หลวงพ่อสิงห์ทอง ธมฺมวโร
ธรรมะก็พูดอยู่บ่อยๆ โดยส่วนใหญ่ก็พูดเรื่องการประพฤติปฏิบัติ ไม่ได้พูดถึงบุญ บาป ดี ชั่ว อานิสงส์ส่วนนั้นส่วนนี้ ก็ไม่ค่อยได้ดูแบบแผนตำรา พูดไปตามภาษีภาษาที่นึกได้ การปฏิบัติธรรมะ ทุกคนเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องสนใจ ต้องปฏิบัติ เพราะคนเราเกิดมาก็มีความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นธรรมดา ไม่มีคนประเทศไหนหน้าไหนจะมีอภิสิทธิ์ห้ามกั้นความแก่ ความตายของตัวไปได้ ถ้าไม่พิจารณาธรรมะ เรื่องเหล่านี้ก็เป็นเรื่องที่นำความเศร้าโศกเสียใจมาให้อย่างหนัก เพราะเราไม่ได้นึกคิดเอาไว้ก่อน แต่ทุกคนจะต้องประสบพบเห็นด้วยกัน
ถ้าหากคนมีธรรมะ พิจารณาจนจิตใจของตนเองเห็นว่าเป็นของธรรมดา เกิดมาแล้วไม่ว่าสิ่งใด จะต้องมีการตั้งอยู่ และแตกสลาย มันเป็นธรรมดา ไม่ว่าวัตถุอะไร มันเป็นไปทำนองนั้น ถ้ามาถูกตัวของตัวเข้าหรือถูกคนรักคนชอบใจของตัวเข้า เราจะไม่ได้เสียใจเพราะเราตั้งท่ารับเรื่องเอาไว้ มันก็ไม่เกิดความเศร้าโศกหนักหนาทับถมโจมตีจิตใจของตัว ฉะนั้นเรื่องความตายท่านจึงให้พิจารณาอยู่บ่อยๆ เจริญมรณสติเอาไว้
สมัยเก่าก่อนท่านพูดไว้ในตำรับตำรา พระโพธิสัตว์คือพระพุทธเจ้าของเราเคยเกิดเป็นชาวนา มีภรรยา มีบุตร มีสะใภ้และมีคนใช้อยู่ด้วยกันห้าคนในครอบครัวนั้น ทุกวันทุกเวลาเคยแนะสอนกันให้พิจารณาความตายอยู่ตลอดกาลตลอดสมัย ในวันหนึ่งพ่อลูกไปไถนาแต่เช้า เผอิญ(ลูก)ถูกงูเห่ากัดตายในทุ่งนา ด้วยอำนาจที่เคยความพิจารณาเรื่องความตาย เข้าใจชัดเจนในจิตในใจ คุณพ่อของเด็ก ลูกชายนั้น ท่านก็ไม่ได้เสียใจอะไร เห็นว่าคนทนพิษของงูไม่ไว้ ตายไปก็เอาขึ้นไว้ที่คันนา แล้วก็ไถนาเรื่อยไป ไม่มีความเสียใจร้องไห้หรือเกิดวิตกกังวลอะไร หน้าที่คนตายก็ตายไป หน้าที่คนเป็นก็ทำงานไป ไม่ได้ทิ้งงาน
วันนั้นเผอิญมีคนอีกคนหนึ่งที่อยู่นาใกล้กันเค้าจะเข้าไปในหมู่บ้าน ก็เลยสั่งเสียบอกเค้าว่า วันนี้ให้เค้าเอาข้าวมาส่วนเดียว คือถ้าสองคน เขาเอามาสองส่วนมาให้อยากให้กินกัน แต่วันนั้นลูกตายไปแล้ว สั่งให้ชาวบ้านพวกลูกเมียอยู่ทางบ้าน เอาข้าวมาเพียงส่วนเดียว ไม่ได้บอกว่าลูกถูกงูเห่ากัดตายแล้ว ไม่ได้บอกไป แต่พอสั่งเสียคนนั้น เค้าก็เข้าไปในหมู่บ้าน พวกนั้นก็ เอ๊ะ มันมีเหตุการณ์อะไร ก็คนสองคนไปไถนา ทำไมให้เอาข้าวปลาไปเพียงส่วนเดียว อาจจะเกิดการล้มหายตายไปหรืออย่างไร ถึงได้สั่งมาอย่างนั้น ก็พากันไปทุ่งนา ไปก็ไปเห็นบุตรของตัวตาย ผู้ที่เป็นแม่ ผู้ที่เป็นภรรยาก็เห็นสามีของตัวตาย ผู้ที่เป็นคนใช้ก็เห็นนายตาย ต่างคนก็ต่างพินิจพิจารณาเรื่องความตายมาในจิตในใจด้วยกันทั้งนั้น ก็เลยไม่มีใครเศร้าโศกเสียใจอะไร ตายไปเราก็หาไม้หาฟืนมาจะเผา
ระยะนั้นร้อนขึ้นไปถึงพระอินทร์ว่างั้น ในตำนานพูดเอาไว้ แปลงเพศลงมาเป็นพราหมณ์มาเห็นพวกนั้น เอาฟืนกองกันขึ้นแล้วก็จะเอาลูกชายที่ตายไปขึ้นเผา แล้วถามว่าพวกท่านจะทำอะไรกัน จึงหาฟืนมากองกันไว้เป็นกองใหญ่อย่างนี้ นี่พระอินทร์ที่เป็นพราหมณ์แปลงเพศลงมาถาม ไอ้พวกนั้นก็ตอบว่าจะเผาคน เอ๊ะ คนๆนี้เป็นใคร ก็ถามไป ผู้เป็นพ่อเป็นแม่ก็ว่าเป็นลูก ผู้เป็นภรรยาก็ว่าเป็นสามีของดิชั้น ผู้เป็นคนใช้ก็ว่าเป็นนายของชั้นเหมือนกัน เอ๊ะ คนๆนี้ท่าจะอัปรีย์จัญไรมากนะ ถ้าหากเป็นลูก ก็คงเป็นลูกอกตัญญูเต็มที่ ถ้าเป็นสามีก็คงเป็นสามีที่แหวกแนว เป็นเจ้าเป็นนายก็เป็นเจ้านายที่ไม่ดีอย่างเต็มที่หละ เพราะพวกท่านทุกคนมีหน้าชื่นตาบาน ไม่มีใครที่จะมีความคิดถึงร้องไห้เสียใจอะไร เห็นทุกคนมีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เหมือนกับว่าไอ้ผู้ตายไปนี้เค้าตายไปแล้วจะไม่มีใครมาก่อกวนให้ทุกข์ให้โทษแก่คนเหล่านั้น จึงไม่มีการโศกเศร้าเสียใจกัน นี่พระอินทร์ที่เป็นพราหมณ์พูดกับคนเหล่านั้น
แต่คนเหล่านั้นถือว่าลูกคนนี้เป็นลูกดี มีคุณธรรม รู้จักเคารพ มีกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดา เป็นคนที่ว่านอนสอนง่าย ไม่เป็นคนที่ชั่วที่เสียอะไร เมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ เขาก็ดูแลรักษาตั้งหน้าทำการงาน ตามที่บิดาสั่งเสียทุกอย่าง ไม่เคยฝ่าฝืนคำแนะสอนอะไร ที่ไม่ร้องไห้ก็เพราะคนๆนี้เค้าตายไปแล้ว ร้องไห้มันก็ไม่มีอะไรที่จะเกิดดีขึ้น เพราะความตายมันเป็นธรรมดา เหมือนร้องไห้อยากได้พระอาทิตย์พระจันทร์ ร้องเท่าไรมันก็ไม่มีวันที่จะได้มาเป็นของๆเรา คนตายไปก็ทำนองเดียวกันนั้น นี่ต่างคนต่างท่านเคยพิจารณาความตาย เลยไม่เกิดความเศร้าโศกเสียใจอะไร ที่เป็นภรรยาก็บอกว่าสามีของชั้นเป็นคนดี ไม่ใช่คนเกะกะระราน ไม่ใช่คนเสียหาย เป็นคนที่ดี หายากคนอย่างสามีของชั้น รักใคร่ฉัน เอ็นดูฉัน ก็พูดไป ยกย่องสรรเสริญคุณความดีของสามี ที่เป็นทาสเป็นคนใช้ก็เหมือนกันว่าเจ้านายนั้น เป็นผู้ที่มีเมตตาสงสาร ไม่เป็นคนที่ชั่วเสียอะไร ไม่เคยขับไล่ ไม่เคยดุด่า ถ้าผิดพลาดอะไรเค้าก็แนะสอนด้วยความเมตตา ไม่ใช่เป็นคนที่ชั่วที่เสียอะไร
ต่างคนเคยพิจารณามาแล้ว เรื่องความตาย แต่ตำราพูดเป็นคนๆไป พูดว่าพอตายไปก็เหมือนหม้อที่แตกแล้ว ร้องไห้เสียใจมันก็ไม่ได้อะไรกลับมา เค้าตายไปแล้วก็เหมือนกับว่างูมันลอกคราบออกไปแล้ว คราบของมันนั้นมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ตัวของมันก็ไปตามหน้าที่ของมัน จิตวิญญาณที่ยังมีกิเลสตัณหาอวิชชากรรมอยู่ก็จะไปเสาะแสวงหาที่เกิดใหม่ แต่ส่วนที่เป็นร่างกายที่มันตายนี้มันก็ต้องเน่าต้องเปื่อยไปตามหน้าที่ของมัน ต่างคนต่างท่านพูดให้พระอินทร์ฟัง พระอินทร์เลื่อมใสเต็มใจ เลยทำให้พิษงูนั้นหาย ว่างั้นน่ะในตำรับตำรา คนตายก็เลยกลับมาเป็นคนธรรมดา นี่อานิสงส์การพิจารณาความตาย จิตใจไม่ได้เศร้าหมองวุ่นวาย ถ้าหากพิจารณาถึงจิตถึงใจจริงจัง
คนเรามันพูดแต่ปากว่ามีความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นธรรมดา จะต้องละเว้นจากของรักของชอบใจทั้งสิ้นไป แต่เมื่อโดนเข้าจริงๆจังๆแล้ว ถูกคนรัก พ่อแม่ของเรา ญาติมิตรของเรา ลูกเต้าของเรา เหลนหลานของเราเข้า เพราะอำนาจพิจารณาไม่ถึงฐานจริงจัง มันย่อมมีความหวั่นไหว มีความวิตกกังวล จนทนไม่ไหว บางคนก็ร้องไห้ กินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะคิดถึง นี่คืออำนาจของการภาวนา อำนาจของการพิจารณาความตาย ไม่เข้าถึงจิตถึงใจ ไม่เป็นธรรมะให้ จึงแก้ไขจิตใจเหล่านั้นให้หายไปไม่ได้
ถ้าหากอำนาจของธรรมเข้าไปฝังลึกถึงจิตถึงใจจริงจัง มันเป็นธรรมดา เห็นเป็นธรรมดา ไม่ได้ถือว่าเป็นของแปลกประหลาดอะไรในเรื่องความตายของคนทั่วไป ของสัตว์ทั่วไป ของสิ่งทั่วไป เห็นเป็นธรรมดาอย่างนั้น เมื่อจิตเข้าใจชัดเจนเห็นประจักษ์ในเรื่องของทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดมาแล้วต้องมีการแปรปรวนและแตกสลาย ไม่ว่ารูปกายหรือสิ่งภายนอก ไม่ว่าเราหรือลูกเต้าเหลนหลาน พ่อแม่ ตลอดถึงสิ่งของที่ได้มามันเป็นธรรมดาของมันอยู่อย่างนั้น มันก็ไม่มีอะไรที่จะทำจิตทำใจให้หวั่นไหว นี่คือการพิจารณาแก้ไข คือการพิจารณาขับไล่ความหึงหวงความเห็นผิด ความลุ่มหลงของใจ ถ้าพิจารณาถึงที่สุดของมัน มันเป็นอย่างนั้น จิตใจมันสบาย มันไม่วุ่นวายกังวลเพราะเห็นมันเป็นธรรมดาเสีย ไม่ได้เห็นว่ามันแปลกธรรมดา
ที่เราทั่วไปยุ่งเกี่ยวกัน ร้องไห้ใฝ่ฝันก็เพราะคิดไปว่าคนอื่นเค้านั้นไม่เป็นเหมือนกันเรา เค้าอยู่เย็นเป็นสุขโดยทั่วหน้ากัน ไม่มีใครเป็นอะไร มีแต่เรา โดนลูกตาย ผัวตายอะไรต่ออะไร คิดไปทำนองนั้นจิตใจมันก็เศร้าโศก จิตใจมันก็เหี่ยวแห้ง มันเป็นธรรมดาเพราะคิดผิด ถ้าคิดถูกว่าการเกิดมามันมีความแก่ความตายเป็นธรรมดา มันก็ไม่มีอะไรที่จะทำจิตใจให้วุ่นวายลุ่มหลง นี่คือการพินิจพิจารณา การภาวนาทางด้านจิตใจ ท่านจึงจัดเรื่องมรณสติเอาไว้ คือให้พิจารณาเรื่องความตายประจำอยู่ในจิตในใจตลอดไป เมื่อถึงคราวถึงสมัยตัวเองก็ตาม คนรัก คนชอบใจก็ตาม วิบัติล้มตายไป เราจะไม่เสียใจว่าทำไมมันเป็นอย่างนี้ เพราะคติของการเกิดมันก็มีการแก่ การตายเป็นธรรมดา ไม่ว่าอะไรทั่วไปในโลก เราจะเป็นผู้มีอภิสิทธิ์จะไม่ตายกับเขา จะรักษาลูกเต้าหลานเหลน ข้าวของเงินทองบ้านช่องทุกอย่างให้ปกติดีงามนั้น มันไม่มีใครมีอำนาจราชศักดิ์ใหญ่โตอย่างนั้น ท่านจึงสอนเอาไว้ให้พิจารณาเพื่อแก้ไขจิตใจที่ลุ่มหลงให้หายไป นี่คือการพิจารณาเรื่องความตาย
พวกเราที่อยู่ด้วยกันก็มีแขวนคออยู่ จะนั่งมันก็อยู่ด้วย จะนอนมันก็อยู่ด้วย จะเดินมันก็ไปด้วย จะวิ่งจะไปที่ไหน ความตายแขวนคอเรื่อยไป จะขึ้นเขาลงห้วย เข้าป่าเข้ารูที่ไหน ความตายมันก็ติดตัวไปตลอดเวลา จะขึ้นเครื่องบินหนีจากมันไป มันก็ไม่พ้นเพราะความตายมันอยู่กับความเกิด เราทุกคนมีความตายแน่นอน ไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงละเว้นหนีได้ เมื่อมันเป็นอย่างนั้น ระยะที่มีชีวิตเป็นอยู่ ยังไม่ถึงความตายอย่างคนอื่นเขา เรารีบเร่งกอบโกยกระทำบำเพ็ญคุณงามความดีเอาไว้เสีย อย่าไปตายใจ อย่าไปนอนใจว่าตอนนั้นก่อน ตอนนี้ก่อน รีบเร่งกระทำเอาไว้ ให้จิตใจได้เป็นที่พึ่งพาอาศัยคุณความดีของตัว ระลึกนึกขึ้นได้เมื่อไร จิตใจมันเบิกบานผ่องใส เพราะความดีที่ตัวก่อร่างสร้างเอาไว้มันทำให้จิตใจชุ่มเย็น ทำให้จิตใจเบิกบาน ทำให้จิตใจผ่องใส
ถ้าเราไม่ได้มีคุณงามความดีอะไร ไม่เคยภาวนา ไม่เคยให้ทาน ไม่เคยรักษาศีล ไม่เคยฟังอรรถฟังธรรมอะไร จิตใจคิดวุ่นวาย ตั้งแต่เรื่องของโลก พอโดนเข้า จิตใจของเราก็ไม่มีที่เกาะที่อาศัย มีแต่คิดเสียใจเดือดร้อน นี่มันเป็นธรรมดา คนที่ไม่ได้ศึกษา ไม่ได้พิจารณา ไม่ได้ฝึกฝนอบรมจิตใจของตน การศึกษา การพินิจพิจารณา การฟังธรรมะ คือฟังเพื่อไปกำจัดความลุ่มหลงของจิตของใจ เพื่อจะให้จิตใจรู้เห็นสิ่งเหล่านั้นชัดเจนในเหตุในผล ไม่สำคัญผิดอย่างนั้นอย่างนี้ การพินิจพิจารณาธรรมะ การศึกษาธรรมะ การฟังธรรมะท่านบ่งบอกสิ่งที่เป็นจริง ไม่ได้บอกสิ่งที่ไม่จริง ของจริงมีอย่างไรท่านพูดไปในสิ่งเหล่านั้น พระพุทธเจ้าท่านสอนแต่ของจริง ของปลอม ของชั่ว ของเสียท่านก็สอนให้เว้น เพราะท่านก็เคยประสบพบมา เรื่องชั่วเสียต่างๆนานา มันเกิดทุกข์เกิดโทษ มันไม่ให้ประโยชน์อะไร ส่วนความดีนั้น ถ้าเราท่านทำเอาไว้ ความดีจะเป็นที่พึ่งที่อาศัย ของจิตของใจต่อไป เมื่อเกิดใหม่มีภพชาติ อำนาจความดีเท่านั้นจะเป็นผู้ที่นำความสุขความเจริญให้ ไม่ใช่อำนาจอันอื่น
ฉะนั้นความดีจึงควรสะสมแสวงหา ไม่ว่าฝ่ายทาน ไม่ว่าฝ่ายศีล หรือภาวนา ตัวของเราเท่านั้นเป็นคนที่จะทำกัน ไม่ใช่คนอื่นจะทำให้ เหมือนกันกับเราหิวอาหาร ถึงคนอื่นเขามีมากเท่าไร เค้าทานให้เราเห็น แต่เราไม่ทานกับเค้า เราไม่มีอะไรจะรับทาน เราก็หิวอยู่อย่างนั้น ทั้งๆที่นั่งเคียงข้างกันอยู่ ก็ไม่มีวันอิ่ม เพราะเราไม่รับทาน ถ้าเรารับทานเล่า ความอิ่มมันก็เกิดขึ้น นี่บุญกุศลก็เหมือนกัน คนอื่นเค้าทำก็เป็นบุญเป็นกุศลของเขา เราไม่ทำ เราก็ไม่ได้ ฉะนั้นเราต้องตั้งหน้าตั้งตาทำเอาเสีย ในเมื่อยังมีชีวิตเป็นอยู่ ต่อเมื่อตายไปมันก็ไม่มีเวลาโอกาสที่จะทำเพราะกายไม่มีที่จะทำ
กายนี้ก็เหมือนแผ่นดิน คนจะตั้งอยู่ทำกินอะไรก็อาศัยแผ่นดินทั้งนั้น จะปลูกบ้านช่องข้าวของอะไรต้องอาศัยแผ่นดิน ถ้าไม่มีแผ่นดินแล้ว ทำไม่ไ้ด้ ทำอะไรไม่ได้ คนที่ไม่มีกาย หรือกายมันแตกสลายไป ตายไป ก็ทำนองเดียวกัน จะไปให้ทานก็ไม่มีโอกาสที่จะให้ได้ เพราะเหตุใด เพราะกายมันไปไม่ได้ ตาที่เคยรู้เคยเห็น สิ่งนั้นสิ่งนี้ ทั้งๆที่มีดวงตาอยู่ แต่เมื่อหมดลมเท่านั้น ตามันก็มองดูอะไรไม่เห็น มดมันจะมาเจาะมากัด ลูกตามันก็ไม่เจ็บไม่ปวด มันจิตวิญญาณมันไม่ได้อยู่ในกาย มันเป็นทำนองนั้น หูก็มีอยู่แต่ไม่ได้ยินเสียงอะไร ใครจะด่าจะว่ามันก็ไม่โกรธ ใครจะสรรเสริญชมเชย มันก็นิ่งเฉย นี่คือความตาย จะเอาไปเผาก็ได้ จะเอาไปฝังก็ได้ ทิ้งไว้ใส่แดดใส่ฝน มันก็ไม่เคยบ่นว่ามันร้อนมันหนาว นี่คนตายก็เหมือนกันกับท่อนไม้ท่อนฟืน ไม่มีคุณค่าสาระอะไร ทิ้งไว้ที่ไหนก็อยู่ที่นั้น หน้าที่ของมันก็แปรไปตามสภาพของมัน
เรื่องของสังขารแปรไปจนถึงที่สุด มีชีวิตอยู่มันก็แปรไป คือแก่ไปลากไป เพื่อความล้มความตาย ตายไปแล้วมันก็เน่าก็เปื่อยของมันไป เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ ไปตามหน้าที่จนถึงที่สุดของมัน นี่คือเรื่องธาตุขันธ์ เรื่องสังขาร มันเป็นอยู่อย่างนั้น เช่นว่าใครแต่ไหนแต่ไรมา หรือข้างหน้ายังไม่มาถึงก็ทำนองเดียวกัน ปัจจุบันมันบ่งบอกแจ้งชัดอยู่ คนตายจึงสู้ท่อนไม้ท่อนฟืนไม่ได้ เพราะท่อนไม้ท่อนฟืนเอาไปหุงไปต้ม ไปทำประโยชน์ได้ แต่คนตายไม่เกิดประโยชน์อะไร หมดคุณค่า หมดสาระ ถึงจะรูปร่างหล่อเหลาสวยงามขนาดไหน ก็ไม่มีใครต้องการ ถ้าหมดลมหายใจตายไป ขึ้นอืด ขึ้นหนองแล้ว ไม่มีใครต้องการทั้งนั้น
ยกตัวอย่างสมัยพุทธกาล นางสิริมาซึ่งเป็นสาวงามของอินเดียสมัยนั้น เป็นคนงามมาก อินเดียเค้าถือกัน ถ้าผู้หญิงงามๆแล้ว เค้าไม่ให้แต่งงาน เค้าให้เป็นนางเมือง คือต้อนรับคนทั่วไป พระราชา เศรษฐี พ่อค้า ประชาชนคนมีเงิน ใครอยากจะได้เป็นลูกเป็นเมียก็จ้างไป พูดง่ายๆ คนงามในอินเดียเค้าให้เป็นคนขายตัว มีอาชีพทางขายตัว คือไม่ให้แต่งงาน ถ้าแต่งงานแล้วมันผิดกฏหมาย คนอื่นอยากจะร่วมไม่ได้ เค้าจึงไม่ให้แต่งงานให้อยู่เป็นโสด และใครต้องการก็เรียกเอาได้ นอนร่วมได้ แต่ต้องเสียเงิน นางสิริมานี่ เป็นคนงามมาก คืนหนึ่งๆเค้าเก็บพันตำลึง แพงมาก แต่ก็มีคนนิยมชมชอบ อาชีพของเค้าก็คือการขายตัว เศรษฐีเอาไป พระราชาเอาไป พ่อค้าคนมีหน้ามีตามั่ง มีเงินทองเอาไป ไม่ได้ขาดระยะ ทุกคืนบางคนก็เหมาไปเป็นหกวันเจ็ดวัน พอหมดจากคนนั้น คนนี้ก็เอาไป อยู่อย่างนั้น งามมาก หญิงคนนี้ตามตำรับตำรากล่าวเอาไว้
จนถึง แกมีศรัทธาเลื่อมใสในศาสนาทำบุญสลากภัตรทุกวัน นิมนต์พระมาฉันที่บ้าน พระที่ไปฉันที่เป็นปุถุชนคนมีกิเลส ใครก็หลงใหลในรูปของแก ถึงแกจะแก่แล้วก็ยังมีรูปร่างสวยงามอยู่ ทำให้คนที่เป็นปุถุชนทั่วไป ต้องการปรารถนา มีพระรูปหนึ่งเป็นพระหนุ่ม ได้ข่าวว่านางสิริมาทำสลากภัตร ก็อยากจะไปรับสลากภัตรกับเค้า เพราะอยากจะไปเห็น ข่าวเล่าลือว่านางคนนี้งามมาก ได้ยินแต่ข่าวเล่าลือยังไม่เห็นตัวจริง ทำอย่างไรจึงจะมีโอกาสเวลาที่จะไปรับสลากภัตรได้ไปเห็นหน้าเห็นตา ใกล้ชิดกับแกว่างั้น ความนึกคิดใฝ่ฝัน ผลที่สุดก็มีพระแนะให้ ก็เลยได้ไปรับสลากภัตรของแก
แต่วันพระหนุ่มองค์นั้นไปฉัน แกป่วยหนักแล้วให้คนใช้ในบ้านพยุงขึ้นมากราบ แล้วก็ล้มนอนลงเพราะอำนาจป่วย พระองค์นั้นก็เห็นขบฉันอาหารก็ไม่ค่อยมี คือมันขบฉันอาหารไม่ได้เพราะความกำหนดยินดี เพราะความชอบ จิตพอใจในนางสิริมา แต่เค้าป่วยไข้หนักขนาดนี้ รูปร่างหน้าตาก็ยังสวยงามขนาดนี้ ถ้าเค้าอยู่ดีๆจะขนาดไหนว่างั้น พอถึงเวลาเลิกฉันก็ตะพายบาตรมา ข้าวในบาตร อาหารในบาตรก็ได้เทออก เพราะความคิดปรุงใคร่ในนางสิริมา คิดถึงขนาดนั้น นี่อำนาจของตัณหาราคะของคน ถ้าไปชอบพอจิตใจหนักแน่นเข้าจริงๆจังๆ มันเผา นอนไม่ได้ ทานอาหารไม่ได้ มันขึ้นถึงขีดแดงของมัน มันจะตายให้ได้ ถ้าไม่ได้อย่างความต้องการของใจ มันเป็นไปได้ แต่มันหนักเบาต่างกันคนเรา ไอ้พระรูปนั้น ท่าจะหนักกันพอสมควร จนพรรคพวกเพื่อนฝูงเห็นอย่างนั้นก็ไปล้างบาตรให้ ไปถามว่าเป็นไข้หรืออะไร ไม่ยอมฉัน ไม่ยอมนอน ไม่หลับ พูดง่ายๆ รูปร่างกายก็ผอมเข้า
ไม่กี่วันเพียงสองสามวันหรือไม่ถึงนั้นก็ไม่ทราบ นางสิริมาก็ตาย เพราะอาการไข้ของแกที่พระหนุ่มไปฉันนั้น เป็นไข้หนักอยู่ พระหนุ่มคนนี้ก็รู้สึกว่ารักใคร่เต็มใจปรารถนา ครั้นตายไป เค้าก็ไปบอกพระราชาว่านางสิริมาสาวงามของเมืองตายไปแล้ว พระเจ้าแผ่นดินกษัตริย์ในสมัยนั้นก็ไปกราบทูลพระพุทธเจ้าว่าควรจะทำอย่างไร นางคนนี้ตายไปแล้ว พระพุทธเจ้าท่านมีพระญาณในจิตในใจของท่าน จะทำอย่างไรจะเกิดประโยชน์แก่บุคคลผู้มีอุปนิสัยในอรรถในธรรม ท่านก็พิจารณาเลยสั่งเอาไว้ให้พระราชาเก็บเอาไว้ก่อน เจ็ดวันซะก่อนแล้วค่อยเผากัน พระราชาก็จัดทำตามคำรับสั่งของพระพุทธเจ้า เก็บเอาไว้
ครั้นถึงวันที่เจ็ดแล้ว คนตายนี่ถ้าหากเก็บเอาไว้ถึงเจ็ดวันแล้ว มันขนาดไหน เพียงสามวันเท่านั้นมันก็กลิ่นเหม็นจนจมูกจะแตกจะพังแล้ว ธรรมดา ถึงเจ็ดวันมันก็คงจะไปกันใหญ่ รูปร่างกายทุกส่วนที่เคยเห็นว่ามันสวยมันงาม มันก็เน่าขึ้นพองน้ำหนองน้ำเลือดน้ำเหลืองมันจะต้องไหลเฟะออกตามเนื้อตามตัวต่างๆ ครั้นถึงเจ็ดวันแล้ว ให้พระราชาประกาศให้ผู้คนทั่วไปมาดูนางสิริมาจะเผาวันนี้ ทางพระพุทธเจ้าก็ประกาศสงฆ์ ใครจะไปดูศพนางสิริมาวันนี้ไปได้ เราตถาคตจะพาไป พระรูปนั้นทั้งๆที่ไม่ขบไม่ฉันไม่หลับไม่นอน จะตายอยู่แล้วเพราะคิดถึงนางสิริมา พอได้รับคำสั่งอย่างนั้นก็อยากจะไปเห็นหน้าคราวสุดท้ายว่าจะเป็นอย่างไรกัน พระพุทธเจ้าทราบดีว่าพระรูปนั้นจะเปลี่ยนจิตเปลี่ยนใจได้ ที่เก็บไว้ก็เพื่อบริษัททั่วไป
พอไปถึงพวกพระฝ่ายนักบวชก็ไปมากหน้าหลายตาด้วยกัน ฆราวาสก็มากันมาก พระราชากับพระพุทธเจ้าก็ปรึกษากัน แล้วก็ให้พระราชาประกาศขาย หญิงคนนี้เป็นหญิงสวยในเมือง คืนหนึ่งๆพันตำลึงจ้างเค้าไป เดี๋ยวนี้จะขายขาด จะประกาศขาย ใครจะซื้อพันตำลึง ถ้าใครซื้อก็ยกมือขึ้น หรือออกปากมา พระราชาจะขายให้ ไม่มีใครยกมือ ไม่มีใครปริปากว่าอยากซื้อ รูปร่างกายของนางนั้นมันเน่ามันเหม็น มันเป็นผีไปแล้ว ไม่มีอะไรที่จะน่ากำหนดยินดี ไม่มีอะไรที่จะน่าเต็มใจปรารถนา ลดลงมาร้อยบาท ห้าสิบบาท สตางค์เดียว ก็ไม่มีใครต้องการปรารถนา นี่เรื่องรูปกายมันเป็นอย่างนี้ ถ้าตายไปแล้ว หมดคุณค่าราคา
พระรูปหนุ่มรูปนั้นไปเห็น ก็พิจารณาความแปรปรวนของธาตุขันธ์ แต่สมัยเราเห็นแกป่วยอยู่ รูปร่างกายคือยังมีลมหายใจอยู่ ก็สวยสดงดงาม ทำจิตทำใจให้ลุ่มหลงกำหนดยินดี ถ้าเป็นฆราวาสธรรมดาคงจะถึง เข้าถึง นี่เป็นพระ มีพระวินัยห้ามกั้นเอาไว้ ไปไม่ได้ แต่มันเผาภายใน จิตใจร้อนด้วยเพลิงของราคะกิเลส แต่พอไปเห็นเข้า คราวที่จะเผาเก็บไว้เจ็ดวัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเคยเห็นกำหนดยินดีนั้น มันเปลี่ยนสภาพไป กลิ่นมันก็ส่งเต็มที่ รูปร่างทุกสิ้นทุกส่วนที่เคยเห็นว่ามันสวยมันงาม มันก็เน่าก็เปื่อยไปหมด ไม่มีอะไรที่จะน่าเต็มใจน่าปรารถนา ท่านก็พินิจพิจารณาเรื่องของสังขารร่างกาย มันเป็นจริงอย่างนี้ ไม่มีเป็นอื่นไป ตัวของเราก็จะเป็นอย่างนั้น เขาคนอื่นทั่วโลกที่ยังมีชีวิตอยู่ก็คงเป็นไปทำนองเดียวกัน เพราะคนนี้บ่งบอกชัดเจนอยู่แล้ว พินิจพิจารณาไปทำให้จิตใจเกิดความเบื่อหน่ายในร่างกาย ในสังขาร ผลที่สุดพระหนุ่มองค์ก็เป็นพระอรหัตอรหันต์ในการพิจารณาอสุภะของนางสิริมา
นี่ตำรับตำราพูดถึงเรื่องความตาย ถ้าหากพินิจพิจารณาได้ เห็นในจิตในใจประจักษ์ มันก็หักห้ามความเพลิดเพลินลุ่มหลง เรื่องกิเลสตัณหาราคะต่างๆเบาบางลงได้ หรือหายขาด ท่านจึงให้พินิจพิจารณาให้รู้ให้เห็นในจิตในใจของตนอยู่บ่อยๆ อย่าไปปล่อยให้วันเวลาหมดไป เมื่อตายไปแล้วทำอะไรไม่ได้ คนสวยขนาดนั้นจะขายเพียงสตางค์เดียว เค้าก็ยังไม่ซื้อ ไม่มีใครต้องการปรารถนาทั้งนั้น เราคนธรรมดาสามัญไม่ใช่คนหล่อคนสวยขนาดนั้นก็ทำนองเดียวกัน ใครที่จะต้องการปรารถนา ถ้าหมดลมหายใจเท่านั้น กลัวกัน ไม่ได้ถือว่าคนว่าผี จะเป็นสามีภรรยากัน เคยกอดเคยจูบกัน พอตายไปเท่านั้น เข้าใกล้ไม่ได้ กลัวว่าเป็นผีอย่างนั้นอย่างนี้ เอาไว้ในบ้านในช่องนานก็ไม่ได้ ให้เอาไปฝังไปเผาเสีย พอหมดลมแล้ว หมดคุณค่าอย่างนั้น นี่หมายถึงกายของพวกเราท่าน
แต่บุญกุศลคุณงามความดีทางศีล ภาวนาที่เราก่อร่างสร้างมานั้น มันไม่ได้ตายไปกับกาย มันติดกับจิต มันยังนำความสุขความสบายมาให้ ส่งเสียไปในที่เราปรารถนา ถ้ามีบุญมีกุศลที่กระทำบำเพ็ญเอาไว้ คนนั้นจะไปเกิดเป็นมนุษย์ก็มีความสุข ความสบาย ร่างกายปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ร่างกายสวยสดงดงาม จิตใจมีสติปัญญา ผู้คนทั่วไปเลื่อมใสศรัทธาต้องการ เป็นผู้หญิงก็มีผู้ชายต้องการ เป็นผู้ชายก็มีผู้หญิงต้องการ เพราะร่างกายสวยงาม กิริยามารยาทดี มีสติปัญญา น่ารัก น่าชอบ คิดอ่านอะไรก็เป็นไปในทางถูกต้อง บุญกุศลเค้าส่งเสียให้ มีคนเลื่อมใสมีคนศรัทธา มีคนปรารถนา
ตรงกันข้ามกับบาปอกุศล ตายไปแล้ว แทนที่จะมาเกิดเป็นคน มันก็ไปตกนรกหมกไหม้เพราะกรรมชั่วที่ตัวทำไว้ ชักจูงไปให้ไปเกิดในสถานที่ชั่ว ที่เสีย ที่ทุกข์ ที่ยาก ที่ลำบากเดือดร้อน นอกจากนั้นมาเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ไม่สมบูรณ์พูลสุขให้ เพราะกรรมที่ตัวทำไว้ เช่นกรรมชั่ว ไม่มีใครต้องการปรารถนา ตัวของตัวเองก็ตำหนิตัวของตัว แต่ที่ไหนได้ เกิดมาแล้วมันแก้ไขไม่ได้ จะต้องเสวยกรรมของตัวจนหมดกรรม คือเกิดในชาติใด ถ้าจะเป็นคนสูงคนต่ำ คนดำคนขาว อวัยวะต่างๆไม่สมประกอบมาก็หาอะไหล่ไม่ได้ จะเป็นอย่างนั้นตลอดวันตาย
นี่คือเรื่องของกรรมที่ทำเอาไว้ มันก่อให้เกิดความไม่พอใจ ก่อให้เกิดทุกข์เกิดโทษถ้ากรรมชั่ว ถ้ากรรมดีก็ให้เกิดสุข เกิดความสบาย ฉะนั้นเรื่องกรรมที่เราทำไป จึงควรเลือกเฟ้นคิดนึก ว่ามันผิดถูกดีชั่วอย่างไร แล้วใครจะเป็นคนรับผลนอกจากตนของตนผู้กระทำเท่านั้น ถ้าเราระลึกนึกได้ พินิจพิจารณาอย่างนั้น ความชั่วที่ตัวจะทำ ตัวจะพูด ก็หักห้ามเอาได้ เพราะจิตใจไม่ปรารถนาความชั่ว ไม่ต้องการความชั่ว เห็นความชั่วเป็นของเน่าของเหม็น ของปฏิกูล เห็นความชั่วเป็นไฟ ถ้าหากคนธรรมดาไม่กล้าที่จะจับ เพราะมันไหม้มันเผา นี่เราถ้าหากจิตใจเข้าถึงอรรถถึงธรรมก็เป็นอย่างนั้น เว้นได้เรื่องความชั่วทั่วไป ถ้าหากจิตใจไม่เข้าถึงอรรถถึงธรรม มันก็หลงใหลใฝ่ฝัน เห็นดีเป็นชั่ว เห็นผิดเป็นถูกไป นี่จิตใจยังไม่ได้มีอรรถมีธรรม มันเป็นอย่างนั้นด้วยกันไม่ว่าสมัยปัจจุบันหรืออดีตที่ผ่านมา หรืออนาคตต่อไป มันหลงใหลอยู่อย่างนั้น
ท่านจึงให้พินิจพิจารณาศึกษาเรื่องธรรมะ บุญกรรมที่เราทำเป็นของสำคัญ เป็นที่พึ่งที่อาศัย แต่การทำนั้น อย่าไปปรารถนาในทางกิเลสตัณหาในทางชั่ว คือบางท่านบางคนปรารถนาขอให้รูปร่างกลางตัวสวยงามอย่างนั้นอย่างนี้ ขอให้มีผู้คนทั่วไปเค้าเลื่อมใสศรัทธา เป็นหญิงก็อยากจะมีแฟน ผู้ชายทั่วไปก็ให้เค้าปรารถนาไปสถานที่ไหนให้เค้าแห่ตามกันเป็นฝูงๆ คิดแบบนั้นมันผิด ผู้ชายก็ทำนองเดียวกัน คือปรารถนาแบบนั้น ปรารถนาในทางกามารมณ์ ปรารถนาในทางโลก มันผิดจากอรรถจากธรรม แต่เขาเหล่าก็จะสมความปรารถนาของเขา แต่มันไปตกในทางชั่วทางเสีย
เคยมีปรัมปรานิทานท่านเคยกล่าวเอาไว้ คนทำบุญสุนทานแบบนั้น มีผู้หญิงคนหนึ่งทำเอาไว้ พอตายไปเค้าไปเกิดก็สมปรารถนาของเขา คือไปเกิดเป็นหมาตัวเมีย ไปสถานที่ใดถึงกาลถึงสมัยหน้าคะนองของสัตว์ก็ไม่ทราบว่ามันมาจากทิศใดทางใด แห่แหนไป เวลานอนก็นอนล้อมรอบอยู่ เวลาลุกขึ้นไปก็มีหมาตัวผู้ติดตามเป็นฝูงๆ นี่ความปรารถนาในทางกามารมณ์ มันทำให้ผิดพลาดอย่างนั้น
เราทำบุญสุนทานอะไรปรารถนาไปเพื่อความหมดกิเลส เพื่อความบริสุทธิ์ แต่เมื่อจิตของเรายังไม่หลุดพ้นจากกิเลสเมื่อไร การมาเกิดมันก็ไม่ผิด เพราะบุญส่งเสียมาให้ เกิดเป็นมนุษย์จะได้สะสมคุณงามความดี หรือเกิดเป็นเทพบุตรเทพธิดาไป นี่คือการปรารถนาในทางที่ถูกที่ควร ท่านไม่ให้ปรารถนาไปในเรื่องของกามารมณ์ต่างๆ ฉะนั้นพวกเราท่านเกิดมา เราจะมีอำนาจวาสนาสะสมคุณความดีได้ ก็เรายังมีชีวิตเป็นอยู่เท่านั้น ตายไปแล้ว ทานให้ไม่ได้ ศีลรักษาไม่เป็น ภาวนาชำระจิตใจแก้ไขกิเลส มันไม่มีทาง
ฉะนั้นการที่มีชีวิตเป็นอยู่จึงเป็นโชคลาภอันใหญ่หลวง ควรที่จะพินิจพิจารณาแนะสอนจิตใจของตัว อย่าไปถือว่าเราอาภัพอับวาสนา ไม่มีโอกาสเวลาระยะนี้ยุ่ง ลูกหลานเค้าไปทำไร่ทำสวน เข้าวัดเข้าวา จำพระจำศีลไม่ได้ ไม่มีใครที่จะรักษาข้าวของเงินทองบ้านช่อง หรือเราแก่แล้ว ไปก็ลำบากรำคาญ หรือเรายังหนุ่มยังสาวอยู่ ไปเค้าก็จะดูหมิ่นนินทา เข้าวัดเข้าวา มันมีแต่พญามารมาหักห้ามเอาไว้ทุกกาลทุกสมัย ยังเป็นเด็กก็ถือว่าเป็นเด็ก เพลิดเพลินไปในเรื่องใหม่ เป็นหนุ่มเป็นสาวก็เพลิดเพลินไปในเรื่องอื่นเสีย พอตกกลางคนมามีครอบครัว ก็ยุ่งเกี่ยวกับการงาน เฒ่าแก่มาก็ไปไม่ถึง ไปไม่ได้ เพราะร่างกายมันไม่แข็งแรง คิดไปในทำนองนั้น มันไม่มีโอกาสเวลาให้ แต่เวลาตายเล่า เด็กเพลิดเพลินอยู่ขนาดไหนมันก็ตายได้ จะหนุ่มสาวรูปร่างกลางตัวเปล่งปรั่ง มีกำลังวังชาขนาดไหนมันก็ตายไปได้ ทั้งๆที่การงานยังเต็มมืออยู่ ไม่มีอะไรสำเร็จเสร็จสิ้นไป มันก็ตายไปได้ ลูกยังเล็กยังแดงอยู่ แม่มันก็ตายจากไปได้ พ่อมันก็ตายจากไปได้ ความตายมันไม่มีอะไรหักห้าม มันไปได้ทุกกาลทุกเวลา
ฉะนั้นคุณงามความดีเราจะไปหากาลนั้นกาลนี้เสียก่อน มันไม่ทันกับความตายของเรา เราจึงรีบเร่งกระทำบำเพ็ญเอาเสีย ส่วนใดมันจะเป็นผลเป็นประโยชน์เป็นกำไรของชีวิต รีบกระทำบำเพ็ญเอา โดยเฉพาะก็เรื่องภาวนา ให้ตั้งหน้าตั้งตาระลึกนึกได้ในจิตในใจ จะเดินไป นั่งอยู่ หรือหลับนอน เมื่อยังไม่หลับจริงจังก็พินิจพิจารณา ชำระใจของตัว ตรวจใจของตัว ว่ามันสะอาดหรือสกปรกแค่ไหน ใจมันเป็นโลกหรือมันเป็นธรรม ต้องคิดอ่าน พินิจพิจารณาแก้ไข คนที่มีธรรมะรักษาใจ นอนหลับไปก็เป็นสุข ฝันก็เป็นมงคล ตื่นมาก็มีกำลัง เพราะจิตใจมันผ่องใส จิตใจมันสะอาดถ้าหากได้ภาวนาชำระใจของตัวหละ มันเป็นไปต่างๆนานา ก่อนจะหลับจะนอนก็วุ่นวี่วุ่นวาย จิตใจเดือดร้อน พอนอนหลับไปก็ฝันชั่ว ตื่นมาก็ลำบากยากเย็น จิตใจของตัวมันเศร้าหมองเดือดร้อน เห็นคนดีก็โกรธให้เค้า เค้าพูดดีๆก็ไม่พอใจ เค้าไปดีๆก็รังเกียจ นี่คือเรื่องของจิตใจที่เป็นพิษเป็นภัย (จบวีดีโอ)