หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
ต่อนี้ไปเป็นเวลานั่งสมาธิภาวนาในวันเข้าพรรษาก็ว่าได้ เพราะวันศีลนี้เป็นวันศีลเพ็ญ เดือน ๘ใต้ เดือน ๑๐ เหนือ เป็นธรรมเนียมในทางพุทธศาสนา เป็นวันเข้าพรรษาเป็นวันอยู่ไตรมาส ๓ เดือน ส่วนญาติโยมแม้จะไม่ได้เข้าพรรษาอย่างพระสงฆ์ก็ตาม ก็ฐานอนุโลมตาม คุณงามความดีใดๆที่จะบังเกิดขึ้นในกลางพรรษานี้ ก็ให้พากันริเริ่ม ตั้งจิตตั้งใจ ประพฤติปฏิบัติให้คุณงามความดีมันเกิดมีขึ้น ให้บุญบารมีแก่กล้าขึ้นไปโดยลำดับ โดยเฉพาะคืนวันนี้ให้พากันนั่งขัดสมาธิทุกๆคน การนั่งสมาธินี้ให้พากันนั่งขัดสมาด เอาขาขวาทับขาซ้าย เอามือข้างขวาวางทับมือข้างซ้าย หรือว่านั่งขัดสมาธิเพชรก็ได้แก่ เอาขาซ้ายขึ้นมาทับขาขวาแล้วก็เอาขาขวาขึ้นมาทับขาซ้าย ถ้าวางมือ เอามือขวาทับมือซ้าย อันนี้เป็นนั่งขัดสมาธิเพชร
เมื่อเรานั่งขัดสมาธิเพชรแล้ว หน้าที่ของเราในเวลานี้ก็ภาวนาบริกรรมทำใจให้สงบ หรือว่าตั้งใจฟังโดยความเคารพ ไม่คิดให้ใจไปที่อื่น ส่วนใจสังขารวิญญาณ คิดไปที่ไหน เราก็ไม่ตามไป เอาจิตใจมาจดจ่ออยู่ในการได้ยินได้ฟัง รวมจิตใจอยู่ภายในใจของตนจริงๆ การนั่งสมาธิภาวนานี้ไม่ใช่ของทำเล่น มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานในการนั่งสมาธินี้ ในวันที่พระพุทธเจ้าของเราจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น พระองค์นั่งสมาธิภาวนาใต้ต้นไม้โพธิ์ไม้สะหลี การนั่งสมาธิภาวนาของพระพุทธเจ้าในคราวครั้งนั้น เรียกว่านั่งแบบเสียสละแบบโดดเดี่ยว ไม่มีเครื่องอุปโภค บริโภคใดๆ เหมือนเรานั่งอยู่นี่ ที่นั่งของพระองค์จริงๆก็คือว่า คนเกี่ยวหญ้าได้หญ้าไปถวายท่าน ๘ กำ ท่านก็เอาหญ้า ๘ กำนั้นหละไปปูที่โคนต้นไม้โพธิ์ ๙ ไม้สะหลี ด้านตะวันออก ผินพระพักตร์ ผินหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ พระองค์นั่นขัดสมาธิเพชร
การนั่งสมาธิเพชรนั้นถ้าเราไม่เคยก็เป็นของยาก ถ้าหัดนั่งบ่อยๆ ทุกครั้งที่นั่งภาวนาก็ง่ายขึ้น มั่นคงกว่าการนั่งแบบธรรมดา พระพุทธเจ้าพระองค์นั่งแบบพิเศษ ขัดสมาธิเพชรแล้วน่ะเรียกว่าแบบพิเศษ เพราะพระองค์นั่งครั้งนั้นมีจิตใจแน่วแน่มั่นคง ถ้าไม่ได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้าแล้วพระองค์ไม่ยอมลุกไปในที่ใดๆ กล่าวง่ายๆก็คือว่ายอมตายในที่นั่งนั่นแหละ เมื่อพระองค์นั่งเสร็จเรียบร้อยแล้วพระองค์ก็ตั้งสัจจ์อธิษฐานว่าแม้เลือดเนื้อเชื้อไขจะเหือดแห้งไปเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกก็ตามที เราจะไม่ลุกจากที่นั่งนี้เป็นอันขาด ไม่ได้ตรัสรู้ก็ยอมตายในที่นั่น ไม่ต้องกินต้องนอนกันหละ แล้วว่าจิตใจของพระองค์เด็ดขาดไม่มีความท้อถอยประการใด อุบายภาวนาของพระองค์ท่านก็กำหนดลมหายใจ
คือธาตุลมและดวงจิตดวงใจของคนเราน่ะมันคล้ายคลึงกัน ธาตุลม ลมหายใจ อากาศลมนั้น ไม่มีเป็นก้อนเป็นหน่วยเป็นตัวเป็นตน คล้ายกันกับมโนธาตุ ธาตุจิตธาตุใจของเราทั้งหลาย ดวงจิตดวงใจที่รู้ฟังธรรมได้ยินเสียงอยู่นี้ก็เหมือนลม แต่ว่าลมภายนอกก็ตามถ้ามันรวมตัวแล้วเป็นลมแรงพัดบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของมนุษย์ตลอดจนต้นไม้หักไปเยอะแยะ เวลามันรวมตัวก็แรง จิตคนเราแต่ละบุคคลนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราคิดว่าไม่มีตัวตนแต่ว่าเวลามันจะทำบาปก็ดี เวลาจะทำบุญก็ตาม มันเอากายนี้แหละพาทำ จิตพากายทำ ทำบาปก็ได้ ทำบุญก็ได้ ทำดีก็ได้ ทำชั่วก็ได้ รุนแรงเหมือนกัน
บัดนี้เราได้มานั่งสมาธิภาวนาในวันเข้าพรรษาก็ว่าได้ จงพากันตั้งใจ เราจะได้ริเริ่มตั้งแต่คืนวันนี้เป็นต้นไป สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องตั้งใจหรือตั้งสัจจ์อธิษฐานลงไปก็คือว่าทุกคืน ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป เราจะไม่ให้ขาดในการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ โดยเฉพาะการนั่งสมาธิภาวนาไหว้พระสวดมนต์ ทำจิตใจของตนให้สงบระงับดีกว่าตั้งแต่ก่อนๆมา เราจะไม่ย่อท้อในการประพฤติปฏิบัติในข้อวัตรเหล่านี้ คืนไหนไม่ได้นั่งสมาธิภาวนาเป็นอันว่าเราจะไม่นอนเป็นอันขาด ถ้ามันจะมาตายเวลาเรานั่งสมาธิภาวนาก่อนจะนอน ก็นั่งสมาธิตายซักชาติหนึ่งก็จะดี ตั้งจิตตั้งใจขึ้นมาให้มันกล้าหาญในใจบ้าง กิเลสมาร สังขารมาร กิเลสความโกรธ ความโลภ ความหลงในหัวใจมนุษย์คนเรานี้ มันเหยียบย่ำจมูก เหยียบย่ำกายวาจาจิตของเรามา ตั้งแต่อเนกชาตินับภพนับชาติไม่ถ้วนแล้ว เราเกิดมาชาตินี้มันก็ยังย่ำยีตลอดเวลา ย่ำยีอย่างไร ก็ย่ำยีด้วยความโกรธ เมื่อคนอื่นผู้อื่นสิ่งอื่นทำอะไรพูดคิดอะไรไม่เหมือนตนเองก็โกรธ ตัวนั้นแหละสำคัญ เลิกละให้หมดสิ้นในกลางพรรษานี้ ความโลภคือความไม่อิ่มไม่พอในใจนั้นก็เหมือนกัน เป็นความร้อนในใจมนุษย์ ในพรรษานี้ทำใจให้พอ
เมื่อใจสงบใจพอนั่นแหละ พระอยู่ที่พอ ไม่ใช่อยู่ที่เพศ เราเห็นว่านุ่งเหลืองเป็นพระ นุ่งขาวเป็นผ้าขาว อันนี้มันเรื่องของธาตุ เรื่องของใจนั้นต้องรวมมาสู่สมาธิภาวนา อันสมาธิภาวนานี้เป็นสิ่งที่เรียกว่าลี้ลับซับซ้อนอยู่หน่อย เพราะอุปสรรคต่างๆนั้นมันมีมาก แต่ถ้าความตั้งใจของผู้ปฏิบัติทุกดวงใจ มีสัจจะอธิษฐานในใจของตนจริงๆแล้ว อุปสรรคก็ไม่มี มาเป็นอุปสรรคไม่ได้ ก็อย่างเราตั้งใจไว้ว่า ถ้าข้าพเจ้าไม่ภาวนาเสียก่อนจะไม่หลับนอนเป็นอันขาด จะมีโรคภัยไข้เจ็บบังเกิดมีขึ้นก็ตาม เมื่อมันไม่รุนแรงจนกระทั่งว่าลุกไม่ขึ้นแล้ว เราก็ต้องให้ได้นั่งสมาธิภาวนาไหว้พระสวดมนต์พอสมควร จุดมุ่งหมายคือให้ใจเรานั่นแหละมีความมั่นคง หนักแน่น ไม่หวั่นไหว ไม่กลัวตาย ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวแก่ ไม่กลัวผีสางเทวดาที่ไหนทั้งนั้น ได้เวลาปฏิบัติภาวนาก็ลุกขึ้นตั้งใจปฏิบัติรวมจิตใจให้สงบตั้งมั่น ไม่ให้ใจอืดๆอาดๆ ขี้เซาเหงานอน ไล่ให้มันออกไปให้หมด
อุปสรรคแห่งการนั่งสมาธิภาวนานี้ ท่านว่านิวรณ์ทั้ง ๕ มันเป็นอุปสรรค โดยเฉพาะนิวรณ์คือความง่วงเหงาหาวนอน ตัวง่วงเหงาหาวนอนนี่เป็นตัวสำคัญ ถ้ามันเกิดมีขึ้นในจิตในใจในตัวของบุคคลผู้ใดแล้ว ไม่รู้เรื่องทั้งนั้น เวลาฟังเทศน์ฟังธรรมฟังอุบายธรรมต่างๆแทนที่จะได้จดจำเอาธรรมะคำสั่งสอนไปภาวนาละกิเลสในจิตในใจก็จำไม่ได้ เพราะจิตมันไปหลับเสีย หูมีก็เป็นหูตะกร้าหูกระเช้าไปอย่างนั้น ฟังอะไรไม่รู้เรื่องเพราะว่าใจไม่ตั้ง ใจหลับ อย่าให้ใจหลับใหล จิตใจจะไม่หลับใหลนั้นต้องเป็นจิตใจที่นึกน้อมอยู่ในภาวนา ในคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บไข้ ความตายเป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสัตว์สังขารทั้งหลายย่อมมีแก่บุคคลเรา ใจต้องระลึกอยู่ในสิ่งเหล่านี้ ให้มองเห็นภัยธรรมดาอันมันมีอยู่ในรูปนามกายใจของเรานี้แหละทุกเวลา ว่าสิ่งเหล่านี้มันหนีไม่พ้น ให้ใจนึกน้อมมองเห็นชราพยาธิอันมีอยู่ในร่างกายสังขารของเราอยู่เสมอ จิตใจก็ไม่ง่วงเหงาหาวนอน ใจไม่หลับ เรียกว่าใจชื่นบานเบิกบานอยู่ภายในใจของตัวเอง รีบเร่งภาวนาอยู่ทุกเวลา
คำว่ามรณกรรมฐาน เราต้องเจริญให้รู้อยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ว่าลมเข้าไปนี้ถ้าออกมาไม่ได้เราก็ตาย ลมออกไปสูดเข้ามาไม่ได้ก็ตาย ความตายในตัวเราในชีวิตจิตใจนี้มีอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก มันตายได้ทุกเวลา ไม่ใช่ว่าได้ข่าวว่า สกายแลพสกายเหลิบจะตกลงมาเราก็กลัวตาย อันนั้นมันเรื่องหนึ่ง มันกลัวตายแล้วก็ฟุ้งซ่านไป ไอ้ตัวเรามันตายไปทุกวันๆนั่นดูให้ดี อะไรมันตาย ความแก่ ความชรา ดูซิมันตายไปโดยลำดับลำดับ คนแก่สีสันวรรณะเป็นยังใด หูตาเป็นยังใด ผมเป็นอย่างไร คนแก่ นั่นแหละมันตายไปๆ คนแก่มักจะเจ็บเข่าเจ็บแข้งเจ็บขาเป็นนั่นเป็นนี่บ่อยๆ เพราะอะไร นั่นแหละ มันแก่มันเจ็บและมันก็คือว่าตายไปโดยลำดับๆ ตาแต่เมื่อเด็กเมื่อหนุ่มดูอะไรถ่ออะไรชัดเจน เวลาแก่เฒ่าทำไมดูอะไรไม่ค่อยได้ จะดูหนังเสี้ยนหนังสือก็ต้องใส่แว่น เข้าแว่น นั่นแหละคือมันแก่ เราให้นึกมันให้ได้ สอนใจเราให้ได้ ทำไมจึงบ่นว่าเจ็บนั่นเจ็บนี่ ก็เพราะว่ามันแก่น่ะ มันแก่ชรา แล้วก็มันตายไปโดยลำดับๆด้วย แต่เราไม่ได้คิดตาม ไม่ได้เพียรเพ่งดูให้รู้แจ้งด้วยปัญญาก็เลยเข้าใจว่า ความตายนะมันอยู่ข้างหน้าโน้น มันยังไม่ใกล้ แท้ที่จริงวันหนึ่งมันหมดไปเราก็ตายไปแล้ววันหนึ่ง คืนหนึ่งหมดไปเราก็ตายไปในคืนนั้นแล้ว มันตายไปโดยลำดับ ยังเหลือแต่มันจะตายหมดลมหายใจเท่านั้น แต่เราไม่สงบจิตสงบใจไม่ภาวนาดูให้รู้ในจิต ก็เลยมาสำคัญผิดคิดว่าเรายังไม่ตายง่ายๆ เป็นความประมาท
จงนึกอยู่เสมอเดี๋ยวนี้เวลานี้ว่าความจริงเราตายอยู่ทุกขณะทุกเวลา เสียงที่เราฟังอยู่มันก็แตกไปดับไป ที่ดังขึ้นมาใหม่ก็พูดใหม่ ความจริงมันก็ดับไปมันก็แตกก็ตายอยู่นั่น แต่สติปัญญาของเราไม่ทัน จิตมันก็ว้าวุ่นไปในที่ต่างๆ ครั้นให้นึกน้อมภาวนาพุทโธในใจ มันก็ไม่เอาจริง ให้นึกถึงความตายก็กลัวตายเสียอีก ถ้านึกบ่อยๆมันจะตายเร็วเข้าเพราะเรายังไม่อยากตาย ความตายนั้นมันมีกฏเกณฑ์อยู่ตามชีวิตของแต่ละบุคคล ไม่ได้เกี่ยวกับการนึกว่าเราต้องตาย อันนี้เป็นอุบายปลุกจิตใจของเราให้รู้ไว้ว่าความตายนั้นไม่ใช่คำพูดเล่นๆ เมื่อถึงเวลาแล้วมันก็แตกจริงๆตายจริงๆ ใครจะเอาไปไว้ที่ไหนไม่ได้ จะเป็นคนชาติใดภาษาใดก็ตาม ถ้าเกิดขึ้นมามีรูปนามกายใจอย่างเราท่านทั้งหลายนี่แล้ว ก็ต้องตายแน่ๆไม่มีทางแก้ได้ อันที่ว่าเราแก้อย่างนั้นแก้อย่างนี้คือมันยังไม่รุนแรงก็เหมือนว่าแก้ได้ ถ้ามันรุนแรงแล้ว ไม่ว่าคนเด็กคนหนุ่มแก่ชรา เอาไม่ไหวเหมือนกัน
การที่เรามีชีวิตขึ้นมานี้ท่านว่าเป็นลาภอันประเสริฐ อย่างว่าถึงวันเข้าพรรษาเราได้มาวัดวาศาสนา ได้มาทำศาสนพิธี จนถึงขั้นนั่งฟังเทศน์นั่งภาวนาปฏิบัติกรรมฐานอยู่ เราไม่ตายเสียก่อนวันนี้เวลานี้ก็นับว่าเป็นบุญลาภ มนุสส ปฏิ ลาโภ เราเกิดมาเป็นคน เป็นมนุษย์นี้ท่านว่าเป็นลาภอันประเสริฐ ได้แก่เราจะได้บำเพ็ญทาน รักษาศีล ๕ ศีล ๘ ขึ้นไป เจริญสมาธิภาวนาทำความเพียรละกิเลส เราไม่ตายเสียตั้งแต่อาทิตย์ก่อนเดือนก่อนปีก่อนโน้น โดยที่คนเราเพื่อนมนุษย์เพื่อนบ้านของเรานั่น มีกี่คน ตายไปกี่มื้อ ยังไม่ถึงวันเข้าพรรษา ยังไม่ได้มานั่งภาวนา ตายไปเสียก่อนเยอะแยะ ทำไมตัวเราจึงรอดมาได้ มาถึงวันเวลานี้นี่แหละท่านว่า บุญยังรักษาอยู่ บุญกุศลที่เราทำมาในอดีตและปัจจุบันนั้นเอง หากยังให้ชีวิตของเราเป็นมาได้ ไม่ตายไปเหมือนคนทั้งหลายที่เขาตายไปแล้ว เป็นบุญกุศล เมื่อบุญกุศลมาถึงวันเวลาอย่างนี้แล้ว เรายังจะปล่อยให้จิตใจคิดฟุ้งซ่านไปที่อื่นนั้นไม่สมควรเลย จงสงบจิตสงบใจรวมจิตรวมใจบริกรรมภาวนา เอาจิตใจให้สงบระงับเย็นสบายตั้งมั่นลงไป เรียกว่าเอาใจถึงคุณพระพุทธเจ้าจริงๆ เอาใจถึงคุณพระธรรมจริงๆ เอาใจถึงคุณพระอริยสงฆ์สาวกเจ้าจริงๆ
เมื่อเราทุกๆคนมานั่งสมาธิภาวนาหลับตา ไม่ใช่ว่าหลับแต่เพียงตานอก ใจไม่สงบไม่ได้ อันนี้คือว่าปิดทวาร ปิดประตูหน้าต่างเท่านั้นแหละ คนผู้อยู่ใน คือใจน่ะมันอยู่ภายในนี้ ใจนั้นไม่ต้องไปหาที่อื่นไม่มี มันมีอยู่ภายในหนังหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบคือตัวเราท่านทั้งหลายนี่เอง ตัวเราทุกคนนี้ก็หมายเอารูปขันธ์ ตัวจริงๆคือดวงใจนั่นแหละ รูปร่างกายนี้ เราจะเยียวยาพยาบาลไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ไข้ ไม่ให้ตายไม่ได้ ผลที่สุดต้องตาย คนเกิดแล้วต้องตายเป็นธรรมดา แต่ว่าในเมื่อเวลายังไม่ตายคือในขณะนี้เป็นต้นไป โดยเฉพาะพรรษานี้ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติภาวนาอย่านั่งรอ อย่าไปผลัดวันประกันพรุ่งเหมือนแต่ก่อน
อย่าไปมัวอ้างหนาวอ้างร้อนอ้างเรื่องยุ่งยากต่างๆนานา รีบทำ ทำแล้วก็เป็นอันว่าแล้วใจแล้วไป แต่กิเลสมาร สังขารมารนั้นมันคอยอยู่ หาวิธีขัดข้องอยู่ทุกเวลา เดี๋ยวก็การงานมาก เดี๋ยวก็อย่างนั้นเดี๋ยวก็อย่างนี้ ผลัดวันอยู่ตลอดเวลา อย่าไปตามจิตอันนั้น เมื่อได้เวลาแล้วให้ลุกขึ้นตั้งอกตั้งใจปฏิบัติในหน้าที่ภาวนาของตนให้ได้ ไม่ได้อย่าไปอ่อนข้อต่อกิเลส ถ้ามันโกหกพกลมว่าหยุดเสียก่อน คืนนี้ไม่ต้องนั่งภาวนา คืนหน้านั่งภาวนาก็ได้ แต่ลองเถอะ ถ้าเราไปหลวม ไปตามมันแล้ว คืนหน้ามันก็หาข้อแก้อีก ลองให้ตั้งแต่เกิดจนตาย หาเวลาสมาธิภาวนาไม่ได้ ก็ไปติโน้นตินี้ว่าเป็นเพราะเหตุนั้นเหตุนี้ จึงไม่ได้ภาวนา ไม่ใช่อย่างนั้นเป็นเพราะความไม่ตั้งใจในใจของตัวเองนั่นแหละยอมให้กิเลสมาร สังขารมารมันจะมาเป็นเจ้าหัวใจ เวลาจะสร้างบุญบารมีของตนให้แก่กล้ามันมีอุปสรรค หาอุปสรรคมาขัดขวางอยู่ตลอดเวลา เราอย่าหลวมตัวหลวมใจเข้าไป จงระลึกดูเสมอว่า กิเลสความโกรธ กิเลสความโลภ กิเลสความหลงนี้จะหมดไปสิ้นไปก็ด้วยการภาวนา ไม่มีทางอื่นใด จะหมดไปเองสิ้นไปเองไม่มี กิเลสจะหมดไปสิ้นไปเราต้องนั่งสมาธิภาวนา เดินจงกรมบริกรรมภาวนาก็ดี พิจารณาร่างกายสังขารของเราก็ดี เป็นหน้าที่ของเราโดยเฉพาะ
อันรูปร่างกายของคนเรานี้ พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า ท่านให้กำหนดให้เห็นว่าร่างกายของเราทุกๆคนนี้ก็คือว่าธาตุดิน ที่มีหนังหุ้มอยู่ภายในที่แตะต้องได้นี้ได้ชื่อว่าธาตุดิน ธาตุน้ำก็ได้แก่น้ำเลือด น้ำเหลือง จนกระทั่งถึงน้ำมูตร อันนั้นธาตุน้ำมันประชุมอยู่ในตัว ทีนี้เมื่อธาตุดิน ธาตุน้ำปรุงแต่งขึ้นมาอย่างนี้แล้ว ธาตุไฟมันเป็นธาตุที่มาอาศัยเข้ามาอยู่ในธาตุดินและธาตุน้ำนั้น ธาตุลมก็เหมือนกันเป็นธาตุมาอาศัย แต่ก็สูดลมหายใจเข้าออกอยู่ตลอดเวลานั่นแหละธาตุลม หรือเราทุกคนฟังเสียงเทศน์ เสียงธรรม คนพูด นกร้องอะไรก็ตามก็ธาตุลมนั่นแหละ สูดลมหายใจเข้าไปก็พูดออกมาพ่นออกมา กระทบอักขระในปากในคอก็เป็นภาษาคน เป็นภาษาสัตว์ไป
นี่ให้พากันรวมจิตรวมใจตั้งจิตตั้งใจให้มั่นคงลงไป จิตใจใดที่ไม่แน่นอนไม่มั่นคง ให้พากันเลิกละปลดปล่อยออกไป ตั้งใจให้แน่วแน่เด็ดขาดลงไปว่า ปีนี้ พรรษานี้ เวลานี้ เป็นเวลาที่เราจะต้องปฏิบัติบูชาภาวนาให้เข้มข้นขึ้นไปโดยลำดับ ผู้ที่จะรีบเร่งภาวนาปฏิบัติบูชา เดินจงกรมให้เจริญก้าวหน้านั้น จะต้องระลึกถึงพระบรมศาสดาจารย์สัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา เป็นองค์ที่แรก รองลงมาก็พระธรรมวินัย คำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสชี้แจงไว้ ให้ชื่อว่าพระธรรม รองลงมาก็พระอริยสงฆ์สาวกเจ้าทั้งหลาย นับเป็นอสงไขยๆ ท่านที่ได้ดับขันธ์เข้าสู่นฤพานไปแล้ว จนตลอดสงฆ์สาวกในสมัยนี้ เราจะต้องนึกถึงเจริญในใจ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทั้ง ๓ นี่แหละเป็นสรณะที่พึ่ง เราต้องเจริญอยู่เป็นนิจติดต่อกันไป เมื่อแยกว่าเป็น ๓ ท่านย่นย่อเข้ามาก็รวมอยู่ในพุทโธนั้นแหละ พุทโธ พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน พระธรรมก็อยู่ที่นั่น พระอริยสงฆ์สาวกเจ้าทั้งหลายก็อยู่ที่นั่น ไม่ต้องไปหาที่อื่น มีอยู่ในใจทุกๆคน
อันการภาวนานั้น อุบายใดมันก็ดีทั้งนั้นแหละ ถ้าเราเอามาปฏิบัติมาพิจารณามาบริกรรม พุทโธ คำเดียว อาจสามารถจะได้สำเร็จเป็นพระโสดา พระสกิทาคา พระอนาคา เป็นพระอรหันตาได้ ไม่ต้องสงสัย มันขึ้นอยู่กับผู้ประกอบกระทำ คือดวงจิตดวงใจของเรานั่นเอง ถ้าใจของเราไม่ตั้งมั่นลงไป เป็นใจง่อนแง่นคลอนแคลน ไม่หนักแน่น กระทบอารมณ์ใดก็ว่าวิตกวิจารฟุ้งซ่านไปนั่นคือว่า ไม่ได้มาพิจารณากายคตาสติกรรมฐานของตนว่ามันมีความแก่ ความชรา มีความเจ็บไข้ได้ป่วย มันรอความตายอยู่ทุกเวลา เราจะมาหลงยึดหลงถือว่าตัวเราของเราตัวข้าของข้า จะไม่ให้มันเป็นอะไร ภาวนาเล็กๆน้อยๆยังวางขันธ์ทั้ง ๕ ไม่ได้ ลองเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาน่ะ มืดแปดด้านขึ้นมา อย่าว่าแต่คนธรรมดาแม้แต่พระภิกษุสงฆ์สามเณรในทางพุทธศาสนา ถ้าขั้นที่เรียกว่า ได้แค่ฌาณ เพ่งอยู่ในอุบายใดอุบายหนึ่ง จิตใจสงบ แต่ยังไม่ได้ละกิเลสเป็นขั้นๆส่วนๆนะ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยมันลืมหมดแหละ มืดหละเพราะทุกขเวทนานั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ความเจ็บไข้ได้ป่วยหรือความตายมาถึงมันเป็นภัยที่ใหญ่หลวงที่สุด ไม่มีอะไรที่จะไปทัดทานได้
ทีนี้ถ้าจิตใจของผู้ภาวนานี้เป็นจิตใจอันมั่นคงในสมถภาวนาวิปัสสนาภาวนา ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเราของเรา แยกออกได้จากจิต และจิตก็ไม่ไปยึดถือว่าเป็นตัวเราของเรา นั่นแหละจึงจะไม่เดือดร้อนวุ่นวายในเมื่อเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเวลาตาย เพราะจิตใจนั้นถ้าหากว่าจิตใจมันสามารถอาจหาญแล้ว ชีวิตของคนเรานั้นทิ้งเมื่อใดก็ได้ อย่างพระพุทธเจ้าเมื่อท่านได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วท่านจะดับขันธ์เข้าสู่นฤพานในคืนวันนั้นมันก็ได้ แต่ด้วยความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาแก่โลกทั้งหลาย พระองค์ก็รักษาชีวิตไว้ ได้ช่วยเพื่อนมนุษย์เกิดแก่เจ็บตาย เทวดา อินทร์ พรหม ยมยักษ์ทั้งหลายให้ได้ไปสู่ที่ดีที่งามที่พ้นทุกข์ พระองค์ก็อุตส่าห์พยายามอยู่ในโลกกับมนุษย์สมัยนั้นตั้ง ๔๕ ปี พระองค์มีความอดทนขนาดไหน
เราทุกคนที่ได้ฟังธรรมในทางพุทธศาสนาได้ภาวนาได้ปฏิบัติบูชามากน้อยตามส่วน ก็อย่ามีความท้อแท้อ่อนแอในดวงจิตดวงใจ เพราะว่าจิตใจเป็นสิ่งสำคัญ ในตัวคนเราคนนึงนี้จิตเป็นใหญ่ เป็นใหญ่กว่ารูปร่างกาย รูปร่างกายนี้ท่านเปรียบเหมือนอย่างว่าเป็นบ่าวไพร่ราษฎร ใจนี้ท่านเปรียบเป็นเหมือนพระเจ้าอยู่หัว พระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดินจะใช้ประชาราษฎรให้ทำอะไรได้ทั้งนั้น ท่านจะฆ่าทิ้งก็ได้ ใจนี้ก็เหมือนกัน ร่างกายนี้ถ้าหากว่าใจไม่ดี ใจไม่ภาวนา ใจไม่มีทาน ไม่มีศีล ใจโมโหโทโส มันก็พาทำชั่วตลอดเวลา อันการทำชั่วนั้น ผลชั่วเมื่อมันมาถึงต้องเดือดร้อนวุ่นวายด้วยกันทั้งนั้น พระพุทธเจ้าพระองค์จึงสอนว่า ความชั่วนั้นอย่าพากันทำเสียเลยดีกว่า ทำบาปอย่าไปทำ เพราะว่าบาป มันเดือดร้อนวุ่นวายเมื่อภายหลัง ผลสะท้อนย้อนมามันไม่น่าดู ไม่น่าฟัง ไม่น่าเห็น มันเป็นเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจทั้งกายทั้งจิต พระพุทธองค์ท่านจึงสอนว่าบาปอย่าพากันทำ ให้ละเสีย บุญกุศล ทาน ศีล ภาวนา ให้พากันประกอบกระทำให้เกิดให้มีขึ้น สิ่งใดไม่เกิดไม่มีขึ้นก็พากันประกอบกระทำให้มีขึ้น เหมือนว่าจิตเราไม่สงบเราก็บริกรรมภาวนาลงไป เอาให้สงบระงับได้ ไม่ให้จิตใจท้อแท้อ่อนแอกลัวตายอย่างเดียวเท่านั้นหละ ทำได้หมด
บางคนก็คิดว่าทำไมหนอข้าพเจ้าจึงไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน อยากจะให้บรรลุมรรคผลนิพพานเสียทีเดียว ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป นี่หละถ้าเราต้องการอย่างนั้นจริงๆก็ นี่แหละ ทุกลมหายใจ ต้องตั้งใจใหม่ ในพรรษานี้แหละ ตั้งแต่วันพระวันศีลนี้เป็นต้นไป เอาให้มันได้ทุกลมหายใจ ไม่ว่าภาวนาบทใด พิจารณากายคตาสติกรรมฐาน ก็เอาให้มันได้ทุกลมหายใจ นึกถึงความตายให้มันได้ทุกลมหายใจ นึกถึงพุทโธ คุณพระพุทธเจ้าให้ได้ทุกลมหายใจ ทำจริงๆให้มันเข้าถึงจิตใจจริงๆแล้ว มันจะเหลือวิสัยของผู้มีเพียรไปไม่ได้
พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสไว้แล้วว่า วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ ทุกคนจะล่วงทุกข์ไปได้ก็เพราะความเพียร ความเพียรความหมั่นความขยันขันแข็งภายในจิตใจของแต่ละบุคคลนั้นแหละ เมื่อมีขึ้นในจิตในใจแล้วก็พากาย วาจา จิต ทั้งหมดทั้งมวลก้อนนี้ ทำอะไรได้หมดทั้งนั้น มันขึ้นกับความเพียร ความหมั่นของบุคคล ความตั้งใจแน่วแน่มั่นคงในใจของตน เพราะในใจนั้นใครจะมาบังคับบัญชาให้ทำตามอย่างโน้นอย่างนี้ไม่ได้ แต่ถ้าตัวเรามองเห็นผลประโยชน์ว่าทำอย่างนี้ พูดอย่างนี้ ภาวนาอย่างนี้ สงบจิตสงบใจอย่างนี้ นำความสุขความสบายมาให้แก่ตัวเราจริงๆ ไม่มีใครบอก ผู้นั้นจะตั้งอกตั้งใจปฏิบัติบูชาภาวนาทุกคืน คืนไหนจิตใจเหลาะแหละหวั่นไหว ไม่สงบระงับ เราไม่ยอมอย่างเดียวแหละ เอาชนะได้ ถ้านั่งมันง่วงเหงาหาวนอน เราจะมานั่งทำไม ยืนขึ้น บริกรรมภาวนาอยู่ ทีนี้ถ้ายืนขึ้นอยู่ ยืนอยู่ ยังมีความง่วงเหงาหาวนอน เราก็เดินสิ เดินกลับไปกลับมา คือว่าเคลื่อนในร่างกาย เคลื่อนไหวไปมา ไม่ให้ความง่วงเหงาหาวนอนเข้ามาทับถม ให้จิตใจบริกรรมภาวนาเบิกบานยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ภายในจิตใจอันนั้น
ทีนี้คนเรามันไม่เอาจิตใจมาจดจ่อในข้อวัตรปฏิบัติที่ตนจะประพฤติปฏิบัติภาวนาอยู่ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นในร่างกายสังขารก็บ่นว่าเราไม่สบายอย่างโน้นอย่างนี้ อันรูปขันธ์นี้ใครจะให้สบายตลอดตั้งแต่เกิดจนตายนั่นหาได้ยาก ไม่มากก็น้อยมันจึงมีเจ็บไข้ได้ป่วยเล็กๆน้อยๆอยู่นั่นแหละ ถ้าเราไม่ยึดไม่ถือ ใจของเราจะได้มีโอกาสมีเวลาตั้งหน้าตั้งตาตั้งจิตตั้งใจภาวนาอยู่ทุกเวลา การภาวนาที่จะเต็มเม็ดเต็มหน่วยเกิดมรรคเกิดผล เกิดความรู้ความฉลาดความสามารถอาจหาญขึ้นมานั้น จะต้องทำไปไม่ให้ขาด อย่างเราเคยไหว้พระสวดมนต์เสียก่อนจึงค่อยนอน อย่าให้มันขาด ถ้ามันขาดวันหนึ่ง วันสองก็ขาด ถ้ามันไม่ขาดวันหนึ่ง วันสองก็ไม่มีขาด ทำได้ อย่าอ้างว่าเป็นนั่นเป็นนี่ ก็มันยังไม่ตายยังนั่งภาวนาได้ ไหว้พระได้ก็ไหว้ลงไป อย่าไปเชื่อไปฟังกิเลสมาร สังขารมารภายในจิตอันนั้น เรียกว่าทำใจให้มีสติอยู่เสมอ ระลึกได้อยู่ทุกเวลา ทำใจให้มีความสามารถอาจหาญอยู่ในใจของตนอยู่ทุกเวลา ไม่ให้จิตใจมันอ่อนแอท้อแท้กลัวเจ็บกลัวไข้กลัวเป็นกลัวตาย กลัวมันทำไม กลัวกิเลสมันก็ละกิเลสไม่ได้สิ เมื่อไม่กลัวกิเลสแล้วก็ละกิเลสได้
ดูพระพุทธเจ้า พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านก็เนื้อหนังมังสามนุษย์ลูกมนุษย์นี่แหละ แต่ท่านไม่ยึดมั่นถือมั่นแค่ความสุขความทุกข์อันมีอยู่ในรูปขันธ์ ท่านเอาสมาธิภาวนาจิตใจภายในเป็นมาตรฐานลงไป วันไหนเวลาใดท่านก็สงบจิตใจของท่านให้เยือกเย็นสบายเสียก่อนจึงค่อยนอนทุกๆคืน การกินการนอนสนุกเฮฮา ท่านถือว่าเป็นภัยอันตราย เราต้องไม่ไปเกี่ยวเกาะกังวล ตั้งใจให้แน่วแน่มั่นคงอยู่ในดวงจิตดวงใจของตนจริงๆ ดวงใจนั้นเราฟังธรรมได้ยินเสียงอยู่ที่นี่ก็นั่นแหละดวงใจ ไม่ต้องไปหาที่ไหนหละ ดวงใจผู้รู้อยู่มันรู้อยู่ตลอดเวลาแต่เราไม่รู้ตามความเป็นจริงอยู่นะ ไปหลงตามรูป ตามเสียง ตามกลิ่น ตามรส เรื่อยไปไม่มีที่สิ้นสุด ผลที่สุดก็ ไม่รู้ ไม่รู้ก็ยังมีรู้อยู่ในนั้น ดูให้ดีตั้งอกตั้งใจลงไป เอามันทุกขณะ ทุกเวลา ทุกลมหายใจเข้าออก ความอ่อนแอท้อแท้ในดวงใจไม่มี เป็นจิตใจอันหนักแน่นมั่นคง ไม่สะทกสะท้านต่อภัยอันตรายใดๆทั้งหมด เรียกว่าพุทโธอยู่ในดวงใจนี้ ธัมโมอยู่ในดวงใจนี้ สังโฆอยู่ในดวงใจนี้ บุญบารมีอยู่ในดวงจิตดวงใจนี้ผ่านศีลภาวนาทั้งหลายแหล่ มารวมอยู่ในดวงใจนี้ นี่ก็คือจิตดวงที่รู้อยู่ในตัวในใจเราทุกๆคน
จงรวมจงสงบเข้ามาตั้งมั่นในจิตใจดวงนี้ให้ได้ เอาจนจิตใจดวงนี้สามารถอาจหาญ ขึ้นชื่อว่าภาวนาหรือว่าทำคุณงามความดีแหละ มันจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยหิวขนาดหนักขนาดไหนก็ตาม มันทำได้ ที่ไหนไม่ได้ไม่ให้มีในดวงจิตดวงใจนี้ มันก็ได้เท่านั้น ไม่ใช่เป็นของยาก เป็นของเหลือวิสัย ถ้าเหลือวิสัยมนุษย์คนเราประพฤติปฏิบัติไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านจะเทศน์สอนไว้ทำไม พระธรรมวินัยคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสทรงสอนนี้มันเพื่อมนุษย์เราโดยเฉพาะ มนุษย์เรานี่แหละจะต้องตั้งอกตั้งใจปฏิบัติบูชาภาวนาจริงจังภายในจิตใจของตน คนอื่นผู้อื่นเค้าไม่ทำช่างเขาเป็นไร ตัวเราตั้งอกตั้งใจปฏิบัติภาวนาเอาจริงเอาจังภายในจิตใจเราเท่านี้ก็พอ ดวงจิตดวงใจผู้ได้ยินได้ฟังอยู่ในขณะเดี๋ยวนี้มีอยู่ที่นี้ ตัตถะ ตัตถะ ในที่ๆนี้ ให้พากันรวมสงบตั้งมั่นเข้ามาในใจของตนให้ได้ นี่เป็นอุบายภาวนาในทางพุทธศาสนา เมื่อว่าเราท่านทั้งหลายพากันได้ยินได้ฟังแล้วให้มนสิการ กำหนดจดจำไว้ภายใน แล้วน้อมนำเอาประพฤติปฏิบัติก็คงได้รับความสุขความเจริญ เอวัง ก็มีด้วยประการะฉะนี้