หลวงพ่อสิงห์ทอง ธมฺมวโร
ธรรมะที่นำมาพูดโดยส่วนใหญ่มันก็ไม่มีอะไรอื่น ธรรมะซึ่งเราท่านๆเคยรู้จัก เคยเข้าใจอยู่ แต่มันก็ต้องพูด เพราะธาตุขันธ์มันยังมีอยู่ กิเลสมันยังมีอยู่ ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ถ้าหากคนยังอ่อนอุปนิสัย อินทรีย์ยังอ่อน ท่านก็สอนขึ้นไปตั้งแต่ อนุปุพพิกถา สอนทาน ศีล สวรรค์ เนกขัมมะ โทษของกาม สอนขึ้นไปเป็นขั้นๆ ถ้าคนมีอินทรีย์แก่กล้าสามารถที่จะตรัสรู้ได้ เข้าใจอรรถธรรม ท่านก็สอนอริยสัจ นี่เรื่องของพระพุทธเจ้า พระองค์เป็นผู้มีปัญญาตราญาณสามารถทราบอุปนิสัยของสัตว์ ว่าคนๆนี้ควรจะสอนอะไรให้เขา จึงจะเกิดสาระประโยชน์ ท่านทราบสมุฏฐานของจิตใจ แต่พวกเราท่านมันสุ่มเดา ใครมาหน้าไหนก็สอนกันไปตามเรื่อง คิดว่ามันจะเกิดประโยชน์
แต่ถึงอย่างไรก็ดีเรื่องธรรมะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับจิตใจของพวกเราท่านทุกคน คนที่ไม่มีธรรมะแทรกในจิตในใจ การทำ การพูด การคิด ย่อมไม่ถูกทางให้ ทำให้คนอื่นสัตว์อื่นเดือดร้อนวุ่นวาย ตัวของตัวเองก็ไม่มีความสุขความสงบ นี่คือคนปราศจากธรรมะ จะพูดจะทำจะคิด มีแต่ทางผิดทางชั่ว โดยส่วนใหญ่เรื่องจิตใจจึงจำเป็นกับเรื่องธรรมะ แต่พวกเราปฏิบัติธรรมะ อยู่กับธรรมะ แต่ไม่เห็นธรรมะเป็นเรื่องสำคัญ มักอยากจะเหมาเอาว่าเราไม่มีวาสนา ไม่มีอุปนิสัย นี่เป็นเรื่องตัดสินใจเอาเอง ไม่ใช่พระพุทธเจ้าตัดสินให้ และการกระทำของเรา ทำแค่ไหนจึงตัดสินใจเอาว่าอาภัพวาสนา
ในสมัยพุทธกาลถ้าหากเราจะเอาตำนานมาพูดกัน คนที่มีราคะตัณหามากแต่มีอุปนิสัยเป็นพระอรหันต์ก็มีอยู่ตามตำรับตำรา ความหลงใหลในกิเลสตัณหา ทั้งๆที่มีอุปนิสัยที่จะเป็นพระอรหันต์ในชาตินั้นแต่ก็อำนาจของกิเลสตัณหาแรงกล้าไม่ใช่เล่น ยกตัวอย่าง นางปฏาจาราหรือกุลธิดาที่เป็นลูกของเศรษฐีเป็นต้น พวกเหล่านี้ทั้งๆที่มีอุปนิสัยจะเป็นพระอรหันต์นะ แต่ก็ยังหลงใหลใฝ่ฝันในเรื่องราคะตัณหามากเหมือนกันจนสามารถที่จะกั้นกางจิตใจของตัวให้อยู่ในขอบเขตของศีลธรรมชาวบ้านไม่ได้ อย่างนางปฏาจาราก็วิ่งหนีตามคนใช้ไปทั้งๆที่พ่อแม่มุ่งหวังจะให้แต่งงานกับลูกของเศรษฐี แต่ตัวก็ได้เสียกับคนใช้ แสดงว่าราคะตัณหาของเขาแรงกล้า ไม่สามารถที่จะบังคับใจของตัวให้อยู่ในขอบข่ายของโอวาทบิดามารดาได้ จึงทำชั่วทำเสีย หนีไปอย่างนั้น
กุลธิดาที่ชอบโจรก็เหมือนกัน ทั้งๆที่มีอุปนิสัยที่จะเป็นพระอรหันต์ในชาตินั้น ชื่อกุณฑลเถรีหรืออะไร (พระกุณฑลเกสีเถรี) เมื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์ คือคนนี้ก็ชอบโจรคือโจรคนนั้นประพฤติชั่วเสีย เค้าจับได้ เค้าจะนำไปฆ่า แล้วเค้าก็แห่ให้คนดู ในถนนหนทางต่างๆ นางคนนั้นมองเห็นก็ชอบใจ ถ้าไม่ได้จะกินยาตาย จะฆ่าตัวตาย ถึงอย่างไรก็จะต้องให้ได้โจรคนนี้ มาเป็นสามีให้ได้ นี่ความคิดในจิตในใจ คิดแรงขนาดนั้น จนทนไม่ไหวออกปาก อ้อนวอนบิดามารดาให้นำโจรมาให้ ทั้งโจรคนนั้นชั่วเสียขนาดไหน เค้าจะเอาไปฆ่า แต่แกก็ชอบยินดี จะเอามาเป็นสามีของแก ด้วยอำนาจเงินทองของเขา เขาเป็นเศรษฐี บิดาก็กลัวลูกสาวของตัวจะตาย ถ้าไม่ได้เค้าก็จะฆ่าตัวตายจริงๆ ก็เลยติดตาม ไปพูดกับพระราชาเจ้านายผู้ใหญ่ จะให้ค่าตัวของเขาเท่านั้นเท่านี้ จนพวกนั้นตกลงใจไม่ฆ่า มอบโจรคนนั้นมาให้แก่หญิงคนนั้น แก่ลูกสาวของเศรษฐีคนนั้น นี่แสดงว่าราคะตัณหาของเขาแรงกล้าจนสามารถ ไม่ได้จะฆ่าตัวตาย
เราทั้งหลายยังไม่เคยตกลงใจแบบนั้น ถ้าหากจะว่าเราอาภัพเอาวาสนา มีราคะแรงกล้า เขาเหล่านั้นทั้งๆที่มีอุปนิสัยจะเป็นพระอรหัตอรหันต์ ก็ยังแรงกล้าขนาดนั้น มันเป็นไปได้ เราจึงไม่ควรตัดสินใจเอาด้วยตัวเองว่าเราอาภัพเอาวาสนา เมื่อเวลามันฟุ้งมันปรุงมันคิดที่ข้องมันก็เป็นไป เรื่องใจที่ยังแก้ไขตัวเองยังไม่ตก แต่ถึงอย่างไรก็ดีจะต้องสู้พินิจพิจารณาศึกษาปฏิบัติ เพราะถ้าไม่มีความชั่วเสียเหล่านี้ เราก็ไม่มีทางที่จะแก้ไขจิตใจของเรา มันชั่วมันติด มันคิดมันปรุง มันยุ่งมันเกี่ยวกับเรื่องอะไร เราจะต้องนำเรื่องอันนั้นมาพินิจพิจารณาเพื่อแก้ไข ให้ใจมันถอดมันถอน มันหลุดมันร่วงออกไปจากความติดข้องของใจ เพราะถ้าเก็บเอาไว้ก็เรื่องนั้นแหละ มันจะมายุ่งเกี่ยวอยู่เรื่อย ทำให้เราเดือดร้อนวุ่นวาย เพราะความยึดถือ ท่านจึงให้นำมาพินิจพิจารณาด้วยอรรถด้วยธรรม เพื่อแก้ไขขับไล่ใจที่ติดข้องเศร้าหมองเดือดร้อนวุ่นวายต่างๆให้สงบ ให้ขาดไปจากจิตจากใจของตัว
เรื่องเหล่านี้มีมาในสมัยพุทธกาล หรือสมัยปัจจุบัน ท่านทำกันอย่างนั้น ไม่ได้แก้ที่อื่น แก้ที่มันติดมันข้อง ที่มันผูกมันมัด แก้จิตแก้ใจของตัว แต่วิธีแก้กับวิธีที่ผูกมัดมันผิดกัน อย่างราคะกำเริบ ผู้ที่จะแก้ก็จะต้องพินิจพิจารณาใจที่มันไพล่คิดติดข้องกำหนัดยินดีในรูปนั้นๆ นำรูปนั้นมาพินิจพิจารณา แต่ไม่พิจารณาไปในทางเสริมราคะ พิจารณาเพื่อชำระจิตใจที่คายรูปนั้นออกไป จะพิจารณาเป็นธาตุ ๔ หรือจะพิจารณาเป็นขันธ์ ๕ ก็แล้วแต่ความถนัดของใจ อย่าพิจารณาส่งเสริมราคะ ว่ามันสวยอย่างนั้น มันงามอย่างนี้ น่าจูบอย่างนั้น น่ากอดอย่างนี้ อย่าไปคิดไปในแง่นั้น ถ้าคิดไปในแง่นั้นก็เหมือนกันกับเอาเชื้อของไฟไปเพิ่มไฟขึ้น เปลวมันก็ยิ่งลุกสูงขึ้น ความร้อนก็ร้อนเผาออกไปไกล นี่จิตใจก็ทำนองเดียวกัน มันยุ่ง มันเกี่ยว มันติด มันข้อง มันคิด มันปรุงในเรื่องของรูปจนเกิดราคะตัณหา เราจะต้องนำรูปนั่นมาพิจารณา
ในความจริงของรูปอย่างกรรมฐาน ๕ ที่อุปัชฌาย์ท่านสอนนั่นก็เป็นเรื่องที่จะถอดถอนราคะตัณหา ถ้าหากพิจารณาตามมูละกรรมฐานที่อุปัชฌาย์อาจารย์ให้ คือพิจารณาให้มันเห็นเป็นปฏิกูลตามเรื่องของมัน อย่าไปส่งเสริมว่ามันสวยอย่างนั้น มันงามอย่างนี้ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ที่ท่านกล่าวเอาไว้ นี่คือกรรมฐาน ๕ ก่อนจะบรรพชาเป็นสามเณร จะบวชเป็นภิกษุ ทุกองค์เคยเรียนมาแต่ไม่ได้นำเอาอาวุธส่วนนี้มาปราบปรามกิเลสตัณหา จิตใจจึงเกิดราคะ เกิดความกำหนัดยินดี ชอบใจติดข้องในรูปต่างๆที่ทางกิเลส ทางตัณหาถือว่ามันสวยมันงาม
แต่ถ้านำอรรถธรรมหรือกรรมฐานที่อุปัชฌาย์อาจารย์ท่านให้มาพิจารณาแล้ว พิจารณาตามที่ท่านสอน ผม มันมีอยู่บนศีรษะ จากท้ายทอยจนถึงหน้าผาก หมวกหูทั้งสองข้าง มันมีด้วยกันทุกคนผมนี้ มันเกิดขึ้นได้จากของสกปรก เหมือนหญ้าที่เกิดขึ้นตามห้องน้ำ หรือที่สกปรกต่างๆ มันงอกงามขึ้นได้เพราะอาศัยปุ๋ย อาศัยของสกปรกเหล่านั้น มันจึงงอกงามขึ้นมา ผมของเราก็ทำนองเดียวกัน มันดูดเอาพวกน้ำเลือด น้ำเหลืองหล่อเลี้ยงมันจึงงอกงามขึ้นมา ไม่ใช่มันสวยงามอะไร เรื่องของผม ถ้าหากไม่ตกแต่งชะล้าง ผมนี้ปล่อยเอาไว้กลิ่นของมันก็จะเหม็นสาป เหม็นคุ้งขึ้น เพราะมันเป็นของสกปรก ถอดถอนออกมาดูก็พอทราบว่าผมนี้ไม่มีอะไรที่จะน่าเลื่อมใสศรัทธา ยิ่งตกหล่นไปใส่ภาชนะน้ำดื่มก็ตาม อาหารที่เราใส่ในถ้วยในจานหรือในหม้อในชามของเรา ถ้าหากหลายๆเส้นตกลงไป คนเหล่านั้นโดยส่วนใหญ่เค้าจะไม่รับประทานกัน เพราะถือว่าของสกปรก มีคนเอาไปทิ้งใส่ก็จะทะเลาะเบาะแว้งกัน ถิดเถียงกัน หรือฆ่าตีกัน
ถ้าหากผมมันเป็นของสวยงาม เป็นของสะอาด เป็นของดิบของดี ทำไมจึงไม่ชอบ ทำไมจึงเกิดทะเลาะเบาะแว้งกัน แต่ของอื่นถ้าหากเป็นอาหารเขาเอาไปใส่ในถ้วยในจาน ไม่เห็นดุด่าว่ากล่าวกัน ไม่เห็นจิตใจมันรังเกียจตำหนิ แต่ผมคนนี้ถ้าเอาไปใส่ให้เค้าเห็น จะต้องมีการดุด่าว่ากล่าวกัน ทะเลาะกันเป็นแน่นอน และผมมันก็ไม่คงที่เหมือนกัน เพราะเป็นรูป รูปัง อนิจจัง เริ่มต้นมันก็เป็นอย่างหนึ่ง ตอนเป็นหนุ่มเป็นสาวมันก็เป็นไปอีกอย่างหนึ่ง เมื่อแก่มามันก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง เปลี่ยนสีไป ถ้าหากสีมันขาวปกติ สีของผมชอบกัน ในสีดำ ถ้ามันเปลี่ยนไปเป็นขาวไปแล้ว ไม่ชอบกัน ย้อมกันหรือรักษาเอาไว้ ไม่อยากจะให้มันขาว แต่มันก็ขาวไป ที่มันขาวไปก็ย้อมเอาไว้ แต่มันงอกขึ้นมาใหม่ มันก็ยิ่งน่ารังเกียจอีกเพราะที่ย้อมมันดำ ที่มันงอกมาใหม่มันขาว มันไม่น่าดู ต้องย้อมอยู่เรื่อยๆ นี่คนรักษาผมเพื่อความสวยงาม ที่รักษาอย่างนั้นก็เพราะเรื่องของกามะกิเลส ราคะตัณหา อยากจะให้มันคงเส้นคงวา อยากจะให้เขาว่ามันสวยมันงาม ความจริงมันไม่สวยไม่งามที่ไหน
เรื่องของผม มันเป็นอยู่อย่างนั้น แล้วมันก็ไม่หลงว่ามันสวยมันงาม มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ หรือหลุดร่วงไป เป็นหน้าที่ของมัน มันไม่เคยยินดีกับคนที่ไปรักมันชอบมัน แล้วมันก็ไม่เคยเสียใจเพราะคนอื่นตำหนิมัน ผมมันมีหน้าที่อย่างไร มันก็เป็นไปตามหน้าที่ของมันอย่างนั้น แต่จิตใจของพวกเราท่านไม่ได้พิจารณาอย่างนี้ จึงไปหลงว่ามันดีมันสวยมันงาม เค้าดัด เค้าแปรงอย่างนั้นอย่างนี้ ทำให้ลุ่มให้หลงให้เพลิดให้เพลินในผม คนไม่มีผมศีรษะล้าน ถ้าเป็นผู้หญิงก็ตามผู้ชายก็ตาม ถ้ามันไม่มีเสียเลยแล้วก็คนนั้นโลกเค้าไม่ค่อยสนใจกัน เพราะถือว่าไม่มีผม นี่เรื่องของโลกเป็นอย่างนั้น แต่มันก็ร่วงไปได้ ผมงอกขึ้นมาใหม่แทน ยังเป็นเด็กเป็นเล็กก็เป็นคนที่มีผมดกเต็มศีรษะ พอแก่มาหลุดร่วงไปอย่างนั้นก็มี บางคนก็มีมาแต่กำเนิดไม่มีผมสมบูรณ์ มันเป็นไปได้ตามอำนาจของกรรม
เรื่องของขนก็เหมือนกัน งอกขึ้นจากของสกปรกโสโครก ไม่ใช่ของสวยของงาม ขนถ้าไม่มีก็ถือว่าไม่ดีไม่งามอีก สำหรับโลก สำหรับสมมุติถือกันอย่างนั้น คนที่ไม่มีขนตา ขนคิ้ว คนอย่างนี้ก็จะต้องละอายเพื่อนบ้านเขา คนทั่วไปที่เค้ามีราคะตัณหา เค้าก็ไม่ชอบใจเพราะไม่มีขน แต่ขนนี้ก็เป็นอย่างเดียวกันกับผม แต่มันเกิดในที่อื่นเรียกว่าขน ความจริงแล้วก็เป็นอย่างเดียวกับผม เป็นของที่สกปรกเกิดขึ้นจากน้ำเลือดน้ำเหลือง ไม่ใช่เกิดขึ้นจากที่อื่น เกิดขึ้นจากเนื้อจากหนังที่สกปรกปฏิกูล งอกมาตามหน้าที่ของมัน ตั้งอยู่ หลุดไป ตามหน้าที่ของมันเหมือนกัน ยิ่งขนในร่มผ้า มีคนถอนออกมาทิ้งใส่ในถ้วยในจานในอาหารกำลังบริโภค จะต้องฆ่ากันเพราะถือว่าเป็นของสกปรก ของน่าเกลียดไม่น่าดู นี่เราทั้งหลายไม่ได้พิจารณาตามความเป็นจริงของมัน จึงหลงใหลใฝ่ฝันว่ามันสวยอย่างนั้น มันงามอย่างนี้
เล็บก็ดีอาศัยการตบการแต่งอยู่เรื่อย การตัด การแคะ ไม่อย่างนั้นปล่อยเอาไว้ตั้งแต่วันเกิดแล้วแต่มันจะเป็นไปเหมือนเล็บหมูเล็บหมา เล็บมนุษย์เราก็ไม่น่าดูเอาเหลือเกิน ถ้าหากไม่ตกไม่แต่งไม่รักษา แต่วันเกิดมาจนอายุยี่สิบปี สามสิบปีแล้ว มันจะยาวขนาดไหน มันจะเป็นอย่างไร นี่ตกแต่งอยู่เรื่อย ตัดอยู่เรื่อย มันจึงพอดูกันได้ แล้วเล็บที่เราถือว่ามันสวยมันงามอย่างนั้นอย่างนี้ ให้แกะออกมามาผัดมาทอด จะทานได้มั้ย หากว่ามันสวยมันงาม มันดิบมันดี มันก็ไม่มีทางอีก เพราะถือว่าเป็นของสกปรก
ฟันก็เหมือนกัน อาศัยแปรงอยู่เรื่อย ชำระอยู่เรื่อย แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีกลิ่น ยังมีมูลฟันติดอยู่ ถ้าหากตกออกมา หลุดออกมาใส่ภาชนะอาหารก็อีกหละ ไม่มีใครกล้ารับทานกัน แต่อยู่ในปากก็ถือว่ามันสวยมันงาม เพราะเค้าตกเค้าแต่ง เค้าแปรงให้สะอาด แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีกลิ่นให้เรารู้เราเข้าใจอยู่ ของเราอย่างไรของเค้าก็อย่างนั้น มันไม่ผิดแผกแตกต่างกัน นี่เรื่องของฟัน
เรื่องของหนังหละ ก็ทำนองเดียวกัน หนังนี้เป็นสิ่งสำคัญ ถ้าไม่มีหนังซะอย่างเท่านั้น คนที่ชอบ ที่มีราคะตัณหาแรงกล้าขนาดไหน ก็ไม่มีใครที่จะไปใครกล้าแตะต้องเอาไปทิ้งไว้ในที่อยู่ที่อาศัย ถ้าคนไม่มีหนังเดินผ่านไปในหมู่บ้านเท่านั้น คนในบ้านจะต้องแตกฮือกัน เค้าไม่ถือว่าคน ว่าผีเพราะไม่มีหนัง แต่เดินได้ ยังไม่ตาย เพียงเราขูดหนังออกนิดๆหน่อยๆเท่านั้น มันก็ไม่น่าดูกัน แต่หนังนั้นมันเทียบเอาไว้นิดหน่อยเท่านั้น ผิวบางๆนิดเดียวที่ทำให้เราลุ่มหลง จนขูดเกลาออกไปทั่วตัวก็ไม่ได้ ขนาดหัวแม่มือสิ่งที่ปิดบังสติปัญญาของเราให้เราเกิดราคะตัณหา ขูดออกนิดเดียวเท่านั้น น้ำเลือด น้ำเหลืองมันจะเยิ้มออกมา มันไม่มีอะไรที่น่าอยากได้ น่ายินดี
นี่คือทางพินิจพิจารณาชำระใจ เมื่อมันเกิดราคะตัณหาจะต้องหาทางพิจารณาแก้ไข ใจมันหลง มันไม่รู้ตามเป็นจริง มันจึงเกิดราคะตัณหาอย่างนั้น เรื่องของกายจริงจังแล้ว มันไม่มีอะไร มันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปตามหน้าที่ของมัน ไม่ว่าใครทั้งหมดเหมือนกัน ใจเท่านั้นที่มันไปลุ่มไปหลง แล้วใจลุ่มหลงไปได้อะไรนอกจากความทุกข์ของใจเท่านั้น ไม่มีอันอื่นที่ได้มา หลงเท่าไร ชอบเท่าไรก็ทำให้เดือดร้อน ทำให้เกิดความทุกข์เท่านั้น
ถ้าหากมาพิจารณาทราบสาเหตุของจริงมันว่ากายนี้ไม่มีหญิงมีชาย ไม่มีหนุ่มมีแก่ กายอันนี้เป็นธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟเหมือนกันหมด เราอย่างไรเค้าอย่างนั้น ไม่มีอะไรที่แปลกแตกต่างกัน จะไปกำหนัดทำไม จะไปยินดีทำไม ตัวของเราเป็นอย่างไร เค้าก็เป็นอย่างนั้น เราไปหลงในหนัง หนังของเราก็มีอยู่จะไปหลงทำไม หนังของเราเป็นอย่างไร หนังของเขาก็เป็นอย่างนั้น เมื่อเอ็นกระดูกมันก็ทำนองเดียวกัน เป็นธาตุของดินที่ข้นแข็ง มันไม่มีอะไรเป็นของดีของวิเศษ
ธาตุน้ำที่หลุดร่วงออกมา ไม่ว่าน้ำหู น้ำตา น้ำมูก น้ำเสลด น้ำหนอง น้ำเลือด ที่มันหลุดออกมา ตกออกมาจากกาย มันก็พอทราบได้ว่าน้ำเหล่านี้มันเป็นของปฏิกูล อยู่ข้างนอกก็พอดื่มพออาบได้ ถ้าหากเข้ามาข้างใน ออกจากทางจมูกก็ตาม ออกจากทางปากก็ตาม ออกจากทวารเบาก็ตาม หรือออกตามร่างกายก็ตาม เราจะอาบได้มั้ย เราจะดื่มได้มั้ย น้ำออกจากกายของบุคคล ก็มันสกปรก มันไม่ใช่ของสะอาด ความจริงของมันเป็นอย่างนั้น แต่เราก็หลงใหลใฝ่ฝันยึดถือว่ามันสวยอย่างนั้น มันงามอย่างนี้ หน้ามันแดงๆก็เลือดที่ทำให้มันแดง ถ้าไม่มีเลือดมันก็ไม่แดงให้ แล้วเลือดที่มันมีอยู่ในกายที่หนังหุ้มอยู่ ถ้าหากเอามีด เอาขวานมาสับมาฟันให้มันไหลออกมา มันแดงยิ่งกว่าอยู่ในหน้า เราชอบมั้ยเอามาทาตามเนื้อตามตัวได้มั้ย มาดื่ม มากินได้มั้ย ก็ควรจะพิจารณาหาทางแก้ไขใจที่มันติดข้อง
นี่คือเรื่องการพิจารณาชำระราคะตัณหา ความอยาก ความกำหนัดของใจ พิจารณาจนให้มันทราบ มันเข้าใจความเป็นจริงของมัน รูปมีอยู่ในโลก จะเป็นรูปหญิงก็ตาม รูปชายก็ตาม รูปวัตถุข้าวของก็ตาม มันสภาพเหมือนกันหมด มันไม่ได้หลงใหลใฝ่ฝัน มันไม่ได้ยินดีพอใจ ไม่ไ้ด้ใส่ร้ายป้ายสีใคร หน้าที่ของมันเป็นอย่างไร ก็เกิดขึ้น แปรปรวน และแตกสลาย เหมือนกันหมด อะไรหละไปหลง หลงในสิ่งเหล่านั้น เรื่องของใจเท่านั้น มันก็จะเห็นโทษของใจว่ามันบ้ามันบอ มันยึดมันถือ ทั้งๆที่สิ่งเหล่านั้นเค้าไม่รู้ไม่เข้าใจอะไรแต่เราก็บ้าบอ ยินดี ใฝ่ฝันอยากได้ ปรุงคิด มันจะได้มาทราบเรื่องจิตใจของตัวเอง
เมื่อมันมาทราบเรื่องของใจตามเป็นจริงของมันว่ารูปเหล่านั้น หรือเรื่องเหล่านั้น มันเป็นอยู่อย่างนั้น เรื่องของใจเท่านั้นที่ไปลุ่มหลง เรื่องที่จะติดในรูป จะเป็นสุภะ คือรูปงาม หรืออสุภะคือรูปไม่งามก็ตาม มันตกไปหมด พิจารณารูปมันไม่เอา เพราะรูปไม่มีความหมายอะไร ใจเท่านั้นที่มีความหมาย ที่มันข้องติด มันจะได้วกเข้ามาพิจารณาเรื่องของใจ ทำไมมันจึงไปติด ไปคิดไปปรุงอย่างนั้น นี่มันเข้ามาภายใน แล้วเรื่องใจจะไปเกิดราคะตัณหา ไปชอบติดอย่างนั้นอย่างนี้ มันไม่มีอีก
ถ้าหากพิจารณาพอของมัน นี่คือเรื่องวางกาย วางรูป ใจจะต้องอดเข้ามาภายใน มาพิจารณาเรื่องภายในของตัว จิตระยะนั้นมันจะละเอียด ละเอียดเอาจริงๆจังๆ ทันทุกระยะทุกเวลาที่มันปรุงมันคิด เลยชื่อจิตทันเรื่องของสังขาร ทั้งๆที่ไม่เคยเป็นเคยเห็นมาก่อน มันคิดอะไร มันปรุงอะไร ทราบอยู่ทุกระยะ ยิ่งออกไปแวบออกไปทางอกุศล มันสะเทือนหนัก ทราบได้ และก็ไม่ต้องวิตกวิจารในเรื่องนั้นอีก มันก็ตกไปเองของมันเพราะทราบมาแล้ว พิจารณามาแล้ว เรื่องของรูป เรื่องของราคะตัณหามันจึงไม่มีอะไรในจิตในใจที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับรูป ที่จะพิจารณาเพื่อแก้ไขจิตใจให้มาละถอนอีก เพราะรูปถ้าเข้าใจตามเป็นจริงของมัน เวทนา สัญญาความมั่นหมายมันยังมีอยู่ก็พยายามแก้ไข ก็พยายามพิจารณามัน มันปรุงอย่างไรขึ้นมา มันหมายอะไร นี่มันเข้ามาภายใน เข้ามาเรื่องของนามธรรม
ผู้ประพฤติปฏิบัติถ้าถึงขั้นนี้จะทราบดีในตัวของตัวอยู่ทุกระยะทุกเวลา ไปสถานที่ใดมันเป็นความเพียรอยู่ตลอดเวลา คือจิตใจมันทันกับสังขารที่มันปรุงขึ้น มันไม่มีเวลาเผลอ ที่จะให้มันแว้บออกไปเกี่ยวข้องกับเรื่องอันอื่น มันปรุงอะไร ทราบทุกขณะทุกระยะของจริง เรื่องที่มันเคยติดเคยข้อง เราจะทดลองปรุงแต่งให้มันคิด มันไม่ไปเพราะมันทราบดีแล้วว่ามันไม่มีอะไรเรื่องข้างนอก นอกจากเรื่องข้างในหรือเรื่องนามธรรมเท่านั้น มันก็มาค้นคิดพิจารณาเรื่องในอยู่ตลอดไป จนมันรู้มันเข้าใจเรื่องของขันธ์ตามเป็นจริงของมัน
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันนี้เป็นขันธ์ สิ่งนี้พระพุทธเจ้าท่านหรือสาวกอรหันต์ ท่านสำเร็จเป็นผู้วิเศษแล้ว สิ่งเหล่านี้ยังมี ถ้าหากจิตไม่ลุ่มหลงสิ่งเหล่านี้ มันก็ไม่เป็นกิเลสตัณหา ถ้าหากจิตลุ่มหลงในสิ่งเหล่านี้ ยึดมั่นในสิ่งเหล่านี้ มันก็เกิดราคะตัณหา เกิดภพเกิดชาติได้ ถ้าแยกออกได้พิจารณาเห็นชัดเจนในจิตในใจ ผู้มาเห็นสิ่งเหล่านี้คือใคร เราจะทราบสิ่งเหล่านี้ มันเป็นอย่างไรเราก็ทราบ เมื่อเป็นอย่างนั้น มันก็สมมุติกับวิมุตติมันไม่สะสมคละเคล้ากัน ผู้บริสุทธิ์บริสุทธิ์อยู่อย่างนั้น ธาตุขันธ์หน้าที่ของมันเป็นอย่างไรก็ทราบเรื่องของมัน ธาตุขันธ์ไม่ใช่ตัวกิเลสตัณหา ผู้รู้คือจิตใจต่างหากที่เกิดราคะตัณหาสิ่งเหล่านี้ มันเป็นไปตามหน้าที่ของมัน
ถ้าหากท่านสิ้นกิเลส ธาตุขันธ์ของท่านดับไป ก็พระพุทธเจ้าเอาอะไรไปสอนโลก ก็รูปของท่านยังมีอยู่ไม่ใช่หรือ เวทนา ความสุขทุกข์เฉยๆ สัญญาความจำสิ่งนั้นสิ่งนี้ สังขารความปรุงคิดในจิตในใจ วิญญาณความรับรู้จากตาหูจมูกลิ้นกายใจ ยังมีอยู่ แต่ท่านไม่มีกิเลส เพราะจิตของท่านไม่เป็นกิเลส ถ้าจิตยังเป็นกิเลสแล้วสิ่งเหล่านี้ก็เป็นกิเลส นี่คือการประพฤติปฏิบัติ ละเอียดเข้าไป ละเอียดเข้าไปจะรู้จะเข้าใจตามเป็นจริงของมัน จนหมดเรื่องที่จะละจะบำเพ็ญมันก็ทราบ ทุกคนมีหน้าที่ที่จะประพฤติปฏิบัติอย่างนั้น
อย่าไปเชื่อเรื่องราคะตัณหา เรื่องอวิชชาอุปาทานของใจ ว่าเราอาภัพอับวาสนา ประพฤติปฏิบัติมาขนาดนี้ยังไม่รู้ไม่เห็น ยังไม่ดีไม่เด่นอะไร ทั้งๆที่เคยประพฤติปฏิบัติ เคยได้ยิน ได้ฟังครูอาจารย์แนะสอน แต่จิตใจก็ไม่เป็นไปให้ มันยังไม่ถึงกาลถึงสมัย เราต้องตั้งใจกระทำบำเพ็ญเรื่อยไป มันจะเกิดขึ้นขนาดไหน ต่อสู้ เรามันนักสู้ ถ้าสู้มันธรรมดาไม่ไหว เราจะต้องตัดเรื่องต่างๆให้มันหมดหนทางที่จะรบกวนเรา
เรื่องราคะตัณหาต่างๆนั้น มันเกิดขึ้นจากเรื่องของกายก็มี เกิดขึ้นจากเรื่องของใจก็มี กายนี้เหมือนกันกับอาวุธ ใจนั้นเหมือนกันกับโจร โจรมีอาวุธมันสามารถที่จะปล้นจี้ฆ่าตี มันไม่กลัวอะไรเพราะมันมีอาวุธ มันถือว่าอาวุธมันดี ถ้าหากตัดอาวุธของมันออกไป มันก็ไม่กล้า อาวุธของกิเลสตัณหาก็คือการกิน การนอน เป็นอาวุธสำคัญอันหนึ่ง ร่างกายมันมีเรี่ยวแรงคิดทางใจ ทางกายมันก็เป็นไปตามความคิดของตัว คือกำหนัดยินดีทางใจแล้ว กายมันก็เป็นไปได้ตามความกำหนัดของใจ ถ้าหากเราตัดการนอนเข้า ไม่ให้มันพักผ่อน ไม่ให้มันหลับนอน ตัดอาหารเข้า ไม่ให้มันกิน มันเหน็ด มันเหนื่อย มันเมื่อย มันหิว พยายามพินิจพิจารณา มันยังห่วงยังอาลัย ยังยินดีเลื่อมใสอยู่กับกิเลสตัณหามั้ย ถ้ามันยังอยู่เราจะตัดทอนมันเรื่อยไป มันกลัวตายมั้ย มันเห็นมั้ยทุกข์ มันจะต้องมีทางสงบได้ถ้าตั้งใจทำจริงจัง
คนที่ไม่ตั้งใจทำจริงจังน่ะ เลยถือว่าเราอาภัพอับวาสนา คือทำไม่ถึงขั้นถึงตอนที่จะแก้ไขใจของตัวให้สงบได้ ให้เห็นตามเป็นจริงได้ มันจึงเกิดความลังเลสงสัยว่าจะผ่านไปได้มั้ยหรือจะเป็นอย่างไร ถ้าทำจริงจังแล้ว ไม่เหลือวิสัย เพราะธรรมสามารถที่ขับไล่ราคะตัณหาออกจากใจ ถ้าทำจริงทำจัง มันสู้ความเพียรไม่ได้ เรื่องกิเลสตัณหา ท่านจึงว่า วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ คนจะพ้นทุกข์ไปได้เพราะความเพียร เพียรไปพยายายามไป อย่าไปท้อถอย มันเกิดขึ้นขนาดไหนเราจะไม่เชื่อมัน จะไม่ตามมัน จะพยายามฝ่าฟัน พยายามบังคับใจให้อยู่ในอรรถในธรรมให้ได้ นี่คือผู้มีความเพียร พยายามแก้ไข พยายามขับไล่เรื่องความชั่วเสียต่างๆ ที่มีอยู่ในกายในใจของตัว
ถ้าทำจริงแล้ว ความจริงมันจะเกิดขึ้น ถ้าทำเล่นๆ มันไม่เห็นผลให้ กิเลสในจิตในใจมันก็เหมือนกันกับพืชพันธุ์ธัญญาหารต่างๆ เหมือนกันกับป่าไม้ เราไปตัดไปฟัน จะไม่ขุดไม่ค้นต้นตอของมันออกไป แต่มันก็งอกขึ้นมาอีกได้ หรือพืชพันธุ์อันอื่นมันก็เกิดขึ้น จะต้องอาศัยคนผู้ทำนั้นขุดค้นต้นตอของมันขึ้นมาเผาเสีย ต้นนั้นมันจะไม่เกิดขึ้นอีก หญ้าที่มันเกิดขึ้นมาก็พยายามดายออกไป ฆ่ามันเรื่อยไป ถ้าไปถากไปถางเอาไว้ สิบปี ยี่สิบปีก็ไม่ไปดู ไม่เกี่ยวข้อง มันก็เกิดขึ้นอีก นี่คือมันยังไม่ถึงขั้นตอนของมันที่มันจะดับจริงจัง มันเป็นอย่างนั้น ถ้าหากมันถึงขั้นที่มันหมดเรื่องของมันจริงจัง มันก็ไม่ได้ทำอะไรอีก เพราะมันหมดแล้ว ถึงกายมีอยู่ใจมีอยู่ กิเลสตัณหา สิ่งที่เคยรบกวน เราฆ่าตายแล้ว ถอดถอนหมดแล้ว มันก็ไม่มีอะไรรบกวน
เรื่องรักษากายวาจาตามศีลตามธรรมนั้น ท่านก็รักษา เพราะเหตุใด เพราะเกิดโลกวัชชะ โลกเค้าตำหนินินทา เค้าจะเกิดบาปกรรมแก่ท่าน ท่านก็รักษาไป แต่ความจริงของท่านไม่มีอะไร ไม่รักษาจะเป็นบ้าหรือ ก็ไม่เป็นบ้า ท่านทราบดีว่าท่านไม่มีบ้า รักษาอยู่ มันเป็นโทษหรือจึงรักษา ท่านก็ทราบว่ามันไม่มีโทษมีภัยอะไร ความบริสุทธิ์นั้นมันไม่อยู่ในเรื่องของสมมุติ แต่ก็ต้องทำไปในเรื่องของโลก ทางศาสนา ทางธรรมะถือว่าโลกวัชชะ อย่าให้เป็นโทษแต่ความบริสุทธิ์ของท่านนั้นมันไม่มีวันที่จะเป็นไปได้
นี่เราทั้งหลายมันไม่เป็นอย่างนั้น พอสงบนิดๆหน่อย ถอดถอนขึ้นมา ก็เกิดราคะตัณหา จะหาความสงบเย็นอีก ไม่สงบให้ ทำกันจริงๆจังๆจึงค่อยสงบลงไปอีก นี่มันอยู่ในขั้นที่จะต้องรักษาเอาใจใส่ ตั้งใจปฏิบัติ เพราะมันยังเสื่อม ยังเจริญ คือมันยังไม่ถึงที่สุดของมัน จะต้องตั้งใจเอาใจใส่จริงจัง แต่ถึงอย่างไรถ้าหากนักภาวนา นักสังเกตจิตใจของตัวเองมันไม่ตื่นเต้น หน้าที่มีอย่างไรทำไป ความพากความเพียร มันเจริญก็คืออาการของจิต มันเสื่อมก็คืออาการของจิต มันเกิดมันต้องดับ ไม่ว่าทางเสื่อมหรือทางเจริญ มันเป็นอยู่อย่างนี้ นี่คือผู้ที่ฝึกปฏิบัติจริงจัง ทราบเรื่องของจิต ถ้ามันชอบใจมันยินดี มันก็ถือว่ามันเจริญ ถ้ามันไม่ชอบใจ อยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มันไม่เป็นไปให้ก็ถือว่ามันเสื่อม ไอ้ผู้ไปถือคือใคร ผู้ไปสมมุติคือใคร มันยังไม่ทราบ มันเห็นแต่อาการเท่านั้น ถ้ามันไปเห็นตัวจริงของมัน เรื่องเหล่านี้จึงไม่เป็นปัญหาอะไร หน้าที่ที่จะปฏิบัติ ปฏิบัติเรื่อยไป ไม่ตื่นเต้นในการเสื่อมการเจริญของจิต แต่เรื่องความเพียรนั้นไม่เคยละเคยถอน พิจารณาเรื่อยไป แก้ไขเรื่อยไปสิ่งที่ควรแก้ไข
นี่การประพฤติปฏิบัติของพวกเราท่านมันก็ไม่มีอะไรนอกไปจากกายจากใจ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสภายนอก มันก็มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่ไปรับเอามาว่ามันดีมันชั่วอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าหากพิจารณาลงนี้ รูปมันก็มีอยู่ในตัว เสียงมันก็มีอยู่ในตัว กลิ่นรสสัมผัสมันมีอยู่ในตัวทั้งนั้น พิจารณาตัวทั่วถึงเท่านั้น เข้าใจชัดเจนเท่านั้น โลกทั้งโลกไม่ว่าอดีตอนาคต มันก็เหมือนปัจจุบัน มันไม่มีอะไรที่จะสงสัยเข้าใจในตัวของตัวทั่วถึง ก็เข้าใจในโลกทั่วถึง ทั้งอดีต อนาคต ปัจจุบัน ท่านจึงว่าโลกะวิทูรู้แจ้ง ไม่มีหลง เห็นก็ตาม ไม่เห็นก็ตาม ขึ้นชื่อว่ารูป มันเหมือนกันหมด ขึ้นชื่อว่าเสียง มันเหมือนกันหมด ไม่ว่าอดีตอนาคต นี่คือทราบโลกแจ้งชัด ไม่มีอะไรที่จะมาปิดบังอำพรางในจิตในใจของตัว
การพิจารณาจึงพิจารณาตัวเองเท่านั้น ไม่ต้องไปพิจารณาที่อื่น เพราะราคะตัณหามันเกิดขึ้นจากนี้ อวิชชาอุปาทานมันมีอยู่นี้ มันไม่มีอยู่ต้นไม้ภูเขาที่ไหน แก้ไขจึงแก้ไขอยู่นี้ เมื่อแก้ไขถูกต้องหมดจดบริสุทธิ์แล้ว มันก็ไม่มีอะไรที่จะเป็นปัญหาให้จิตใจสงสัย ให้จิตใจเดือดร้อน จึงควรพินิจพิจารณา ควรแนะควรสอน ควรกำหนดรักษาธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอน สอนคนมีกิเลส คนไม่มีกิเลส ไม่จำเป็นที่จะสอน พวกเรามีกิเลสจึงไม่ควรมองข้าม จึงควรนำมาศึกษา ควรนำมาพินิจพิจารณากาย วาจา ใจของตัวตามทางที่พระพุทธเจ้าสอน ถ้าหากเรากระทำตามโอวาทของท่าน พิจารณาอยู่เรื่อยไป มีสติมีปัญญา มีศรัทธาความเพียรตั้งมั่น ทุกคนก็จะมีผลเหมือนกัน คือถึงความบริสุทธิ์
ฉะนั้นเราทุกคนเมื่อมุ่งความบริสุทธิ์ อย่าไปมองข้ามว่าตัวเป็นคนอาภัพอับวาสนา อย่าไปเหมาตัว ตีตัวตายก่อนไข้ ให้รีบนำธรรมะมาแก้ไข มาศึกษา มาพินิจพิจารณา จิตใจที่เคยมืดบอดลุ่มหลงต่างๆ ก็ค่อยจะสว่างไสวขึ้น ความสุขความเจริญที่เราไม่เคยประสบพบมา ก็จะเกิดประทับจิตประทับใจของตัว นี่คือเรื่องธรรมะที่ผู้ประพฤติปฏิบัติจะต้องเห็นต้องเป็นในตัวของตัว ฉะนั้นเราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะประพฤติปฏิบัติได้อย่างนั้น อย่าไปถือว่าเราอาภัพอับวาสนา จงตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติทุกท่าน