Skip to content

หลวงปู่เล่าเรื่องในอดีต และเทศน์แม่ชี

หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย

| PDF | YouTube | AnyFlip |

ไม่มีโอกาสได้คุยกันมาเป็นเวลานานแล้ว เนื่องจากว่าสังขารในระหว่างสิบกว่าวันให้หลังนี้ อยู่ในเกณฑ์อันตรายมาก วันนี้ก็รู้สึกว่าฟื้นขึ้นมา พอฟื้นขึ้นมาตอนค่ำนี่อาการชักไม่ดีอีกแล้ว อาการทำท่าว่าจะฟุบลง กำลังอ่อนลง การหายใจฝืดเข้า แล้วก็ปวดหัว คือมันเป็นอยู่ที่คอหอยนี่ มันเป็นอยู่ที่คอหอยนี่ มันเหมือนกับว่ามันยุบได้ มันพองได้  พอมันพองขึ้นมา มันก็มาเบียดเอาประสาท แล้วก็ปวดศีรษะ เวลาคุยนี่ มันคุยไม่ค่อยชัดเจน มันออกมาเป็นท่อนเป็นกลาง บางทีก็ออกมาเป็นลม เสียงไม่ออก แล้วก็เสียงแต่งให้ดีไม่ได้ คือพอพูดได้ บางทีก็ฟังไม่ค่อยได้ศัพท์เพราะว่ามันมีสิ่งบังคับอยู่ที่คอหอย จึงทำให้คุยไม่ค่อยจะสะดวก ฟังไม่ค่อยได้ศัพท์แสง อันนี้เป็นปัญหาอยู่ 

ปีนี้เราจำพรรษาอยู่ด้วยกันมา ก็จวนจะพ้นพรรษาแล้ว ก็เลยอีกแค่สองสามวัน ก็เป็นอันว่าหมดฤดูพรรษา วันสุดท้ายเสียดายที่สุดที่ไม่ได้มาฟังคำสัตยาธิษฐานของคณะญาติโยมว่าผู้ใดอธิษฐานอะไรบ้าง ก็รู้สึกเสียดาย แต่ก็พยายามฟัง นั่งฟังอยู่นั่นแหละ เสียงมันก็ขึ้นไปถึงเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยชัดเจนนัก แต่บางศัพท์บางคำก็ฟังได้ชัดเจนมาก บางศัพท์ก็ไม่ค่อยชัดเจน ก็สาธุๆอยู่ข้างบนโน้น อยากลงมาน่ะ อยากลงมา อยากลงมาฟังใกล้ๆให้มันชัดเจน ก็จะได้สาธุด้วยกัน อนุโมทนาเพื่อบุญเพื่อกุศล 

แต่นี่สังขารร่างกายก็ไม่ค่อยสมประกอบนัก หักโหมก็มากเกินไปนัก งานที่เราทำอยู่ก็คงไม่สำเร็จ สังขารมันก็คงจะพังไปเสียก่อน ก็เลยต้องถนอมเค้าบ้าง แม้แต่วันนี้การนั่งภาวนานี่ จะนั่งได้หรือเปล่า นี่ยังเป็นปัญหา เพราะตอนนี้คอตีบมากขึ้น หายใจไม่สะดวก ก็รู้สึกปวดศีรษะมึนงง อันนี้ตอนนี้กำลังเป็นมาก บางทีอาจจะคุยกันแล้วก็จะหลบไปพัก เพราะมองดูแล้วว่าสังขารนี่ชักจะแย่ไปหน่อยนึง

ทีนี้ปีนี้ก็นับว่าเป็นปีที่เรามีความสะดวกสบาย ถึงแม้จะมีปัญหาบ้างเล็กน้อย ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โต ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากนัก ก็นิดๆหน่อยๆ เป็นเรื่องธรรมดา แต่ส่วนมากแล้วก็รู้สึกว่า ปีนี้เป็นปีที่สะดวกสบายที่สุดสำหรับพวกเราที่อยู่ด้วยกัน คณะแม่ขาวนางชีและคณะผู้ปฏิบัติร่วมกันก็ไม่ได้ก่อความยุ่งยากอะไรขึ้นมาให้เป็นอธิกรณ์ จนกระทั่งมีการประชุมสงฆ์ ก่อความยุ่งยาก อันนี้ก็ไม่มี ก็เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจว่าคณะแม่ชีและผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายก็เห็นอกเห็นใจครูบาอาจารย์ 

ปกติแล้วเท่าที่อยู่กับครูบาอาจารย์มา เมื่อเช้าเล่าประวัติความเป็นมา คือในระหว่างที่ไม่ค่อยสบายคราวนี้ ก็พยายามคิดย้อนหลังในเรื่องความเป็นมาของชีวิต ตั้งแต่สมัยเป็นเด็กที่รู้เดียงสามา พอจำความได้ ก็พยายามอ่านทั้งทางที่ดีและทางที่ชั่ว ทั้งทางที่น่าเสียใจดีใจ ทั้งทางที่ได้รับรางวัลและลงโทษเรื่อยมาเป็นลำดับๆ จนกระทั่งอายุเข้า ๒๐ ก็ได้มาบวชเป็นสามเณร พอเป็นสามเณรแล้ว ความยุ่งยากในระหว่างอยู่ปีจำพรรษาปีนั้น มันมีอะไรบ้าง 

ก็ไล่ไปเรื่อย เรื่อยๆๆๆ จนกระทั่งมาถึงปีปัจจุบัน อันนี้เรียกว่าติดตามประวัติของตัวเองก็นึกอยากจะเขียน อยากจะเขียนบทความเป็นตัวหนังสือ ให้มันเป็นเล่มใหญ่ๆขึ้นมาซักเล่มหนึ่ง ให้คนได้อ่านชีวิตคนๆหนึ่งซึ่งเกิดมา มีทั้งความสุขและความทุกข์ มีทั้งความดีและความชั่ว จนกระทั่งพวกเราได้มาทราบข้อเท็จจริงในความเป็นอยู่ที่พวกเราดำเนินสืบกันมาอย่างปัจจุบันนี้ มันก็น่าเขียน น่าเขียนให้พวกเราได้อ่านกัน ให้อนุชนรุ่นหลังได้อ่าน ชีวิตความเป็นมาของคนๆหนึ่ง ซึ่งได้สร้างความดี และมีสิ่งกระทบกระเทือนอะไรบ้าง อันเนี้ย อยากให้พวกเราเนี่ยได้อ่านทบทวนเพื่อความทรงจำอีกทีหนึ่ง อันนี้คิดเหลือเกิน เวลานี้คิดมาก บางคืนนอนไม่หลับทั้งคืน เพราะเราจะเริ่มต้นก็คิดเรื่อยๆๆ นอนเหนื่อยเราก็ลุกนั่ง นั่งเหนื่อยเราก็นอน ก็ประมวลประวัติของตัวเองตั้งแต่เริ่มต้นชีวิตรู้เดียงสาสืบมาถึงปัจจุบัน 

พอมานั่งวิเคราะห์แล้ว แหม บางครั้งบางคราวนี่น่าเศร้าสลดมากที่สุด บางครั้งบางคราวก็น่าเพลิดเพลิน อันนี้เล่าสู่กันฟัง คือโดยส่วนมากพวกเราก็มีความเกรงใจครูบาอาจารย์ ไปอยู่ที่ไหน สมัยนั้นมีกลุ่มติดตามกันอยู่ มีอยู่ ๕ องค์ไม่เคยแตกแยกกัน ไปไหนไปกัน ว่าไงว่ากัน ติดตามกันอยู่ตลอดเวลา เหตุการณ์ของวัดนั้นครูบาอาจารย์จะมอบให้ พวกเรา ๕ องค์เนี่ยเป็นผู้พยายามแก้ไขปัญหาต่างๆอยู่ตลอดเวลา 

และพวกเรานี่ก็พยายามคุยเสมอว่า ครูบาอาจารย์เนี่ย ท่านมีพระคุณกับเรายังไงบ้าง และพวกเราได้คุณความดีจากครูบาอาจารย์อะไรบ้าง แล้วก็มายกย่องสรรเสริญครูบาอาจารย์ที่ท่านมีความประพฤติดีปฏิบัติชอบ และมีความเมตตาอารีต่อพวกเรา พร้อมทั้งสอนธรรมะภาคปฏิบัติให้กับพวกเรา พวกเราจะพยายามดึงเอาพวกเกเรๆน่ะ มันมีอยู่ทุกแห่ง ดึงเอามาสอนอธิบายอะไรต่ออะไรให้ฟัง เพื่อต้องการอยากจะให้บรรดาพวกเกเรทั้งหลายเหล่านั้นได้เข้าใจคุณค่าของครูบาอาจารย์ และให้รู้เจตนาของพวกเราที่มีต่อครูบาอาจารย์ อันเนี้ย 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานอันเนี้ยเป็นงานประจำมือตั้งแต่วันบวช บวชเข้ามาก็ได้รับงานอันนี้เลย ตั้งแต่ยังไม่บวชก็เป็นผู้ปกครองคน คือหลาน พ่อก็ตาย แม่ก็ตาย ไม่มีใครซึ่งเค้าจะพึ่งพาอาศัยได้แล้ว เพราะพ่อก็ไม่มีแม่ก็ไม่มี ตัวเองคนเดียวเสมือนหนึ่งพ่อเขาด้วย แม่เขาด้วย จะต้องอุปการะเด็กนั่นด้วย อันเนี้ยมันเป็นสิ่งที่มาคิดวิเคราะห์แล้ว เป็นผู้ปกครองตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก อายุยังน้อยจนกว่าเด็กเหล่านั้นได้เข้าโรงเรียน คนพี่เค้าแต่งงานเสร็จ มอบหมายงานทั้งหลายเหล่านั้น ให้กับพี่เสร็จก็เลยออกมาบวช ก็ถือว่าได้เป็นผู้ปกครองตั้งแต่สมัยอายุยังเยาว์

จนกระทั่งมาบวช ปีนั้นเป็นสามเณร สามเณรทั้งหลายมี ๒๕ รูป ท่านอาจารย์มอบหมายให้เป็นผู้บริหารทั้งหมด แล้วบรรดาเณรเหล่านั้นก็ล้วนแต่เณรใหญ่ๆ เป็นผู้มีความรู้ นักธรรมเอก นักธรรมโท นักธรรมตรี ส่วนใหญ่ได้นักธรรมกันทั้งนั้น ตัวเองพึ่งจะบวช แม้แต่สวดมนต์ก็ยังไม่ได้ แต่อาจารย์ก็เรียกมา แล้วก็แต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าผู้บริหารเณรทั้งหลาย แหม อันนี้เป็นสิ่งที่น่าท้อใจที่สุด แต่ในเมื่อครูบาอาจารย์เห็นว่า เราเป็นคนดี มีความสามารถ ซึ่งพอที่จะปกครองพระเณรได้ เราก็ยอมรับด้วยความภาคภูมิใจ ก็อุตส่าห์พยายามทำตลอดพรรษา แทบกระอักเลือดตายเหมือนกัน แหม มันยุ่งจริงๆ ยุ่งมาก 

ทีนี้ต่อมาไอ้เรื่องที่น่าเศร้าสลดที่สุดก็คือการแสวงหาพระอรหันต์ การแสวงหาพระอรหันต์นี่ไม่ใช่ของง่าย มันเป็นของยากมาก แต่ในเมื่อเราไปเจอพระอรหันต์แล้วเนี่ย มันบอกไม่ถูก ความภาคภูมิใจ ความดีใจ มันบอกไม่ถูก เพราะเราเนี่ย แสวงหาพระอรหันต์เนี่ย เกือบจะท้อใจเกือบจะกลับบ้าน กลับบ้านก็คือสึกลูกเดียว คืออยู่ไม่ได้เนื่องจากว่าถ้าเราไม่ได้พระอรหันต์เป็นตัวอย่างในข้อปฏิบัติแล้ว เราจะไปดูปุถุชนด้วยกันเนี่ย ประพฤติปฏิบัติให้ได้คุณธรรมชั้นสูงนี้ เป็นไปได้ยากและไม่มีโอกาสที่จะเป็นไปได้ด้วย ถ้าไปเจอพระอรหันต์ เราเชื่อว่าท่านนี้หละคือพระอรหันต์ ท่านผู้นี้ได้ประพฤติปฏิบัติอย่างนี้จึงได้คุณธรรมชั้นนี้ จึงสมควรยกย่องเป็นพระอรหันต์ ท่านจะได้ประสิทธิ์ประสาทข้อปฏิบัติอันนั้นให้กับเรา เราก็จะได้ประพฤติปฏิบัติ เราก็ได้คุณธรรมเหมือนกันกับท่าน ถ้าไม่อย่างนั้นเราก็ไม่มีโอกาสที่จะเป็นได้ เพราะเราเป็นสาวกวิสัย ไม่ใช่สัพพัญญูพุทธวิสัย ไม่ใช่ปัจเจกวิสัย เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นจะต้องแสวงหา

ในเมื่อเราแสวงหา ไปตรงไหน ตรงไหนเขาลือว่าเป็นพระอรหันต์ มันพระอรหันต์อยู่ที่ปากเท่านั้น ปากน่ะมันพูดได้เป็นพระอรหันต์ อวดตัวเองเป็นพระอรหันต์ อวดตัวเองเป็นผู้หมดจดจากกิเลส แต่แท้ที่จริงแล้วตัวเองเนี่ย ไม่ได้หมดจดจากกิเลสเลย ไม่มีคุณธรรมเลย ไปจำขี้ปากคนอื่นมาคุย ไปท่องตำรามาอวดกันเท่านั้น เป็นคุณสมบัติของผู้อื่นทั้งนั้น ไม่ใช่ของตัวเองเลย ในเมื่อไปอยู่ด้วย มองแล้วไม่ไหว ก็ต้องออกเดินทางต่อ 

แสวงหาจนอ่อนใจ เกือบจะตัดสินใจกลับบ้านอยู่แล้ว ยังเหลือด่านเดียว ด่านเดียวเป็นด่านสุดท้ายคือหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระเท่านั้น ถ้าเกิดเข้าไปถึงสำนักหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ ยังเป็นอยู่อย่างที่เราเห็นมา ตามรายทาง เราก็กลับลูกเดียว กลับถึงบ้านละก็ สึก คืออยู่ไม่ได้ ลงความเห็นคำเดียวว่าสึก จะอยู่ไปทำไม มือเราก็มี ตีนเราก็มี สติปัญญาของเราก็มี เราหาเลี้ยงหาอาตมภาพดีกว่าเราจะต้องเบียดเบียนสังคมเค้า ถ้าเราอยู่ไม่มีศีลไม่มีธรรม ไม่มีคุณธรรม ไม่มีสิ่งที่พอใจ ซึ่งจะทำให้เราอยู่ อยู่ไปทำไม ไปอาศัยผู้อื่นเลี้ยงชีพ มันใช้ไม่ได้! เราไม่อยู่ ก็ตัดสินใจ สึก! คำเดียวคือสึก มีแค่นั้น เอาหละ ด่านสุดท้าย เราเข้ากัน

แต่แล้วพอเข้าไปถึงด่านสุดท้าย สมความปรารถนา พอเข้าไปถึงหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระแล้วเนี่ย ใจยอมรับทันทีว่า เออ ผิด ผิดจากที่เราเห็นมา ยิ่งเราเข้าไปอยู่ ยิ่งนานเท่าไหร่ ความดียิ่งแสดงออกมากขึ้นๆทุกที ไม่ใช่ความชั่วแสดงออก เหมือนอย่างที่เราเห็นมา มีแต่ความดีแสดงออก ความชั่วไม่มี เราเห็นแล้วเรากลัว กลัวอะไร กลัวจะปฏิบัติตามท่านไม่ได้ เอาเพียงแค่กิริยานอกที่ท่านแสดงเนี่ย เราสามารถแสดงกับท่านได้มั้ย มันไม่มีทางเป็นไปได้ ร้อยหนึ่งจะได้ซักนัยหนึ่งยังลำบาก ท่านประเสริฐที่สุด! มองทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกกิริยาอาการ ไม่มีอะไรที่จะน่าติได้เลย น่าเลื่อมใสจริงๆ น่าบูชาจริงๆ 

ก็มอบกายถวายชีวิตแก่ท่าน กราบเท้ากราบตีนขอถวายตัว เสมือนหนึ่งตีนของท่านหรือเสมือนหนึ่งมือของท่าน หรือเสมือนหนึ่งผ้าเช็ดเท้า สุดแล้วแต่ท่านจะเช็ดจะเหยียบ สุดแท้แต่ท่านจะใช้ให้ปฏิบัติอะไรไปตรงไหนจะไม่มีคำว่าขัดข้อง ยินดีสนองตามเจตนาทุกอย่าง ขอถวายปวารณา อันนี้ ที่อยู่กับท่านทำอย่างนั้นเพราะว่าการแสวงหาพระอรหันต์นี่มันยากเหลือเกิน ในเมื่อเราไปเจอแล้ว เราก็ต้องยอมทุกอย่าง ถวายแม้แต่ชีวิตจิตใจ ยินดีประพฤติปฏิบัติตามโอวาทที่ให้ทุกอย่าง 

คำสอนของท่านทุกคำเป็นประโยชน์ทั้งนั้น ล้วนแต่เป็นอุบายที่จะขูดเกลากิเลส ล้วนแต่เป็นอุบายที่จะทำลายภพชาติของจิต ล้วนแต่เป็นอุบายวิธีที่จะทำลายความชั่วที่มีอยู่ให้หลุดพ้นออกไป ล้วนแต่เป็นอุบายวิธีที่จะป้องกันความชั่วที่ยังไม่เกิดไม่ให้เกิดขึ้นทั้งนั้น ฟังแล้วมันซาบซึ้ง ฟังแล้วมันน่าตื่นเต้น และไม่ใช่ท่านพูดได้อย่างเดียว ท่านทำได้ซะด้วย อันนี้สิ ไอ้คนเรามันพูดได้ แล้วมันทำไม่ได้เนี่ย อันนี้มันมากเหลือเกิน แต่พูดได้ด้วย ทำได้ด้วยเนี่ย แหม มันหายากเต็มที

เนี่ย เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่าเป็นผู้มีโชคดีเหลือเกินจึงได้ไปเจอพระอรหันต์เข้า แต่ก็มีโชคร้าย ถูกขอร้องให้ออกจากพระอรหันต์ ให้ออกแสวงหาการบำเพ็ญด้วยลำพังตนเอง แหม เราก็มีความปรารถนาเหลือเกิน แต่ในเมื่อมาเห็นแล้ว มาถึงแล้ว น่าจะปล่อยให้เราได้ศึกษาได้ซักสองสามปี ไม่มากนัก ได้ซักสองสามปีเราก็พอใจ แต่แล้ว อยู่ประเดี๋ยวประด๋าว ขอร้องให้ออก บอกว่าพระอยู่ข้างนอกมีเยอะจะต้องเข้ามาศึกษาปฏิบัติเหมือนกัน ถ้าเรามาอยู่อย่างนี้ คนอื่นเค้าจะเข้ามาก็ลำบาก 

แหม แค้นเลยทีเดียว แค้น หายใจไม่ออก แค้น คอตีบน้ำตาร่วงเลย บอก​ โอ้โห มันกรรมเวรอะไรเรา เราเกิดมาชาตินี้ ทำไมมันกรรมเหลือเกิน มันเวรเหลือเกิน เกิดมาแม่ก็ตายจาก พ่อก็ไปมีเมียใหม่ เราก็พึ่งพาอาศัยคุณตา คุณยาย คุณป้า คุณลุง แทนพ่อแทนแม่ อยู่อย่างแสนลำบาก เพราะจะต้องประพฤติตนให้เป็นที่น่าเชื่อถือ เป็นที่น่าเลื่อมใส เป็นที่น่ารักน่าสงสารของบรรดาผู้ที่เราไปอยู่ใต้ร่มเงา หรืออยู่ในอ้อมอกของท่าน เราต้องประพฤติปฏิบัติทุกอย่างที่ท่านเห็นว่าเป็นของดี ความชั่วเราจะพยายามเว้นทุกอย่างโดยไม่ให้ท่านตำหนิได้ มันก็แสนที่จะลำบาก เพราะมันฝืนใจอยู่ตลอด แหม ทำไมมันช่างกรรมถึงขนาดนี้ 

ในเมื่อเรามาเจอของดีแล้วเนี่ย เอื้อมมือจะถึงอยู่แล้วเนี่ย มันเห็นแล้ว มันเห็นแล้วเวลานี้มันเห็นแล้ว มันเห็นทางที่จะก้าวเข้าไปสู่ความเป็นพระอรหันต์แล้ว มันอยู่ในเอื้อมมือเท่านั้นเองเนี่ย เอื้อมมือนี่ก็ถึงแล้ว แต่แล้วมันกรรมเวรอะไรซึ่งมาตัดบทตัดรอน ถูกขับไล่ออกไป คิดแล้วมันก็เกิดแค้นอยู่ในใจอยู่ตลอดเวลาว่า มันกรรมเวรอะไร แล้วก็มานึกถึงผู้ที่ไล่ออกไป ก็ว่าเขาเหล่านี้แหละประเสริฐกันแค่ไหนนัก ทำไมมาอยู่กับองค์พระอรหันต์แท้ๆจึงไม่มีนิสัยเหมือนพระอรหันต์เอาเสียเลย มีนิสัยเหมือนอันธพาลเนี่ย เค้าเรียกอันธพาลเบอร์หนึ่งในวัด

เนี่ย เล่าเรื่องประวัติเก่าให้ฟังว่า มันตื้นตันใจ เรื่องหนึ่ง ต่อจากนั้นไป ก็มีอีกเรื่องหนึ่ง ในเมื่อนานไปๆแล้วก็ ค่อยๆจากค่อยๆห่าง ครูบาอาจารย์ท่านก็จากไป ก็ไปพึ่งพาอาศัยครูบาอาจารย์องค์อื่นๆ ดีบ้างชั่วบ้าง ท่านให้ความอบอุ่นบ้าง ได้รับลงโทษบ้าง สารพัด จนกระทั่งมาถึงครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง เป็นครูบาอาจารย์ที่เคารพรักสักการะบูชาที่สุด รองจากหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระลงมา ก็ได้แก่พระอาจารย์สีลา อิสฺสโร นี่ก็มานั่งคุยกับครูบาวี บอกว่า เป็นครูบาอาจารย์ที่เราเคารพเลื่อมใสที่สุด เพราะท่านเป็นผู้ที่เรียบร้อยที่สุด 

อยู่ด้วยกันมาเป็นเวลานาน เข้าๆออกๆ ออกพรรษาแล้วขึ้นภูวัว กลับลงมาจำพรรษากับท่าน บางทีก็อยู่กับท่านนานๆ คำพูดแม้แต่คำหยาบซักคำนึงก็ไม่มี ท่านใช้คำพูดสุภาพเรียบร้อย กิริยาอาการลุก เหิน เดิน นั่งก็เรียบร้อย หมายความว่าง่ายๆ คำว่าโทสะเนี่ย ไม่มีเลย ใครจะทำยังไงก็แล้วแต่ พระเณรจะยังไงก็แล้วแต่ มองดูแล้วพระเณรของท่านดูไม่ได้เลย แต่ท่านไม่แสดงอาการอะไรเลย หงุดหงิดก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี บ่นก็ไม่มี 

มีแต่เรานะสิมันแย่ แย่เพราะอะไร มันหงุดหงิด มันรำคาญ มันสารพัดสารพันที่มันจะเกิดขึ้น ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เราเดินจงกรมอยู่ดีๆ ขโมยข้างหลังเอาขาไปเกาะขากัน ล้มลงไป คางไปกระแทกกับพื้น ฟันก็กระทบกับปาก เลือดไหลอาบออกมา มานั่งซึม แค้นอยู่ในใจ ถ้าเราจะทำอะไรลงไป เราก็มาถามตัวเองว่า เรามาเพื่ออะไร อันนี้เราตั้งปัญหาถามตัวเองว่าเรามาเพื่ออะไร เรามาเพื่อคุณธรรมไม่ใช่หรือ แล้วเราจะมาประพฤติความชั่วได้ยังไง คิดบ้างก็ยอมลงไป เอ้า พอจิตมันยอมลงไปก็มาคิดอีกว่า ญาติพี่น้องทุกคนไม่ได้มาเกี่ยวข้องกับความประพฤติของเรานะ แต่ถ้าเราทำอะไรไม่ดีลงไปนี้ ญาติพี่น้องของเราทุกคนนี่เสียอกเสียใจ ได้รับความกระทบกระเทือนด้วยกันทั้งหมด แต่แล้วญาติพี่น้องทุกคนเนี่ยเค้าไม่ได้มาเกี่ยวข้องในความประพฤติชั่วของเรานะ เพราะฉะนั้นเราอย่าประพฤติชั่วนะ ว่าตัวเอง ใจมันก็ยอม 

คือความโมโห ความรู้สึกเสียใจที่เค้าทำให้เราเจ็บเนี่ย มองเห็นตัวเขาเท่าตัวมดเท่านั้นเอง ไม่ได้มองเห็นเท่าคน มองเห็นเท่ามด คิดว่าไม้ซักดุ้นหนึ่งขึ้นมาเนี่ย ตีท้ายทอยเข้าไปทีเดียวน่ะ คิดว่าคงไม่เป็นคนแล้ว ต้องเป็นผี แต่แล้วในเมื่อเราหวนมาคิดอย่างที่ว่านี้ ใจมันก็อ่อน ทำไม่ได้ 

ทีนี้ก็มีตออยู่ตอหนึ่ง เป็นที่นั่งสมาธิ นั่งสมาธิดีๆ กำลังเพลินๆ เข้ามาข้างหลัง ฮะ! มาผลัก ความตกใจ พ่อพระคุณเหมือนฟ้าผ่า แหม บอกว่าไม่รู้จะเอายังไงดี แต่ครูบาอาจารย์นี่แสนดีที่สุด ไม่เคยบ่นรำคาญ แต่ไอ้พวกเลวๆทั้งหลายเหล่านั้น เนี่ย 

ทีนี้ต่อมา ก็มาคิด คิดว่าเราเนี่ยจะต้องจากอาจารย์ของเรา ถ้าเราไม่จากเนี่ย เราก็ไม่มีโอกาสที่จะบำเพ็ญเป็นไปได้ ก็ขึ้นไปกราบ ขึ้นไปกราบท่าน ไปกราบท่านเสร็จเรียบร้อยก็ไปนวดขานวดแข้งปฏิบัติ ปฏิบัติท่านตามธรรมเนียมของพระกรรมฐานนี้ พอครูบาอาจารย์ขึ้นกุฏิก็ต้องหลั่งไหลขึ้นไป จะต้องไปนวดขานวดแข้งปฏิบัติเนี่ย กินเวลาประมาณบางทีหกทุ่ม ตีหนึ่ง ถึงจะได้หยุด อันนี้เป็นประจำทุกแห่ง เค้าเรียกว่ากิจวัตรประจำวันของพระที่ถือนิสัยต้องปฏิบัติอย่างนั้น เราก็ขึ้นไปนวดขานวดแข้ง ท่านเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว ท่านก็บอกว่า “เอาหละ สมควรเวลาแล้ว” พอบอกว่า “เอาหละ สมควร เวลาแล้ว” ท่านก็ลุกขึ้น ทุกวัน เราก็กราบ พอกราบเสร็จแล้วก็กลับขึ้นไปพัก

แต่วันนั้นพอกราบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้กลับไป คือกราบเรียนท่านว่า เกล้ากระผมจะต้องขอลาครูบาอาจารย์ออกไปบำเพ็ญโดดเดี่ยวซักพักหนึ่ง จะกินเวลาเท่าไหร่นั้นก็สุดแล้วแต่ความดี ถ้ากระผมสามารถประพฤติปฏิบัติมองสภาพความเป็นจริงของโลกได้ ใจยอมรับสภาพสามอย่าง ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความเป็นอนัตตา ยอมรับจริงๆ! จนใจของกระผมนี่เชื่อมั่นได้ว่า กระผมไม่มีโอกาสที่จะสึกได้แล้วเนี่ย กระผมจะหวนกลับมาอุปัฏฐากครูบาอาจารย์อีกต่อไป เพราะกระผมไม่มีใครอีกแล้วที่กระผมเลื่อมใสกราบไหว้บูชาเกินกว่าพระเดชพระคุณครูบาอาจารย์รองจากหลวงปู่มั่นลงมาก็มีแค่นี้เอง ซึ่งกระผมเคารพที่สุด นอกนั้นหละก็ มีหลวงปู่หล้า ถ้ำแม่มด(?)เป็นองค์ที่สาม รองจากหลวงปู่มั่นลงมา เพราะฉะนั้นพระเดชพระคุณนี่เป็นองค์สอง นอกนั้นกระผมอยู่ด้วยทุกองค์มาเลย ให้กระผมมีความเคารพนับถืออย่างนี้ไม่มี แต่เคารพก็เคารพอยู่ แต่มันน้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่เหมือนครูบาอาจารย์นี้ 

พอพูดจบ ท่านไม่พูด ท่านนั่งก้มหน้า ท่านนั่งก้มหน้าโดยไม่พูดอะไร ก็คิดว่าครูบาอาจารย์เนี่ยหวังพึ่งพาเรา เราจะต้องถวายความสะดวกสบายกับท่าน เป็นผู้อาสารับรองป้องกัน พวกวุ่นวายทั้งหลายเหล่านั้นไม่วุ่นวายเกินขอบเขต ถ้าขาดพวกเราห้าองค์เนี่ย ไอ้พวกวุ่นวายทั้งหลายเหล่าเนี้ยมันจะก่อความวุ่นวายมากขึ้น วัดจะเสื่อมทรุด ความเลื่อมใสศรัทธาของชาวบ้านจะน้อยลง ความเป็นอยู่มันจะแย่ ท่านเองคงจะไม่มีความสุข คิดว่าท่านคงคิดแบบนี้ ก็เกิดความสงสาร ก็นั่งก้มฟังอยู่อย่างนั้น ฟังคำตอบว่าท่านจะตอบว่ายังไง พอฟังแล้วก็ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสารท่าน แน่นคอหอยขึ้นมา ทนไม่ไหว น้ำตาหยดหลายหยดเต็มที จนต้องเอาผ้าอังสะมาเช็ดน้ำตาตัวเอง (เทปขาดตอน)

…ก็ออกเดินทางกลับ นอนไม่ได้ทั้งคืน คิด พยายามคิด คิดยังไงก็ไม่ตกลงใจ อยู่จนอาทิตย์นึง นอนไม่ได้เลย ทั้งกลางวันและกลางคืน ก็เดินจงกรมภาวนาอยู่ตลอด ก็ถูกพวกมารทั้งหลายเหล่านั้นมันก็รังควาญก่อกวนอยู่ตลอดเหมือนกัน ก็ยิ่งทำให้อยากออกไปบำเพ็ญมากขึ้น พอครบเจ็ดวันก็ขึ้นไปกราบท่านอาจารย์ นวดขา พอนวดขาเสร็จเรียบร้อยแล้วก็กราบอีกอย่างเดิมว่า 

“เกล้ากระผม เห็นจะต้องจากครูบาอาจารย์แล้ว กระผมอยู่ไม่ได้” 

ท่านถามขึ้นว่า “ขัดข้องเรื่องอะไรหรือ ผมจะช่วยได้ไหม” 

ก็บอกว่า “กระผมไม่สะดวกในการบำเพ็ญ​ เวลานี้กระผมต้องเข้าไปอยู่ในป่าช้า ฝนตกก็ต้องเปียกหมอกแหมกอยู่ทั้งคืน เดินจงกรมแล้วก็นั่งอยู่ที่นั้น บางทีก็ต้องเอากลดไปกางอยู่ที่นั้น กระผมจะเอาของมาเก็บที่กุฏิได้เท่านั้น กระผมทรมานใจเหลือเกิน ไม่มีความสะดวกต่อการบำเพ็ญเลย เพราะฉะนั้นกระผมจะต้องจากครูบาอาจารย์ ไปสู่สถานที่สงบ ขอเร่งบำเพ็ญจนให้กระผมได้คุณธรรมสามอย่าง แค่นี้กระผมพอใจ แน่ใจว่ากระผมไม่สึกหละ แล้วกระผมก็จะกลับมาปฏิบัติครูบาอาจารย์อีกต่อไป”

ท่านเกิดไม่พูดอีกต่อไป นั่งซึม ก็ไม่รู้จะว่าไง คอหอยมันก็ตีบตันขึ้นมา น้ำตาก็ไหลหยดอีกอย่างเดิม ไม่รู้ว่าจะเอาไงดี คือท่านดีเหลือเกิน ท่านดีท่านประเสริฐ ประเสริฐจนเราเนี่ยจะไปฝืนอะไรท่านไม่ได้ ท่านดีจริงๆ ประเสริฐจริงๆ จะเอายังไงกันแน่ นั่งอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงว่าท่านจะพูดว่ายังไง พอได้ครึ่งชั่วโมง ท่านเอ่ยวาจาขึ้นมาว่า 

“เอาอย่างนี้ดีมั้ย ผมว่า ให้ไปอยู่บ้านกุดเรือ เพราะว่าจากนี้ไปไม่สู้จะไกลกันเหลือเกิน แล้ววันอุโบสถ อุโบสถหนึ่งก็มาทำอุโบสถร่วมกับผม ทุกสิบห้าวัน ให้เราได้เห็นหน้ากันทุกสิบห้าวัน ขัดข้องธรรมะด้วยประการใด เราจะได้คุยกัน” 

ก็มานั่งคิด คิดแล้วก็หันมาถามหมู่ ว่าไง นี่ท่านครูบาอาจารย์ท่านเสนอมาอย่างนี้ เราจะว่าไง เพื่อนสี่องค์นั้นบอกว่า ตกลง เอ้า ตกลงก็ตกลง 

ตกลงก็บอกท่านว่า “ตกลง กระผมเอาอย่างนั้นแหละดีแล้ว” 

“เออ ดีหละ บางทีผมอาจจะไปอยู่ด้วย” บอกว่า “ถ้าผมไม่ไปก็ต้องมาทำอุโบสถทุกวันอุโบสถ หรือถ้าไม่อย่างนั้นผมต้องไปอยู่ด้วย อาจเป็นเดือนสองเดือน” 

ก็เป็นว่าตกลง เราก็ไปอยู่ที่นั้น บ้านกุดเรือนั้น ก็ไปเดินจงกรมภาวนาบำเพ็ญกันอยู่ ณ สถานที่นั้น ปีแรกไปจำพรรษาที่บ้านโคกกุดเรือ ที่หลวงปู่หาญอยู่นั้น ปีต่อมาก็มาอยู่ที่บ้านกุดเรือใหญ่นี้ วนเวียนกันไปกันมา ท่านครูบาอาจารย์นี่ท่านก็มาหาเรา มาอยู่ด้วย ทีละสองสามเดือนท่านก็กลับ คือเราคุยธรรมะมันถูกคอกัน คือคุยแล้วมันเข้าใจ ท่านบอกว่า ท่านก็อยู่กับหลวงปู่มั่น อยู่กับหลวงปู่เสาร์ มาเป็นเวลาสิบ ยี่สิบปี ก็ฟังธรรมะปฏิบัติมาตลอด แต่ในเมื่อเรามานั่งคุยกันเนี่ย มันก็คือของเก่าน่ะแหละ แต่มันทำให้เกิดความกระจ่างในข้อปฏิบัติขึ้น มองชัดเจนมากในรูปข้อปฏิบัติว่า การดำเนินอย่างเนี้ยเป็นการทำลายกิเลส เป็นการทำลายภพของจิต แล้วก้าวเข้าสู่มรรคผลได้จริงๆ มันมองชัดขึ้นทุกทีๆๆ 

เพราะฉะนั้นเราอยู่ด้วยกันก็เพื่อจะได้ปรึกษาธรรมะซึ่งกันและกัน และเห็นท่านเดินจงกรมนั่งสมาธิไม่ค่อยหลับค่อยนอน ผมก็ต้องเร่งของผม ไม่ค่อยหลับค่อยนอน ก็ได้ความดีสูงขึ้น ในเมื่อพวกท่านจากไปเนี่ย พวกนี้ก็ไม่ค่อยทำอะไรกันเลยเนี่ย ผมทำอยู่คนเดียวกระด๊กกระเด๊ก มันก็ดูกระไรอยู่ เราก็ยอม ทีนี้ท่านยอมเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว ก็ดำเนินกันอยู่นั่นพักนึง ก็มากราบลาท่านอีกทีว่า “กระผมจะต้องขออนุญาตออกไปบำเพ็ญอยู่ทางอำเภอท่าบ่อ ครูบาอาจารย์จะว่ายังไง” ท่านก็นั่งไม่พูดเหมือนกันอีก นั่งซึม เราก็นั่งคอยฟังคำตอบถึงครึ่งชั่วโมง ท่านก็ให้คำตอบว่า 

“นิมนต์เถอะ เพื่อคุณธรรม เพื่อความสำเร็จมรรคผล ขอนิมนต์เถอะ เอาให้ดีที่สุด”​ 

ก็บอกว่า “ครับกระผม” 

เสร็จแล้วก็ออกเดินทาง ก็เป็นว่าไปอยู่ที่วัดของหลวงปู่มั่น เรียกว่า วัดพระงามศรีมงคล เป็นฐานทัพของไทย ที่ไทยไปตั้งฐานทัพที่จะไปตีพวกฮ่อ ฮ่อมันตั้งฐานทัพอยู่ที่วัดพระเจ้าองค์ตื้อ ยึดวัดพระเจ้าองค์ตื้อเป็นฐานทัพ ทางเราก็ยึดวัดพระงามศรีมงคล สมัยนั้นเค้าเรียกว่าวัดหนองคลอง สมัยก่อนนั้นที่ยกทัพไปอยู่ที่นั้น เราก็ไปอยู่ที่นั้น หลวงปู่มั่นท่านปั้นพระองค์หนึ่งไว้สวยมาก จึงเรียกว่าวัดพระงามศรีมงคล หลวงปู่มั่นปั้นด้วยมือของท่านเอง สวยมาก ฝีมือของท่านดีมาก สวยจริงๆ จนตั้งชื่อ ใครก็บอกว่างามๆ จนตั้งชื่อว่าวัดพระงามศรีมงคล อันนี้เล่าสู่กันฟัง 

อันนี้ชีวิตความเป็นมา เรามาเจอครูบาอาจารย์ดีๆก็มีอุปสรรค ในเมื่อมาเจออาจารย์ที่ดีอีกองค์ที่สอง ก็มีอุปสรรคเกี่ยวแก่สิ่งแวดล้อมมันไม่อำนวย คือบริวารของท่านไม่ดี จนกระทั่งในที่สุดก็ไปเจอหลวงปู่หล้า วัดถ้ำแม่มด เนี่ย โอ๋นี่ก็ประเสริฐ ประเสริฐรองลงมาอีกองค์หนึ่ง อันนี้ดีที่สุด ก็เป็นว่าบวชมาชาตินี้ได้ครูบาอาจารย์ที่ดีสามองค์ ยอดเยี่ยมเลย ดีมาก อันนี้เล่าสู่กันฟัง 

แต่ทีนี้พวกเราเองเนี่ย อยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ เรื่องครูบาอาจารย์เนี่ยพวกเราจะถนอมที่สุดเรื่องน้ำใจ ได้ครูบาอาจารย์ที่ดีแล้วนี่ เราต้องถนอมน้ำใจ อะไรนิดนึงน้อยนึงเนี่ย เกิดขึ้นมาเนี่ย เรานี่ตีนสั่น มือสั่น พระเณรทะเลาะกันปึ๊บขึ้นมานี่ กลัวครูบาอาจารย์จะเห็น กลัวครูบาอาจารย์จะได้ยิน กลัวอย่างที่สุดในชีวิต จะต้องเอาชีวิตเข้าเป็นเดิมพัน เข้าไปแก้ไขขอร้อง ต้องขอร้องขอวอน ต้องเล่าถึงคุณงามความดีของครูบาอาจารย์ให้ฟังทั้งหมด แล้วขอร้องขอวอนว่าอย่าให้มีเรื่องอันนี้กระทบกระเทือนถึงใจครูบาอาจารย์เด็ดขาด 

เพราะครูบาอาจารย์เนี่ย ท่านต้องสอนเราทุกวัน ให้ธรรมะเราทุกวัน ถึงแม้ท่านไม่ให้ด้วยวาจา ท่านก็ให้ด้วยกิริยาการแสดงออกทางกายและการบำเพ็ญ ถ้าเราเป็นผู้มีหูดีตาดี เราจะดูธรรมะหรือฟังธรรมะได้ทุกวัน นอกจากคนโง่ ถ้าคนฉลาดจะต้องดูกิริยาอาการของครูบาอาจารย์ ดูการรับแขกของครูบาอาจารย์และการลุก เหิน เดิน นั่ง ทุกกิริยา ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเป็นตัวอย่าง คือเป็นการเทศนาอยู่เสมอ ไม่จำเป็นจะต้องมาเทศน์ด้วยปากโว้กๆๆ ไม่จำเป็น มันไม่จำเป็น 

การแสดงธรรมะบางทีไม่ได้ออกจากปากเลย เกิดความเลื่อมใสเลยก็มี เช่นตัวอย่างในเรื่องสมัยพุทธกาล พระอัสสชิเถระเจ้านี่ เราลองคิดดูก็แล้วกัน พระอัสสชิเถระเจ้าเพิ่งสำเร็จใหม่ๆ เป็นพระอรหันต์แล้วก็บวชใหม่ได้สำเร็จเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา แล้วพระอัสสชิออกเดินทางไป เพื่อประกาศสัจธรรม ก็ไปเจอพระสารีบุตร พระสารีบุตรเนี่ยเบื่อความเป็นอยู่ในโลกอย่างสูงสุด เป็นผู้มีบารมีสูงอยู่ พอมาเห็นพระอัสสชิเถระเจ้าเดินมา มองกิริยาอาการแล้วเกิดความเลื่อมใส เลื่อมใสเป็นอย่างมากที่สุดเพราะว่าตัวเองนี่ยังไม่เคยเห็นสมณะแบบนี้ ไม่เคยเห็นในชีวิต บรรดาสมณะทั้งหลายในอินเดียเนี่ย หลายกลุ่มหลายพวกมากที่สุด แต่สมณะแบบนี้ไม่เคยเห็น ไม่เคยเห็น เกิดความเลื่อมใสศรัทธา 

พยายามสะกดรอยตาม ท่านบิณฑบาต ตามเลย ตามเรื่อยไปเลย ไปไหนไปเลย ถึงไหนถึงกัน จนกว่าท่านจะนั่ง ท่านนั่งหรือท่านทำธุระของท่านเสร็จทุกอย่าง เราจะต้องฉวยโอกาสหรือถือโอกาสเข้ากราบเรียนท่านให้ได้ ก็พยายามติดตาม ก็ตามไปๆๆ จนกระทั่งไปถึงป่า และมีน้ำ ท่านก็เข้าที่ พอเข้าที่ มองเห็นว่านี่ท่านจะฉันจังหัน สารีบุตรก็หลบมุม หลบมุมรอจังหวะ ท่านก็นั่งฉันจังหัน พอท่านฉันจังหันเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว ท่านก็ลงมาล้างบาตรที่คลอง ล้างบาตรเช็ดบาตรของท่านเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว ท่านก็เอาบาตรของท่านวาง รอจังหวะ สารีบุตรพรวดออกมาจากป่า เข้าไปหาดิ่งเข้าไปเลย กราบ ถามว่า 

“ดูก่อนสมณะ ท่านเป็นลูกศิษย์ของผู้ใด ใครเป็นศาสดาของท่าน” 

(พระอัสสชิ)บอก “เราเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า คือพระสมณะโคดม” 

“พระพุทธเจ้าสมณโคดมนั้น นิยมสอนว่ายังไง” 

ท่านบอกว่า “อาตมภาพเป็นพระใหม่” ทั้งๆที่ท่านเป็นพระอรหันต์นะ ท่านบอกว่า “อาตมภาพเป็นพระใหม่ ได้ศึกษาน้อย มีความรู้น้อย” 

แต่แล้วท่านเป็นพระอรหันต์แท้ๆ ท่านก็ถ่อมตนพูดอย่างนั้น สารีบุตรก็บอกว่า 

“รู้น้อยซึ่งศาสดาของท่านสอนนั้น คืออะไร พอจะเล่าให้ฟังได้มั้ยซักน้อยนึง”

“นิดหน่อยได้ แต่มากไม่ได้ เพราะอาตมภาพบวชใหม่”

เสร็จเรียบร้อยดีแล้ว พระอัสสชิก็บอกว่า

“ถ้าอยากจะฟังก็ฟัง เราจะเทศน์ให้ฟัง ศาสดาของเรานิยมเทศน์ว่า สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะเหตุ ดับไปเพราะเหตุ มีแค่นั้น ทุกอย่างมันมีเหตุ มันมีผล มันเกิดขึ้นจากเหตุ ดับคือดับจากเหตุ มีแค่นั้น”

ซาบซ่านที่สุด เลื่อมใสที่สุด กราบเท้ากราบตีนขอติดตาม ไปกราบว่าบัดนี้ศาสดานั่นอยู่ที่ใด ท่านจะไปหาศาสดานั่นเมื่อไหร่ 

“นี่เรากำลังเตรียมจะไปกราบคารวะศาสดาของเรา”

“ถ้าอย่างนั้นขอไปด้วย” จึงได้ติดตามไปด้วย เนี่ย อันเนี้ย 

เพราะฉะนั้นเราจะเห็นได้ในตำนานว่าพระสารีบุตรเนี่ยได้ยินข่าวว่าพระอัสสชิอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่จะต้องนอนหันศีรษะไปทางพระอัสสชิอยู่ เค้าถึงมองว่าทำไมพระสารีบตุรเป็นถึงพระอรหันต์ เวลานอนไม่มีระเบียบเหมือนชาวบ้านเขา วันหนึ่งหันขาไปทางหนึ่ง วันหนึ่งหันขาไปทางหนึ่ง หันไปก็หันมา ไม่มีหัวนอนปลายตีนที่แน่นอน ด้วยเหตุผลคืออะไร ทำไมไม่เหมือนชาวบ้านเขา 

พระสารีบุตรตอบว่า “กระผมมีความเลื่อมใสในพระอัสสชิเถระเจ้าซึ่งเป็นบุรพาจารย์ (หรือบุพพาจารย์) เป็นอาจารย์เบื้องต้นของข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้พระอัสสชิแล้ว ข้าพเจ้าคงไม่เป็นผู้เป็นคนอย่างนี้ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงเคารพเลื่อมใสมาก ได้ยินข่าวว่าท่านอยู่ทิศไหน ข้าพเจ้าต้องหันหัวไปทิศนั้น เพื่อเป็นการบูชาของข้าพเจ้า”

“ถ้าอย่างนั้น ก็เคารพพระอัสสชิมากกว่าพระพุทธเจ้าหละสิ”

“ข้าพเจ้าเคารพในพระพุทธเจ้าอย่างสูงสุด แต่ว่าเป็นอาจารย์ที่สอง พระอัสสชิเป็นอาจารย์ที่หนึ่งของข้าพเข้า พระพุทธเจ้าเป็นอาจารย์ที่สอง คือว่าเป็นอาจารย์ที่สองคือสามารถให้ธรรมะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ แต่ข้าพเจ้าได้คุณธรรมเบื้องต้นจากพระอัสสชิ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าต้องเคารพอาจารย์ซึ่งเป็นเบื้องต้นของข้าพเจ้าสูงสุด”

โอ้โห อันนี้เป็นของพิลึกกึกกือ เพราะฉะนั้นจึงว่ามันไม่จำเป็นอะไรที่เราจะต้องมาแสดงด้วยปาก อย่างที่เค้าลือกันว่า แหม องค์นี้เทศน์เก่งเหมือนน้ำไหลไฟดับ เทศน์ไม่มีติด ไม่มีข้อง โอ้โห เหมือนกับเทน้ำออกจากกระบอก กอกๆๆ สามชั่วโมงสี่ชั่วโมง เหมือนกับพระยันตระ ลือกันเอาเป็น ลือกันเอาตาย ไม่จำเป็นเลย สำหรับผู้เข้าใจธรรมะ เช่นตัวอย่างพระสารีบุตรเถระเจ้าเลื่อมใสเคารพในพระอัสสชิ เพียงแค่กิริยาที่เดินให้เห็นเท่านั้นก็เลื่อมใสแล้ว นั่นคือเป็นการประกาศศาสนาโดยกิริยาการแสดงออก ต่อมาก็มาคุยด้วยวาจา 

อันนี้เป็นอย่างนั้น ก็ไม่ได้มากมายอะไรเล้ย ธรรมทั้งหลายเกิดมาเพราะเหตุ ดับไปเพราะเหตุเท่านั้น ไม่ได้มากไม่ได้มายอะไร จำเป็นอะไรหรือ ซึ่งจะไปนั่งฟังกันเจ็ดชั่วโมงแปดชั่วโมงอย่างเค้าลือกันนี้ อันนี้มันไปหลงคำพูด จริงอยู่ไอ้พูดน่ะมันพูดได้ เหมือนเข้ามาพูดอยู่ที่เนี้ย โอ้โห ธรรมะนี่มันสรรมาจากไหน มันพูดกันนักหนา ทำไมพูดดีนัก แต่แล้วพอเค้าลงมาแล้วเราก็คุยกัน คุยทีเล่นทีจริงว่า คำพูดไปสรรมาจากไหน ทำไมถึงพูดได้ดีเหลือเกิน โอ้โห ทำไมท่านวิเศษอย่างนี้ เค้าบอกเค้าเพียรพยายามมานานหลายปี หัดพูดหัดเทศน์จนกว่าจะเป็นไปได้ก็พอสมควร 

แต่ขอโทษเถอะ ขอถามซักนิดหนึ่งว่า ไอ้ที่เราเทศน์ไปนี่เราปฏิบัติได้มั้ย ไม่เห็นตอบได้ซักคนเดียว หัวเราะคึกๆ ไม่ตอบด้วยว่าปฏิบัติได้ครับ ไม่มี ไม่มีใครตอบได้ซักคนเดียวว่าปฏิบัติได้ คือพูดได้เทศน์ได้แต่ปฏิบัติไม่ได้ มันมีความหมายอะไร มันมีความหมายอะไร อันนี้มันเป็นอย่างนั้น เนี่ย

พวกเราก็เหมือนกัน ขอให้ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติเหมือนอย่างที่เราดำเนินมานี้ อย่างยกตัวอย่างปรารภเมื่อกี้นี้ว่า เรื่องอะไรทั้งหลายแหล่เกิดขึ้นนิดเดียวนี่ กลัวเรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะถึงครูบาอาจารย์ ระส่ำระสายอย่างที่สุดต้องประคับประคอง อ้อนวอนขอร้องยกมือกราบ ยกมือไหว้ ขอแล้วขออีก อธิบายถึงคุณค่าของครูบาอาจารย์ให้เขาฟัง บางครั้งก็สำเร็จ บางครั้งก็ไม่สำเร็จ ในเมื่อไม่สำเร็จเราก็ยอม ในเมื่อสำเร็จ เราก็ดีอกดีใจของเรา ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ครูบาอาจารย์แค่องค์เดียว ไม่ใช่มากมายเล้ย แค่องค์เดียวเท่านั้นแหละ ครูบาอาจารย์เอาใจมาใส่พวกเรานี่ ไม่รู้กี่คน แล้วพวกเรามานี่ไม่ใช่โคตรสกุลของท่าน ไม่ใช่ลูกไม่ใช่หลานท่าน ไม่ใช่พ่อไม่ใช่แม่ของท่าน แต่ท่านก็มีความเมตตาอารีเผื่อแผ่ ทุกท่านทุกคนอยากให้มีความสุขเสมอเหมือนกัน ก็พยายามที่สุดเท่าที่จะพยายามได้ 

แม้นว่าพระภิกษุสามเณรทั้งหมดปีนี้ไม่เคยใช้คำหยาบ และไม่เคยด่า ไม่เคยกระแทกกระทั้นพระเณรด้วยคำพูด และกิริยาอาการเลย เพราะอะไร เพราะพระเณรท่านประพฤติดีปฏิบัติชอบ น่ารัก น่าเลื่อมใส เราก็รักลูกของเรายิ่งกว่าอะไรทั้งปวง แม้นใครว่าจะมาดูถูกดูหมิ่นหรือกระทบกระเทือนลูกของตัวเองเนี้ย คงจะเสียใจแทนลูกนี่เป็นอย่างมากที่สุด แล้วพยายามเอาอกเอาใจอย่างที่สุด บรรดาลูกศิษย์คือลูกทั้งหลายเหล่านี้อยากได้อะไร ต้องการอะไร คำเดียวไม่เคยขัดข้อง ยินดีทั้งนั้น พยายามที่จะสนองตามเจตนา ครูบาอาจารย์องค์เดียวคือพ่อองค์เดียว มีความรักลูกรักเต้า ทุ่มเทชีวิตจิตใจ พร้อมทั้งสิ่งที่ได้ที่เป็น อันเป็นวัตถุภายนอกก็ดี ธรรมะก็ดี พยายามประสิทธิประสาทวิชาและพยายามให้ ไม่เคยขัดข้อง 

เทศน์แม่ชี

แม่ขาวนางชีก็เช่นกัน สมัยก่อนเราเคยด่าเคยว่ากันบางทีนี่ เอาจนถึงแทบจะตัดคอทิ้งก็มี ความรุนแรงถึงขนาดนั้น แต่ในเมื่อตกมาปีนี้ พวกเรามีความเรียบร้อย อาจารย์เองก็รัก รักมากที่สุด ใครจะมาดูถูกดูหมิ่นแม่ขาวนางชีของเรา เราก็พยายามออกรับแขกอย่างรุนแรง อย่างรุนแรงที่สุด เคยเจอคนดูถูกดูหมิ่นแม่ขาวแม่ชี เราทันทีเหมือนกัน ทันที เอาเลย 

อย่าว่าใคร ทิดไทย ทิดไทยเค้าก็บวชอยู่ที่วัดเรานี่ เค้าบวชมาจากอื่น เค้ามาอยู่ที่นี้ แต่เค้าดีกับที่นี้ เค้าก็นับถือแม่ชีที่นี้ เพียงแค่เค้ามานินทาแม่ชีกับอี่ ชอบมานินทาแม่ชีกัน แล้วก็มาคุยนินทากัน แค่เนี้ย บอกชีเกินคำเดียวเลย เพราะเค้าก็เป็นลูกของชีเกินว่า วันนี้ชีเกินต้องให้ทิดไทยออกจากวัดทันที แล้วห้ามเข้ามาเหยียบวัดนี้อีกเด็ดขาด ให้ออกไปเดี๋ยวนี้เลย บอกให้ออกไปเดี๋ยวนี้ ชีเกินบอกว่าจะจัดการเดี๋ยวนี้เลย ชีเกินก็ไม่ขัดข้องเหมือนกัน เอาทันทีเลย รีบแต่งของก็หิ้วกระเป๋าได้ก็ ทันที ต้องไปอย่างไวเลย เพราะเหตุไร ลูกของเราเป็นคนดี มีความประพฤติดี มีความเรียบร้อย ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติเห็นปานขนาดนี้ ยังจะมาดูถูกดูหมิ่น ดูถูกดูหมิ่นก็ไม่ดูกาลเทศะ แขกเหรื่อเหนือใต้เต็มศาลาก็มานั่งนินทาแรงๆอยู่กับอี่ นั่งต่อหน้ากับอี่น่ะ สาธยายความชั่วของแม่ชี แพล่มๆๆ 

โอ้โห! อะไรกันนะนี่นะ อะไรกันนะ ตัวเองมาอาศัยแม่ชีก็ทำกับข้าวให้รับประทาน กินอิ่มหมีพลีมันดีแล้ว มีกำลังแล้ว มานั่งด่าคนทำกับข้าวให้กินนี่มันเรื่องอะไรเนี่ย มันคนหรือสัตว์ ไอ้อย่างเนี้ยเลี้ยงไม่ได้ ก็เลยบอกว่าใช้ไม่ได้ ทันที 

เพราะฉะนั้นอันนี้ขอร้องขอวอนเขาทุกคน เพราะฉะนั้นก็คิดว่าบรรดาคณะแม่ชีทั้งหลายก็คงจะเกรงอกเกรงใจครูบาอาจารย์พอสมควร จึงได้ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ให้เกิดความกระทบกระเทือนจิตใจเลย เป็นสิ่งที่น่าเลื่อมใสเป็นอย่างมาก ถ้าเราทำได้อย่างนี้ทุกปีๆเนี่ย อาจารย์จะต้องมีอายุยืน และจะทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับพวกเราทุกท่านที่ปฏิบัติเนี้ยอย่างที่สุด จะเป็นวัตถุภายนอกก็ดี จะเป็นธรรมะก็ดี แม้นว่าชีวิตเราก็ยินดีที่จะอุทิศช่วยเหลือ หากในเมื่อพวกเราเนี่ยดีกันอย่างนี้ อย่าให้มีปัญหาเกิดขึ้น อย่าให้มีอะไร ให้พยายามตั้งอกตั้งใจ ให้รักกัน เสมือนหนึ่งลูกพ่อคนเดียวกัน มีอะไรก็เออออห่อหมกกัน มีอะไรก็แบ่งกัน มีอะไรเรามีพอจะแบ่งกันได้ก็แบ่งกันไป เหมือนพระเณรที่ดำเนินกันอยู่ทุกวันนี้ 

อันเนี้ยอาจารย์พอใจที่สุด และจะนำพาพวกเราเนี่ยให้ได้บำเพ็ญความดีเนี่ยอย่างเต็มที่อย่างที่พระทำอยู่ทุกวันนี้ อันนี้พวกเราคิดเอาเอง พยายามไปนอนก่ายหน้าผากคิด หรือบรรดาหัวหน้าแต่ละหัวหน้า นำเอาความดีต่างๆไปนั่งสอนนั่งคุยกับบรรดาผู้อยู่ใต้ปกครองของตนเองให้เข้าใจ ครูบาอาจารย์แต่ละองค์ที่เล่าสู่ฟังมา ท่านดียังไงบ้าง แล้วอาจารย์ทำยังไงบ้างกับอาจารย์เหล่านั้น แล้วครูบาอาจารย์ปัจจุบันนี้พาดำเนินอยู่ทุกวันนี้ พอใจมั้ย ให้เราลองคุยกันดูซิ 

ครูบาอาจารย์ทุ่มเทชีวิตจิตใจทุกอย่างกับพวกเรา แม้นว่ายวดยานพาหนะอันที่จะนำพาไปบำเพ็ญภายนอก และบำเพ็ญกุศลพิเศษทุกสิ่งทุกอย่าง อาจารย์ก็เตรียมไว้ หมายความว่าภายในวัดทั้งหมดเนี่ย ไม่มีอะไรขัดข้อง อุปกรณ์ของใช้พร้อมทุกอย่าง ถ้าจะมาเทียบกับวัดอื่นๆแล้ว ของเราก็ไม่ได้ต่ำต้อยเลย อาจารย์ดิ้นรนทุกอย่าง เตรียมพร้อมทุกอย่าง และพวกเราก็ได้บำเพ็ญกุศลเนี่ย อย่างดีที่สุด และพาไปดูบรรดาชีทั่วประเทศ ไม่ใช่ไปดูเพื่อจะนินทาเขา อยากจะให้ไปดูทั้งดีและชั่ว 

แม่ชีกลุ่มนี้เค้าดี ก็อยากจะให้แม่ชีของเราได้เห็นว่าเนี่ย ดีอย่างนี้ แม่ชีเหล่านี้เค้าดีอย่างนี้ เค้าเป็นอย่างนี้ ดีมั้ย แล้วไปดูกลุ่มนี้ ดูที่แม่ชีเหล่านี้ นั่งปนกับผู้ชาย นั่งเบียดกับผู้ชาย เอ้า ดูซินี่ แม่ชีกับพระองค์นี้ขึ้นไปอยู่ในกุฏินี่สองต่อสอง กำลังนั่งคุยอยู่นี่ เป็นยังไง ดีมั้ย และบรรดาแม่ชีจับกลุ่มอยู่กับพระคุยกัน เสมือนหนึ่งผัวเมียกัน เราเห็นแล้วถามว่าเป็นยังไง ดีมั้ย พอใจมั้ย แล้วอาจารย์เนี่ยปูพื้นฐานให้อย่างดี ตั้งแต่เริ่มต้นมาอยู่ที่นี่จนถึงปัจจุบัน พวกเราพอใจกันมั้ย 

และพาไปดูจนกระทั่งแม่ชีขอทาน นั่งหัวสลอน ขันใครขันเรา “ทำบุญกับแม่ชีเจ้าค่า ๆ” ไปหาดูเถอะทั่วไป พระธาตุพนมก็มี พระพุทธบาทสระบุรีก็มี พาแม่ชีพวกเราไปดู เดินเวียนดู เห็นมั้ย ดูเองๆ นี่แม่ชีทั้งนั้น ดูเองเห็นมั้ย “ทำบุญกับแม่ชีเจ้าค่าๆ” ต่างคนต่างถือขันหัวสลอน เป็นเกียรติแล้วหรือยัง อันนี้ถือว่าเป็นเกียรติมั้ย ดีมั้ย กับเราอยู่ปัจจุบันนี่เป็นเกียรติมั้ย มองซะ 

แต่บางคนเค้าว่าแม่ชีวัดเขาสุกิมนี่มันแค่แม่ครัว มันไม่ใช่แม่ชี ดูให้ดีๆ อ่านให้ดีๆ สิ่งที่เราทำ เป็นบุญเป็นกุศลหรือไม่ และพาไปดูแม่ชีอีกสายหนึ่ง งานเค้าก็ไม่ได้หยุดเหมือนกันกับเรา แต่ผ้าขาวเป็นผ้าดำ ทำไง ถางป่าแล้วก็เผาป่า ถางป่าแล้วก็เผาป่า ปลูกข้าวโพด ใส่ข้าว สารพัดทุกอย่าง ปลูกถั่วปลูกผัก ทำไง หน้าข้าวเม่า ทำข้าวเม่าถวายพระ หน้าข้าวใหม่ เอาข้าวใหม่มาถวายพระ หน้าข้าวโพด ข้าวโพดถวายพระ ไอ้ส่วนเหลือไปขายเอาตังมาสำหรับบำรุงพระ งานของเขาไม่ได้หยุด แต่งานนั้นเป็นเกียรติหรือไม่ อยากให้ดู ว่าเป็นเกียรติมั้ย ก็พาไปดูเนี่ย เค้าทำสวนอย่างเนี้ยเป็นเกียรติมั้ย เค้าก็ไม่ได้หยุดเหมือนกันกับเรา 

กับของเรา ของหลั่งไหลเข้ามาๆ ไม่จำเป็นต้องขอทาน เราเพียงแค่นั่งทำ เสร็จแล้วก็สับเปลี่ยนกัน ชุดนี้สองชั่วโมงกลับไป เอาชุดนั้นมาต่อ เอากลับไป ชุดนี้มาต่อ แล้วก็ผลัดเปลี่ยนเวียนกันอยู่ตลอดเวลา มีโอกาสบำเพ็ญกันได้อย่างสมบูรณ์ อย่างนี้เป็นยังไงบ้าง ถือว่าเป็นงานบุญงานกุศล เป็นงานที่เป็นเกียรติหรือไม่ 

อันเนี้ย ทั้งหมดนี่แหละ เราต้องเอาไปเล่าสู่กันฟัง บอกเล่าเก้าสิบให้กันทราบว่า เราอยู่กับครูบาอาจารย์นี่ พอใจมั้ย พอใจกับท่านมั้ยที่ท่านเปรียบทุกสิ่งทุกอย่างให้เรา ถ้าไม่พอใจ เราจะเอายังไงต่อไป ครูบาอาจารย์องค์ไหนเรียกว่าเราพอใจที่สุด เราก็ต้องยกขบวนเข้าไปสู่อาจารย์องค์นั้น ก็มีกันแค่นั้น 

เพราะฉะนั้นที่เล่ามาวันนี้ยืดยาวเหลือเกิน เพราะเราไม่ได้คุยกันนาน นานที่สุดไม่ได้คุยกัน แต่ปีนี้ได้รับความสบายอกสบายใจ กับบรรดาคณะแม่ชีทั้งหลาย สบายใจมาก จึงอยากจะให้บรรดาคณะแม่ชีทั้งหลายเนี่ยได้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ อย่าให้มีปัญหาอะไรทั้งปวงเกิดขึ้น ขอให้ตั้งอกตั้งใจให้ดีที่สุด พระภิกษุสามเณเราก็เหมือนกัน ถ้ารักอาจารย์ นับถืออาจารย์ ก็ต้องตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้ดี อันนี้เล่าสู่กันฟังนะ 

วันนี้ก็ได้เล่าอะไรต่ออะไรต่างๆ ธรรมะบ้าง ไม่ใช่ธรรมะบ้าง ประวัติบ้างอะไรบ้างให้พวกเราได้ฟัง ยืดยาวจนเหนื่อยแสนเหนื่อย อยากจะให้พวกเราท่านทั้งหลายเนี่ย เอาไปพินิจพิเคราะห์ และก็พิจารณาดูว่าควรไม่ควรประการใด และก็ตัดสินใจซะให้ดี ถ้าเห็นว่าดี เราก็ตั้งหน้าประพฤติปฏิบัติให้ดีที่สุด แล้วต่อไปอาจารย์ก็จะได้ทุ่มเทชีวิตจิตใจเพื่อเป็นการให้พวกเรามีกำลังใจ ได้รับการสะดวก ได้รับการสบายในการบำเพ็ญกุศลทุกกรณีเท่าที่อาจารย์จะทำได้ เพราะฉะนั้นการเล่าสู่ฟังวันนี้ยืดยาวแล้ว ก็ขอยุติเพียงแค่นี้