Skip to content

เทศนาเรื่องวันแห่งการรักษาศีลอุโบสถ

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

| PDF | YouTube | AnyFlip |

วันนี้เป็นวันพระ ๘ ค่ำ เป็นวันอุโบสถศีล ไม่ว่าแต่มนุษย์จะรักษาอุโบสถศีลกัน แม้แต่เทวดาบนสวรรค์ก็ยังพากันรักษาศีลอุโบสถแล้วก็มีการชุมนุมกัน สนทนาธรรมกัน ในศาลาธรรมสภาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เทวดาอยู่ชั้นฟ้าต่างๆ ต่างคนถึงวันพระแล้วก็ได้ดอกไม้ธูปเทียนอันเป็นทิพย์ พวกชั้นสูงก็ลงมา พวกชั้นต่ำก็ขึ้นไป รวมกันที่พระเกตุแก้วจุฬามณีเจดีย์ เดินเวียนประทักษิณ ๓ รอบ แล้วบูชาดอกไม้ธูปเทียนที่พระเจดีย์นั้น เทวดาก็พากันเคารพนับถือ เครื่องทรงของพระองค์ตอนพระองค์เสด็จออกบวชทีแรก พญาอินทร์เอาไปบรรจุไว้ในพระเจดีย์นั้น ทั้งพระเกศาด้วย ตอนนั้นพระองค์ก็ยังไม่ได้ตรัสรู้นะ แต่เทวดาก็นับถือแล้ว แสดงว่าพระองค์น่ะมีบุญญาธิการมากมาแต่ก่อนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านู่น เป็นเหตุให้เทวดา อินทร์ พรหม นิยมนับถือ แต่เทวดาบนสวรรค์ไม่มีพระมีสงฆ์ที่จะแสดงธรรมให้เทวดาฟัง มีแต่พญาอินทร์น่ะเป็นประธาน ธรรมสากัจฉากัน 

สำหรับมนุษย์โลกของเรานี่ พุทธศาสนาก็ยังไม่หมดไปจากโลกนี้ ก็ยังมีอยู่สำหรับพวกเราที่เกิดมาในยุคนี้ ก็ยังนับว่าเป็นลาภอันดีที่เราได้มาพบพระพุทธศาสนาอยู่ ได้ยินได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นเหตุให้เราได้รู้จักบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์หรือไม่ใช่ประโยชน์ รู้จักประโยชน์อย่างยิ่งคือพระนิพพาน อันพระนิพพานนั้น มีแต่ในพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่มีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวทรงแสดงเรื่องพระนิพพาน และก็ทรงบรรลุพระนิพพานแล้วด้วย แต่นอกนั้นไม่มีใครบรรลุพระนิพพานก่อนพระองค์ ไม่มีเลย สั่งสอนกันอย่างดีแท้ก็ไปสวรรค์ ไปพรหมโลก พวกฤาษีที่แนะนำสั่งสอนประชาชน แต่ในตำรามันกล่าวว่า บางยุคบางสมัยพระฤาษีท่านว่าไปทำบาป พาประชาชนทำบาป รับเป็นเจ้ากี้เจ้าการ จัดการฆ่าแพะฆ่าแกะ บูชายัญให้ประชาชน คือให้พระราชามหากษัตริย์ อย่างนี้ก็มีในครั้งพระพุทธเจ้านั้น เพราะฉะนั้นจึงว่าพวกฤาษีบางจำพวกนี้ก็ไม่มีศีลเหมือนกันนะ มีเป็นบางข้อเท่านั้นเอง แต่ว่าฤาษีบางจำพวกท่านก็มีศีล ๕ บริสุทธิ์ แต่ก็มักจะมีความเห็นผิดไปบางสิ่งบางอย่าง เนื่องจากว่าพอไม่รู้แจ้งในหนทางพ้นทุกข์นั้นเองแหละ เห็นอย่างไรก็สอนคนไปอย่างนั้น เรียกว่าสอนคนให้บวงสรวงเทวดา อินทร์ พรหม หมู่นี้แล้วว่าจะหายเคราะห์หายสิน ชีวิตจะอยู่เย็นเป็นสุขสบายดีอะไรหมู่นี้นะ คนทั้งหลายมันต้องการความสุขความเจริญ ไม่มีใครจะมาสอนในยุคในสมัยเช่นนั้น ก็เชื่อกัน ก็ทำกันไปอย่างนั้นนะ สร้างโรงบูชายัญเข้าไป ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต บูชาเทวดา อินทร์ พรหมไป 

ปรากฏครั้งนั้น มีแต่ตระกูล พระพุทธเจ้านี่แหละ ไม่มีการบวงสรวงเทวดา อินทร์ พรหม โดยการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอะไร ในตระกูลของพระพุทธเจ้านั้นมีพระฤาษี มีนามว่ากบิลดาบสเป็นครูเป็นอาจารย์ของพระเจ้าสุทโธทนะและพระนางสิริมหามายา ตลอดถึงพระญาติ พระวงศ์ ก็พากันไปทำบุญกับพระฤาษีนั่น แล้วไปสมาทานศีลกับพระฤาษีนั้น ดังนั้นกบิลดาบสนั้นน่ะ เมื่อทราบข่าวว่าพระนางสิริมหามายาประสูตรพระราชโอรสแล้ว ก็จึงขออนุญาตเข้าไปเยี่ยม ก็ทรงอนุญาตให้เข้าไป พอไปพิสูจน์ดูบุคลิกลักษณะของพระราชกุมารแล้ว ก็รู้ว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า นึกเสียใจเพราะอายุตนมันก็มากแล้ว จะอยู่ไปไม่ทันเลย จึงได้ร้องไห้ขึ้น ทางพระเจ้าสุทโธทนะก็ถามว่าท่านร้องไห้ทำไม ก็ร้องไห้เพราะเสียใจ จะไม่มีอายุยืนไปถึงตอนที่พระราชกุมารเนี่ยจะได้เป็นพระพุทธเจ้า จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้านี่จะอยู่ไปไม่ถึงเลย นึกเสียดาย นึกเสียใจอย่างนี้แหละจึงได้ร้องไห้ 

ความจริงพระเจ้าสุทโธทนะนั่นน่ะทรงทราบดีแล้วว่าพระราชโอรสของพระองค์น่ะจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แต่ว่าธรรมดากิเลสน่ะ มันก็ไม่ยินดีไปทางละกิเลสตัณหา ทางพระนิพพานก่อน ดังนั้นจึงหาอุบายผูกพันพระราชโอรสให้ข้องในพระราชสมบัติ โดยสร้างปราสาทให้อยู่ถึง ๓ ฤดู ไม่นอนร้อนพระทัยอะไรเลยในความเป็นอยู่ หวังว่าจะให้พระราชโอรสนั้นติดอยู่ในสุขสมบัติอันนั้น หาหนทางป้องกันไม่ให้เห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตายอะไรทุกอย่างเลย ในพระราชวังนี่ไม่ได้น่ะคนแก่ คนพิกลพิการต่างๆนี่จะเข้าไปใกล้ไม่ได้เลย เพราะว่าไอ้พวกพราหมณ์นั่นน่ะ ทำนายแล้วว่าพระองค์จะเสด็จออกบวชเพราะเห็นเทวทูตทั้ง ๔ พอเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย ว่างั้น เกิดสังเวชสลดพระหฤทัยแล้วก็เสด็จออกบวช พระเจ้าสุทโธทนะทราบอย่างนั้นจึงหาทางป้องกันเลย 

เมื่อพระองค์จะเสด็จประพาสสวนอุทยานอย่างนี้ ก็แต่งตั้งเจ้าหน้าที่ยืนยามอยู่ตามรายทาง ห้ามไม่ให้คนแก่ คนพิกลพิการอะไรเดินผ่านทางนั้นเลย แต่แล้วตามตำราท่านกล่าวไว้ว่า ก็เทวดาแล้วบัดนี้นะ มนุษย์ไม่มีโอกาสจะได้เดินผ่านไป เทวดาก็แปลงจำแลงตัวเป็นคนแก่ เป็นเด็กเล็กนอนอยู่บนเบาะให้พระองค์ได้เห็น แล้วก็บันดาลให้เห็นคนตายตามรายทาง เมื่อเห็นแล้วก็ตรัสถามนายฉันนะผู้ที่ขับรถไปนำพระองค์ไป นายฉันนะก็ทูลพระองค์ว่า อันนี้เด็ก อันนี้คนแก่ อันนี้คนตาย อย่างนี้แหละ เอ๊ะ…ถ้าอย่างนั้นเราก็คงจะเป็นอย่างนี้เหมือนกันหละมั๊ง ก็เป็นอย่างนี้แหละพะเจ้าค่า เป็นอย่างนี้เหมือนกันหมดแหละ พระองค์ก็ดี ข้าพระองค์ก็ดี สุดท้ายก็เป็นอย่างนี้แหละ ว่างั้น ก็จะได้เกิดความสังเวชพระหฤทัยขึ้นมา ทำอย่างไรหนอเราจะพ้นจากความแก่ ความชำรุดทรุดโทรม ความล้ม ความตายอะไรหมู่นี้ ก็ทรงดำริในพระทัยไป 

พอไปถึงสวนอุทยาน เสด็จไปชมสวนดอกไม้นานาชนิด ชมสระโบกขรณี พวกฝูงปลาแหวกว่ายไปมาก็ทำให้รื่นเริงบันเทิงพระทัย ไปๆพอดีเทวดาก็จำแลงตัวเป็นบรรพชิตเป็นนักบวช นั่งสมาธิสงบเงียบอยู่ ไปเห็นเข้าแล้ว เอ๊…นี่มันเพศอะไรหนอนี่ นายฉันนะก็กราบทูลว่านั่นคือบรรพชิตหรือนักบวช อืม เพศอย่างนี้มันเป็นเพศอันสงบระงับดีหนอ เราน่ะมันน่าจะถือเอาเพศอย่างนี้ มันถึงจะสงบระงับจากกิเลสตัณหาได้ ว่างั้น ทรงพอพระหฤทัยในเพศบรรพชิตนั้น ก็เที่ยวชมอุทยานพอสมควรแล้วก็เสด็จกลับ พอเสด็จกลับเข้าวังไป มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อว่านางโคตมี เห็นพระองค์เข้าแล้วก็กล่าวสัมโมทนียกถาว่าหญิงใดที่ได้เป็นภรรยาของชายอย่างนี้นี่ หญิงนั้นก็จะมีความสุขพ้นทุกข์ไปได้ หรือว่าใครที่ได้เป็นญาติเป็นวงศ์ของชายผู้นี้ก็จะพ้นทุกข์พ้นภัยไปได้เหมือนกัน พอได้ยินเสียงนางนั้นพูดอย่างนั้น ก็คงพอพระหฤทัยมาก เออ…นี่เขามาให้พรเรา ให้เราแสวงหาทางพ้นทุกข์ แล้วว่าเขากล่าวภาษิตน่าคิดน่าตรอง เอาแล้ว เราไม่มีอะไรจะให้เป็นรางวัล ก็ถอดเอาชฎาที่อยู่บนพระเศียรแล้วส่งให้นางโคตมีคนนั้นเป็นรางวัล นางโคตมีก็ได้ชฎาอันนั้นไป ก็เข้าถึงพระราชวัง 

ก็อย่างว่านั่นแหละ ทรงดำริแล้ว ถึงยังไงเราก็ต้องออกบวชในค่ำคืนวันนี้ แต่ธรรมดาผู้มีบุญน่ะ ไม่ได้เตรียมอะไรหรอกเครื่องบวชนะ ไม่ได้เตรียมอะไร ในวันนั้นก็พอดีพระราหุลประสูตรในวันนั้นเอง ทรงเสด็จไปเยี่ยมพระนางพิมพา หรือว่านางยโสธรากับพระราหุล ในขณะนั้นนอนหลับสนิทอยู่ไม่รู้สึก ถ้าหากว่ารู้สึกตื่นขึ้น คงจะเป็นอันตรายต่อพระสวามีไม่ใช่น้อย แต่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเรียกว่ามันถึงพร้อมแล้ว มันก็เลยเป็นไปได้สะดวกสบาย พระองค์เจ้าจึงเสด็จลงไปประทับบนหลังม้า อัศวราชมโนมัย ม้าสีขาวผ่อง มีนายฉันนะเป็นผู้เลี้ยง เป็นผู้รักษา ได้ขึ้นขี่ม้านั้นแล้วก็นายฉันนะก็ตามเสด็จไป ในตำรากล่าวว่า นี่ โอ้โห ยึดเหนี่ยวหางม้าไปอย่างนั้น ไม่ทราบว่าจะยึดหางม้านั้นไปได้เท่าไหร่ ไอ้ข้อนี้ก็น่าคิดอยู่เหมือนกัน ถ้าคนธรรมดาสามัญคงไปได้ไม่กี่ก้าวหรอก ก็จะหลุดจากหางม้านั้น นอนแผ่อยู่บนพื้นดินน่ะ แต่ว่าอันนี้เรื่องบุญญาธิการนี่นะมันอย่างว่าน่ะแหละ มันก็เป็นไปได้แหละ ถ้าเกี่ยวกับบุญญาธิการ ก็บันดาลให้ตัวเบาไปตามม้าเลย 

พระองค์เสด็จออกไปถึงแม่น้ำเนรัญชรานั่นแล้ว ก็ไปบวชอยู่ที่กลางน้ำ มีเกาะทรายอยู่นั่น อ้าว ท้าวฆฏิการมหาพรหมก็นำบริขาร ๘ มาถวายพระองค์นั่นแหละ ขึ้นชื่อว่าบุญแล้ว มันก็ดลบันดาลให้เป็นไปได้อย่างนั้น พระองค์ก็ตัดพระโมลีด้วยพระขรรค์ แล้วก็เปลื้องเครื่องทรงนั้นออก แล้วก็เอาผ้าที่ท้าวมหาพรหมนำมาถวายนั่น นุ่งห่มเข้าไป ไม่มีใครเป็นอุปัชญาย์อาจารย์แหละ พระองค์น่ะเป็นอุปัชฌาย์พระองค์เอง อย่างนั้น เมื่อนุ่งห่ม มีเพศบรรชิตเรียบร้อยแล้ว ก็ทรงอธิษฐานพระเกศาธาตุกับผ้าเครื่องทรงต่างๆหมู่นั้นน่ะ ม้วนเข้าห่อเข้าเป็นอันเดียวกันแล้วน่ะ อธิษฐานถ้าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในการออกบวชครั้งนี้จริงแล้ว ขอให้เครื่องทรงเหล่าอย่าได้ตกลงมาสู่พื้นดิน ขอให้ลอยอยู่บนอากาศ 

พออธิษฐานเสร็จแล้วก็โยนขึ้นไป เครื่องทรงเหล่านั้นก็เลื่อนลอยอยู่บนอากาศ ไม่ได้ตกลงมาสู่พื้นดิน บัดนี้พญาอินทร์ก็ลงมา รับเอาเครื่องทรงอันนั้น พร้อมทั้งพระเกศา ขึ้นไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็ไปก่อพระเจดีย์ ธรรมดาเทวดาน่ะจะทำอะไรน่ะไม่ยากหรอก ท่านเนรมิตเอาเลยอ้ะ ไม่ใช่เหมือนเมืองมนุษย์ แต่เทวดามีบุญหลาย อย่างเช่นพญาอินทร์อย่างนี้ ทรงอธิษฐานเข้าไปก็เกิดเป็นพระเจดีย์ขึ้นมาแล้วด้วยแก้วเจ็ดประการ สวยงามมาก แล้วก็เอาเครื่องทรงเหล่านั้นไปประดิษฐานไว้ในพระเจดีย์นั่น เทวดาทั้งหลายจึงได้พากันได้ดอกไม้ธูปเทียนเป็นทิพย์มาจุดบูชา แล้วในสมัยนั้นก็นิยมเดินเวียนประทักษิณกัน เดินเวียนขวาสามรอบ แล้วก็กราบ เสร็จแล้วก็ไปประชุมกันที่ศาลาธรรมสภา นั่นแหละ มีพญาอินทร์เป็นผู้ให้โอวาท ไม่ให้ประมาท 

เทวดาเหล่าใดที่เป็นมนุษย์ แต่เมื่อยังเป็นมนุษย์เนี่ยได้ปฏิบัติธรรม มีภาวนา มีรักษาศีล มีให้ทาน ครบทั้งสามประการ มีภาวนามองเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในสังขารร่างกายอันนี้ เช่นนี้เมื่อละโลกนี้ไปแล้วไปเกิดเป็นเทวดา ก็ไปภาวนาอยู่บนสวรรค์นู่น ไม่ประมาท เพราะว่าจิตใจมีดวงเดียวเท่านี้ ละจากร่างกายเป็นมนุษย์ แล้วก็ไปเกิดในร่างกายของเทวดา เท่านั้นเอง แล้วไม่ลืมสินี่ ไม่ลืมความดีของตนที่ตนได้ทำมาแต่เป็นมนุษย์ เพราะเทวดามีตาทิพย์ มีหูทิพย์ ใจทิพย์ ระลึกถึงหนหลังได้ เช่นโผล่ขึ้นไปเกิดเป็นเทวดา แล้ว เอ๊ะ เราได้มาเกิดเสวยสุขสมบัติแสนปราณีต เราได้ทำความดีอะไรหนอมาแต่ก่อน ระลึกขึ้นหลังดูก็รู้ได้ อ๋อ ตั้งแต่เป็นมนุษย์น่ะเราได้ทำบุญให้ทานรักษาศีล ฟังธรรมภาวนา อย่างนั้นๆมา อานิสงส์อันนั้นส่งให้เรามาเกิดในสวรรค์ เพรียบพร้อมไปด้วยสมบัติอันเป็นทิพย์อย่างนี้ บรรดาเทวดาทั้งหลายก็ระลึกได้ทั้งนั้นแหละ ดังนั้นเพิ่นถึงได้ไม่ประมาท จึงได้ไปไหว้ไปกราบไปบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณีเสมอ แม้จะอยู่ในวิมารอันสวยงามก็ไม่หลงไม่เมาในความสุขเหล่านั้น ก็ยังพิจารณาเห็นว่าของสิ่งทั้งหมดเหล่านั้นเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ของเรา ของเขาอะไร เป็นแต่เพียงสิ่งที่อาศัยอยู่ชั่วคราว 

นี่ผู้ใดภาวนาเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาแม้แต่เป็นมนุษย์แล้ว แม้แต่เกิดเป็นเทวดาก็ไม่ลืม คนใดไม่ได้ภาวนา เพียงแต่ให้ทาน รักษาศีลเท่านั้น เมื่อไปเกิดเป็นเทวดา บุญกุศลดลบันดาลให้ได้สมบัติอันเป็นทิพย์ขึ้นมาแล้วก็หลงแล้วนี่ เมา เพลิดเพลินยินดีในสมบัติอันเป็นทิพย์นั้น เพราะว่าอันใดมันก็มีแต่ของสวยๆงามๆ น่าเพลิดเพลินเจริญใจ ทำให้หลงให้เมาอยู่อย่างนั้น ทั้งกลางวันกลางคืน เทวดาน่ะมีอยู่ ๒ จำพวกอย่างเนี้ย เพราะฉะนั้นจำพวกที่ได้ปฏิบัติภาวนามาได้เป็นมนุษย์เนี่ย เข้าใจว่าเมื่อได้ฟังพระอภิธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปแสดงโปรดพระพุทธมารดานั่น พวกเทวดาทั้งหลายก็มาฟัง เทวดาพวกที่ได้ภาวนาเมื่อเป็นมนุษย์เนี่ย ฟังพระอภิธรรมจบลง แต่ละกัณฑ์นี่ได้บรรลุมรรคผลเป็นโกฏิๆนะ นั่นแหละ พวกที่ไม่ได้บรรลุมรรคผลอะไรนั่น ตั้งแต่เป็นมนุษย์เพียงแค่ทำบุญให้ทาน รักษาศีลไป ตามธรรมดา ไม่ได้ภาวนา ไม่ได้เพ่งพิจารณาร่างกายสังขารอันนี้เลย ดังนั้นเมื่อพระองค์แสดงพระอภิธรรมอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ได้แต่ความเลื่อมใสเท่านั้นแหละ ไม่รู้แจ้งได้ 

สำหรับผู้ที่ได้ภาวนาตั้งแต่เป็นมนุษย์เนี่ย ได้ค้นคว้าพิจารณาร่างกายสังขารอันนี้อยู่เสมอๆ เห็นเป็นของแตกของดับอยู่ เห็นเป็นของเป็นทุกข์ทนได้ยากลำบากอยู่เสมอๆไป จิตใจก็นึกเบื่อหน่าย นึกสังเวชสลดใจ เช่นนี้แล้วแต่ว่าอินทรีย์บารมียังอ่อนอยู่ ไม่สามารถจะบรรลุมรรคผลได้ในชาตินี้ มันก็เป็นอุปนิสัยปัจจัย ติดตามไปเมื่อละโลกนี้ไปแล้ว บุญกุศลเหล่านี้ก็ดลบันดาลให้ไปเกิดเป็นเทวดาอย่างว่า เกิดเป็นเทวดาก็ไม่หลงไปเมาในสมบัติอันเป็นทิพย์ เป็นอย่างนั้น จึงได้พิจารณาเห็นได้อยู่ เทวดาเหล่านี้แหละ เมื่อได้ฟังธรรมพระพุทธเจ้าแสดงพระอภิธรรมจบลงแล้ว จึงได้สำเร็จมรรคผลธรรมวิเศษ ตามวาสนาบารมีของตน 

นี่ที่เล่าเรื่องของเทวดาให้ฟังนี่ ก็เพื่ออยากจะให้พุทธบริษัททั้งหลายได้รู้ว่าการที่เรามาปฏิบัติธรรมนี่น่ะ เราไม่ใช่มุ่งปฏิบัติเพื่อเป็นเทวดาหรอก แต่ว่าเมื่อเราบำเพ็ญไป หากไม่สามารถจะบรรลุมรรคผลนิพพานได้ อานิสงส์แห่งการภาวนาฟังธรรม การรักษาอุโบสถศีลอะไรหมู่นี้นะ มันก็ดลบันดาลให้ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่งได้แน่นอนเลย มันเป็นขั้นตอนไปอย่างนี้นิ สำหรับผู้นับถือพระศาสนานี่ แต่บางคนทำบุญให้ทานก็จริง รักษาศีลก็จริง แต่จิตใจยังผูกพันอยู่กับลูกกับหลาน กับบ้านช่อง กับเงินทองข้าวของอะไร อย่างนี้นะ ผู้ใดมีจิตใจเป็นอย่างนั้นน่ะ พอตายลงแล้วก็ไม่ได้ไปสวรรค์แล้ว วกไปเวียนมาก็เข้าท้องลูกท้องหลาน ไปเกิดเป็นลูกของลูกของหลานไปอย่างนั้น 

เนี่ยให้พากันรักษาจิตใจของตนให้ดี อย่าไปให้ใจมันผูกพันอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ตนรักใคร่หวงแหนอะไร ต้องปลดเปลื้องออกจากใจให้หมด เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นช่วยให้เราพ้นทุกข์ไปไม่ได้ ต้องเตือนตนอย่างนั้น ลูกก็ดี หลานก็ดี เงินทองข้าวของก็ดี จะช่วยให้เราพ้นทุกข์ไปได้นั้น สำหรับเงินทองข้าวของส่วนใดที่เราได้บริจาคทาน นั่นแหละจะเป็นมูลนิธิติดตามตนไป อำนวยความสุขให้ ส่วนใดที่ตนไม่ได้บริจาคทาน ส่วนนั้นก็อำนวยความสุขให้ในปัจจุบันเท่านั้นเอง ส่วนลูกหลานอะไรพวกนี้ เขาจะช่วยเราให้ไปสวรรค์ ไปนิพพานไม่ได้เลย ไปผูกพันกับเขาอย่างไร เขาก็ช่วยเราไม่ได้ ก็ต้องเตือนตนอย่างนี้ ถ้าเราไปผูกพันเขามากๆเข้าไป เราก็จะพ้นทุกข์ไปไม่ได้ พ้นจากความเกิดแก่เจ็บตายในมนุษย์โลกอันนี้ ไม่ได้เลย จะวกเวียนมาเกิดอยู่อย่างนี้ เตือนตนเข้าไปเสมอแล้ว จิตใจมันก็จะไม่ไปผูกพันกับของรักของชอบใจที่มันเคยรักเคยหวงแหนมาแต่ก่อน อย่างนี้นะ มันก็ไม่ผูกพันแล้ว มันจะคลายความผูกพันลงไปถ้าเรามีอุบายปัญญาสอนใจตัวเองเข้าไปอย่างนี้ แต่ใช่ว่าจะไปรังเกียจเขาหรอก ไม่รังเกียจ เพียงแต่ว่าเราไม่รักไม่ชัง เรามีเมตตา เราเจริญเมตตาแทนความรักความชังเอา เมตตา สิ่งใดพอจะช่วยเหลือเขาให้มีความสุขได้ ก็ช่วยไป ถ้าเหลือวิสัย ช่วยไม่ได้ ก็วางอุเบกขาลง 

เราทำใจให้เป็นกลางต่อสิ่งต่างๆอยู่อย่างนั้น นั่นแหละ คือเป็นทางไปสวรรค์น่ะ เป็นทางไปพระนิพพานก็การทำใจให้เป็นกลางนั่นแหละ แต่ว่าเมื่อมันยังเป็นกลางไม่ได้เต็มที่ มันยังมีเสื่อมมีเจริญได้อยู่นี่ มันก็ยังบรรลุพระนิพพานยังไม่ได้ ดังนั้นต้องพยายามทำจิตให้เป็นกลางต่อสิ่งต่างๆให้มันได้ อย่าไปหลงยินดี อย่าไปหลงยินร้ายกับมัน พิจารณาให้เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง มันเกิดขึ้นแล้ว มันก็แปรปรวนแตกดับไปอยู่อย่างนั้น สิ่งต่างๆนี่ แม้แต่ในร่างกายที่ตนอาศัยอยู่นี่ ก็เหมือนกันกับสิ่งภายนอก เหมือนกันแหละ ไม่แตกต่างอะไรกัน ความจริงแล้วน่ะ มีเกิดขึ้นแล้ว ก็มีแปรผัน ก็มีแตกมีดับไปเป็นที่สุด เมื่อเราเพ่งพิจารณาเห็นชัดตามความเป็นจริงแล้วก็ปลงก็วางลง แล้วก็ทำใจให้วางเฉย มีสติกำกับอยู่ มีสติประคองจิตนั้นให้สงบอยู่ได้ เท่าที่มันจะอยู่ได้นาน อันนี้แหละเป็นอุบาย เป็นหนทางพ้นทุกข์พ้นภัยในสงสาร ดังแสดงมาสมควรแก่เวลา ขอยุติลงเพียงเท่านี้