Skip to content

คำสอนประโยคสุดท้าย

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

๓๑ สิงหาคม ๒๕๓๐

| PDF | YouTube | AnyFlip |

เนื่องจากเวลานี้เป็นเวลาที่มารวมกันมาอยู่ที่ศาลาการเปรียญนี้ก็เพื่อที่จะฝึกกายฝึกจิตนี้ให้สงบระงับ  กายก็นั่งนิ่งๆ ไม่ไหวติง ไม่ให้ง่วงเหงาหาวนอน เมื่อกายนิ่งได้ เพียงจิตใจก็ทำจิตให้นิ่งต่อไป พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า นัตถิ สันติ ปะรัง สุขัง แปลว่าสุขอื่นยิ่งไปกว่าความสงบไม่มี บรรดาความสุขในโลกมีอยู่ เช่นผลไม้สุกมันก็มีรสหวานดี แต่ก็หวานแค่ชั่วระยะปลายลิ้นเท่านั้นแหละ เมื่อผ่านลงไปสู่กระเพาะแล้วความหวานนั้นมันก็หายไป ความสุขอันเกิดจากการกินอาหารอิ่มหนำสำราญ การได้นอนหลับสนิดสบายดี การมีเงินใช้สอยไม่ขัดสน มีเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆครบตามกระบวนการของโลกสมัยปัจจุบัน 

ไอ้หมู่นี้มันก็เป็นความสุขชั่วคราวทั้งนั้นแหละ บุคคลมาติดอยู่ในความสุขเหล่านี้แหละจึงพ้นจากทุกข์ไปไม่ได้ สุขเหล่านี้เป็นเหยื่อล่อให้ติดอยู่ในทุกข์ ดังนั้นผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ให้พึงเข้าใจกัน เหตุดังนั้นน่ะการฝึกการอบรมกันจึงต้องฝึกให้ตื่นดึกลุกเช้า ต้องให้ทำข้อวัตรปฏิบัติให้ตรงตามเวลา หมู่นี้มันก็ล้วนแต่ฝึกให้คนเรานั้นมีจิตใจตั้งมั่นต่อความดี มีสติสัมปชัญญะเตือนใจของตนให้ตื่นตัวอยู่เสมอว่าความตายนั่นน่ะมันไม่มีกำหนดหมายเลย บทมันจะตายมาปุ๊บปั๊บมันเอาไปเลยก็มี ชีวิตนี้น่ะมันฝากไว้กับความตาย ไม่ใช่เป็นของเราอะไรจริงจัง ดวงจิตมาอาศัยอยู่ชั่วคราวเท่านั้นเอง ชั่วระยะบุญกรรมที่อุปถัมภ์บำรุงอยู่เท่านั้น เมื่อหมดบุญหมดกรรมอันนี้ลงไปแล้ว รูปร่างอันนี้ก็ตั้งอยู่ไม่ได้เลย 

ดังนั้นผู้มีปัญญาทั้งหลายท่านจึงไม่นิ่งนอนใจจึงรีบเร่งทำความเพียร ละกิเลสอันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ไปในสงสารเนี่ย ไม่รู้จักจบจักสิ้น ให้เพียรละความโลภด้วยการให้การบริจาคทาน เพียรละความโกรธด้วยการเจริญเมตตากรุณาเสมอๆ จนว่าจิตใจมองเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายเนี่ยหนะมันเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ไม่ควรที่จะไปเบียดเบียนมันหรือเขา เจริญเมตตาให้มองเห็นสัตว์ทั้งหลายเป็นอย่างว่านั่นแหละ แล้วมันก็จะได้งดเว้นจากการเบียดเบียน สมาทานมั่นในศีล ได้อย่างมั่นคง ถ้าไม่มีเมตตาธรรมกรุณาธรรมนี่แล้ว ศีลก็รักษาให้บริสุทธิ์ไม่ได้ ไม่มีคุณธรรมสนับสนุน แล้วอย่างนี้น่ะมันเป็นไปไม่ได้เลย ศีลจะบริสุทธิ์ไม่ได้ มันเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเราเป็นชาวพุทธนะ พระพุทธเจ้าทรงแนะอุบายแนวทางขจัดกิเลสบาปธรรม ออกจากจิตใจอย่างนี้แล้ว เราจะไปปล่อยให้เวลาล่วงไปเสียเปล่ามันก็ไม่สมควรเลย เพราะว่ากิเลสเหล่านั้นมันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์จริงๆ 

อย่างความโกรธอย่างเนี้ย เมื่อมันโกรธเข้ามาแล้วมันก็แสดงกิริยากายวาจาอันชั่วหยาบออกไป มันก็เป็นบาปเป็นกรรมเป็นเวรติดตัวแล้วนั่นน่ะ แต่คนเรานั้นน่ะไม่รู้หรอกว่า กรรมเวรนั้นมันติดตัวไป เหตุดังนั้นมันถึงไม่ยอมปฏิบัติตามคำสอน มันจะไม่ห้ามจิตใจตนเอง เวลามันอยากโกรธขึ้นมามันก็ปล่อยให้มันโกรธซะเต็มที่ เช่นนี้แล้วมันจะไม่ให้กรรมเวรติดตามไปสนองให้เป็นทุกข์อย่างไรได้เล่า ถ้าตัวเองไปสร้างกรรมสร้างเวรขึ้นให้แก่ตัวเอง ดังนั้นน่ะจึงควรพินิจพิจารณาให้เห็นคุณานุภาพแห่งข้อปฏิบัติเหล่านี้ด้วยตนเอง ให้เห็นอานุภาพแห่งการภาวนา ว่าการภาวนาเนี่ย มันทำให้ใจสงบระงับจากกิเลสเหล่านั้นแหละ ไม่ใช่อย่างอื่นใด เราพยายามทำใจสงบก็เพื่อไม่ให้มันปรุงแต่งกิเลสคือ ความโลภ ความโกรธให้เกิดขึ้นในใจนี่เอง พยายามใช้ปัญญาสอนใจนี่ให้เห็นโทษแห่งความโลภ ความโกรธเหล่าเนี้ย เห็นโทษแห่งความหลง 

ความเข้าใจผิดต่างๆเนี่ย มันทำให้คนเราเดินทางผิดเพราะว่ากายวาจาเนี่ยมันมีใจเป็นใหญ่เป็นประธาน ถ้าใจเห็นผิดแล้วมันก็ใช้กายใช้วาจาทำผิดพูดผิดจากทำนองคลองธรรมไป เช่นนี้แหละ เช่นบางคนก็เห็นไปว่า การฆ่าสัตว์นี่ไม่เป็นบาปหรอก แต่ว่าฆ่าสัตว์ที่เป็นอาหารนะ สัตว์อันใดที่ไม่เป็นอาหารอย่าไปฆ่ามัน เพราะว่าชีวิตของมนุษย์เรานี่มันอยู่ด้วยกับเนื้อสัตว์ ถ้าไม่ได้รับประทานเนื้อสัตว์แล้วมันจะอยู่ไม่ได้ ไอ้ของมึนเมาต่างๆมีสุราเมรัยหมู่นี้ก็เป็นของประดับโลก ถ้าไม่มีน้ำพรรณนี้คนเราก็หงอยเหงาเศร้าใจ หาความสุขสบายไม่ได้ เมื่อมีน้ำพรรณนี้หล่อเลี้ยงเข้าไปแล้ว มีความสนุกสนานรื่นเริงบันเทิงใจดี หรือว่าได้ไปเล่นชู้กับเมียของคนอื่นหรือผัวคนอื่น เห็นว่าเป็นเรื่องสนุกสนานดี อันหมู่นี้แหละมันล้วนแต่เป็นเรื่องเข้าใจผิดทั้งนั้นเลย 

ถ้าบุคคลเข้าใจถูกต้องแล้วจะไม่ทำเป็นเด็ดขาดเลย เช่นอย่างข้อที่หนึ่งอย่างนี้นะ สัตว์ทั้งหลายมันขานอาสามาเป็นอาหารมนุษย์หรือไม่ มันประกาศเมื่อไร นี่ มันไม่มีใครจะตอบได้เลยตอนนี้ มันว่ากันเอาเฉยๆ สัตว์ทั้งหลายย่อมกลัวตายรักชีวิตของตนเหมือนกันหมดทุกชนิดเลย ใครๆก็ไม่อยากให้ใครมาทำร้ายตน มาเบียดเบียนตน แม้ตัวของตัวเองก็ลองคิดดูก็รักชีวิตของตัวเอง ไม่อยากให้ใครมาเบียดเบียนเลย อย่าว่าแต่ตบตีแม้จะด่าว่าด้วยวาจาก็เจ็บใจเต็มทีอยู่แล้ว เนี่ย เพราะฉะนั้นผู้ใดไปเบียดเบียนบุคคลอื่นสัตว์อื่นก็จึงชื่อว่าเป็นผู้เอาเปรียบบุคคลอื่นและสัตว์อื่น เห็นว่าตนมีอำนาจเหนือเค้า ก็ทำได้ทำเอา ก็ทีเค้ามาทำตน ตนก็ปรารถนาไม่ให้เค้าทำ หาทางต่อสู้ ไอ้หมู่นี้มันควรคิดควรพิจารณาให้รู้ให้เห็น 

การต่อสู้กันเบียดเบียนซึ่งกันและกันมันก็เป็นกรรมเป็นเวร ตามสนองกันไปชาติแล้วก็ชาติเล่า ดังเราจะเห็นได้ปัจจุบันนี่แหละทำไมคนจึงฆ่ากันนักหนา มันไม่ใช่ว่ามันฆ่ากันโดยไม่มีเหตุปัจจัย มันเหตุหนหลังมาสมทบกับเหตุในปัจจุบันด้วย เหตุในปัจจุบันต่างคนต่างไม่มีศีลสำรวมกายวาจา พูดกระทบกระทั่งกันเข้า แสดงกิริยาหยาบคายต่อกันและกัน ประกอบกับกรรมเก่าที่ได้ทำมาแต่ก่อนโน่น เคยได้เบียดเบียนกันมามันก็มาหนุนส่งให้มีความโกรธความพยาบาทขึ้นอย่างรุนแรง นี่ก็ได้ลงมือประหัตถ์ประหารกัน ใครดีก็ใครอยู่ใครไม่ดีก็ตายไป บางทีมันก็ลอบกัดเอาโดยเจ้าตัวไม่รู้เลย อันหมู่นี้มันไม่ใช่ว่าอาศัยเหตุปัจจุบันนะ อาศัยเหตุในอดีตที่ล่วงแล้วมา แต่ก่อนผู้ที่ถูกเค้าฆ่าตาย ผู้นั้นก็คงไปฆ่าเค้ามาแต่ก่อนน่ะ กรรมนั้นก็ติดสอยห้อยตามมา มาถึงในชาตินี้มันถึงเวลามันให้ผลเวลาใดก็ดลบันดาลให้คนอื่นมาฆ่าตนเองตายเสีย ก็เป็นอยู่อย่างเนี้ย ดั่งบุคคลผู้ไม่มีศีลน่ะ ไม่สำรวมในศีลแล้ว มันก็มีแต่การเบียดเบียนซึ่งกันและกันแหละไปอยู่อย่างนั้น 

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า อัพยาปัชฌัง สุขังโลเก ปาณะ ภูเตสุ สัญญะโม ความสำรวมในสัตว์คือความไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกันเป็นสุขในโลก สุขา วิราคะตา โลเก กามานัง สะมะติกกะโม ความสิ้นไปแห่งราคะคือการล่วงกามเสียได้ เป็นสุขในโลก นี่พูดถึงความสุขที่พระบรมศาสดาทรงตรัสไว้นะ ให้พิจารณาดู พระองค์เจ้าทรงสรรเสริญว่าบุคคลผู้ใด้ไม่เบียดเบียนบุคคลผู้อื่นและสัตว์อื่นนั้นน่ะ ผู้นั้นย่อมเป็นสุขสบายมากแม้จะไปเกิดในภพน้อยภพใหญ่ต่อไปมันก็ไม่มีกรรมชั่วเวรชั่วติดตามสนองให้เป็นทุกข์ต่อไป เกิดชาติใดก็มีอายุยืนยาวนานไปจนตลอดจนถึงอายุขัยจึงค่อยตาย เพราะไม่มีกรรมชั่วมาตัดรอนชีวิตในระหว่าง 

ให้บุคคลผู้พากเพียรพยายามละความกำหนัดยินดีให้เบาบางออกไปจากจิตใจได้เท่าไร ความไม่พัวพันในกามคุณหรือว่ากิเลสกาม กิเลสกามได้แก่เรื่องผัวๆเมียๆเนี่ยแหละ กามคุณทั้ง ๕ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสต่างๆหมู่เนี้ย ผู้ใดเอากายออกห่างเอาใจออกห่าง เอาวาจาออกห่างได้ ผู้นั้นเป็นสุขในโลก พระศาสดาทรงตรัสไว้นะ ก็เป็นความจริงนะ จะไม่จริงอย่างไรอ้ะ บุคคลผู้ละราคะความกำหนัดยินดีได้ โทสะก็ไม่เกิด โมหะความหลงก็ไม่เกิด เพราะความกำหนัดยินดีเนี่ยทำให้คนเราหลงมัวเมาไปในทางที่ผิดศีลผิดธรรม ทำให้เกิดการแย่งชิงกันโกรธกันประหัตถ์ประหารกัน หมู่นี้มันก็ล้วนแต่เกิดจากราคะความกำหนัดยินดีนี้ทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้นสำหรับผู้ครองเรือนแล้วควรบรรเทา ถึงละไม่ขาดหมดก็ให้มันบรรเทาเบาบางลงอย่าให้ประพฤติศีลข้อที่ ๓ ก็แล้วกัน ก็ยังนับว่าเป็นความดีความชอบของผู้ครองเรือน 

แต่สำหรับผู้เป็นนักบวชแล้วต้องเว้นทั้งทางกาย ทั้งทางวาจาและทางจิตใจโดยประการทั้งปวง กายก็ไม่แสดงมายาสาไถในเชิงรักเชิงใคร่ การพูดจาปราศรัยอะไรก็ไม่แสดงบทมายาสาไถออกไปต่อเพศตรงกันข้าม ภายในจิตใจก็สำรวมระวังอย่าให้ความกำหนัดครอบงำจิตใจได้ โดยมาพิจารณาเห็นร่างกายทุกกระเบียดนิ้วล้วนแต่เป็นของไม่มีอะไรสวยงาม อาศัยหนังหุ้มห่ออยู่เท่านั้นเองน่ะ สิ่งโสโครกจึงไม่ปรากฏออกมา ถ้าสมมุติลอกหนังนี้ออกลองดูซิ น่าดูเหรอรูปร่างอันเนี้ย ไม่มีอะไรน่าดูซักหน่อยเดียวเลย มันพอน่าดูอยู่ได้อาศัยหนังหุ้มอยู่เท่านั้นเอง แล้วก็มีเลือดวิ่งพล่านตามเนื้อตามหนังอันนี้แหละ ทำให้เกิดผิวพรรณเปล่งปลั่งขึ้นมา เห็นเข้าแล้วก็ชอบใจ ที่แท้สีของเลือดต่างหาก เลือดมันวิ่งไปตามร่างกายนี้นะทำให้มีน้ำมีนวลขึ้นมา แต่ที่แท้จริงก็ธาตุน้ำน่ะแหละ คือเลือด เลือดแดงก็มี เลือดสีเหลืองก็มี เลือดขาวก็มี มันซึมซาบอยู่ในร่างกายทุกส่วนเนี้ย อย่างนี้ถ้าหากว่าผู้ใดเป็นโรคเลือดจางเข้าไปแล้ว ผิวพรรณก็ซูบซีดไม่เปล่งปรั่งเลย กำลังวังชาก็ลดน้อยถอยเบาบางไป คนผู้เช่นนั้นน่ะไม่น่าดูเลย ไม่น่าปรารถนา อย่างนี้แหละ ลองพิจารณาดู ถ้าผู้ใดมาเพ่งพิจารณาร่างกายสังขารให้เห็นตามสภาพความจริงอย่างว่ามานี้ 

ถ้าเป็นนักบวชก็คลายความกำหนัดยินดีออกไปเรื่อยๆ ไม่ต้องการไม่ปรารถนามัน ผู้ใดเห็นร่างกายสังขารตามความเป็นจริงอยู่เสมอๆไป ผู้นั้นย่อมประพฤติพรหมจรรย์ไปได้ตลอดรอดฝั่ง ถึงแม้ยังจะไม่บรรลุมรรคผลอะไรแต่ความรู้สึกในใจนั้นน่ะไม่ปรารถนาในรูปเสียงกลิ่นรสเครื่องสัมผัสเลย เพราะมองเห็นแล้วว่าไม่มีชิ้นส่วนตรงไหนที่ว่าสวยงามหรือว่าเที่ยงยั่งยืน ไม่มีเลย เป็นนักบวชต้องบำรุงความรู้ความเห็นดังกล่าวไว้น่ะ ให้เกิดขึ้นมีในใจอยู่เสมอๆไป อย่าไปมองเห็นตามความนิยมสมมุติของชาวโลก ชาวโลกผู้ที่หมกมุ่นอยู่ด้วยราคะตัณหามันก็ต้องเป็นไปอย่างนั้นแหละ ว่ารูปนั้นสวยงามดี รูปนี้ขี้ร้าย เสียงนั่นไพเราะดี เสียงนี้ไม่ไพเราะ อะไรทำนองเนี้ย มันก็เลือกคัดจัดสรรกันไปอย่างนั้นน่ะ ตามความนิยมสมมุติของโลก แต่แล้วทั้งรูปสวยและรูปไม่สวยเมื่อพูดถึงความจริงแล้วมันก็มีสภาวะอันเดียวกัน คือมันเกิดขึ้นมาแล้วก็แปรปรวนแตกดับทำลายลงเหมือนกันหมดเลย ไม่มีรูปใดที่จะสวยสดงดงามอยู่ตลอดเวลา ที่จะเที่ยงยั่งยืนอยู่ตลอดเวลาไม่มีเลย นี่ 

ถ้าเป็นนักบวชแล้วจำเป็นต้องพิจารณาให้เข้าถึงความจริงอยู่อย่างนี้เสมอไป อย่าพิจารณาเห็นว่าเป็นของสวยของงามอย่างนั้น มันเป็นการยั่วให้เกิดราคะตัณหา มันไม่เหมาะสมกับเพศสมณะ มันเป็นคฤหัสถ์มันจึงเหมาะสมแบบนั้นน่ะ เมื่อกำหนัดยินดีมาก็แสวงหามันไป ไม่มีวินัยห้าม ถ้าเป็นนักบวชนี่มีวินัยห้ามเลย แม้แต่คิดในใจก็ปรับอาบัติได้ เช่นไปคิดสรรเสริญรูปร่างของเพศตรงกันข้ามว่าตั้งแต่บั้นเอวขึ้นไปนั่น ว่าตรงนั้นสวยตรงนี้งามอะไรต่ออะไรขึ้นมาเกิดความกำหนัดยินดีขึ้น ปรับอาบัติตรงที่ใจ ตั้งแต่บั้นเอวลงไปปรับอาบัติทุกคน มันเป็นอย่างนั้นนะ อย่าไปเข้าใจว่าอาบัติทางใจไม่มี มีอยู่ เพราะฉะนั้นเราต้องรู้ต้องเข้าใจความเป็นนักบวชของตน 

ผู้เป็นคฤหัสถ์ก็เหมือนกัน มันต้องนึกว่าเราเป็นบริษัทของพระพุทธเจ้า เราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า เราต้องปฏิบัติตามวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้นั้นอย่างเคร่งครัด เราจึงจะพ้นจากนรกอบายภูมิ นี่ก็ต้องสอนตนเข้าไปอย่างนี้ เป็นคฤหัสถ์ก็ดี ไม่ใช่ว่าเป็นคฤหัสถ์แล้วจะทำอะไรก็ทำได้ ไม่เหมือนนักบวชไม่ใช่อย่างนั้นนิ มันต้องเลือกทำเพราะว่าของในโลกนี้น่ะลองสังเกตดูมีทั้งของดีมีทั้งของเลว นั่น ไม่ใช่ว่าดีทั้งหมด ไม่ใช่ว่าเลวทั้งหมดปนเปกันอยู่นั้นเลยทั้งสองอย่างเนี้ย ทีนี้ฉันใดก็อย่างนั้นแหละ ความประพฤติของคนเรานี่มันมีใจเป็นประธาน คราวใดใจเป็นอกุศลมันก็แสดงออกทางกายทางวาจา ไปในทางเบียดเบียนบุคคลอื่นและสัตว์อื่น นี่เรียกว่าจิตเป็นอกุศล นี่มันเป็นอย่างนั้น คราวใดจิตเป็นกุศลเปี่ยมไปด้วยเมตตากรุณา มันก็แสดงออกซึ่งความช่วยเหลือเกื้อกูลแก่บุคคลอื่นและสัตว์อื่น ไม่เบียดเบียน นั่น มันเป็นอย่างนี้ 

ไอ้ชีวิตของคนเราเนี่ยนะ คือว่าพูดถึงดวงจิตโดยตรงมันมีทั้งดีมีทั้งชั่วอยู่ ในดวงจิตอันเนี้ย ดังนั้นน่ะพระศาสดาจึงได้ทรงสอนให้ภาวนาคัดเลือกอารมณ์ของจิตเนี่ย อันใดที่เป็นความคิดความเห็นไปในทางบาปอกุศลแล้ว กำหนดละทิ้งไปเลย ไม่คิดไม่ปรุงแต่งมันต่อไป หรือว่าความคิดอันใดมันเป็นไปเพื่อความรักความใคร่ความโกรธความพยาบาท ต่างๆหมู่นี้นะ เป็นความคิดที่เป็นอกุศล เราต้องพยายามกำหนดใจละเรื่อยไปแล้วก็ไม่สร้างมันขึ้นมาต่อไปอีก ความคิดอันใดซึ่งประกอบไปด้วยเมตตากรุณา คิดช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นด้วยให้พ้นจากทุกข์จากภัยในสงสาร ไม่คิดล้างผลาญเบียดเบียนใคร ไอ้อย่างเนี้ยเป็นความคิดที่เป็นกุศล เราคิดอีกอย่างนึง เป็นความดำริที่ว่าทำไฉนหนอเราถึงจะพ้นจากอำนาจแห่งกามตัณหาอันนี้ไปได้ ทำไฉนหนอเราจึงจะพ้นจากรูปตัณหาต่างๆหมู่เนี้ย เราดำริเข้าไปเพราะรูปกายอันเนี้ยเป็นของไม่เที่ยง ถ้าจิตยังผูกพันมันอยู่ตราบใดแล้วมันก็เป็นทุกข์อยู่อย่างนี้แหละ 

อย่างปัจจุบันนี้เอง เข้ามาอาศัยอยู่ในของไม่เที่ยงน่ะ มันก็เป็นทุกข์ทนทรมานอยู่อย่างนี้แหละ ต้องได้เลี้ยงต้องได้ปรนเปรอมัน ถึงจะเลี้ยงหรือปรนเปรอมัน มันก็ยังไม่เที่ยงอยู่อย่างนั้นแหละ มันยังแปรปรวนไปอยู่ ดังนั้นน่ะมันจึงได้เป็นทุกข์น่ะจิตดวงเนี้ย ก็มาอาศัยอยู่ในของไม่เที่ยง นี่แหละต้องเพ่งพิจารณาดูรูปกายอันนี้ ให้จนเกิดนิพพิททา ความเบื่อหน่าย บุคคลผู้ที่ขาดความเชื่อความเลื่อมใสในธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ควบคุมจิตใจ ไม่ทำความพอใจยินดีอยู่ในธรรมะ ไปยินดีอยู่ในทางอธรรม สิ่งที่ไม่เป็นธรรมอย่างนี้นะ มันก็ขาดจากกุศลคุณงามความดีซิบ่อนี่ เหมือนอย่างสายว่าวมันขาดนั่นแหละ เมื่อสายมันอยู่ข้างล่างมันขาดแล้ว มันก็ไม่มีอะไรจะมาดึงว่าวนั้นไว้ได้ สุดแล้วแต่ลมมันจะพัดอย่างไหนทางใดมันก็ไปทางนั้นหละว่าวแหละ ไอ้จิตใจคนเรามันก็เป็นเช่นนั้นแหละ ถ้าหากว่าไม่ฝึกให้เกิดความรู้ความฉลาดขึ้น ไม่สามารถจะสอนตนได้อย่างนี้นะ ชีวิตนี้มันก็ขาดจากความสุขความเจริญ ขาดจากปัญญาญาณความรู้ยิ่งเห็นจริงในธรรมของจริงที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ 

เราเกิดมาพบศาสนธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าก็จริงอยู่ แต่ว่าคนบางคนบางพวกน่ะไม่พอใจไม่เลื่อมใส หากแต่ว่าปฏิญาณตนถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งอยู่นั่นละนะ แต่เมื่อจะน้อมธรรมะคำสอนเข้ามาสู่จิตใจจริงไม่เอา ไม่สู้ อย่างนั้นแหละ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วชีวิตมันก็ย่อมมัวหมองอยู่ด้วยอุปกิเลส กิเลสมันก็ย่อมครอบงำเอา มันเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นน่ะ พุทธบริษัทอย่าพากันประมาทเพราะชีวิตนี้เป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของแน่นอน เราจะอยู่โลกนี้ไปไม่นานเดี๋ยวเดียวก็ตายกัน ร่างกายนี้ก็ต้องกองอยู่พื้นแผ่นดินนี้ ดวงจิตก็ไปตามยถากรรม สุดแล้วแต่ใครทำดีทำชั่วไว้อย่างไร กรรมดีกรรมชั่วมันก็นำจิตดวงนี้ไป ท่านผู้ใดละอาสวกิเลสให้หมดสิ้นไปแล้ว ท่านผู้นั้นก็เข้าสู่พระนิพพาน หรือท่านละกิเลสให้ขาดไปโดยเอกเทศ เมื่อดับขันธ์ไปแล้วท่านก็ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ ในตำราท่านกล่าวไว้ว่า พระโสดาบันนี่ชอบไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต ชั้นที่่คนมีบุญมากไปเกิดกัน ดังนั้นพระโสดาบันนี่ถือว่าเป็นผู้มีบุญมากทีเดียวอ่ะ เมื่อไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต ท่านก็เพียรพยายามบำเพ็ญ (วีดีโอจบ)