1. พระสังคิณี
กุสะลา ธัมมา
– พระธรรมที่เป็นกุศลให้ผลเป็นสุข มีกามาวะจะระกุศลเป็นต้น
อะกุสะลา ธัมมา
-ธรรมที่เป็นอกุศลให้ผลเป็นทุกข์ มีโลภมูลจิตแปดเป็นต้น
อัพ๎ยากะตา ธัมมา
-ธรรมที่เป็นอัพยากฤตเป็นจิตกลางๆ มีอยู่ มีผัสสะเจตนาเป็นต้น
กะตะเม ธัมมา กุสะลา ยัส๎ะมิง สะมะเย
-ในสมัยใด ธรรมที่เป็นกุศลให้ผลเป็นสุข ย่อมบังเกิดขึ้นอย่างไรบ้าง
กามาวะจะรัง กุสะลัง จิตตัง
-จิตที่เป็นกุศลให้ผลเป็นสุข ย่อมนำสัตว์ให้ไปเกิดในกามภพทั้งเจ็ด คือ มนุษย์ ๑ สวรรค์ ๖
อุปปันนัง โหติ
-ย่อมบังเกิดมีแก่ปุถุชนผู้เป็นสามัญชน
โสมะนัสสะสะหะคะตัง
-เป็นไปพร้อมกับจิตด้วย ที่เป็นโสมนัสความสุขใจ
ญาณะสัมปะยุตตัง
-ประกอบพร้อมด้วยญาณเครื่องรู้คือปัญญา
รูปารัมมะนัง วา
-มีจิตยินดีในรูป มีรูปพระพุทธเจ้าเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง
สัททารัมมะนัง วา
-มีจิตยินดีในเสียง มีเสียงท่านแสดงพระสัทธรรมเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง
คันธารัมมะนัง วา
-มีจิตยินดีในกลิ่นหอม แล้วคิดถึงการกุศล มีพระพุทธบูชาเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง
ระสารัมมะนัง วา
-มีจิตยินดีในรสเครื่องบริโภค แล้วยินดีใคร่บริจาคเป็นทานเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง
โผฏฐัพพารัมมะนัง วา
-มีจิตยินดีในของอันถูกต้อง แล้วก็คิดให้ทานเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง
ธัมมารัมมะนัง วา
-มีจิตยินดีในที่จะเจริญพระสัทธรรมกรรมฐาน มีพุทธานุสสติเป็นต้น เป็นอารมณ์บ้าง
ยัง ยัง วา ปะนารัพภะ
-อีกอย่างหนึ่งความปรารภแห่งจิต ก็เกิดขึ้นในอารมณ์ใดๆ
ตัส๎ะมิง สะมะเย ผัสโส โหติ
-ความกระทบผัสสะแห่งจิต จิตที่เป็นกุศลก็ย่อมบังเกิดขึ้น ในสมัยนั้น
อะวิกเขโป โหติ
-อันว่าเอกัคคตาเจตสิกอันแน่แน่วในสันดาน ก็ย่อมบังเกิดขึ้น
เย วา ปะนะ ตัส๎ะมิง สะมะเย
-อีกอย่างหนึ่ง ธรรมทั้งหลายเหล่าใด ก็ย่อมบังเกิดขึ้นในกาลสมัยนั้น
อัญเญปิ อัตถิ ปะฏิจจะสะมุปปันนา
-ธรรมทั้งหลายอาศัยซึ่งจิตทั้ง หลายอื่นมีอยู่ แล้วอาศัยกันและกัน ก็บังเกิดมีขึ้นพร้อม
อะรูปิโน ธัมมา
-เป็นแต่นามธรรมทั้งหลายไม่มีรูป
อิเม ธัมมา กุสะลา ฯ
-ธรรมทั้งหลายเหล่านี้ ชื่อว่าเป็นกุศลให้ผลเป็นสุข แก่สัตว์ทั้งหลายแล ฯ
2. พระวิภังค์
ปัญจักขันธา
-กองแห่งธรรมชาติทั้งหลายมีห้าประการ
รูปักขันโธ
-รูป ๒๘ มีมหาภูตรูป ๔ เป็นต้น เป็นกองอันหนึ่ง
เวทะนากขันโธ
-ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขและเป็นทุกข์ เป็นโสมนัสและโทมนัส และอุเบกขา เป็นกองอันหนึ่ง
สัญญากขันโธ
-ความจำได้หมายรู้ ในรูปเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ อันบังเกิดขึ้นในจิต เป็นกองอันหนึ่ง
สังขารักขันโธ
-เจตสิกธรรม ๕๐ ดวง เป็นเครื่องปรุงแต่งจิตให้คิดอ่านไปต่างๆ มีบุญเจตสิกเป็นต้น ที่ให้สัตว์บังเกิด เป็นกองอันหนึ่ง
วิญญาณักขันโธ
-วิญญาณจิต ๘๙ ดวงโดยรอบสังเขป เป็นเครื่องรู้แจ้งวิเศษ มีจักขุวิญญาณเป็นต้น เป็นกองอันหนึ่ง
ตัตถะ กะตะโม รูปักขันโธ
-กองแห่งรูปในปัญจขันธ์ทั้งหลายนั้น เป็นอย่างไรบ้าง
ยังกิญจิ รูปัง
-รูปอันใดอันหนึ่ง
อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนัง
-รูปที่เป็นอดีตอันก้าวล่วงไปแล้ว และรูที่เป็นอนาคตอันยังไม่มาถึงและรูปที่เป็นปัจจุบันอยู่
อัชฌัตตัง วา
-เป็นรูปภายในหรือ
พะหิทธา วา
-หรือว่าเป็นรูปภายนอก
โอฬาริกัง วา
-เป็นรูปอันหยาบหรือ
สุขุมัง วา
-หรือว่าเป็นรูปอันละเอียดสุขุม
หีนัง วา
-เป็นรูปอันเลวทรามหรือ
ปะณีตัง วา
-หรือว่าเป็นรูปอันประณีตบรรจง
ยัง ทูเร วา
-เป็นรูปในที่ไกลหรือ
สันติเก วา
-หรือว่าเป็นรูปในที่ใกล้
ตะเทกัชฌัง อะภิสัญญูหิต๎วา
-พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประมวลเข้ายิ่งแล้ว ซึ่งรูปนั้นเป็นหมวดเดียวกัน
อะภิสังขิปิต๎วา
-พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่นย่อเข้ายิ่งแล้ว
อะยัง วุจจะติ รูปักขันโธ ฯ
-กองแห่งรูปธรรมอันนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่าเป็นรูปขันธ์แล ฯ
3. พระธาตุกถา
สังคะโห
-พระพุทธองค์สงเคราะห์ ซึ่งจิตเจตสิกรูปเข้าในขันธ์เป็นหมวด ๑
อะสังคะโห
-พระพุทธองค์ไม่สงเคราะห์ ซึ่งรูปธรรมทั้งหลายเข้าในขันธ์เป็นหมวด ๑
สังคะหิเตนะ อะสังคะหิตัง
-พระพุทธองค์ไม่สงเคราะห์ ซึ่งจิตเจตสิกรูป ด้วยธรรมอันสงเคราะห์แล้ว
อะสังคะหิเตนะ สังคะหิตัง
-พระพุทธองค์สงเคราะห์ซึ่งจิตเจตสิกรูป ด้วยธรรมอันมิได้สงเคราะห์
สังคะหิเตนะ สังคะหิตัง
-พระพุทธองค์สงเคราะห์ ซึ่งจิตเจตสิกรูป ด้วยธรรมอันสงเคราะห์แล้ว
อะสังคะหิเตนะ อะสังคะหิตัง
-พระพุทธองค์ไม่สงเคราะห์ ซึ่งจิตเจตสิกรูป ด้วยธรรมอันไม่ได้สงเคราะห์
สัมปะโยโค
-เจตสิกธรรมทั้งหลาย อันประกอบพร้อมด้วยกับจิต ๕๕
วิปปะโยโค
-เจตสิกธรรมทั้งหลาย อันประกอบแตกต่างกันกับจิต
สัมปะยุตเตนะ วิปปะยุตตัง
-ประกอบเจตสิกอันต่างกัน ด้วยเจตสิกอันประกอบพร้อมกัน เป็นหมวดเดียวกัน
วิปปะยุตเตนะ สัมปะยุตตัง
-ประกอบเจตสิกอันบังเกิดพร้อมกัน ด้วยเจตสิกอันต่างกัน เป็นหมวดเดียวกัน
อะสังคะหิตัง
-พระพุทธองค์ ไม่สงเคราะห์ซึ่งธรรมอันไม่ควรสงเคราะห์ ให้ระคนกัน
4. พระปุคคลปัญญัตติ
ฉะปัญญัตติโย
-ธรรมชาติทั้งหลาย ๖ อันบัณฑิตพึงแต่งตั้งบัญญัติไว้
ขันธะปัญญัตติ
-กองแห่งรูปและนามเป็นธรรมชาติ อันบัณฑิตพึงแต่งตั้งบัญญัติไว้
อายะตะนะปัญญัตติ
-บ่อแห่งตัณหา คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อันบัณฑิตพึงแต่งตั้งบัญญัติไว้
ธาตุปัญญัตติ
-ธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นธรรมชาติอันบัณฑิตพึงแต่งตั้งบัญญัติไว้
สัจจะปัญญัตติ
-ของจริงอย่างประเสริฐ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคเป็นธรรมชาติอันบัณฑิตพึงแต่งตั้งบัญญัติไว้
อินท๎ริยะปัญญัตติ
-อินทรีย์ ๒๒ เป็นธรรมชาติอันบัณฑิตพึงแต่งตั้งบัญญัติไว้
ปุคคะละปัญญัตติ
-บุคคลที่เป็นธรรมชาติอันบัณฑิตพึงแต่งตั้งบัญญัติไว้
กิตตาวะตา ปุคคะลานัง
-แห่งบุคคลทั้งหลายนี่มีกี่จำพวกเชียวหนอ
ปุคคะละปัญญัตติ
-บุคคลที่เป็นธรรมชาติ อันบัณฑิตพึงแต่งตั้งบัญญัติไว้
สะมะยะวิมุตโต
-พระอริยบุคคล ผู้มีจิตพ้นวิเศษเป็นสมัยอยู่ มีพระโสดาบันเป็นต้น
อะสะมะยะวิมุตโต
-พระอริยบุคคล ผู้มีจิตพ้นวิเศษไม่มีสมัย มีพระอรหันต์เป็นต้น
กุปปะธัมโม
-ฌานที่เป็นเครื่องฆ่ากิเลส อันบุคคลได้แล้ว ย่อมกำเริบสูญไป
อะกุปปะธัมโม
-ฌานที่เป็นเครื่องฆ่ากิเลส อันบุคคลได้สูงขึ้นไปแล้ว ย่อมไม่กำเริบ
ปะริหานะธัมโม
-ฌานที่เป็นเครื่องฆ่ากิเลส อันบุคคลได้สูงขึ้นไปแล้ว ย่อมเสื่อมถอยลง
อะปะริหานะธัมโม
-ฌานที่เป็นเครื่องฆ่ากิเลส อันบุคคลได้สูงขึ้นไปแล้ว ย่อมไม่เสื่อมถอย
เจตะนาภัพโพ
-ฌานที่เป็นเครื่องฆ่ากิเลส อันบุคคลได้แล้ว ไม่สามารถที่รักษาไว้ในสันดาน
อะนุรักขะนาภัพโพ
-ฌานที่เป็นเครื่องฆ่ากิเลส อันบุคคลได้แล้ว ตามรักษาไว้ในสันดาน
ปุถุชชะโน
-บุคคลที่มีอาสะวะเครื่องย้อมใจ อันหนาแน่นในสันดาน
โคต๎ระภู
-บุคคลผู้เจริญในพระกรรมฐาน ตลอดขึ้นไปถึงโคตรภู
ภะยูปะระโต
-บุคคลผู้เป็นปุถุชน ย่อมมีความกลัวเป็นเบื้องหน้า
อะภะยูปะระโต
-พระขีณาสะวะ บุคคลผู้มีความกลัวอันสิ้นแล้ว
ภัพพาคะมะโน
-บุคคลผู้มีวาสนาอันแรงกล้า สามารถจะได้มรรคและผลในชาตินั้น
อะภัพพาคะมะโน
-บุคคลผู้มีวาสนาอันน้อย ไม่สามารถจะได้มรรคผลในชาตินั้น
นิยะโต
-บุคคลผู้กระทำซึ่งปัญจอนันตริยกรรม มีปิตุฆาตเป็นต้น ตายแล้วไปตกนรกเป็นแน่
อะนิยะโต
-บุคคลผู้มีคติปฏิสนธิไม่เที่ยง ย่อมเป็นไปตามยถากรรม
ปะฏิปันนะโก
-บุคคลผู้ปฏิบัติมั่นเหมาะในพระกรรมฐาน เพื่อจะได้พระอริยมรรค
ผะเลฏฐิโต
-บุคคลผู้ตั้งอยู่ในพระอริยผล มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น ตามลำดับ
อะระหา
-บุคคลผู้ตั้งอยู่ในพระอรหัตตผล เป็นผู้ควรแล้ว เป็นผู้ไกลแล้วจากกิเลส
อะระหัตตายะ ปะฏิปันโน
-บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อจะให้ถึงพระอรหัตตผล เป็นผู้สมควรแล้วเป็นผู้ไกลแล้ว จากกิเลส
5. พระกถาวัตถุ
ปุคคะโล
-มีคำถามว่าสัตว์ว่าบุคคลว่าหญิงว่าชาย
อุปะลัพภะติ
-อันท่านควรรู้ด้วยปัญญา อันบังเกิดในสันดานของท่านเถิด
สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนาติ
-โดยปรมัตถ์คืออรรถอันอุดม เป็นอรรถอันจริงแท้มิได้แปรผันดังนี้ มีอยู่หรือ
อามันตา
-มีคำแก้ตอบว่าจริง สัตว์บุคคลหญิงชายมีอยู่
โย
-มีคำถามว่า ปรมัตถธรรมมีประการ ๕๗ มีขันธ์ ๕ เป็นต้น ทั้งหลายเหล่าใด
สัจฉิกัตโถ ปะระมัตโถ
-เป็นปรมัตถ์คืออรรถอันอุดม เป็นอรรถอันจริงแท้มิได้แปรผัน
ตะโต โส
-โดยปรมัตถธรรมมีประการ ๕๗ มีขันธ์ ๕ เป็นต้นเหล่านั้น
ปุคคะโล
-ว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลเป็นหญิงเป็นชาย
อุปะลัพภะติ
-อันท่านควรรู้ด้วยปัญญา อันบังเกิดในสันดานของท่าน
สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนาติ
-โดยปรมัตถ์คืออรรถอันอุดม เป็นอรรถอันจริงแท้มิได้แปรผันดังนี้ มีอยู่หรือ
นะ เหวัง วัตตัพเพ
-มีคำแก้ตอบว่า ประเภทของปรมัตถ์ขันธ์ ๕ เป็นต้นเราไม่มี พึงกล่าวเชียวหนอ
อาชานาหิ นิคคะหัง
-ผู้ถามกล่าวตอบว่า ท่านจงรับเสียเถิด ซึ่งถ้อยคำอันท่านกล่าวผิด
หัญจิ ปุคคะโล
-ผิแลว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลเป็นหญิงเป็นชาย
อุปะลัพภะติ
-อันท่านควรรู้ด้วยปัญญา อันบังเกิดในสันดานของท่าน
สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนะ
-โดยปรมัตถ์คืออรรถอันอุดม เป็นอรรถอันจริงแท้มิได้แปรผัน
เตนะ
-โดยประการอันเรากล่าวแล้วนั้น
วะตะ เร
-ดังเรากำหนด ดูก่อนท่านผู้มีหน้าอันเจริญ
วัตตัพเพ โย
-ปรมัตถธรรมมีประการ ๕๗ มีขันธ์ ๕ เป็นต้น อันเราพึงกล่าว
สัจฉิกัตโถ ปะระมัตโถ
-เป็นอรรถอันกระทำให้สว่างแจ้งชัด เป็นอรรถอันอุดม
ตะโต โส
-โดยปรมัตถธรรมมีประการ ๕๗ มีขันธ์ ๕ เป็นต้นเหล่านั้น
ปุคคะโล
-ว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลเป็นหญิงเป็นชาย
อุปะลัพภะติ
-อันท่านควรรู้ด้วยปัญญา อันบังเกิดในสันดานของท่าน
สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนาติ
-โดยปรมัตถ์คืออรรถอันอุดม เป็นอรรถจริงแท้มิได้แปรผันดังนี้
มิจฉา
-ท่านกล่าวในปัญหาเบื้องต้นกับปัญหาเบื้องปลาย ผิดกันไม่ตรงกัน
6. พระยมก
เย เกจิ
-จิตและเจตสิกบางพวกทั้งหลายเหล่าใด
กุสะลา ธัมมา
-ธรรมที่เป็นกุศลให้ผลเป็นสุข อันบัณฑิตควรสะสมไว้
สัพเพ เต
-จิตและเจตสิกทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น
กุสะละมูลา
-เป็นมูลเป็นที่ตั้งรากเหง้าแห่งกุศล ให้ผลเป็นสุข อันบัณฑิตควรสะสมไว้
เย วา ปะนะ
-อีกอย่างหนึ่ง จิตและเจตสิกทั้งหลายเหล่านั้น
กุสะละมูลา
-เป็นมูลเป็นที่ตั้งของรากเง่าแห่งกุศล ให้ผลเป็นสุข อันบัณฑิตควรสะสมไว้
สัพเพ เต ธัมมา
-ธรรมคือจิตและเจตสิกทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น
กุสะลา ,
-ชื่อว่าเป็นกุศลให้ผลเป็นสุข อันบัณฑิตควรสะสมไว้
เย เกจิ
-จิตและเจตสิกบางพวกทั้งหลายเหล่าใด
กุสะลา ธัมมา
-เป็นธรรมเป็นกุศลให้ผลเป็นสุข อันบัณฑิตควรสะสมไว้
สัพเพ เต
-จิตและเจตสิกทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น
กะสุละมูเลนะ เอกะมูลา
-เป็นมูลอันหนึ่งด้วยเป็นมูลเป็นที่ตั้งแห่งกุศลให้ผลเป็นสุข อันบัณฑิตควรสะสมไว้
เย วา ปะนะ
-อีกอย่างหนึ่ง จิตและเจตสิกทั้งหลายเหล่านั้น
กุสะละมูเลนะ เอกะมูลา
-เป็นมูลอันหนึ่งด้วย เป็นมูลเป็นที่ตั้งแห่งกุศลให้ผลเป็นสุขอันบัณฑิตควรสะสมไว้
สัพเพ เต ธัมมา
-ธรรมคือจิตและเจตสิกทั้งหลายทั้งปวง
กุสะลา
-ชื่อว่าเป็นกุศลให้ผลเป็นสุข อันบัณฑิตควรสะสมไว้
7. พระมหาปัฏฐาน
เหตุปัจจะโย
-ความไม่โลภไม่โกรธไม่หลงเป็นต้น เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้เกิดในที่สุข
อารัมมะณะปัจจะโย
-อารมณ์ความยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด
อะธิปะติปัจจะโย
-ธรรมที่ชื่อว่าอธิบดี ๔ ประการ คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด
อะนันตะระปัจจะโย
-จิตอันกำหนดในวัตถุและรู้แจ้งวิเศษในทวารทั้ง ๖ เนื่องกันไม่มีระหว่าง เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด
สะมะนันตะระปัจจะโย
-จิตอันกำหนดในวัตถุและรู้วิเศษในทวารทั้ง ๖ พร้อมกันไม่มีระหว่าง เป็นเครื่องอาศัยเป็นปัจจัยให้บังเกิด
สะหะชาตะปัจจะโย
-จิตและเจตสิกอันบังเกิดกับดับพร้อม เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด
อัญญะมัญญะปัจจะโย
-จิตและเจตสิกค้ำชูซึ่งกันและกัน เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด
นิสสะยะปัจจะโย
-จิตและเจตสิกอาศัยซึ่งกันและกัน เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด
อุปะนิสสะยะปัจจะโย
-จิตและเจตสิกอันเข้าไปใกล้อาศัยซึ่งกันและกัน เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด
ปุเรชาตะปัจจะโย
-อารมณ์ ๕ มีรูปเป็นต้นมากระทบซึ่งจักษุ เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด
ปัจฉาชาตะปัจจะโย
-จิตและเจตสิกที่บังเกิดภายหลังรูป เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด
อาเสวะนะปัจจะโย
-ชะวะนะจิตที่แล่นไปส้องเสพซึ่งอารมณ์ต่อกัน เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด
กัมมะปัจจะโย
-บุญบาปอันบุคคลกระทำแล้ว เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด ในที่ดีหรือที่ชั่ว
วิปากะปัจจะโย
-และวิเศษแห่งกรรมอันบุคคลกระทำแล้ว เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด ในที่ดีที่ชั่ว
อาหาระปัจจะโย
-อาหาร ๔ มีผัสสาหารเป็นต้น เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด
อินท๎ริยะปัจจะโย
-ธรรมชาติที่เป็นใหญ่ ในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด
ฌานะปัจจะโย
-ธรรมชาติเครื่องฆ่ากิเลส เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิดในรูปพรหม
มัคคะปัจจะโย
-อัฏฐังคิกะมรรคทั้ง ๘ มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด ในโลกอุดร
สัมปะยุตตะปัจจะโย
-จิตและเจตสิกอันบังเกิดสัมปยุตพร้อมในอารมณ์เดียวกัน เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด
วิปปะยุตตะปัจจะโย
-รูปธรรมนามธรรมที่แยกต่างกัน มิได้ระคนกัน เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด
อัตถิปัจจะโย
-รูปธรรมนามธรรมที่ยังไม่ดับ เป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด
นัตถิปัจจะโย
-จิตและเจตสิกที่ดับแล้ว เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิดจิตและเจตสิกในปัจจุบัน
วิคะตะปัจจะโย
-จิตและเจตสิกที่แยกต่างกัน เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิดจิตและเจตสิกในปัจจุบัน
อะวิคะตะปัจจะโย
-จิตและเจตสิกที่ดับและมิได้ต่างกัน เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิดจิตและเจตสิกในปัจจุบัน