Skip to content

สมมุติบัญญัติ

หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย

| PDF | YouTube | AnyFlip |

ความจริงผมไม่ใช่นักพูดครับ พูดไม่เป็น ขึ้นธรรมาสน์ก็ไม่เป็น ฟังแต่ผู้อื่นคุย ตัวเองคุยไม่เป็นหรอกครับ พระเดชพระคุณท่านก็ยุให้ผมคุย แต่ผมปรารภซักนิดหนึ่งก่อนว่าผม คุยนี่ก็ลำบากอยู่ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่มานี่ก็ล้วนแต่เป็นผู้มีความรู้สูง จะว่าเป็นพระไตรปิฎกเคลื่อนที่ก็ได้ แหม ท่านจะให้ผมคุย ผมไม่รู้จะคุยอะไร ผมมองแล้ว มันไม่มีอะไรจะคุย เพราะทุกอย่าง เพราะท่านทั้งหลายก็รู้แล้วทั้งนั้น ไอ้สิ่งที่รู้แล้วมาคุยซ้ำๆซากๆ มันรำคาญ ครับ มันรำคาญ​

เพราะฉะนั้นก็ถึงแม้พระเดชพระคุณท่านนิมนต์ก็จะลองดู คุยซักนิดนึงลองเป็นพิธีครับ ผมก็ต้องขอกราบพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระปริยัติเมธีด้วย และก็พระเถรานุเถระทั้งหลายและเพื่อนสหธรรมิกด้วย และก็ทางด้านศาสตราจารย์ด.ร. ปรีดี เกษมทรัพย์ และท่านที่ปรึกษาของท่านรัฐมนตรีช่วยด้วย และก็คณะแม่ชีทั้งหลาย ญาติโยมทั้งหลายด้วย

คือวันนี้ก็ไม่ได้ตั้งใจจะเทศน์ ไม่ได้ตั้งใจจะพูด ก็ไม่ได้คิดอะไรมาเลย ก็จะมาใช้ปฏิภาณคุยเลยก็รู้สึกว่าจะไม่น่าฟัง แต่ยังไงก็จะขอเล่าอะไรซักเล็กน้อย เพราะพระเดชพระคุณท่านกรุยทางให้แล้วว่า เคยไปที่ไหนบ้าง เคยอยู่ที่ไหน 

ผมก็บวชที่จังหวัดร้อยเอ็ดนั่นแหละครับ ปี พ.ศ. ๒๔๘๗ ผมก็ไปอยู่กับหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ หลังญี่ปุ่นจะเข้าเมืองไทย ตั้งแต่สมัยนั้นถึงสมัยนี้ก็รวมเป็นเวลา ๔๒ ปีครับ ก็นานโขเหมือนกัน แต่ผมก็เป็นผู้มีโชคดี หรือว่ายังไงไม่ทราบนะครับ แต่ผมก็คิดว่าผมนี่เป็นผู้มีโชคดี เพราะผมนี่ได้ไปเจอหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ ยังมีโอกาสได้อุปัฏฐากอุปถัมภ์ท่านอยู่ ขาดหกปีไม่กี่วันหละครับ ก็ถือว่านานพอสมควร และก็มีบรรดาพวกเณรๆทั้งหลายซึ่งผมเป็นหัวหน้าใหญ่ ก็อยู่ด้วยกันหลายองค์ครับอุปัฏฐากอยู่ที่นั้น 

ผมก็ได้อุปัฏฐากอุปถัมภ์ท่าน ดูพฤติการณ์ท่าน ก็รู้สึกว่าหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระนี้เป็นที่น่าเคารพกราบไหว้บูชาเหลือเกินครับ ท่านเป็นพระมหาเถระผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นผู้มีความประพฤติดีปฏิบัติชอบ ถ้าจะให้ผมว่า ให้ยกย่อง ผมก็จะยกย่องว่าสมควรจะยกย่องเป็นพระอรหันต์ สำหรับในสายตาและก็การพิสูจน์ของผม ผมเป็นคนสันดานไม่ดีครับ ชอบติคน ชอบมองหาอะไรต่ออะไรต่างๆ ส่วนใหญ่หนีไม่พ้น เก็บไม่มิด กิเลสออกมาให้ผมเห็น แต่สำหรับหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ ผมยอมรับ ๖ ปีนี่ไม่ใช่เบานะครับ ผมพยายามจับลักษณะกิเลสจะออกมา ไม่มี มีแต่คุณธรรม มีแต่ความเมตตาแก่ศิษยานุศิษย์ที่เข้าสู่สำนักอยู่ตลอดเวลา ไม่มีตรงไหนซึ่งเป็นที่น่าติ ยิ่งวินัยแล้วก็ยอดเยี่ยมครับ ยอดจริงๆ ผมจึงยอมรับว่าพระในประเทศไทยนี่ ผมเคยไปอยู่หลายองค์หลายแห่งซึ่งเค้าลือๆแล้ว ไม่จุใจเหมือนหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ ไปอยู่ไม่กี่วัน กิเลสมันออกมาทีละตัวสองตัวครับ มีหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระองค์เดียวซึ่งผมยอมรับว่าประเสริฐที่สุดครับ แล้วผมก็วนเวียนอยู่ในคณะลูกศิษย์ของท่าน หากในเมื่อไม่มีท่านแล้วนะครับ ๑๒ ปีครับศึกษาอยู่ที่นั่นนะครับ 

ทีนี้ผมจะเล่าเรื่องแปลกๆอะไรให้ฟัง บรรดาท่านๆทั้งหลายก็อาจจะได้ยินมาแล้วก็อาจจะเป็นได้ หรืออาจจะยังไม่ได้ยินก็มี นะครับ ผมอยากจะเล่าเรื่องแปลกอันหนึ่งให้ฟังว่า ผมไปที่ไหนก็แล้วแต่ ครูบาอาจารย์มักจะเทศน์ให้ฟังเสมอว่า ของจริงอยู่เหนือสมมุติอยู่เหนือบัญญัติ ถ้าอะไรยังอยู่ในสมมุติบัญญัติ อันนั้นยังไม่ใช่ของจริง แหม อันนี้ผมรู้สึกว่า ไปที่ไหนได้ยินได้ฟังเข้าหูตลอดเวลาว่า เอ๊ะ ทำไมครูบาอาจารย์ท่านพูดว่าของจริงหรือธรรมะชั้นอุกฤษฏ์ ชั้นสูงนี่ต้องอยู่เหนือสมมุติบัญญัติ ถ้าอะไรยังอยู่ในสมมุติบัญญัติ อันนั้นยังไม่จริง สิ่งที่เราจะรู้จริงๆ มันต้องเหนือสมมุติบัญญัติ 

ผมได้ยินมาตั้งแต่เป็นสามเณรจนถึงปัจจุบัน เป็นเวลา ๔๒ ปี หากได้ยินอยู่อย่างนั้น แต่ทำไมทิฐิมานะของผมไม่ยอมรับว่าคำพูดนี้ถูกต้อง ผมอยากจะขออาราธนานิมนต์ท่านผู้รู้ทั้งหลายวิเคราะห์พิจารณาว่า คำพูดอันนี้ถูกต้องแล้วหรือ จริงแล้วหรือ ผมอยากจะอาราธนานิมนต์ท่านผู้รู้ทั้งหลายได้พิจารณา เพื่อเราจะได้พิจารณาดูว่าหากในเมื่อคำพูดนี้ไม่จริง เราจะได้ไม่พูดต่อไป หรือหากเห็นว่าคำพูดนี้จริง เราก็จะได้พูดต่อไป ส่วนใหญ่อะไรก็แล้วแต่มันจะจำคำพูดคนอื่นไปพูด ด้วยการขาดการไตร่ตรองพิจารณา หรือหากว่าผมนี่มันผิด หรือผู้พูดทั้งหลายเหล่านั้นผิด ผมอยากจะให้ผู้รู้ทั้งหลายพิจารณาดู 

ผมเองบำเพ็ญมา ๔๒ ปี ในระหว่าง ๑๐ ปี ตัดสามเณรออก คือเป็นพระ ผมมีความพยายามมาก แทบจะไม่พูดกับใครนอกจากครูบาอาจารย์ ผมมีความพยายามสูง ดำเนินของผมทุกลมหายใจเข้าออก มีสติสัมปะชัญญะอยู่ตลอด ทุกกิริยาการ ผมกลั่นกรองเป็นอย่างดี ผมไม่เคยเผลอเรอ เผลอตัว ดำเนินอยู่ถึง ๑๐ ปี จนกว่าผมจะบังคับจิตของผมให้ยอมรับสภาพความเป็นจริงได้ จนผมเกิดความสบาย สามารถปล่อยวางอะไรบางสิ่งบางอย่างได้ แต่ผมไม่สู้จะสูงนัก แต่ก็ผมก็สบายเหลือเกิน ดีเหลือเกิน แล้วก็ผมก็ติดตามคำพูดคำนี้มาเสมอว่า เท่าที่ผมบำเพ็ญมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้แหละ ผมก็ทดสอบเสมอว่า ไอ้ของจริงๆน่ะมันอยู่เหนือสมมุติบัญญัติ มันคืออะไร ผมก็ติดตามคำพูดอันนี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ยิ่งลึกเท่าไหร่ ยิ่งเห็นเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งไม่เชื่อว่าคำพูดนี้มันถูก ผมเชื่อคำพูดนี่ว่าผิด คงจะเผลอพูดด้วยการพูดต่อๆกัน ด้วยการขาดการพิจารณาไตร่ตรอง ทำำมถึงเป็นอย่างนั้น อะไรครับ มันเกินสมมุติบัญญัติไปคืออะไร ผมก็อยากจะทราบว่าอะไรกันแน่ 

การบำเพ็ญเบื้องต้นนะครับ ไอ้ของจริงคืออะไร ของจริงก็คงเกินสภาพความเป็นจริงไปไม่ได้ครับ แต่เวลานี้เรารู้และเข้าใจ ฝืนสภาพความเป็นจริง สภาพความเป็นจริงของเขาเป็นอย่างนี้ แต่มันมองฝืนไปอย่างนั้น ที่มองฝืน ไม่ใช่เรามอง กิเลสมันมองนะครับ ถ้าธรรมะมอง มันมองไปอีกมุมนึง กิเลสมันมอง มันมองไปอีกมุมนึง มันคนละมุมกัน 

กิเลสมันมองเป็นไง มองไปเพื่อความสวยงาม เพื่อความน่ารัก แต่ธรรมะมองไป เข้าสู่ไตรลักษณ์ สภาพของความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา และสภาพของความไม่สวยไม่งาม ไม่น่ารักไม่น่าใคร่ มันสุดแท้แต่กิเลสนำพา มันสุดแท้แต่ธรรมะนำพา นะครับ หากในเมื่อพวกเรายังหลงสิ่งเหล่านี้ตามรูปของกิเลสมันหลอกและชวนยุ เราก็ไม่มีโอกาสจะเห็นของจริงได้ 

คำว่าของจริงคือไตรลักษณ์ สภาพของความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ก็คือตัวของเรานี้เอง เอาตัวของเรามาว่ากัน แล้วค่อยๆเคลื่อนไปหาผู้อื่น สัตว์อื่นแล้ววัตถุอื่นๆ ต้องให้เห็นอันนี้ แต่ไม่ใช่มันเห็นด้วยสัญญา รู้ด้วยสัญญา เห็นด้วยใจยอมรับสภาพจริงๆ ลองดูซิ ให้มันเห็นดู 

แล้วสิ่งที่มันเห็น สิ่งที่มันยอมนี้มันเหนือสมมุติหรือ มันไม่เหนือครับ มันก็คือสมมุติบัญญัตินั่นแหละ แต่ว่าเราต้องเข้าใจตามสภาพความจริงของเขา แต่เข้าใจนี่ไม่ใช่เราคำนวณเอา เราเดาเอา จิตของเรายอมจริงๆ แต่เวลานี้ รับรองว่าพระคุณเจ้าทั้งหลายเรียนรู้ทุกองค์ สภาพของความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา หญ้าปากคอกพูดกันติดปากติดคอ แต่ใจของพระคุณท่านยอมรับแล้วหรือ ว่าสภาพอันนี้มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ยอมรับแล้วหรือยัง 

นี่หละครับสำคัญ เพราะฉะนั้นพระกรรมฐานทั้งหลายเนี่ยมุ่งต้องการให้จิตยอมรับ จึงได้หาอุบายวิธีรอบด้าน การบำเพ็ญก็สร้างตปธรรมขึ้นมาครอบคลุมจิต แม้นว่าไปเห็นสิ่งต่างๆอันที่จะก่อให้เกิดความสลด น้อมนำมาพิจารณา ยัดเยียดจนจิตยอมรับ เอาไปเรื่อยๆ แทบจะไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นในโลกในยุคสมัยที่บำเพ็ญอยู่ 

อย่างผมเป็นต้น พยายามอยู่ตลอดเวลา สร้างอำนาจส่วนบังคับขึ้นมาตลอดเวลา จนคุมจิตของตัวเองเนี่ยให้อยู่ในจุดที่ตั้งนี้อย่างสมบูรณ์ โอกาสจิตและสติจะหนีหน้าอำนาจส่วนบังคับ ไปต่ออารมณ์สัญญาภายนอกนั้นยากมากครับ ภายใน ๒๔ ชั่วโมงทุกอย่างคุมแจเลย แม้นว่าการลุก เหิน เดิน นั่ง ก็ไม่ได้ปราศจากสติสัมปะชัญญะ จะลุกขึ้น จะนั่งลง มองซ้ายแลขวา หยิบยกของวางของทั้งสิ้นต้องกลั่นกรองพิจารณายัตติเข้าสู่คำว่าเราเป็นสมณะ กิริยาอาการแสดงออกนั้นได้เหมาะกับความเป็นสมณะหรือลูกพระตถาคตนั้นจะทำยังไง ลุกยังไงถึงจะสวยงาม ไม่กระเปิ่งประป่างเป็นที่น่าเกลียด หยิบของวางของ นี่หยิบขึ้นมาวางลงไป ไม่ดัง เนี่ยจะทำยังไง ทุกกิริยาอาการนะครับ 

แม้แต่คำพูด ถึงแม้จะมีความรู้สึกฟุบขึ้นมา ต้องใช้ปลีกคือสติยังยั้ง พิจารณาซะก่อนว่าที่มีความรู้สึกวูบขึ้นมา ที่จะให้เราพูดหรือแสดงนั้น เป็นไปเพื่อผลดีหรือผลเสีย เราต้องมากลั่นกรองวิเคราะห์จนละเอียดละออ ดีแล้วจึงได้แสดงออก เพียงอารมณ์วูบเดียวนี่ปล่อยไม่ได้ครับ ต้องกลั่นกรองทำอยู่อย่างนี้ครับตลอด ๑๐ ปีเต็มบริบูรณ์ จิตจำนนอำนาจส่วนบังคับ ยอมรับ โอปนยิกธรรมสิ่งทั้งปวงเข้ามา เรื่องลักษณะไตรลักษณ์ยอมรับราบคาบ จิตยอมรับสภาพความเป็นจริง 

จิตเปลี่ยนความรู้สึกไปซะแล้วครับ ไม่เหมือนเดิมซะแล้ว คนละเรื่อง มองความเป็นอยู่ในโลกนี่ ไม่เหมือนเดิม อยู่ในโลกนี้ไม่เหมือนเดิม คือไม่มีความสุข ไม่ดูดไม่ดื่ม กิเลสทั้งหลายซึ่งเข้ามาแทรกนำพาให้เรามองสิ่งเหล่านี้เป็นไปตามรูปของกิเลส คือ สวย งาม ดี อะไรเหล่านี้ โอกาสที่เค้าจะมาแทรกลุดหน้าเหล่านั้นรู้สึกว่ายุบตัวลงไป ไม่ปรากฏขึ้นมาช่วงระยะนั้นขึ้นมาถึง ๑๐ ปีของผม 

อันนี้เล่าถวาย หรือจะมองในรูปให้มันหนักเข้าไปกว่านั้นอีก ว่าอะไรหรือซึ่งมันเกินสมมุติบัญญัตินะครับ กามภพชั้นหยาบๆ ซึ่งพูดกันอยู่นี้เราสามารถแก้ไขได้ จิตถึงจะมุดเข้าสู่สมาธิ ๓ ฐานเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุดถึงอัปปนาสมาธิได้อย่างละเอียดละออนั้น มันต้องรู้จักกามภพชั้นหยาบๆได้อย่างละเอียดละออ ให้จิตยอมรับก่อน ผู้รู้ทุกครั้งเราจะดันเข้าสู่กามภพขั้นละเอียด ไม่เดินตามวรรคตามตอน ก็เนี่ยเป็นไปได้หรือ อันนี้นะครับ โผงผางเข้าไปดันกันเลยนี่ผมว่าคงยาก เพราะฉะนั้นต้องเดินไปตามแถวตามแนวของเขาครับ เขามีกฏเกณฑ์อยู่แล้วแน่นอน ต้องรู้กามภพหยาบๆ มนุษย์หยาบ ของหยาบๆที่เห็นด้วยตาเนี่ยชัดๆอยู่แล้วนี่ เราจะมองสภาพความเป็นจริงของเขา ยังไม่ได้ถูกต้องตามความเป็นจริงแล้วนี่นะครับ ไอ้เรื่องกามภพชั้นละเอียดๆซึ่งจะเข้าไปสู่สมาธิ ๓ ฐานนั้น เป็นไปได้หรือ 

และสมาธิ ๓ ฐาน ๓ อันดับนั้นไม่ใช่สมมุติหรือ ก็คือสมมุติ ถ้าไม่สมมุติ ทำไมจึงจะรู้ ขณิกะ อุปจาระ อัปปนาเนี่ยเราจะรู้ได้ยังไง นะครับ หรือจะไล่ให้ลึกเข้าไปอีก รูปภพ อรูปภพมันก็สมมุติมาหมดแล้ว สัญญาเวทยิตนิโรธ (สมาบัติที่ดับสัญญาและเวทนา) ก็สมมุติมาแล้ว มัคคญาณ ผลญาณความเป็นอยู่ของชั้นมรรคผลหรือนิพพาน ตามรูปลักษณะความเป็นอยู่ อารมณ์ทุกอย่าง สมมุติมาแล้วครับ สมมุติไม่เป็นพระไตรปิฎกหรือครับ อะไรสิ่งที่มนุษย์ไปเห็นแล้วเนี่ย ไม่สมมุติบัญญัติไม่มี สิ่งปุถุชนไปเห็นมาก็คือสมมุติ แม้นว่าเขาไปสู่ดาวพระจันทร์ ไปได้จึงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ยังสมมุติห้วยหนองบึงคลองเป็นชื่อเป็นนามมาเลย แล้วบรรดาผู้เป็นลูกของศาสดาสาวกทั้งหลายไปเห็นก็สมมุติมาแล้ว พระศาสดาไปเห็นละเอียดละออก็สมมุติมาหมด อะไรครับมาอยู่เหนือสมมุติบัญญัติ ผมไม่ทราบเหมือนกันครับ 

เพราะฉะนั้นแต่แท้ที่จริงสมมุติบัญญัติเหล่านี้แหละครับ ขอให้รู้เท่า ให้เราเข้าใจตามความเป็นจริงของสภาพทั้งหมด อย่าไปหลง อย่าไปหลงว่าอันนี้สุข นี้ทุกข์ อย่าไปยึดเอาสุข อย่าไปยึดเอาทุกข์ ยึดแบบไหน เราก็ดูไว้เองในเบื้องต้นก็ได้ครับ ปลายมือก็เหมือนกันกับเบื้องต้น ไม่แตกต่างกัน ในเบื้องต้นความสุขของมนุษย์ เราไปยึดไปหลงในความสุขของมนุษย์ เพลิดเพลินในความสุขของมนุษย์ อยากจะเอาความสุขแบบโลกีย์สมบัติเข้ามาเป็นของเรา เนื่องจากว่าเราหรือกูนี่มันยืนอยู่ ก็อยากจะดึงสิ่งทั้งปวงมาให้เรา ไม่อยากให้ใครมาดูถูกเรา อยากจะให้เค้าชมเรา อะไรอย่างนี้เป็นต้น ลองมองดูให้ดีๆครับ มองดูให้ดีๆ อ่านให้ดีๆครับ ให้ละเอียดละออ อันนี้แหละครับเรามักจะมองกันในรูปแบบนี้ เป็นอย่างนี้ 

ความจริงเราน่าจะมองในรูปของธรรมะให้หนักเข้าไปอีกว่า สภาพของความเป็นจริงอันนั้นคืออะไร ให้มันชัดเจน เรามันเวลานี้มันพูดได้ทั้งนั้น ทุกองค์พูดได้ แต่ว่าจะยอมรับแล้วหรือยัง สภาพความเป็นจริงอันนั้น ลองให้ใจยอมรับดูซิครับ ผมว่าแน่นอน แต่แท้ที่จริงเราอย่างว่านะครับ เวลานี้เราไม่ใช่ตัวของเรา กิเลสเป็นเจ้านายเรา ทุกอย่างเวลานี้เราอยู่ด้วยอำนาจของกิเลส หรืออยู่ด้วยอำนาจโลกธรรม หรือจะเรียกว่าอยู่ด้วยอำนาจของประสบการณ์ สุดแล้วแต่เถอะครับ 

ประสบการณ์ทำให้เราหัวเราะ เราก็หัวเราะ ประสบการณ์ที่ทำให้เราร้องไห้ ก็ร้องไห้ เราไม่ได้เป็นตัวของเรา อะไรมันหัวเราะร้องไห้คือกิเลสมันพาหัวเราะร้องไห้ เราไม่ใช่ตัวของเรา เราไม่ได้เป็นไท เวลานี้กิเลสมันเป็นเจ้านายเรา เพราะฉะนั้นมองรูปต่างๆนั้นจึงได้มองด้วยความสวยความงาม เพื่อจะดึงสิ่งต่างๆมาเพื่อเราเพื่อกู เพราะความเข้าใจไม่ถูกต้อง กิเลสทั้งหลายเหล่านั้นมันจูงและกิเลสทั้งหลายเหล่านั้นมันบัง มันบังจนมองสภาพความจริงไม่เห็น จึงทำให้เราเนี่ยหลงความเป็นอยู่ในรูป และการหลงอันนี้แหละมันจะต้องมาเกิด ไอ้การเกิดอันนี้แหละ เราจะได้มาประสบความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงอย่างที่เราเป็นอยู่ 

ถ้าเราเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้ว อะไรหละครับมันจะชวนเรามาเกิด เพราะสภาพความเป็นจริงมันเห็นแล้ว และทุกภพทุกชาติมันก็เป็นอย่างนี้ๆ อะไรหละครับจะชวนเรามา เกิดแล้วก็ตาย ๆ เกิดมาก็ต้องมาเผชิญความทุกข์อย่างนี้ๆๆ ถ้าเรามีรูปธรรมะซักนิดนึงเป็นหลักยืนเข้าไปวิเคราะห์ละก็รับรองได้ ไม่เห็นน่าอยากจะมาเกิดอะไรเลย แต่บัดนี้เราน่ะสิครับ กิเลสมันเป็นเรา เราไม่ได้เป็นตัวของเราเอง กิเลสมันนำพาเราเหลือเกิน เราก็ยอมเป็นทาสของกิเลสนะครับ ก็มองไปตามรูปของกิเลสของตลอดเวลา ไม่ปฏิวัติทวนกระแสกัน ให้มันเอากันจริงจังกันเสียที จะปฏิวัติกันจริงจัง เอากันจริงๆ อุบายวิธีต่างๆที่จะดำเนิน ที่จะเอาชัยชนะกิเลสเหล่านั้นทำยังไง อุบายวิธีการทำสมาธินั้นๆจนกว่าจิตของเราจะยอมรับสภาพความเป็นจริงแค่ ๓ อย่าง สภาพความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แค่นี้นะครับ 

ประตูที่จะเจาะเข้าไปหาธรรมะชั้นละเอียดนั้น จะโล่งหัวอกขึ้นมาทันที แต่เวลานี้เรามันเจาะไปไม่ได้ ทำไม ความเคยชินของจิตน่ะสิครับ เพราะจิตของเราไม่ใช่เกิดชาติเดียวนะครับ มันเกิดมากี่ล้านกี่โกฏิชาติแล้วครับ และความเป็นอยู่อย่างนี้ๆต่างหากเป็นอย่างนี้ ความเกี่ยวข้องในระหว่างเพศตรงข้ามแต่ละชาติมันเป็นอยู่อย่างนี้ มันชินอยู่อย่างนี้ ไอ้สิ่งที่มันชินๆอันนี้แหละครับ มันแกะไม่ออก เพราะมันเคยมา จะไปว่าประสาอะไรแค่นี้ครับ แค่อาหารการบริโภคที่เราเคยขบฉันหรือบริโภคมาตั้งแต่สมัยเป็นฆราวาสสุดแล้วแต่เราอยู่ในภูมิภาคไหน เคยกับอาหารอะไร นะครับ พร้อมทางหูด้วย เคยได้ยินมาในรูปแบบไหน อย่างอื่นนั้นถึงแม้จะได้ยินก็ดี หรือถึงแม้จะได้ลิ้มรสก็ดี ความซึ้งยังไม่สมบูรณ์ แต่ถ้าไปเจออย่างที่เราเคยชินมาแล้วนี่จะซึ้ง แค่ปัจจุบันนะที่เค้าสั่งสมขึ้นมาแค่นี้ มันยังติดขนาดนี้ แต่ส่วนที่ความเป็นมาทุกภพทุกชาติ มันยากที่จะแกะแก้ไขได้ ถ้าเราไม่เอาจริงๆนะครับ อันนี้ผมว่าอย่างนั้น 

ฉะนั้นผมอยากจะอาราธนานิมนต์พระคุณเจ้าทั้งหลายซึ่งเป็นผู้มีเวลาอันสั้น หมายความว่า เวลาที่จะมาบำเพ็ญอย่างนี้ๆนะครับ โอกาสอย่างนี้ๆน้อยเหลือเกินครับ แต่เมื่อพระคุณเจ้ามาได้โอกาสอย่างนี้นั้น ผมว่าไม่ควรคุยกันเล่น ไม่ควรหยอกกัน ไม่ควรตลกโปกฮา ควรตั้งสติสัมปะชัญญะ ๒๔ ชั่วโมงอย่างปั้ง ชั่วระยะเวลาเราแค่ ๑๕ วันนะครับ ต้องเอาจริงๆ กำหนดอยู่ทุกระยะ เราจะลุก จะเหิน จะเดิน จะนั่ง จะพํดจะคุย อะไรต้องมีสติเข้าควบคุม กลั่นกรองวิเคราะห์ทุกสิ่งทุกอย่างให้เรียบร้อย แล้วค่อยปล่อยออกมา ในเมื่อไม่จำเป็นละก็ คุมเอาไว้ พยายามตั้งสติคุมให้ทำอยู่อย่างนี้เสมอนะครับ ผมคิดว่าคงจะได้ผลมั่งหละครับ อันนี้ผมเล่าสู่ฟังไว้อย่างนั้น

ผมคุยวันนี้ก็รู้สึกมันจะยาวไป ผมก็มีความรู้สึกละอายตัวเองว่า ตัวเองไม่ใช่นักพูด พูดไม่เก่งด้วย และครูบาอาจารย์เหล่านี้คือพระไตรปิฎกเคลื่อนที่ ผมถวายในเรื่องอุบายวิธีในเบื้องต้นที่จะให้เราเข้าใจในเรื่องกามภพชั้นหยาบๆ เรื่องของมนุษย์หยาบๆ เห็นด้วยตาแม้แต่ภายในของเราก็เห็น 

สิ่งที่เราเอาเข้าไปในปากเราเป็นไง แล้วตื่นเช้ามันออกมาเป็นยังไงเราก็เห็น ไอ้ของที่เห็นๆเหล่านั้นทำไมมันหายไปเสีย ทำไมไม่มองในสภาพอันนี้ให้มันชัดเจนเข้าไปว่ามันสวยงามจริงมั้ย เพราะสิ่งมาหล่อเลี้ยงก็เป็นอย่างนี้ๆ มันสวยงามจริงหรือ อะไรเหล่านี้ 

แต่ละคนตาย คนเจ็บ คนป่วยก็เห็น แล้วมันหายไปไหน ดึงเข้ามาให้มันเป็นอารมณ์ไว้ เอาเข้ามาสอนจิตเรา ช่วงระยะเวลาปัจจุบันนี้ไม่ยาวเล้ย พยายามทำอยู่เสมอให้มันได้ ๒๔ ชั่วโมง ผมคิดว่าจิตคงจะยอมรับสภาพความเป็นจริง ถ้าจิตยอมรับสภาพความเป็นจริงกับความรู้โดยสัญญา กับเรื่องจิตยอมรับ คนละแบบกัน ความเปลี่ยนแปลง ความรู้สึกของจิตจะเปลี่ยนไกลมาก 

เพราะฉะนั้นผมขออาราธนานิมนต์พระคุณเจ้าทั้งหลายที่ได้โอกาสอันดีแล้วมาบำเพ็ญ ณ สถานที่นี้ ขอให้ตั้งอกตั้งใจ อย่าไปมัวคุยกัน ฟุ้งซ่านนะครับ การคุยกันทำให้ฟุ้งซ่าน ต้องตะล่อมให้จิตอยู่ในวงแคบตลอดเวลา ต้องตะล่อมเอาไว้ให้อยู่ในวงแคบ ตลอด ๒๔ ชั่วโมง จะไปไหนมาไหนต้องครอบคลุม อย่าเผลอครับ ผมคิดว่าคงจะได้ผลบ้างพอสมควร ถ้าไม่ตั้งใจจริงๆแล้ว ผมว่าลำบาก 

ผมเองเป็นผู้บำเพ็ญยาก ๑๐ ปีเต็มบริบูรณ์ แทบจะไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ผมจึงค่อยมองเห็นลักษณะหน้าตาเขาในเบื้องต้นว่า อ้อ จิตยอมรับสภาพอันนี้แล้ว โฉมหน้าของธรรมะที่ผมจะต้องดำเนิน ผมเห็นชัดเลยทีนี้ ลุยกันตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน รวมแล้วเวลาของผมที่ดำเนินมา ๔๒ ปีครับ ไม่ใช่เบา ผมก็ได้แค่ผมได้ ผมอวดว่าผมได้นะครับ บางคนก็ว่าไม่ควรอวดควรอ้าง ได้! ผมได้ แต่ไม่มากนัก แค่ผมซาบซึ้งในคุณธรรม ไม่มีอะไรเทียบนะครับ สมบัติในโลกอะไรจะมาเรียกได้ ของผมไม่มีครับ ผมขออุทิศชีวิตขอถวาย หากในเมื่อความดีของผมอันนี้สลายไป นี่ผมตายดีกว่า ผมขอบูชาด้วยการประพฤติทุกอย่าง เพื่อเป็นการบูชาประคองความดีอันนี้เอาไว้ และความดีอันใดยังไม่เกิดไม่มี ผมไม่ถอยครับ ผมลุยของผมอยู่ทุกวัน พาเพื่อนเองของผมลุยอยู่ทุกวัน เพราะผมซาบซึ้งในความดีอย่างที่สุดครับ 

ผมว่าถ้าว่าพระคุณเจ้าทั้งหมดจะได้ก็เช่นกัน ดูครั้งสมัยพุทธกาลสิ ผู้สำเร็จธรรมตามพระพุทธเจ้า ขอทานก็มี เศรษฐีก็มี มหาเศรษฐีก็มี คฤหบดีมหาศาลก็มี พระเจ้าพระมหากษัตริย์ก็มี ไม่เคยเห็นมีใครถอยหลังซักคนเดียว 

เพราะฉะนั้นสรุปแล้วธรรมะเป็นของประเสริฐครับ ผมเองผมก็เชื่อเพราะผมได้นิดนึง แต่ผมซาบซึ้งเหลือเกินเวลานี้ เพราะฉะนั้นผมอยากจะอาราธนานิมนต์พระคุณเจ้าทั้งหลาย ที่ดำเนินเนี่ยให้ดำเนินเข้าไปเถอะครับ แต่ความรู้ผมยอมรับว่ารู้ แต่ธรรมะที่เข้าไปถึงนี่ ผมยังไม่ยอมรับว่าพระคุณเจ้าทั้งหลายนี่เข้าถึงธรรมะ ผมจึงอยากอาราธนานิมนต์พระคุณเจ้าให้ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติในโอกาสอันมาที่นี่เวลาสั้นแค่ ๑๕ วัน ให้ได้คุณธรรมเนี่ยกลับไปบ้างเถอะ ครับ

เพราะฉะนั้นผมขออาราธนานิมนต์ ผมคุยมาก็ยาวเกินไปแล้วครับ ผมก็ขอยุติแค่นี้ครับ สาธุ ผมพูดไปไม่ไพเราะก็ขอให้อภัยผมละกันนะครับ