกิด มาวนเวียนอีก มันเป็นการไม่จบไม่สิ้น มันเป็นการยืดยาว
อย่างครูบาอาจารย์ของสายพวกๆเราน่ะ ท่านไม่ค่อยนิยมส่งเสริม เพราะท่านภาวนา ท่านปฏิบัติ ท่านมองเห็นต้นเห็นปลายมันแล้ว ท่านบอกว่าสิ่งที่มันแล้วๆไป ก็แล้วไปแล้ว เราจะไปทำเพิ่มทำใหม่มันก็งอกงามไปอีกอะไรอย่างนี้ ฉะนั้นเราต้องทำความเข้าใจเรื่องความเกิด เรื่องกรรม เรื่องที่มา สิ่งที่จำแนกแจกร่างกายชีวิตเรามาทุกคนเนี่ยแหละ แต่ถ้าเรายังไม่แก้ไข ยังไม่เข้าใจเรื่องการเกิด หรือแก้การเกิดของเรา เราจำเป็นจะต้องทำความดี สร้างบารมี ทำบุญกุศล เพื่อเป็นทุนเป็นบุญเป็นเสบียงของตนหละทีนี้ แต่ถ้าเรารู้ว่าเรามีพอมีพร้อมมีเต็ม เราก็สบายไป คนมีสมบัติพอแล้ว คนเต็มแล้ว คนกินข้าวอิ่มแล้ว ก็ไม่ต้องกินอีก ไม่ต้องลำบาก ไม่ต้องไปแสวงหา ก็อยู่ในความสงบอย่างเดียวมันก็อิ่ม เพราะว่าถ้าจิตมันเข้าถึงความสงบเป็นสมาธิเต็มที่ มันก็อิ่มทีนี้ มันไม่หิวอะไรซักอย่างเพราะว่ามันเต็มแล้ว สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านทำมาสร้างบารมีให้เต็ม อย่างที่ว่าท่านก็หยุดได้ ท่านก็พอหมดหละทีนี้ อย่างที่ว่าเพิ่มคล้ายวันเกิดไม่ต้องทำ เพราะว่าท่านรู้ความที่ว่าท่านหยุดเกิด หรือท่านอิ่มพอในความเกิด ไม่ต้องมาเกิดมาใช้ปัจจัยใช้สมบัติวัตถุและอามิสต่างๆหละ ไม่เอา ท่านก็เลยว่าดูจิต ดูธรรม ดูความอิ่ม ดูความที่ว่าท่านไม่ต้องไปหาสร้างความเกิด สร้างร่างกายต่อไปอีก
แต่ว่าเราปัจจุบันนี้เราก็รู้ว่าบุญวาสนาสติปัญญาของคนรุ่นปัจจุบันเราก็เห็นอยู่ว่าไม่แข็งแรง ไม่สมบูรณ์อะไรอย่างนี้ เราก็ต้องทำกัน มันก็ไม่ผิดเพราะว่าไม่เหมือนคนสมัยโบราณ คนโบราณนี่ท่านทำเต็ม ทำด้วยตัวเอง อย่างที่หลวงพ่อเคยพูดว่านิสัยสันทัดถนัดเรื่องทำเองด้วยตัวเอง เรียกว่าพึ่งตัวเอง คือเรื่องพึ่งคนอื่นด้วยกำลังด้วยสิ่งภายนอกนี่ไม่ค่อยคิด ส่วนมากก็พึ่งตัวเองและช่วยตัวเองมา อย่างที่เกิดในพ่อในแม่ก็เหมือนกัน ท่านเขารักมาก เพราะว่าเราปฏิบัติ ท่านเห็นมาแต่เกิด ไม่ว่าจะพ่อแม่ พวกยาย พวกตา ท่านก็พูดกันหลาย ท่านก็มีหลักฐานว่า ไม่เหมือนคนอื่น คือสร้างชีวิตตัวเองตั้งแต่รู้เดียงสา ตั้งแต่ทำไม่ได้ก็ฝืนทำ บางทีก็เกินกำลัง เจ็บไข้ได้ป่วยทรมานก็มีมากมาย เพราะว่ามันกำลังใจ หรือความที่ว่าเกิดมาสร้าง เกิดมาทำอะไรอย่างนี้ เหตุนั้นอย่างที่ว่าชื่อเดิมก็ชื่อเดียว แล้วก็ไม่มีเปลี่ยนชื่อ ไม่มีใครคนอื่นมาเรียกว่าชื่อเล่น ชื่อจริง มันเป็นนิมิตเครื่องหมายบอกชีวิตบอกทางด้วย คือมีสิทธิ์ที่มาเกิดในโลกในร่างกายนี้ เพราะว่ามาเกิดมาแก้มาสร้างกรรมที่มันหลงเหลืออยู่ให้มันจบสิ้นไป ไม่ได้มาเพื่ออะไร กระทำอย่างเดียว เพราะความเข้าใจอย่างนั้น มันบอกมันชี้แนะอย่างนั้นแหละ การเรียนการรู้มาจากเด็กๆรู้เดียงสาก็เหมือนกัน คือแบบว่าให้ทำอะไรเราก็ทำอย่างนั้น
อย่างเป็นเด็กนี่ ชื่อก็มีสั้นนิดเดียว แต่พอดีมันเจริญเติบโตไปเข้าโรงเรียนชั้นประถม ครูโรงเรียนก็เขียนชื่อเพิ่มให้ใหม่ เพิ่มตัวหน้าเข้าไปเป็น ประ ก็เพิ่มขึ้นอีกเต็มหละทีนี้ แต่ก่อนจริงๆเนี่ยของพ่อแม่เนี่ย คำเดียว คือมีสิทธิ แต่ตอนเราไปเริ่มเรียนเริ่มเข้าโรงเรียน ท่านก็เพิ่มให้ คือจะต้องปฏิบัติ มีสิทธิ์ที่จะต้องปฏิบัติ ร่างกายชีวิตสร้างให้มีความรู้ มีชั้นขึ้นไปหละทีนี้ เหตุนั้นความดีต่างๆที่เราทุกคนที่เกิดมาสร้างก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าจะดีต่างกันมาก หรือว่าคนนั้นคนนี้พูดก็แบบว่าเป็นเรื่องเข้าตัว แต่พอพูดตามหลักธรรม หลักกรรมที่เรามีมาก็ไม่แตกต่างหละทีนี้ แต่ว่าหลักใจ หลักความตั้งใจ สมาธิความมั่นใจนี่ กำลังที่เราเตรียมไว้ทีนี้ อย่างที่ว่าเรียนเป็นเด็กนักเรียน ครูให้เรียนอะไร ให้ท่องอะไรก็ท่องตามนั้นไม่ไปไหน เพราะว่าหน้าที่ ผลมันออกมา มันก็ได้ตามเป้า เรียกว่าความตั้งใจที่เรามุ่งไว้หรือเราเอาไว้ตรง มันก็ไม่พลาดไปไหน ผลที่ได้ก็คือความดี ครูบาอาจารย์ผู้ที่เคยร่วมเคยอยู่มีความรักมาก เพราะว่าเห็นการทำ เห็นการตั้งใจ ไม่ได้คิดแยกไปที่อื่น คือมุ่งที่จะเรียนที่จะสนองความต้องการที่ท่านขอให้เราทำ ท่านก็มองเห็นว่าใจนี้ตอบสนองและตั้งใจทำให้จริงๆ เราถึงว่าครูบาอาจารย์หรือหมู่เพื่อนหรืออะไรต่างๆที่เราได้รู้จักพบเห็นกันอยู่ปัจจุบัน เป็นรุ่นครูบาอาจารย์บ้าง รุ่นเพื่อนสหธรรมิก หรือพระเณร ลูกศิษย์ลูกหาอย่างนี้ ก็ได้อยู่ร่วมกัน ได้เห็น ได้รู้นิสัย รู้การปฏิบัติต่างๆนี่ เราก็เห็นกันอยู่ด้วยการได้อยู่ร่วมกัน
อย่างที่วันเกิดก็เหมือนกัน ก็ไม่ใช่ว่าเป็นพิธีทำทางที่บางที่บางท่านเคยทำ คือทำแบบให้มันเป็นการที่แสดงออกซึ่งความที่พบปะหรือสังสรรค์ หรือเป็นการที่แสดงความเคารพคารวะตามฐานะ ตามขั้น ตามภูมิของพวกเรา ตามอายุพรรษาอย่างนี้ ฉะนั้นชีวิตนิสัยที่ว่ารักความสงบ และก็มีความมั่นใจในการทำทุกสิ่งทุกอย่าง และก็เป็นความที่นิสัยมีความเคารพเกรงใจอย่างนี้ อย่างที่พูดว่าจัดงานอย่างนี้ ครูบาอาจารย์ท่านที่มีอาวุโสสูงกว่า ท่านมีอายุชราภาพ ก็ไม่อยากนิมนต์ท่านเพราะจะเป็นการลำบาก ทุกสิ่งทุกอย่างเราก็ทำได้ สวดมนต์ก็สวดได้ เทศน์ก็เทศน์ได้ เพราะเราเตรียมไว้ เราปฏิบัติมาตลอดอย่างนี้หละทีนี้ ก็เลยว่ามีอะไรจะทำนี่เราพร้อม
เราเตรียมเหมือนจะออกต่อสู้กับข้าศึก บางทีเราก็พูดออกไปว่าเราไม่ใช่เหมือนลูกคนอื่น ชีวิตของเราคือลูกทหารผ่านศึก สายเลือดของพ่อนี่มันมาเป็นร่างกายเราสมบูรณ์แบบ ไม่เคยกลัวอะไรตรงนี้เพราะว่าผ่านศึกในสมัยสงครามจริงๆ พ่อก็เล่าประวัติเรื่องราวให้ฟังจำได้หมดที่ผ่านพ้นรอดชีวิตมาได้ ก็พูดตรงๆว่าเสี่ยงมา รอดมาด้วยบุญ บางคนที่รุ่นเดียวกันเค้าก็ตายในสมรภูมิมากมายท่านว่า นี่แหละ จึงว่ามันมีกรรม มีกรรมตัวนี้แหละ มีร่างกายมีสายเลือดอยู่แล้ว มันถึงมีความกล้าหาญ มีความพร้อมอะไรอย่างนี้ เพราะการฝึกตามระเบียบวินัยของทางทหารก็มีอยู่ มันก็เป็นนิสัยเข้าไปฝังไว้ในร่างกายหละทีนี้ เราก็เห็น เห็นว่ากรรมมันมาอย่างนี้ มันก็ให้ผลเราให้ได้ผลเห็นของกรรมมันแสดงบอกอย่างนี้
จึงว่าความเคารพยำเกรงอันนี้หนึ่งมันก็เป็นนิสัย ความประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตน นี้มันก็เป็นนิสัยที่ปฏิบัติธรรมด้วยความเคารพ คือไม่มีความคิดล่วงเกินประมาทอะไรต่างๆนี่ ถึงเราจะทำเป็นพิธีกรรมคารวะหรืออะไรต่างๆครูบาอาจารย์ ในจิตจริงๆมันไม่ค่อยมีทีนี้ เราทำไปเป็นเพียงกิริยาภายนอกแค่นั้น เพราะในจิตในนิสัยมันไม่มีอย่างนั้น มันระวัง มันมีสติมันอะไรต่างๆอย่างนี้ตลอด แล้วเป็นความดี เป็นกรรม เป็นการมาดีหรือว่าเป็นวันดีวันเกิดวันแรกที่เกิดผ่านพ้นมา แต่วันนี้มันเป็นวันคล้ายทีนี้ มันก็ใกล้น่ะแหละ เพราะวันนี้เป็นวันพุธ พรุ่งนี้ก็เป็นวันพฤหัสวันที่ ๖ มันก็ชนรอบพอดี ก็เลยเลื่อนวันเวลาขึ้นมาเป็นวันที่ ๕ ที่ ๖ ซะ แต่ทุกปีเราก็จำได้ว่าจัด ๔ ๕ อย่างนี้ ก็เลยจำกัน แต่ว่ามันติดกันอยู่ มันไม่เคลื่อนคลาดกันมาก
นี่ในการที่เรียกว่าลูกศิษย์ลูกหาฝ่ายโยมนะแหละ ขอร้องคืออยากจะทำให้เป็นบุญ เพราะหลวงพ่อเองก็ทำแต่บุญอย่างเดียว บางทีเราก็พูดให้หมู่ที่สนิทกันว่า เอ้ย ชื่อเรามันก็บอกอยู่แล้วเว้ย ชื่อฉายา ชื่อพระมันก็มีอยู่ ปุญญะมากโร จะแปลว่าบุญมากนั่นแหละ เราทำมามากแล้ว เราไม่บกพร่องหรอกเรื่องบุญว่าอย่างนี้ เราแปลตามตัวตามที่เรารู้สึก เราได้มา เราอยู่มาอย่างบุญนะแหละ มันไม่ได้ไปไหนทีนี้ตามมา ฉะนั้นมีความอิ่มความพอความพร้อมทุกอย่าง เพราะว่าปัจจุบันที่เราทำอยู่เนี่ยแหละ ตั้งแต่เกิดมา ตั้งแต่ ๖๐กว่าปีย้อนหลังอย่างนี้แหละ มันก็เต็มมาสมบูรณ์มาตลอด มันไม่เคยบกพร่องการทำความดีการปฏิบัติธุดงค์ข้อวัตร หรือการดัดทรมานร่างกายในเรื่องประกอบความพากความเพียรปฏิปทา มรรคอย่างนี้ ฝึกทำมาตลอด ถึงจิตใจมันจะมีอารมณ์ มีนิวรณ์มีอะไรต่างๆ เราก็จะสามารถที่จะระงับดับอารมณ์ได้ ให้มันสงบลงได้ ซึ่งไม่เหลือความสามารถหละทีนี้ เพราะว่าความดีที่เรามีหรือว่ากรรมที่เราเกิดมา สมาธิที่เราได้พื้นฐาน คือว่ามันเกิดตามดวงตามวันที่เราได้แน่ใจได้เห็น แล้วก็มีแม่เป็นผู้รับรองประกันให้ด้วย เราก็เลยไม่ลังเลใจ เราก็เลยรู้ว่ามันถูกตรงตามเรื่องของวันเวลา ของการหมุนเวียนของโลกนั่นแหละ
แต่เรื่องการปฏิบัติ เรื่องความมั่นใจ หรือการที่เรียกว่าความตั้งใจนั้น มันเป็นหลักธรรม หลักศาสนาที่ให้พวกเราทั้งหลายได้นำไปพิจารณาทีนี้ นำไปปฏิบัติไปสร้างความเกิดให้มันสมบูรณ์ ให้มันมีสติปัญญามาแก้กรรมแก้ความเกิดนี่ ให้มันหยุดได้ ให้มันไม่ต้องยืดต้องยาว ต้องไปทำบุญเพิ่มเติมอะไรมากมายอีก เรามาปฏิบัติธรรมมาแก้กรรมตัวนี้ กรรมตัวนี้มันก็มาจากกิเลส ไม่ได้มาจากที่อื่นหรอก ก็มาจากร่างกายกิน มันกินแล้วมันก็ได้มาเกิด พอมันเกิดแล้วมันก็มาแก่มาเจ็บมาตายต่อ ถ้าเรารู้จักว่ามันเกิดมันเป็นทุกข์มันเป็นสิ่งที่ไม่ดี เราก็มาแก้ทีนี้ มาแก้กายแก้ความเกิดเรานี่ เรามาพิจารณาร่างกายด้วย กายคติกรรมฐาน ด้วยวิปัสสนาปัญญาอย่างนี้ ให้มันรู้แจ้งเห็นจริงในสภาพของร่างกายในส่วนภายใน ในส่วนที่เนื้อหนังห่อหุ้มเอาไว้ เหมือนกับว่าเราก็ต้องมารื้อมาถอนมาร่างกายที่มันเป็นบ้านเป็นเรือนของอวิชชาออกทีนี้ มันจะไม่ได้มาเป็นเจ้าของมาเกิดหละทีนี้ ไม่ไปหาสร้างบ้านสร้างเรือนต่อไปอีกในภพในชาติหน้า
แต่ถ้าเรามารู้ในปัจจุบัน เรามีจิตตื่นขึ้น เรารู้จักว่ายังไม่ล่าไม่สายเกินไป พระพุทธศาสนายังมีสมบูรณ์ ยังมีผู้ปฏิบัติมีครูบาอาจารย์ผู้ท่านแนะนำสั่งสอนอยู่อย่างนี้ และท่านก็ทำตัวอย่างให้เราเห็นอยู่อย่างนี้ อย่างที่วันเกิดทุกวันๆท่านก็อยู่ด้วยธรรมทุกวัน อยู่ด้วยปฏิบัติ อยู่ด้วยเดินจงกรมภาวนาทุกวัน ก็เป็นตัวอย่างให้เราเห็นหละทีนี้ เรามาต้องปฏิบัติให้ชีวิตให้ความเกิดของเรานี่มันมีธรรม มีเครื่องอยู่ คือแก้อยู่อย่างนี้หละทีนี้ ไม่ให้มันไปเกิดไปยาวไปอีก อย่างเราทำบุญเราก็ทำเฉพาะหละทีนี้ ไม่ต้องเผื่อว่าชาติมากมายข้างหน้าที่เราไม่มีกำหนด เราก็กำหนดเอาสัดส่วนที่เราทำอยู่ คือไม่ต้องสร้างอะไรมากมาย จะต้องใช้วัตถุใช้ปัจจัยอามิส เราตั้งใจปฏิบัติอย่างเดียวนี่แหละ ปฏิบัติธรรมบูชาธรรมอยู่อย่างนี้ นี่หละเรียกว่าเป็นผู้ทำวันเกิดของตนให้หยุดให้สงบนิ่ง ทำวันเกิดของเราแต่ละท่านละองค์ละคนเนี่ยแหละให้มันเป็นกุศล ให้มันเป็นความดีเอามาแลกเอาสติปัญญาในพระพุทธศาสนา เอาความดีบารมีต่างๆมารวมกันให้มันเต็มขึ้นในปัจจุบันชาติ เราก็จะเห็นความอิ่ม ความสุข ความสมบูรณ์ แล้วก็ความที่เกิดแก่เจ็บตายหยุดได้ เรียกว่าเป็นความพ้นทุกข์ เป็นอมตะ เรียกว่าเป็นพระนิพพาน
ฉะนั้นจึงสมที่อาตมาได้ยกไว้ว่า ปฏิรูปเทสวาโส จ ปุพฺเพ จ กตปุญฺญตา เมื่อเรามารู้จักศาสนา รู้จักข้อปฏิบัติ รู้จักชีวิตนิสัยของเราแต่ละคน แล้วเราน้อมธรรมนำมาปฏิบัติทีนี้ มาขัดมาดัดนิสัยของเราซึ่งเป็นส่วนที่เป็นกิเลส เป็นบาป เป็นกรรม สิ่งไม่ดี เราก็ขัดเกลาออกไป หรือเราก็ไม่ปล่อยให้มันทำบาปทำผิดไป จึงว่านิสัยในทางที่ไม่ดี ที่เป็นบาป หรือความที่เรียกว่า ความคิดที่มันไม่สงบอย่างนี้เราก็พิจารณากำจัดขับไล่ออกไป เรียกว่าเราอยู่ใน ปฏิรูปเทส คืออยู่ในร่างกายที่มีธรรมมีศาสนามีเครื่องส่องแสงสว่างมีอยู่ในใจของเราอย่างนี้ เรียกว่าบุญที่เราได้มาก็จะมาช่วยมาเป็นพลังให้เราได้อิ่มได้เต็มทีนี้ ไม่ให้เราได้หิวกระหาย ได้เวียนว่ายตายเกิด คล้ายวันข้างหน้าอีกหลายรอบ หลายภพหลายชาติน่ะทีนี้ เรียกว่าเป็นผู้สงบจบลงด้วยการมาปฏิบัติ มาแก้กิเลส เอาธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้านี่มาแก้มาล้างมาระงับดับลงอย่างนี้ เราก็จะเป็นผู้ไม่ตายทีนี้ จะไม่ได้นับอายุหละทีนี้ ไม่ได้นับว่าล่วงมาแล้วเท่านั้นปี เราขอต่อไปอีกเท่านั้นปี บางทีเราก็พูดอวยพรกันว่าขอให้ยืนไปอีกหลายสิบปีหรือร้อยปีอย่างนี้ อันนั้นมันเป็นคำพูดคำขอ ส่วนชีวิตกรรมจริงๆนี่เราขอไม่ได้หรอก กรรมเป็นผู้ที่จะสร้างที่จะกำหนด
นี่หละให้เราไปพิจารณาทีนี้ เหตุนั้นวันเกิดคล้ายวันเกิดที่ไหนถ้าเราได้ไปร่วม ได้ไปฟังธรรมเข้าใจนี่ เราก็น้อมนำไปพิจารณาไปแก้ เราไม่ต้องเห็นความบกพร่องในชีวิตในภพชาติของเรา เราทำบุญวันเกิดของเราทุกวันๆ เราปฏิบัติให้เป็นธรรมอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าไม่ทำ ท่านทำมากกว่าที่เรามาทำเป็นครั้งคราวหรือเรากำหนดพิธีกรรมทำอย่างวันนี้ ท่านทำเต็มอยู่ทุกวันไม่มีว่าบกพร่อง ถ้าเกิดปีใดวันไหน ทำความเพียรกี่ครั้งท่านก็ทำให้บุญวันเกิดตลอดนั่นแหละ นี่ท่านเห็นอย่างนี้ ท่านจึงไม่ต้องจัดก็ได้เพราะท่านทำภายในมากอยู่แล้ว เราต้องเข้าใจอย่างนี้เพราะบางทีบางคนก็ถามหลวงพ่ออย่างนี้ เพราะบางทีท่านจัดที่อื่น ท่านก็จะ…ลูกศิษย์ก็จัดของให้ท่านใส่บาตรด้วย ให้หลวงพ่อใส่บาตรด้วยดีไหม หลวงพ่อว่ามันก็ดี แต่หลวงพ่อนี่ทำไว้เต็มหมดแล้ว เรื่องทานบารมีเรื่องทำบุญวัตถุนี่หลวงพ่อรู้ว่าเต็มว่าพอหมด ไม่มีว่าบกพร่องแล้ว คือเสวยบารมีทาน และบารมีวัตถุอามิสปัจจัยนี่จากที่ทำไว้แล้วก็เหลือแล้ว ไม่ต้องทำ หลวงพ่อเดินรับบิณฑบาตรก็พอแล้ว คือไม่ใช่ว่าเราคิดว่า เออ เราต้องทำทรัพย์สินทำบารมีอะไรบางอย่าง มาเป็นกำลังที่จะให้เรามาแก้ไขกิเลส เรารู้แล้วเราพิจารณา เราทำมาแล้ว ขอบอกให้เข้าใจนะทีนี้ มันก็เป็นบุญอยู่ แต่ว่าสิ่งที่เราปฏิบัติที่มันดีกว่าที่เป็นบุญที่ล่วงเลยไปแล้วมันก็ดีกว่า ก็เลยทำความเข้าใจ ต้องอธิบายให้เข้าใจอย่างนี้
นี่แหละเมื่อเราเข้าใจอย่างนี้เราก็ปฏิบัติตามหลักธรรมหละทีนี้ หลักกรรมหลักที่ว่าเราเห็นเราเกิดมาสร้างความดี มาเพื่อธรรม หรือปฏิบัติธรรมอย่างเดียวนั่นแหละ ชีวิตของแต่ละคนน่ะ แต่ว่าเราจะทำเป็นฝ่ายกิเลสหรือฝ่ายบุญฝ่ายกุศลหละทีนี้ เราต้องมาขัดจิตเราให้มาทางนี้ ให้มันไปทางฝ่ายธรรมฝ่ายกุศลฝ่ายดีอย่างเดียว ทีนี้ผลออกมามันก็เป็นผลดีผลที่บริสุทธิ์ ผลที่เต็มเปี่ยมหละทีนี้ มันไม่ได้เสียหายไม่ได้มีตำหนิ ไม่ได้มีมลทินไปที่ไหน ด้วยกำลังใจที่พวกเราท่านๆทั้งหลายที่ได้มาร่วมทำบุญแล้วก็มาอนุโมทนา มาแสดงมุทิตาคารวะ นับตั้งแต่พระเถระ พระสหธรรมิก พระเณรที่จำนวนมาก ที่ได้มาแสดงความยินดี มามุทิตาคารวะวันนี้ หลวงพ่อเองก็มีความยินดี มีการขอบคุณและก็ดีใจกับพวกลูกศิษย์ญาติโยมทุกคนที่มีความตั้งใจ ที่มาอำนวยอวยพรและก็มุทิตาคารวะเพื่อชีวิตร่างกายจะได้มีอายุมีกำลังอยู่ในศาสนา มีชีวิตชีวาอยู่ร่วมกันไปในอนาคตข้างหน้าตามกาลเวลา ตามกำลังของกรรมของร่างกายที่จะเป็นไปได้อย่างนี้ ก็จึงขออนุโมทนาในกุศลในความดีหรือความที่ทุกท่านที่น้อมอำนวยอวยพรมาให้อย่างนี้ ก็ยินดีรับเพื่อจะได้ปฏิบัติศาสนามีชีวิตชีวาอยู่ด้วยกันไป เกิดความเจริญรุ่งเรืองในพระพุทธศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังอาตมาก็ได้อธิบายมาก็พอสมควรแก่กาลเวลา เอวัง ก็มีด้วยประการะฉะนี้