Skip to content

พุทธเมตตา

หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

| PDF | YouTube | AnyFlip |

ณ โอกาสบัดนี้เป็นเวลาเข้าได้เข้าเข็ม เป็นเวลาตั้งสัจจะอธิษฐาน เป็นเวลาระลึกถึงพระบรมศาสดาจารย์สัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ว่าท่านจะดับขันธ์นานมากว่า ๒๐๐๐ปีแล้วก็ตาม แต่มนุษย์แหละเทวดาอินทร์พรหมทั้งหลายผู้เลื่อมใสในพุทธศาสนาในคุณพระพุทธเจ้า ท่านเหล่านั้นก็ยังกราบไหว้บูชา ระลึกถึงพระพุทธองค์อยู่ทุกลมหายใจเข้าออกว่าเป็นผู้ได้บำเพ็ญบารมีมา ๔ อสงไขย แสนมหากัปป์ นับว่าเป็นผู้มีความเพียรความหมั่นความขยันขันแข็งไม่ท้อแท้อ่อนแอในหัวใจ คำว่ากัปป์ๆ กัลป์ๆ นับว่าเป็นเวลานาน 

ทีนี้จะมาคิดดูพวกเราทั้งหลาย ชั่วชีวิตหนึ่งก็ได้ชื่อว่าเห็นเป็นเวลายาวนาน ความจริงมันไม่ยาวนานเท่าไหร่ ชีวิตของคนสมัยนี้อยู่ใต้ ๑๐๐ปีเป็นส่วนมาก ส่วนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่ท่านจะได้มาตรัสมาเป็นพุทธะพุทโธ บำเพ็ญมานับเป็นอสงไขยๆกัปป์กัลป์ ท่านก็ยังมีความพากความเพียรความอดความทน ไม่ท้อถอย ฉะนั้นเราทุกคนมันจะมีความทุกข์ความเดือดร้อนอะไรทางกายก็ให้อดทนเอา เพราะว่าร่างกายสังขารนี้มันเป็นเพียงภาชนะ เป็นเพียงภาชนะทองคำรับรองเอาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น อีกไม่นาน ชั่วชีวิตของเราทุกคนก็จะถึงวาระสุดท้าย สิ่งนั้นคือความตาย 

ถ้าผู้ใดมาระลึกถึงว่าเมื่อเราตายมาจากชาติก่อนหลังโน่น เราก็ไม่ได้นำสมบัติอะไรติดตัวมา เรามาเอาสมบัติจากบิดามารดาผู้บังเกิดเกล้าได้เกิดมาเป็นคน เมื่อเกิดมาทีแรกก็ไม่มีสมบัติพัสถานอะไรเป็นของตัวเองเลย มีแต่หนังหุ้มกระดูกมาเท่านี้แหละ ทีนี้เมื่อมาเกิดแล้ว ใหญ่ขึ้นมาแล้ว มาเรียนจดจำความหมายของมนุษย์ พูดจาปราศรัยไปมาได้อย่างมนุษย์ในธาตุนั้นๆ แล้วก็มาหลงสมมุติของมนุษย์สมมุติขึ้น เมื่อเขาสมมุติอะไรจิตใจเราก็ไปหลงตามสมมุตินั้นๆ โดยที่แก้ไขไม่ได้ แก้ไขไม่ตกลงใจ เพียงแต่ว่าเขาสมมุติให้เป็นนาย ก นาง ข ก็เข้าไปยึดไปถือว่า นาย ก นี่เป็นเรา นาง ข นี่เป็นเรา ความสมมุติในโลกเป็นอย่างนี้ เราต้องภาวนาเพียรเพ่งดูให้รู้แจ้งด้วยปัญญาอันชอบ ธรรมดาธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ที่มาประชุมปรุงแต่งขึ้นมาเป็นตัวเป็นตนเป็นสัตว์บุคคลอยู่นี่ เป็นของชั่วคราว ไม่ใช่เป็นของยืนยาวคราวไกลเท่าไรนัก อายุสังขารของคนในยุคนี้สมัยนี้ถือเสียว่าไม่เลย ๑๐๐ปีก็แล้วกัน ภายใน ๑๐๐ ปีเนี่ยแหละ ก็จะถึงขั้นพลัดพรากจากกันไป เราต้องเตือนใจของเราไม่ให้ร่างกายสังขารมันมาทับถมจิต ธรรมดารูปขันธ์นั้น เขามีความทุกข์ มีความแก่ชราประจำชีวิตที่เกิดมา 

พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ไปแก้ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ท่านให้แก้หัวใจ แก้ใจ แก้หัวใจ ฉะนั้นท่านจึงให้ภาวนา ภาวนาพุทโธบ้าง ภาวนาอรหัง ภาวนาอะไรก็ตาม เป็นบทสอนบทฝึกจิตให้จิตใจมาสงบตั้งมั่น เมื่อจิตใจมาสงบตั้งมั่นแล้วใจนั้นจึงจะมีปัญญา มีความรู้ความฉลาด เมื่อใจมีความรู้ความฉลาดแล้ว ใจนั้นแหละจะแก้ไขได้ทุกอย่างทุกประการ คือแก้ใจไม่ให้มาหลงในรูปในนามในตัวในตัวในโลกนี้ วิชชาความรู้ของพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ เพื่อไม่ให้จิตใจมาลุ่มหลงมัวเมาอย่างโลกธรรมดา อะไรมันหมดไปเสื่อมไปสิ้นไปก็ให้เป็นเรื่องของรูปนามกายใจของคนเรา ว่ามันย่อมเป็นไปอย่างนั้น 

ส่วนสติปัญญาวิชาภาวนาในจิตในใจของเรานั้นไม่ให้มันหลงลืม ลืมไม่ได้ จะลืมอื่นใดลืมได้ แต่จะมาลืมภาวนาพุทโธในตัวในใจนี่ไม่ได้ เพราะพระพุทธเจ้านั้นได้อุบัติบังเกิดขึ้นมาแล้ว มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า โปรดพุทธบริษัททั้งหลาย มีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พระองค์ช่วยโปรด ช่วยสอนแนะนำอยู่ช่วงชีวิตของพระองค์ยังมีอยู่ ๔๕ปี พาให้แสงสว่างทางปัญญาเกิดขึ้นแก่มนุษย์และเทวดาอินทร์พรหมทั้งหลาย จนถึงพวกเราเกิดมาในระหว่างกลาง กึ่งกลางพุทธศาสนา ก็ยังได้ยินได้ฟังอยู่ว่าพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า แล้วยังได้ยินว่า ทาน ศีล ภาวนา มรรคผลนิพพาน สิ่งเหล่านี้ถ้าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอุบัติบังเกิดในโลก เรียกว่าไม่มีสิ่งเหล่านี้ที่เราได้เห็น ที่มันมีอยู่ ที่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติบังเกิดขึ้นเสียก่อน 

เมื่อพระพุทธเจ้ามาอุบัติบังเกิดขึ้นแล้วพระองค์ก็ช่วยสั่งสอน สอนนักบวช ท่านก็สอน สอนนักบ้านผู้อยู่บ้าน ท่านก็สอน สอนให้ทำบุญทำทาน เรียกว่าสอนให้รู้จักเสียสละ สอนให้รักษาศีล ๕ ศีล ๘ เรียกว่าสอนให้มีความเมตตาซึ่งกันและกัน ไม่ให้เบียดเบียนกัน สอนให้มีความมุ่งหวังให้แก่มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายให้พากันอยู่เย็นเป็นสุข คือไม่ไปทำความเดือดร้อนให้ทุกข์ร้อนแก่ผู้คนและสัตว์ทั้งหลาย พระพุทธเจ้านั้นท่านมีความเมตตากว้างใหญ่ไพศาล เบื้องบนลงมาเรียกว่า จากภวัคคพรหมลงมา เบื้องต่ำตั้งแต่อเวจีมหานรกขึ้นมา ลงกลมหมื่นจักรวาลแสนโกฏิจักรวาล อนันตาจักรวาล มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายที่อยู่ในที่กล่าวมานี้ พระองค์เพ่งเล็งให้เขาทั้งหลาย อยู่เย็นเป็นสุขทุกถ้วนหน้า เมื่อพระองค์ไม่เบียดเบียนใครก็ขอให้สัตว์ทั้งหลายอย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย เรียกว่าพระองค์มีความเมตตาการุณแก่มนุษย์คนเราและสัตว์ทั้งหลายทั่วไป 

เมื่อพระองค์มีความมุ่งหวังอย่างนั้นเพื่อประโยชน์อะไร เพื่อให้มนุษย์และเทวดา อินทร์ พรหม เร่งรัดพัฒนาการในการปฏิบัติบูชาภาวนาละกิเลส กิเลสความโกรธที่มีอยู่ในตัวในใจเรานี่แหละเพียรละออกไป กิเลสความโลภ กิเลสความหลง อวิชชาตัณหาอันมีอยู่ในตัวในใจนี่แหละ พระองค์มุ่งหวังให้พวกเราทั้งหลาย ภาวนาทำความเพียรละกิเลส ให้มันเบาไปบางไปหมดไปสิ้นไปในที่สุด พระองค์ไม่ต้องการอะไรจากพวกเราแม้แต่น้อย ก็ดูสิพระองค์ดับขันธ์เข้าสู่นฤพานเป็นเวลานานตั้ง ๒๕๒๘ ปีแล้ว พวกเราได้อนุเคราะห์ สงเคราะห์ พระองค์ได้ตักบาตรหยาดน้ำให้พระองค์หรือ เปล่าทั้งนั้น ไม่ได้ถวายทานอะไรให้แก่พระพุทธเจ้า แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังมีเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขา มาถึงพวกเราทั้งหลาย คือสอนให้มนุษย์และเทวดาอินทร์พรหมทั้งหลาย รู้จักการละบาป ไม่ทำบาป รู้จักทำบุญ ทำดี ไม่ให้ทำชั่ว 

พระองค์มีความมุ่งมาดปรารถนาเพื่อจะให้ยกจิตใจของตัวเองนี่แหละให้สูงขึ้น จนถึงขั้นทำลายกิเลส ฆ่ากิเลสให้ตาย คายกิเลสให้ออก กิเลสความโกรธ กิเลสความโลภ กิเลสความหลง อันมันมีอยู่ในกายวาจาจิตของคนเรานี่แหละ มันทำความเดือดร้อนวุ่นวายให้ มีกิเลสอยู่ที่ไหน ท่านก็ว่าเป็นไฟ เหมือนกับไฟอยู่ที่นั่น ธรรมดาไฟเป็นของร้อน จะเป็นเถ้าเป็นถ่านมันก็ร้อน เมื่อมันลุกขึ้นที่ไหนมันก็ไหม้ที่นั่นให้วอดวายไป ธรรมดาไฟเป็นอย่างนั้น กิเลสความโกรธ กิเลสความโลภ ความหลงในใจของมนุษย์คนเราทุกคนก็คือมันเป็นไฟเผาใจให้ร้อน ใจไม่เย็น ใจมันร้อนด้วยความอยากความดิ้นรน ด้วยความยึดหน้า ความยึดตัวถือตน ยึดชาติยึดตระกูล ยึดเรายึดของๆเรา โดยที่ไม่ได้ภาวนาเพียรเพ่งดูให้รู้แจ้งด้วยปัญญาอันชอบ 

อะไรก็ตามของในโลกนี้ไม่ใช่ของใคร พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่ามันเป็นสมบัติของแผ่นดิน คือมนุษย์มันจะมีวัตถุข้าวของทรัพย์สินเงินทองเครื่องใช้สอยมากน้อยเท่าไร มันเอาไปไม่ได้ ถ้าเกิดตายขึ้นมา วัตถุข้าวของเหล่านี้เป็นสมบัติของแผ่นดิน มนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ก็เปลี่ยนเอาไปใช้ ใช้ไปหมดชั่วชีวิตก็ทิ้งไว้ในโลกนี้อีกต่อไป ฉะนั้นจิตใจเราผู้ภาวนาอย่าได้ประมาท จงกำหนดให้รู้อยู่ในใจว่า อันความแก่ความชราความชำรุดทรุดโทรมของสังขารทั้งหลายย่อมเป็นอยู่เป็นธรรมดา ไม่ว่ายุคใดสมัยใด ก็มีเกิดมีแก่มีเจ็บมีไข้มีตายเหมือนกันหมด จึงให้พากันตั้งใจปฏิบัติบูชาภาวนา อย่าให้จิตใจเราท้อถอย ให้ทำความปีติยินดี ในทางการกุศลที่ตัวเองได้เสียสละลงไป 

ทานทั้งหลายนั้น ทานในปัจจัยทั้ง ๔ ก็ยังสู้อภัยทาน อภัยทานนั้นแล้วว่า การให้อภัยแก่คนอื่น คนอื่นก็ตามสัตว์ตัวไหนก็ตามเขาไม่รู้ เมื่อเขายังไม่รู้ก็เรียกว่าให้อภัย ให้อภัยโทษคือยกโทษให้เขา เขาจะดุด่าว่าร้ายป้ายสี พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ยึดถือ เพราะเขาไม่รู้ เขายังไม่ภาวนา เขายังภาวนาไม่เป็น จิตใจเขายังไม่สงบระงับ ทาน ศีล ภาวนา เขายังน้อย พระพุทธเจ้า พระอริยเจ้าทั้งหลาย ทาน ศีล ภาวนา เพิ่นมา เพิ่นก็รู้ ให้อภัย ให้อภัยแก่คนไม่รู้ เมื่อให้อภัยแก่คนไม่รู้ได้จิตใจก็เรียกว่าสูง สูงส่ง ใครจะว่าร้ายกล่าวร้ายก็ไม่เข้าไปยึดถือ คนที่ว่าร้ายกล่าวร้ายให้แก่บุคคลผู้อื่นก็คือคนยังไม่รู้จัก ยังไม่รู้จักให้อภัย ให้อภัยโทษ คือว่าให้ ไม่ไปยึดถือ เป็นจิตใจอันปล่อยวางจากความทุกข์ความร้อนต่างๆนานา อันนี้เรียกว่าเป็นทานอย่างสูง ยากที่พวกเราจะให้อภัยได้ ฉะนั้นในโลกนี้จึงมีแต่เรื่องทุกข์ เค้าด่ามา เราก็ด่าตอบ เค้าประหัตถ์ประหารเราก็ประหัตถ์ประหารตอบ อันนี้คือว่าจิตมันยังไม่เห็นทุกข์เห็นโทษ ยังไม่ให้อภัยแก่สัตว์โลกทั้งหลาย ส่วนพระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลายนั้น ใครจะว่าร้ายกล่าวร้ายทำอะไรต่อมิอะไรไม่ดีไม่ชอบก็ตาม พระพุทธเจ้าท่านก็วาง จิตใจเฉยไว้ ไม่ต้องไปทุกข์ตามเขาว่า เขาจะว่าอย่างใดเป็นเรื่องของคนไม่รู้ คนรู้เขาไม่ว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ ท่านไม่ว่า พระอริยสงฆ์สาวกเจ้าทั้งหลายท่านเป็นผู้รู้ ท่านไม่ว่าร้ายกล่าวร้ายให้แก่บุคคลก็ได้ มีแต่ท่านเพ่งเล็งให้มนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลายที่ยังไม่มีความสุขสงบก็ให้เกิดความสุขสงบขึ้นมา หรือผู้ที่มีจิตใจสงบระงับได้แล้ว ก็ให้ภิญโญยิ่งๆขึ้นไป จนถึงขั้นให้อภัยทุกที่ทุกสถาน 

การปฏิบัติบูชาภาวนาในจิตใจของผู้ปฏิบัตินี้ ท่านให้รวมเข้ามาให้สงบเข้ามาที่ลมหายใจเข้า ที่ลมหายใจออก ลมหายใจเข้าไปก็ภาวนาให้ได้ พุทโธในใจให้ได้ ลมออกมาก็ภาวนาพุทโธในใจให้ได้ ไม่ต้องไปโมโหโทโสฟุ้งซ่านรำคาญกับสิ่งใดๆ รวมกำลังตั้งมั่นอยู่ภายในใจ มองเห็นว่าชาติความเกิดเป็นทุกข์อย่างนี้ๆ เมื่อเกิดมาแล้วก็มีแต่เล่ห์เหลี่ยมมารยาสาไถ สิ่งที่จะให้ทุกข์กายทุกข์ใจทั้งนั้น ไม่รู้จักการปล่อยวาง เมื่อจิตไม่วางเฉยเสียเมื่อใด ความทุกข์ความเดือดร้อนมันก็มี ถ้าจิตใจของพระโยคาวจรเจ้าทั้งหลายท่านมองเห็นว่า มันเกิดทุกข์เกิดโทษ ท่านก็ปล่อยวาง ตาเห็นรูปในส่วนที่สวยสดงดงามท่านก็ปล่อยวางไม่เข้าไปยึดถือ หรือในส่วนที่ไม่ดี รูปไม่ดี ท่านก็ไม่เข้าไปยึดถือ ท่านทำใจของท่านให้เป็นกลางอยู่ เสียงเพราะเสียงไม่เพราะก็ตามท่านก็ไม่ให้จิตใจไปดีใจเสียใจ ท่านภาวนาในใจลูกเดียวคือว่าวางเฉยให้ได้ ทำจิตใจให้ว่างจากอารมณ์ต่างๆ จิตใจของท่านก็เข้าถึงความวิมุตติ์หลุดพ้น หลุดพ้นออกจากกิเลส หลุดพ้นออกจากความทุกข์ความเดือดร้อน ไม่มีความทุกข์เดือดร้อนใดๆจะแทรกแซงเข้าไปอยู่ในใจท่านได้ เพราะท่านภาวนาละกิเลส ท่านไม่ใช่ภาวนาเอากิเลส คนไม่รู้ต่างหาก ภาวนาเอากิลเส พระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์สาวกเจ้าทั้งหลายภาวนาละกิเลส กิเลสมันมีมากน้อยเท่าไร ท่านละท่านวาง ท่านสอนจิตใจของท่านดวงเดียวเท่านั้นให้เป็นผู้ปล่อยผู้วาง จนเลิกได้ละได้ปล่อยได้วางได้จริงๆ ความทุกข์ต่างๆมันก็หลุดออกไปจากจิตใจของพระโยคาวจรเจ้าทั้งหลาย ไม่ไปทุกข์แทนใครทั้งนั้น 

นั่นแหละว่าพุทโธ พุทโธอยู่ตรงนี้ ธัมโมอยู่ตรงนี้ สังโฆอยู่ตรงนี้ เมื่อจิตใจดวงนี้มีความสงบตั้งมั่น ไม่หันเหไปตามอำนาจกิเลสราคะ โทสะ โมหะ ชื่อว่าจิตใจดวงนั้นมีความสุข มีความสบาย ให้อภัยแก่คนและสัตว์ทั้งหลายทั้งโลก มีจิตใจอันหนักแน่นเหมือนแผ่นดินไม่หวั่นไหวสั่นสะเทือน ด้วยเหตุนี้ การปฏิบัติบูชาภาวนานี้ให้ถือว่าตัวเราคือกายวาจาจิตอยู่ที่ไหนที่นั่นแหละเป็นที่ภาวนา ตราบใดยังมีชีวิตลมหายใจอยู่เราก็ภาวนาเรื่อยไป จะได้มากได้น้อยมันก็อยู่ที่กำลังสามารถอาจหาญของตัวเอง เมื่อบุคคลใดมีความสามารถอาจหาญในจิตในใจก็ย่อมทำได้ปฏิบัติได้ ไม่มีอะไรขัดข้อง 

ถ้าไม่ตั้งอกตั้งใจภาวนา อะไรมันก็เป็นอุปสรรคขัดข้องทั้งนั้นแหละ คือจิตมันขัด จิตมันข้อง จิตมันหลง จิตไม่รู้ จิตไม่ละไม่วาง ความทุกข์ทั้งหลายแหล่มันก็สุมรุมลงไปในหัวใจ จิตใจก็ยึดมั่นถือมั่นในหน้าในตาในชาติในตระกูลในเราในของๆเรา คือความไม่รู้ละ รู้ปล่อย รู้วางนี่เอง เป็นเหตุเป็นปัจจัย เมื่อเราทุกคนรู้สึกได้ว่าอะไรทั้งหมดมันอยู่ที่ใจ เมื่อใจยังหลงอยู่ยังมัวเมาอยู่มันก็มีทุกข์ในใจนั่นแหละ เมื่อจิตใจของผู้ใดเลิกละปล่อยวางอดีตอนาคตพร้อมกับปัจจุบัน มีความเพียรเพ่งอยู่ในตัวในกาย วาจา จิต จิตใจก็ย่อมเย็นสบายเป็นสุขในหัวใจ ร่างกายจะมีความทุกข์เดือดร้อนอย่างไรก็ตามเป็นเรื่องของรูปขันธ์ จิตใจเราสบายเป็นใช้ได้ เรียกว่าพุทโธอยู่ที่ใจ ธัมโมอยู่ที่ใจ สังโฆอยู่ที่จิตที่ใจ จงเพียรพยายามทำจิตทำใจให้สงบนิ่งแน่วเป็นดวงเดียว ก็จะมองเห็นศีลเห็นธรรมเห็นคำสั่งสอนในทางพุทธศาสนาด้วยจิตใจของตัวเอง ดังแสดงมาก็สมควรด้วยกาลเวลา เอวัง ก็มีด้วยประการะฉะนี้