หลวงปู่บุญเพ็ง กัปปโก
เทศน์ที่ วัดอโศการาม วันที่ ๒๖ เม.ย. ๒๕๓๑
ครบรอบวันมรณภาพของท่านพ่อลี ธมฺมธโร
ตั้งใจฟัง เอามือลงปลงเอาไว้ อ้าว หลับตา กัณฑ์นี้ไม่ให้ลืมตา กัณฑ์นี้จะให้หลับตา ห้ามไม่ให้ลืมตา แต่ก็ให้หายใจอยู่ แต่อย่าลืมหายใจ ให้หายใจไปแต่ตานั้นหลับ ที่นี่จะได้เทศน์เพราะอื่นๆท่านก็เทศน์มา เรียกว่าเทศน์มาก เทศน์เอาจนล้นเหลือ จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่รู้ว่าจุดมันอยู่ตรงไหน ไม่รู้ว่าอะไรเป็นธรรมะ ไม่รู้ว่าอะไรไม่ใช่ธรรมะ ว่ากันเรื่อยไป
แต่โดยมากท่านก็พูดเอาแต่ธรรมะในส่วนสูง พูดเอาแต่เรื่องของพระอริยเจ้า นับตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป จนตลอดถึงพระอรหัตอรหันต์ก็มีพระพุทธเจ้านั่นแหละเป็นประธาน ท่านก็พูดเอาแต่เรื่องธรรมะในส่วนที่สูง อันที่เราไม่สามารถที่จะติดตามธรรมะอันนั้นไปได้ เราก็ได้แต่ฟัง ก็ได้แต่นั่ง ก็เมื่อไหร่มันจะถึงอย่างนั้น เมื่อไหร่มันจะเป็นอย่างนั้น เมื่อไหร่มันจะเป็นอริยะ เมื่อไหร่มันจะเป็นโสดา เมื่อไหร่มันจะเป็นสกิทาคา เมื่อไหร่มันจะเป็นอนาคา เมื่อไหร่มันจะเป็นพระอรหันต์ เราก็หาได้ทราบไม่ ก็ได้แต่ฟังเรื่องของพระอริยเจ้าเท่านั้น
ทีนี้มันเลยไป ก็เลยคิดขึ้นมาว่า เอ ทุกท่านก็พูดไปแต่เรื่องของพระอริยเจ้า เรื่องของมรรคของผล เรื่องของพระนิพพาน ใครก็จะไปแต่นิพพาน ใครก็จะไปนิพพาน ไอ้เรื่องสวรรค์นี่ไม่มีใครจะสนใจอะไรเสียแล้ว จะปล่อยสวรรค์ทิ้งไปเสียแล้ว ทีนี้ก็เลยจะเอาเรื่องสวรรค์เนี่ยมาพูด จะไม่พูดเรื่องของพระอริยะเท่าไหร่หรอก เราจะพูดถึงเรื่องสวรรค์ คือพูดถึงเรื่องของเทวดา
เทวดานั้นอยู่ที่ไหน เทวดานั่งอยู่เต็มวิหาร ทั้งอยู่ข้างล่าง ทั้งอยู่ข้างบน ชั้นหนึ่ง ชั้นสอง ชั้นสาม แล้วก็เต็มลานวัด ขาวเปี๊ยะ นี่เทวดา พวกเทวดาทั้งนั้น นี่เรียกว่าเทวดาที่เราเห็นซึ่งเราเห็นกับหูกับตา อันนี้เป็นเทวดา ทีนี้เราจะเอาที่ไหนมาเป็นเทวดา เทวดามันอยู่ที่ไหน เราก็จะไม่เห็น เราเอาอย่างใกล้ๆนี่ล่ะ เอาอย่างที่ตาเห็น นี่ล่ะเทวดา นั่งอยู่ขาวเปี๊ยะ มีแต่เทวดาทั้งนั้น ประกอบไปด้วยคุณธรรม หิริโอตตัปปะ นี่เรียกว่าเทวธรรม เป็นธรรมของเทวดา
คนบางคนก็จะเข้าใจว่าเทวดาไม่มี ผีก็ไม่มี ก็ว่าไปอีกล่ะ เทวดาไม่มี แต่สวรรค์มี ก็เมื่อสวรรค์น่ะใครจะไปอยู่ถ้าเทวดาไม่มี สวรรค์มันมีอยู่ ๖ ชั้น จาตุมหาราชิกา ตาวติงสา ยามา ตุสิตา นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตตี สวรรค์มี ๖ ชั้น ที่นี่มันเมื่อว่ามีสวรรค์ ถ้าไม่มีเทวดา อะไรจะไปอยู่ในสวรรค์ แล้วสวรรค์จะมีไว้ทำไม ถ้าไม่รับรองเทวดา หรือว่าถ้าไม่เป็นที่อยู่ของเทวดา เทวดามันก็มี เทวดาคือเทวธรรมก็มี คือนั่งขาวเปี๊ยะเนี่ยเค้าเรียกว่าเทวธรรม เทวดาอันนี้ประกอบไปด้วยธรรมหิริโอตตัปปะ ทีนี้เทวดาโดยกำเนิดก็ได้แก่พวกนี้ล่ะ อย่างที่เราอยู่กันนี้ล่ะ บำเพ็ญคุณงามความดี เมื่อออกจากมนุษย์หลุดออกจากร่าง ก็เมื่อไม่ถึงซึ่งนิพพานน่ะแล้วมันจะไปไหน มันแน่นอนล่ะ คือสวรรค์ ก็สวรรค์ก็เป็นหน้าที่ของเทวดาที่จะต้องไปอยู่
ถ้าสวรรค์ไม่มีเทวดาน่ะ แล้วใครจะไปอยู่ ผีมันก็ไม่อยู่หรอก ผีกระจอกกระแจก ผีคอยรับส่วนบุญญาติพี่น้องอยู่ตามลานวัดมันเต็ม พวกนี้มันไม่ไปหรอก มันคอยรับส่วนกุศลกะเราอยู่นี่แหละ เราก็ได้ทำบุญกุศลอุทิศกัลปนาผล พวกผีกระจอกกระแจกเค้าก็มาอนุโมทนาสาธุการ นั่นเค้านั่งอยู่ตามข้างเราน่ะ นั่งอยู่ข้างหลังเรา นั่งฟังเทศน์ฟังธรรมเราอยู่น่ะ ทีนี้เราไม่เห็นเขาน่ะ เพราะมันตาบอด ตาอะไรมันบอด คือตาใจ ก็ตาใจมันบอดมันจะไปเห็นอะไร ก็ตาใจถ้ามันแจ้งดูซิ ถ้ามันไม่เห็น มันแน่นอน มันวนเวียนอยู่แถวนี้แหละ นี่พวกนี้มันพวกที่ว่าขอส่วนกุศล
ที่เราทำบุญแล้วถวายทานแล้วก็ไปกรวดน้ำอุทิศนั่นน่ะ ขอให้ถึงสรรพสัตว์ทั้งหลายน่ะ จะอยู่ใกล้ก็ตาม จะอยู่ไกลก็ตาม จะเป็นวงศาคณาญาติก็ตาม จะเป็นผีไร้ญาติก็ตาม ขอให้บรรดาท่านทั้งหลายนั้นน่ะจงได้มารับส่วนกุศลของข้าพเจ้าที่ได้ทำอยู่ ณ โอกาสบัดนี้ แม้ตลอดถึงเจ้ากรรมนายเวร ตั้งแต่ชาติหนหลังมานับตั้งแต่นี้ไปถึงแสนกัปป์ สิ่งที่เราทำเขามาน่ะ เขาก็ผูกอาฆาตเรามาตลอด คือเราทำให้เขาเจ็บใจ เขาก็ผูกอาฆาต ทีนี้เราเขาก็ตามสังหารและตามจองเวรเราทุกชาติมา ก็มาชาตินี้มันก็ยังตามสนองอีก เมื่อมันมาทันมันก็ตะครุบเอา ทำให้เราเกิดความวุ่นวายในครอบในครัว ในสถานที่ต่างๆ และมีเรื่องมีราวอะไร ทำให้เราทุกข์เรายากลำบาก ก็ถือว่ามันเป็นเจ้ากรรมนายเวร มันมาสนองเรา
ทีนี้เจ้ากรรมนายเวรมันผูกอาฆาตเรามาตั้งแต่ชาติไหนล่ะ แล้วเราไปทำอยู่ที่ไหน และไปทำอะไร มันก็ไม่มีใครรู้อีกล่ะ เราก็หาได้ทราบไม่อีก ก็เจ้ากรรมนายเวรอันนั้นน่ะมันตามมา เมื่อมันตามมาแล้ว ทีนี้มันจะไว้หน้าเรามั้ยล่ะ แม้แต่พระสงฆ์องคเจ้าจะวิเศษวิโสขนาดไหนก็ตาม และเมื่อเจ้ากรรมนายเวรมันมาถึง มันจะพ้นมันไปได้หรือ ใครจะมาอวดอ้างและอวดดีว่าตนเป็นผู้วิเศษ อวดไปสิ เมื่อเรื่องกรรมมันมาถึง เชิญเถอะ ไม่ว่ามนุษย์ไหนล่ะ คิดดูโมคคัลลา สารีบุตรดูซิ ก็ท่านก็ได้เทศน์ไปแล้วน่ะเรื่องโมคคัลลาน่ะ หลวงพ่อเหรียญหรืออะไรหรือใครนั่นน่ะเทศน์ไปแล้ว
เรื่องของกรรมของโมคคัลลาน่ะ แม้แต่เป็นพระอรหันต์เหาะเหินเดินอากาศได้ มีวิชาศักยานุภาพ ต่อเมื่อกรรมมันมาถึง เจ้ากรรมนายเวรมันมาถึงเท่านั้นล่ะ ไปบันดาลให้โจรทั้งห้าร้อย เอาไม้ค้อนคนละอันๆเท่านั้นล่ะมาทุบ คนละบุบเท่านั้นล่ะ คนละตุ้บเท่านั้นล่ะ โมคคัลลาน่ะถึงว่ากระดูกนี้เปราะไปหมดล่ะ หักไปทั้งตัว แต่ก็ยังมีว่าอำนาจคุณความดีคือฌาณนี่แหละ ไอ้ฌาณไม่รู้ว่าจะเข้าได้ยังไงไม่รู้นะ เค้าว่าเข้าฌาณนี่โมคคัลลาน่ะ ถึงกระดูกหักกระดูกแตกมุ่นไปหมดทั้งตัวแล้ว แต่เมื่อเวลามันจะตายแล้วนั่นน่ะ แต่ว่าในตำรานั้นก็ยังว่าเข้าฌาณได้ แล้วก็เยียวยากระดูกให้กลับคืนมา แล้วก็เข้าฌาณ แล้วก็เหาะมาหาพระพุทธเจ้า แล้วก็มานิพพานต่อหน้าพระพุทธเจ้า แต่มันเข้าได้ยังไงก็ไม่รู้นะ ฌาณมันจะสานกระดูกยังไงก็ไม่รู้นะแต่ตำราว่า
นี่เจ้ากรรมนายเวรเมื่อมันมาถึงล่ะ มันจะเลือกหน้าเรามั้ย แล้วมันจะยกเว้นเรามั้ย มันไม่มีทางน่ะ เมื่อมันมาถึงแม้แต่พระอริยเจ้ามันก็ยังมา ยังเป็นได้และยังสนองได้ ประสีประสาอะไรกับพวกเรา ทีนี้เราจะมาอวดดีทำไม อวดดีใส่กรรมเหรอ แล้วใครจะหนีพ้นล่ะหนีกรรม ถ้าหนีพ้นมันไม่ได้มานั่งทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนี้นะ ที่มันมาทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนี้น่ะ ที่มันมาทนทุกข์ทรมานในนี้เพราะอะไร รู้มั้ยล่ะ มันเรื่องของกรรมทั้งนั้นล่ะ แต่มันก็ยังมีส่วนดี เรียกว่าส่วนดีมันยังอำนวย
ทีนี้ต่อเรื่องส่วนไม่ดีล่ะ ระวังก็แล้วกัน เวลามันจะให้ผลน่ะ มันกระพริบตาเดียวนะ เหมือนอย่างเค้าขี่รถโดยสารน่ะ จากกรุงเทพจะไปเชียงใหม่ พอไปถึงสะพานมโนรมย์เท่านั้นแหละ ยางมันระเบิดตู้ม เบรครถไม่ได้ เหวี่ยงเข้าไปชนสะพานตกลงไปแม่น้ำ ตายไปตั้ง ๕๐ ๖๐ ศพ กระพริบตาเดียวมั้ย แล้วมันเลือกใครมั้ย พ่อ แม่ ลูก เด็กเล็กมาพร้อมหมด แต่มันยกเว้นมั้ย มันก็เก็บเรียบ นั่น มันก็เห็นอยู่อย่างนี้แแหละ เรื่องของกรรม
แล้วมันจะเอาเราเมื่อไหร่ล่ะ รู้มั้ยล่ะ นั่งภาวนากันหลับหูหลับตาหรือฟังเทศน์ฟังธรรมกันอยู่ตลอดวันตลอดคืน ๔ วัน ๔ คืน ทั้งยืน ทั้งเดิน เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ากันอย่างนี้ แล้วมันรู้มั้ยว่ากรรมมันจะมาในลักษณะไหนที่จะมาทำลายเรา มีใครรู้หรือเปล่า มันไม่ใครรู้ทั้งนั้นล่ะ เราจึงได้เรียกว่าเจ้ากรรมนายเวรก็เพราะว่ามันไม่รู้น่ะ จึงได้เรียกว่าเจ้ากรรมนายเวร เรื่องเจ้ากรรมนายเวรมันจะมากันทำนองไหน และมันจะมากันรูปไหน และมันจะมาให้เราอย่างไร ไม่มีใครทราบ ไม่มีใครรู้อีก เผื่อมันมาถึงเราจะทำยังไง นี่ล่ะ ควรพิจารณาในเรื่องของกรรม
เพราะฉะนั้นอย่าอวดดี อย่าว่าเข้าใจตัวเองเป็นผู้วิเศษ วิเศษไปไม่ได้เรื่องของกรรม เพราะฉะนั้นล่ะถึงจะกรรมจะเวรอะไรก็ตาม ก็สิ่งที่มันผ่านมาแล้ว เราก็จะไปแก้คืนและกลับคืนไม่ได้ มีอย่างเดียวก็คือนั่งภาวนาทำจิตใจของตัวเองให้มีความสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว มันก็จะได้เกิดความรู้แจ้งแสงสว่างขึ้นในจิต จิตนั้นก็จะสามารถมองในอดีตกรรมของตัวเองได้บ้าง อาจจะชาติหนึ่งหรือจะสองชาติก็ได้ หรืออาจจะมีอะไรมาปรากฏที่จะให้เราเห็นในตนในตัวบางสิ่งบางประการ เราก็สามารถที่จะมองเห็นได้บ้าง
ก่อนที่เราจะเห็นได้อย่างนี้ เราจะทำอย่างไร คิดว่าจะไปลืมตาดูหรือ มันไม่มีหรอกที่จะไปเห็นโดยลักษณะนั้น แม้แต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ก็ไม่ได้ไปลืมตาดูกรรม ก่อนที่พระองค์จะได้รู้กรรมและเห็นกรรม พระองค์ก็หลับตา และก็ไปลืมตาข้างใน คือไปลืมตาใจ การที่จะไปลืมตาใจนั้นทำยังไง ก็คือมานั่งหลับตานอกคือตาเนื้อ แล้วก็มากำหนดอานาปานสติคือลมหายใจเข้าออก เมื่อมากำหนดลมหายใจ ตั้งสติเอาไว้ คือลมหายใจเข้าใจออก จิตของพระองค์นั้นก็มีความสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ
เมื่อเป็นสมาธิแล้วก็จึงเกิดปัญญาญาณขึ้นมา ญาณเบื้องต้นเรียกว่า บุพเพนิวาสานุสติญาณ ญาณที่สองเรียกว่า จุตูปปาตญาณ อันจุตูปปาตญาณนี่ล่ะมันจึงรู้วาระ หรือว่ารู้กรรมของสัตว์ สัตว์จะมาจากที่นั้นไปเกิด ตายจากนี้ไปเกิดที่นั้น เกิดจากที่นั้น ตายที่นั่น ไปเกิดอย่างนั้น เป็นอย่างนั้น ก็เพราะจุตูปปาตญาณ แต่ญาณอันสุดท้ายเป็นอันที่รู้ว่าพระองค์สิ้นอาสวกิเลส (อาสวักขยณาณ) แต่ญาณที่สองนี่ จุตูปปาตญาณนี่ นี่ล่ะพระองค์มารู้กรรม ว่าสัตว์ตัวนี้มาจากนั้น ตายจากนั้นมาเกิด และสัตว์ตัวนี้ตายจากนี้มันจะไปเกิดเป็นนั้น เพราะกรรมนั้นได้กระทำมาอย่างนั้น อันนี้พระองค์นั้นน่ะได้รู้และได้เห็นมาก่อนแล้ว เราก็จะมาพูดกันแต่เรื่องก๊ำ…กรรม! เดี๋ยวกุศลกรรมบ้าง อกุศลกรรมบ้าง พวกกุศลกรรมและอกุศลกรรมมันจะมาจากไหน
เมื่อไหร่เราจะเห็นกุศลกรรมและเมื่อไหร่เราจะเห็นอกุศลกรรม มันก็ได้แต่พูดกัน สิ่งที่มันตามสนองเราซึ่งทำให้เราอาภัพอับจนน่ะ เกิดมาเป็นคนมันก็ไม่เหมือนคนน่ะ คนที่เค้าอุดมสมบูรณ์ มันก็อุดมสมบูรณ์ ไอ้เราทำไมมันถึงยากถึงจน และมันเป็นเพราะอะไร ฐานะแทนที่จะเหมือนเขา มันก็ไม่เหมือน ทำมาหากินแทนที่จะได้เหมือนอย่างเขา มันก็ไม่ได้ แทนที่มันจะรวย มันก็ไม่รวย สิ่งที่เราพอจะฉวยได้ มันก็ยังฉวยไม่ได้ มันเป็นเพราะอะไร ก็เพราะความอาภัพของตัวเองนั่นล่ะ อันที่เราไม่สามารถที่จะมองเห็นได้ด้วยตัวเอง ก็เนื่องมาจากไหน ก็เนื่องมาจากผลของกรรม ผลของกรรมคืออะไร คือเจ้ากรรมนายเวรที่พวกเราถือกันอยู่น่ะ เป็นอะไรมาก็หาว่าเจ้ากรรมนายเวร ทำบุญให้เจ้ากรรมนายเวร ทำสังฆทานพระเท่านั้นองค์ พระเท่านี้องค์ อ้าว ให้ทำอย่างนั้นให้ทำอย่างนี้ก็เพื่อจะให้ลุกะทายหายกะโทษ กรรมอันนั้นมันจะได้หมดไปอะไรไป เราก็ยังทำกันอยู่น่ะ ก็เพราะอะไร ก็เพราะกรรมเก่านั่นล่ะ
นี่ล่ะ ความอาภัพซึ่งเราไม่สามารถที่จะมองเห็นได้ ก็เพราะความมืดมนอนธการของจิต มันก็เนื่องด้วยจิตของเรานี่แหละ จะมาบำเพ็ญภาวนากระทำจิตของตัวเองมีความสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิด้วยอำนาจแห่งการบริกรรมพุทโธ เราจะมาดึงพุทโธๆเข้าใจทีนี้มันก็ยังดึงไม่ได้ เมื่อมันเป็นอย่างนี้ก็เมื่อไรมันจึงจะสงบ เราฟังเทศน์กันมากี่กัณฑ์แล้วตั้งแต่เริ่มงานมานี้ แล้วใครมีความสงบในตัวเองบ้าง และความสงบใจของเราใครล่ะมีบ้าง ใครได้ความสงบบ้าง มันไม่มีใครได้ มันมีแต่คนที่มันเหนื่อยเท่านั้นล่ะ และมันเพลียเท่านั้น และใครก็หาได้รู้ไม่ว่าจะดึงเอาจิตเอาใจตัวเองเข้ามาหาตัวเอง มันไม่มีใครคิด แล้วมันก็ไม่มีใครบอก
ก็มีแต่บอกว่าธรรมะอันนั้นก็เป็นอย่างนั้น ธรรมะอันนั้นก็เป็นอย่างนั้น อธิบายไปตามหัวข้อ จบหัวข้อนี้ก็ยกไปหัวข้อนั้น ก็อธิบายกันไปเรื่อยแต่ว่าธรรมะมันอยู่ไหนล่ะ อะไรเป็นธรรมะ ผลของธรรมะน่ะมันอยู่ที่ไหน แล้วใครจะเป็นผู้รับธรรมะอันนั้น หรือว่ามีแต่พระพุทธเจ้าองค์เดียวหรือรับธรรมะ ถ้าได้ธรรมะก็คือพระพุทธเจ้ารับองค์เดียวแล้วคนอื่นจะไม่มีสิทธิ์รับธรรมะล่ะ ทีนี้พวกเราน่ะ ทำยังไงมันจึงจะได้ เราจะไปเหมาเอาแต่พระพุทธเจ้าองค์เดียวๆอย่างนั้นใช้ไม่ได้ ธรรมะมันเป็นของทุกๆคน พระพุทธเจ้าไม่ได้จำกัดเฉพาะพระองค์ พระอริยสงฆ์สาวกผู้ที่สำเร็จไปแล้ว ท่านก็ไม่ได้จำกัดเฉพาะว่ามีเท่านี้ที่มาเป็นอริยะ ท่านก็ไม่ได้จำกัด เพราะธรรมะมันเป็นของที่มีอยู่ทั่วไป
ก็อย่างพวกเรานั่งกันเต็มศาลาหรือเต็มวิหารก็ล้วนแล้วแต่เป็นตัวธรรมะ ก็ล้วนแล้วแต่ธรรมะทั้งสิ้น ไอ้คำสอนนั่นมันอยู่ในตำรับตำราอยู่ในไตรปิฎกอยู่ในตู้ อันนั้นมันเป็นคำสอน ไอ้ตัวธรรมะมันเต็มอยู่เนี่ย นุ่งขาวเปี๊ยะมีแต่ตัวธรรมะทั้งนั้น ตัวธรรมะอะไรล่ะ กายกับใจน่ะ กายเรามีมั้ยล่ะ ใจเรามีมั้ย มันก็มีแล่ะ มันอยู่ที่ไหนล่ะธรรมะ ก็มันอยู่กับเราแล้ว จะไปเอาที่ไหน เราจะไปมัวแต่พรรณนาสาไถไม่ได้เรื่อง พระพุทธเจ้า พระอริยเจ้าอยู่ตรงนั้นเป็นอย่างนั้นทำอย่างนั้น ก็เราจะส่งแต่จิตใจไปแต่เมืองอินเดียเมืองแขก มันจะมีอะไรแขกทุกวันเนี่ย หาความสะอาดสะอ้านก็ไม่มีนะ เมืองแขก อย่าส่งไปนะ เวลานั่งภาวนาพูดถึงเรื่องพระพุทธเจ้าตรัสรู้หรือว่าพระอริยเจ้าได้สำเร็จอรหันต์น่ะ เดี๋ยวจะส่งจิตไปทางอินเดียน่ะ ส่งไปเมืองแขก แล้วส่งไปหามันทำไม แขกน่ะมันสกปรกจะตายน่ะ พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่าธรรมะมันอยู่เมืองแขก ธรรมะอยู่กับแขก ธรรมะอยู่ประเทศอินเดีย พระองค์ไม่ได้บัญญัติ พระองค์บัญญัติเอากายกับจิต คำว่ากายกับจิต มันทั่วไปมั้ย กายกับจิตเนี่ยมันทั่วโลก ฝรั่งมังค่าอะไรมันมีทั้งนั้นล่ะกายกับจิต
นี่ล่ะธรรมะของพระพุทธเจ้ามันครอบไปหมด ทั้งที่เราอยู่กันปัจจุบันนี้น่ะ มันมีหมดนะ อย่าส่งจิตของเรานั้นน่ะให้นอกเหนือไปจากตัวเอง และให้ส่งเข้าไปข้างในมันดีกว่า ดีกว่าส่งไปนอก อย่าส่งไปบ้าน อย่าส่งไปถนนหนทาง อย่าส่งไปหาใครทั้งนั้น อย่าไปสนอะไรกับใครทั้งสิ้น นอกจากตัวของตัวเองอย่าไปสน เดี๋ยวนี้เรามาหาคนอื่นหรือเรามาหาตนเอง ต่อเมื่อที่ว่าเราพากันมาบวชกันนี่ไม่ใช่ว่าเรามาหาคนอื่นน่ะ เรามาหาตัวเองนะ ก็ตัวเองมันก็มีอยู่ล่ะ นั่งอยู่เต็มนี่ล่ะ แต่ละคน แขนสอง ขาสอง หัวหนึ่ง มันมีอยู่นี่ล่ะ จะมาหาตัวนี้ ทั้งๆที่มันมีอยู่นี่ล่ะ ก็นั่งอยู่นี่ล่ะ หลับตาอยู่นี่ ก็หายใจอยู่นี่ แต่มันทำไมถึงหาไม่เห็น มันทำไมถึงไม่เห็นล่ะ ทั้งๆที่มันเห็นอยู่อย่างนี้ ทำไมมันถึงไม่เห็น จะไปเอาความเห็นอันไหนจึงว่าเห็นธรรม จะเอาตาเห็นเหรอ หรือจะเอาอะไรเห็น คำว่าเห็นธรรม
ทั้งที่มันมีกันอยู่ทุกคน รูปธรรมก็ว่า นามธรรมก็ว่า ใครก็ว่ารูปธรรมนามธรรมอย่างนั้นอย่างนี้ พิจารณาอย่างนี้ขึ้นสู่วิปัสสนาภูมิ ปัญจขันธา รูปขันโธ เวทนาขันโธ สัญญาขันโธ สังขารขันโธ ว่าวิปัสสนา ก็เป็นแต่เพียงว่าไปท่องบาลีในขันธ์ ๕ ก็หาว่าเป็นวิปัสสนาไปแล้ว ไอ้ตัวขันธ์ห้าจริงๆไม่มีใครเห็นนะสิ ทั้งๆที่มันนั่งกันอยู่ทุกคนนี่ล่ะ แล้วมีใครเห็นใครล่ะเดี๋ยวนี้ เราพากันมาเห็นตัวเอง แล้วมันเห็นตัวเองหรือยัง มันไม่มีใครสนใจในเรื่องของตัวเองน่ะ มันไปสนแต่เรื่องคนอื่น เห็นคนอื่นดีล่ะก็ไปล่ะเห่อล่ะ ไกลก็ตาม ใกล้ก็ตามเห่อกันไป เข้าใจว่าตัวเองน่ะมันจะได้ดี หรือมันจะดีเหมือนอย่างเขา อย่าไปหวัง แล้วมันจะไปได้ดีที่ไหน แล้วมันจะไปเอาดีที่ไหน แล้วใครเขาจะให้ดีเรามา แล้วเราจะไปเอาดีอะไรกับเขา มันไม่ได้หรอก ถ้าไม่เอาดีในตัวเองน่ะมันไม่มีทางที่จะดีได้ เพราะความดีน่ะมันอยู่กับเรามันจึงจะเป็นประโยชน์กับเรา
ทีนี้ถ้าเราไม่หาในตัวเรา เราจะไปเอาอะไรที่ไหนล่ะ และความดีมันอยู่ที่ไหน ถ้ามันไม่อยู่กับตัวเองล่ะมันจะไปมีที่ไหนมันจะมาดีให้เรา เดี๋ยวนี้เราพากันมาทำดีไม่ใช่เหรอ มาบวชนี่มันมาทำดีหรือมาทำเสียล่ะ ไอ้ที่มาบวชกันนี่เสียสละเวลามา สี่วัน ห้าวันก็มี สามวันก็มี สองวันก็มี วันหนึ่งก็มี เราเสียสละมาเนี่ย อดตาหลับขับตานอน เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ฟังเทศน์ฟังธรรมกันนับไม่ถ้วนที่เราฟังกันมา ก็เพื่ออะไรก็เพื่อความดีในตัวเองไม่ใช่หรือ ถ้าเราไม่อยากดีเรามาทำไมล่ะ จะมาให้มันเสียเวลาทำไม จะมาให้มันอดตาหลับขับตานอนให้มันเสียเวลาทำไม ไปนอนอยู่บ้านมันไม่สบายหรือ กินข้าวให้มันอิ่มหนำสำราญอยู่ที่โน่น ที่เรามาทำอย่างนี้ก็เพื่ออะไร ก็เพื่ออยากดีไม่ใช่หรือ ทุกคนก็อยากดีจึงได้พากันมาบวช
ไอ้บวชเราก็ไม่ใช่ว่าเราจะบวชตลอดไป ก็บวชเป็นครั้งเป็นคราวตามพิธีมีงานมีการ เพื่อยังกุศลจิตให้มันเกิดขึ้น เราก็บวชตามประเพณีกันนี้ บวชกันตามกาลตามสมัย สมัยนี้ก็ไปบวชกันเยอะ ที่ไหนก็จัดขึ้นก็มีแต่บวชๆ บวชก็ไม่เห็นว่าจะได้อยู่นมนานกาเล วันสองวัน ก็ได้แต่บวชออกจากวัดนี้ วัดอื่นเค้าประกาศบวชอีก ไปบวชอีก บวชกันอยู่อย่างนี้ ที่ทำอย่างนั้นเพื่ออะไร คิดมั้ยล่ะ พากันนึกมั้ยล่ะ ไปบวชหาอะไร มันได้อะไร มีแต่ไปกับไป มันไม่นึกถึงตัวเองนี่
บวชก็เพื่อความดีของตัวเอง เพื่อจะสร้างสรรค์ซึ่งความดีให้เกิดให้มีกับตัวเอง มันไม่ใช่ว่าจะไปบวชเพื่อคนอื่นนะ จะไปบวชให้คนอื่น เราจะไปบวชให้ได้ยังไงบวชให้คนอื่น มันบวชเพื่อตัวเองทั้งนั้นน่ะ บวชเพื่อสร้างสรรค์คุณงามความดีตัวเอง คือมาสมาทานซึ่งองค์ศีล เรียกว่าอุโบสถศีล ถือศีล ๘ เป็นการทรมาน เรียกว่าอดข้าว ไม่ทานข้าวตอนเวลาวิกาล ตลอดถึงว่าไม่นอนที่นั่งที่นอนอันยัดไปด้วยนุ่น ตลอดถึงว่าการประดับตกแต่งลูบไล้ไปด้วยของหอม เราก็ยกเว้น
เราก็มาทรมาน นั่งกันมานี้มากี่ชั่วโมงตั้งแต่ตั้งงานมา แล้วมันเหนื่อยแล้วนะ เหนื่อยแสนที่จะเหนื่อย ไม่ใช่ธรรมดานะนี่นะ มันแสนที่เหนื่อย แต่มันอด อดทนเพราะครูบาอาจารย์และอดทนเพราะระเบียบ อดทนเพราะมันมีหน้าที่ที่เราจะต้องทำ ถ้ามันไม่มีอย่างนี้มันไม่ได้อยู่หรอก มันไปนอนกันหมดแล้ว อันนี้มันมีอย่างนี้นะ เราก็จึงได้มาทำอย่างนี้ ที่ทำอย่างนี้ก็เพื่ออะไร ก็เพื่อตัวเองนะ ถ้าเราไม่เพื่อตัวเองล่ะ ดันมาทำทำไม ทำไปเพื่ออะไร ทำให้มันเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าทำไม ที่ทำอยู่เดี๋ยวนี้ก็เพื่อตัวเองนะ
เราเสียสละในการให้ทาน เรามาทอดมาหาบังสุกุลให้แก่บุรพาจารย์มีท่านพ่อ(ลี)เป็นประธาน พากันมาทำบุญ อะไรๆก็พากันเอามา เสียสละให้การให้ทาน สิ่งดีๆทั้งนั้นเพื่ออะไรล่ะ ถ้าไม่เพื่อตัวเอง จะไปยกให้ท่านพ่อเหรอ ท่านพ่อน่ะจะมารับเราหรือเปล่าล่ะ แต่บุญท่านพ่อนะมันก็พร้อมอยู่แล้วนะ ไอ้บุญของเรานี่จะไปให้ท่านพ่อ ท่านพ่อจะมารับเอาเหรอ นอกจากว่าเรามาทำในพิธีของท่านพ่อเพื่อยังบุญกุศลอันที่เราทำกับท่านพ่อนั้นเป็นบุญกับเรา มันความหมายมันเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าจะอุทิศบุญกุศลอันนี้ พอเรามาทำบุญ ท่านพ่อก็จะมายกเอา ใครใส่ใบร้อย ใบห้าร้อย ท่านพ่อก็จะเก็บเอาไปใส่กระเป๋าท่านพ่อ มันมีที่ไหนล่ะ มันมีแต่พวกเราไปหวังกับท่านพ่อน่ะ มาทำบุญแล้วก็อธิษฐานว่า “ท่านพ่อไปช่วยหน่อย ลูกจะค้าขาย” หรือจะขายที่ดินที่ดอนให้ท่านพ่อไปดลบันดาลให้หน่อย พอไปแล้วก็เกิดสมประสงค์ก็หาว่าท่านพ่อไปช่วย ก็ช่วยอาจจะช่วยจริงเพราะคุณธรรมของท่านมี คุณสมบัติมี อาจจะดลบันดาล แต่ว่าท่านจะมารับเงินกับเรา เมื่อเราขายได้แล้วเราจะเอาเงินมาซักห้าหมื่นห้าแสนจะมานับตรงเนี้ย มีแต่ใบสีชมพูทั้งนั้นล่ะ ทีนี้ท่านพ่อจะมานับกับเรามั้ยล่ะ จะมานับมั้ย ไม่มีทาง มีแต่เรานั่นยัดใส่กระเป๋าเราทั้งนั้น เรื่องมันเป็นอย่างนั้น
ทีนี้อันส่วนบุญส่วนกุศลมันก็เหมือนกัน ทำกับใครมันก็เพื่อเราทั้งนั้น ไอ้ภาวนานี่ก็เพื่อใคร มันก็เพื่อเราทั้งนั้น นี้เค้าเรียกเมตตาตน เรียกว่าสงสารตน เมตตาตน มันต้องเมตตาตนนี่ให้มาก ถ้าเมตตาตัวเองล่ะ มันก็เหมือนกับเมตตาสัตว์ สัพเพสัตตา เราก็เป็นสัตว์คนหนึ่งในจำนวนสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ก็เมตตาลงไปสิ ถ้าเมตตาตัวเองก็เสกพุทโธลงไปสิ เสกพุทโธให้มันมากๆ นี่ล่ะเมตตาตัวเอง ถ้าเราเสกพุทโธมาก นี่ เป็นอันที่ว่าถูกต้อง และเป็นอันที่ว่าเมตตาตัวเอง
เราจะได้ดีก็เพราะพุทโธนั่นล่ะ จะมานั่งอยู่นี่ก็เพราะพุทโธ อะไรก็พุทโธทั้งนั้น คือพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ถ้าเราไม่อ้างถึงพระพุทธเจ้า มันจะมีมาหรืออย่างนี้ แม้แต่วิหารเนี่ย ที่เราพากันมาทำขึ้นเนี่ย ถ้าเราไม่อ้างถึงพระพุทธเจ้าล่ะ จะมีหรือวิหาร เราจะเอาคุณของเรา เราเป็นผู้วิเศษนะ จะทำอย่างนั้นนะ จะสร้างวิหารมาทำนะ เราจะไปเป็นที่พึ่งนะ จะมีใครเค้าจะมามองหน้ามั้ยล่ะ มันไม่มีทาง มีแต่เรานี่เอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็มารวมเป็นพุทโธนี่ล่ะ ไปอ้างเอาเงินอยู่เดี๋ยวนี้ แล้วไปอ้างเอาสมบัติอยู่เดี๋ยวนี้ล่ะ เราก็ได้เพราะพุทโธนะ
อันนี้ล่ะคุณค่าของพุทโธนะ อันนี้มันของนอกเราก็ยังพอมองเห็น ถ้าหากว่าพุทโธนี่เข้าไปอยู่ข้างในคือหัวใจของเราแล้ว เมื่อใจของเรามีความสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ สมาธิเพราะพุทโธแล้ว มันก็จะเกิดความสว่างกระจ่างแจ้ง ขึ้นมาในจิตในใจของตัวเอง และก็สามารถที่จะรู้เห็นในสิ่งอันที่เราไม่เคยรู้เคยเห็นมาก่อน แม้แต่เป็นพวกภูติผีปีศาจก็ดี หรือว่าพวกเทพเจ้าเหล่าเทวดาก็ดี ไอ้จิตของเรามีความสงบจึงบังเกิดความแจ้งขึ้นมาในตัวเองน่ะ มันก็จะสามารถที่จะมองเห็นได้ มองเห็นพวกเทวดานี่
ทีนี้อันพวกเทวดาทั้งหลายน่ะที่มารักษาพวกเทวดาซึ่งนั่งกันเต็มศาลา พากันเห็นมั้ย ทั้งที่ยืนอยู่ข้างล่าง ทั้งที่เดินอยู่ข้างล่าง ทั้งที่นั่งอยู่ข้างล่าง แล้วพวกเทวดาเบื้องบนเค้ามาอนุโมทนาสาธุการกับพวกเราทั้งหลายที่พากันมานั่งเสกพุทโธ ธัมโม สังโฆอยู่เนี่ย ที่เค้าพากันมา มันเห็นกันมั้ยล่ะ แม้กระทั่งถึงอำนาจคุณของท่านพ่อของเรานี่ เมื่อท่านนำเทวดามาอยู่ยอดพระเจดีย์นี่ แล้วจะมีใครเห็นมั้ยล่ะ มันไม่มีใครเห็น ไอ้เทวดาน่ะเค้ามาอนุโมทนาสาธุการกับพวกเรานับเป็นโกฏิๆนะ ไม่ใช่น้อยนะ ที่เค้ามาอนุโมทนาและมายินดีกับพวกเราและมาร่วมการบุญการกุศลกับพวกเรานี่เต็ม เต็มลานวัดอโศฯ ไม่รู้ว่ากี่ชั้น ทั้งที่มารักษาพวกเราน่ะคือเรามาทำความดี เขาก็มาอนุโมทนาแล้วเขาก็มารักษา
คือคนบุญกับคนบุญนั่นล่ะ คือเรามาทำบุญนั่นล่ะ แต่เขาก็เป็นบุญนั้นล่ะ เทวดาเค้าก็เป็นบุญนั่นน่ะ เป็นผู้ที่มีบุญนั่น นั้นล่ะเรียกว่าตัวบุญ ตัวบุญก็คือตัวเทวดา ถ้าไม่มีบุญมันจะไปเป็นเทวดาหรือ ตัวบาปก็คือตัวเปรตกับตัวสัตว์นรก ถ้ามันไม่เป็นบาปแล้วมันจะไปเป็นสัตว์นรกหรือ มันจะไปตกนรกหรือ มันจะเป็นเปรตหรือ หรือมันจะไปเป็นผีหรือ เห็นเปรตเห็นผีนั่นแล่ะคือเห็นบาป นั่นแล่ะเห็นตัวบาป ตัวบาปมันเป็นอย่างนั้น มันให้ผลอย่างนั้นคือบาปมันให้ผลมันจึงเป็นเปรต บาปมันให้ผลมันจึงเป็นผี บาปมันให้ผลจึงเป็นสัตว์นรก นั้นเรียกว่าเห็นตัวบาป เมื่อนั่งภาวนาเห็นเปรตเห็นผีเห็นอะไร ให้รู้เถอะว่านั้นล่ะบาป นั้นล่ะตัวบาป
ทีนี้ถ้าเห็นเทพเจ้าเหล่าเทวดาท่านลอยมาบนอากาศ หรือว่าเดินมาเคียงข้าง มาข้างเคียงเราข้างหลังบ้าง ข้างหน้าบ้าง แสดงสดสวยงดงาม อันนั้นแล่ะตัวบุญ ก็คือตัวเทวดา เค้าก็ให้มาเห็นเพื่อเรานี่จะได้เกิดศรัทธาในการทำบุญทำกุศล คือมีการให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา กระทำจิตใจของตัวเองให้มีความสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ ก็เพื่อจะให้เรามีศรัทธาอย่างนั้น เราจะไปปฏิเสธเค้าว่าเทวดงเทวดาไม่มีอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่มีจะทำไปทำไม ก็เลิกกันเสียสิบุญเนี่ย ไปปฏิเสธกันเสียหมดไอ้เรื่องเหล่านี้ อย่ามาทำ คิดจะให้มันไปถึงพระนิพพานหมด มันไม่ทางหรอก อย่าไปคิดเลย จะเอาแต่เรื่องของพระอริยเจ้ามาพูด เราอย่าไปพูดเลย มันจะต้องมีล่ะพวกนี้ เทวดาทั้งหลายนี่ล่ะ ถ้าอย่างนั้นในเมื่อเวลาเราอนุโมทนาในการให้ศีลให้พรในบั้นสุดท้าย จะเป็นการให้พรครั้งไหนก็ตาม ก็มาลงเอยอันนี้ล่ะ เทวดานี่ล่ะ เรียกว่า
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง ขอสรรพมงคลจงมีแก่ท่าน,
รักขันตุ สัพพะเทวะตา ขอเหล่าเทวดาจงมารักษาท่าน ว่ากันมาใหม่ ก็ว่ากันอยู่ไม่ใช่หรือ,
สัพพะพุทธานุภาเวนะ ก็ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวง,
สัพพะธัมมานุภาเวนะ ก็ด้วยอานุภาพแห่งพระธรรมทั้งปวง,
สัพพะสังฆานุภาเวนะ ก็ด้วยอานุภาพแห่งพระสงฆ์ทั้งปวง,
สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน
เราว่ากันไม่ใช่หรือ พระสงฆ์องคเจ้าไม่ว่าวัดไหนล่ะ ว่ากันทั้งนั้น แล้วก็ขอสรรพมงคล ความเป็นมงคลก็คือพวกเราท่านทั้งหลายได้มาถือศีลกินเจกันอยู่นี่ล่ะ และก็มาทำพิธีกรรมในทางที่เป็นบุญเป็นกุศล อันนี้เค้าเรียกว่าสรรพมงคล คือความเป็นมงคลทั้งหลาย รักขันตุ สัพพะเทวะตา เทวดาก็ย่อมมารักษา ก็คือมารักษาพวกที่เป็นผู้เป็นบุญเป็นกุศลเช่นเดียวกัน ก็เหมือนอย่างพวกเรา นี่ล่ะเทวดามันมาเต็ม! แต่เราจะมีความสามารถเห็นได้หรือไม่ นุ่งขาวห่มขาวเหมือนอย่างพวกเราเนี้ย อย่างนี้ก็มี ผมยาวก็มี ผมสั้นก็มี เต็ม! เจดีย์ ๑๓องค์ หลับตาไปดูซะนั่น ถ้าใครตาดีไปดูเอา แต่อย่าไปถามนะ ถามไม่ได้ ทุกคนก็มีสิทธิ์ที่จะต้องทำเหมือนกันในศาสนา บวชมาเหมือนกันจะมาถามทำไม ปฏิบัติเหมือนกัน เรียนมาเหมือนกันจะมาถามทำไม ก็ตัวเองก็รู้ดีอยู่แล้วทำไมไม่ทำเอา ทำไมไม่ดูเอา ห้ามไม่ให้ถาม ถ้าว่าไม่มีก็แล้วไป ถ้าว่าไม่มีก็อย่ามาใช้ว่า รักขันตุ สัพพเทวะตา อย่าใช้ ตัดทิ้งไปเลย
อันนี้มันมี แม้กระทั่งถึงสวรรค์ ๖ ชั้นใครจะอยู่ล่ะ เทวดามั้ย ก็เทวดานี่ล่ะไปอยู่ในสวรรค์ ๖ ชั้น ทีนี้เราจะไปปฏิเสธเทวดาทำไม บางคนก็ไม่อยากไป ไปสวรรค์แล้วไปอยู่นาน แล้วจะเสียเวลงเวลาอย่างนั้นอย่างนี้ เออ! อย่าไปนะอย่างนั้น ไปนรกดีกว่า นรกน่ะมันอยู่นานหรืออยู่ช้า ไอ้เรื่องนรกล่ะอยากไป ไอ้สวรรค์ก็พาไปปฏิเสธ ก็ว่าจะไปเอามรรคเอาผล ไปนั่งวิปัสสนาอย่างนี้ อย่างนั้นเดี๋ยวจะไม่ต้องไปสวรรค์ให้ยาก เออ! มันพูดเหมือนกับมรรคผลเป็นของง่าย มันไม่ใช่ของง่ายถึงขนาดนั้นนะ
ไอ้นั่งวิปัสสนาก็จะไปนั่งยังไงมันจึงจะเป็นวิปัสสนาให้ ก็ไปนั่งหลับตาน่ะ ก็หลับตาแล้วก็ไปนั่งคิดก็จะว่าเป็นวิปัสสนา ถ้านั่งหลับตามากำหนดพุทโธมันก็หาว่าสมถะ ว่ามันช้ามั่ง วิปัสสนามันไว มันก็ไวล่ะมันคิดเอา แต่มันไปไม่ได้ มันไม่ใช่ของง่ายนะ เราจะต้องทำพื้นฐานจิตของเราให้มันดีซะก่อนซี่ ดำเนินจิตของเราให้เกิดความตั้งมั่นเป็นสมาธิ สมาธิมันอยู่ที่ไหนล่ะ อย่ามองมานะ มองเข้าไปในหัวอกตัวเองนั่นน่ะ นั่นล่ะสมาธิมันอยู่ตรงนั้นล่ะ มันจะเข้าไปตรงนั้นล่ะ อย่าส่งออกมา แล้วก็มองเข้าไปหน้าอกตัวเองในทรวงอกตัวเอง นั่นล่ะตัวสมาธิมันจะอยู่ มันก็อยู่ตรงนั้นน่ะ จะไปเอาสมาธินอกนี้ล่ะมันไม่ได้ จะไปเอาเจดีย์มาเป็นสมาธิ เอาวิหารเป็นสมาธิอย่าไปหวัง สมาธิมันอยู่กับตัวนั่นน่ะ นั้นล่ะ เอาตัวนั้นล่ะให้มันอยู่ เอาตัวใจ ตัวมันคิดอยู่นั่น
เอ้า ยัดเข้าไปสิ อุดเข้าไปสิพุทโธน่ะ ทำให้มันตั้งอยู่ซะก่อนแล้วค่อยพูดกัน แล้วมันจะเป็นยังไง ถ้ามันสงบไปแล้วมันเป็นยังไงค่อยมาพูดกัน เดี๋ยวนี้หาความสงบเสียก่อน อย่าเพิ่งพูดไปก่อน พูดว่ามันสงบแล้วมันดีอย่างนั้น เดี๋ยวมันจะเกิดความอยากอีกล่ะ ก็มันมีแต่อยากมันก็เลยไม่ทำอีกล่ะ ก็มันมีแต่อยากมันก็เลยไม่ทำอีกล่ะ ทำไม่ได้เหมือนอย่างว่าเอา มันก็หาว่าไม่มีอีกล่ะ ไม่ต้องไปพูดอะไรให้มันมากหรอก เอาแต่ใจให้มันอยู่เท่านั้นมันก็พอ เอาให้มันชนะ ดูซิ
มันเหนื่อยมาพอแล้วนะ ๕ วัน ๕ คืนมาแล้วนะ แล้วมันจะอยู่ให้มั้ยล่ะใจน่ะ ให้มันเหนื่อยล่ะมันยิ่งหาความเป็นปกติไม่ได้ มันจะเกิดกังวลขึ้นในตัว มันจะเกิดความเหน็ดเหนื่อยขึ้นมาในตัว มันเลยจะหาความสงบไม่ได้เพราะมันเหนื่อยนั่นล่ะ ทีนี้เราจะมองเข้าไปในตัวเอง มันก็มองไม่ได้ หลับตามองเข้าไปมันก็ง่วงซะล่ะ ก็มีแต่ไปเดิน ไอ้พอเดินมันก็พอแก้ง่วงได้ แต่ว่าเมื่อมันสงบแล้วมันก็จะเอาไม่ได้อีกล่ะ ก็ในเมื่อเวลาเดิน เดินก็ไม่รู้ว่าจะเอาให้มันเป็นยังไงหรือเดินยังไง ทำยังไงมันจึงจะสงบ เราก็ไม่รู้อีกล่ะ เดินเพื่ออะไรไม่รู้ ได้แต่เดิน
ตามหลักของการกระทำทั้งยืน เดิน นั่ง นอน มันเพื่อความสงบของจิตนะ เพื่อยังจิตใจของตัวเองนั้นให้เกิดความสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ เพื่อความเป็นสมาธิอย่างเดียวเท่านั้นล่ะ ไอ้เรื่องปัญญงปัญญา เรื่องความรู้อะไรต่างๆ อย่าไปเพิ่งคำนึงมันเถอะ ไปคิดมันก่อน ไปอยากมันก่อน ไปอยากได้ปัญญามันก่อนนั้นมันจึงไม่ได้สิเดี๋ยวเนี้ย กลัวว่าสงบไปแล้วมันจะไม่รู้อะไร มันคิดอะไรอย่างนั้น ให้มันสงบไปลองดูซิว่ามันจะเป็นยังไง มันจะไม่รู้อะไร ก็อย่าไปรู้มันสิ ไปปฏิเสธกันหมดว่า ความสงบมันไม่ดี มันเป็นสมถะ เราไปอยู่แล้วมันจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ว่ากันไปล่ะ
ไอ้คนไม่รู้เรื่องก็เลยไปเชื่อเลย ก็เลยไม่ไปทำ ก็กลัวมันจะสงบ สงบแล้วมันจะเป็นอย่างนั้นมันก็ว่าอีกล่ะ อ้าว ไปนั่งคิดเอา คิดไปคิดมา เอ้า ก็เกิดรำคาญ ก็ไม่ได้อีก จะทำยังไงอีกล่ะ เอ้า ก็วุ่นกันไปแล้ววุ่นกันมา วิปัสสนากับสมถะ ไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว ไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรต้อง ว่ากันไปสารพัดสารเพ ใครมีความคิดอะไรก็ว่ากันไป ก็ลองทำดูซิ มันจะเป็นยังไง สมถะถ้ามันสงบ มันเสียหายยังไงให้มันรู้ไปสิ แล้วมันจะเป็นโทษยังไงก็ให้มันรู้ดูซิ มันจะไม่ถึงพระนิพพาน ก็อย่าไปมันซะเลย ก็มันจะไม่ถึงอยู่แล้วล่ะ อย่าไปคิดเถอะ
ดำเนินความสงบนี้ไว้ก่อน เอาจิตของเราให้มีความสงบตั้งมั่นนี่ไว้ก่อน หาพื้นฐานของจิตนี้ไว้ก่อน หาฐานที่ตั้งของจิตของเรานี้เอาไว้ก่อนเถอะ เอาความสงบของเรานี้ล่ะให้มันมีในจิตของเรานี่เสียก่อน เมื่อจิตของเรามีความสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว หนึ่งเราก็จะมีความสุขกายสบายจิต กายของเราก็จะเบา ใจของเราก็จะเบา สติมันก็จะแจ่มใส ใจมันก็จะสดชื่น มันอยู่กับความสงบทั้งนั้นน่ะ
อย่าไปพูดเรื่องสติเลย เดี๋ยวก็สติอย่างนั้น เดี๋ยวก็สติอย่างนี้ แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะไอ้สติอย่างนั้น ไปพูดแต่เรื่องสติเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วสติมันอยู่ที่ไหนล่ะ คำว่ากายคตาสติ สติมันจะไปตั้งอยู่ที่กาย แล้วมันอยู่ให้มั้ยน่ะอยู่กับกายน่ะ ลองดูซิ เอาสติไปตั้งกับกาย ไปตั้งดูซิ ให้สติไปตั้งกับเวทนา ก็ลองดูซิ ไปตั้งดูซิมันอยู่มั้ย สติไปตั้งกับธรรม ก็ไปตั้งดูซิมันอยู่มั้ย สติไปตั้งกับจิต ก็ลองดูซิ มันอยู่ไหมล่ะ ไม่ว่าแต่สติปัฏฐาน ๔ ล่ะ สติปัฏฐานอะไรก็ช่างเถอะ ถ้าลองว่ามันไม่มีความสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว อย่าไปหวังว่าสตินี้มันจะคล่องตัว ถึงจะมาก็ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้นล่ะ มากำหนดว่าจะมาอยู่กับตรงนั้นๆ มันก็มาได้แว้บหนึ่งเท่านั้นล่ะ กระโดดผางไปเลย ข้ามทวีปตามไม่ทัน นั่น
ลองดูซิ ถ้าไม่ทำจิตของเราน่ะให้อยู่กับพุทโธอย่างเดียวซะก่อน อะไรๆก็ช่างมันเถอะไอ้นอกนั้นน่ะ เร่งคำบริกรรมพุทโธๆเข้าไป จะพุทโธเข้าตามลมก็ได้ พุทตามลมก็ได้ โธออกมาก็ได้ หรือว่าจะย้ำพุทโธๆๆเลยก็ได้ ถ้าเราจะมาตามลมเข้าลมออกอยู่มันช้า บางทีอารมณ์อื่นมันมาฉวยเอาไปกินก่อนซะ เลยลืมลมหายใจเข้าออกไป ไม่รู้ว่ามันไปไหน ทีนี้เร่งเลย ขยับเลย แต่ก็ให้เพ่งเข้าไปข้างในนะ โอปนยิโกน่ะ น้อมเข้ามา น้อมเข้ามาในนี้ อยู่ใต้ตาเนี่ย มรรคผลนิพพานไม่ใช่ว่าอยู่ไกลนะ อยู่ใต้ตานี่ อยู่ที่ทรวงอกนี่เห็นมั้ย มันอยู่ตรงนี้ล่ะ
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงว่ามีสิทธิ์กันทุกคนในเรื่องมรรคเรื่องผล ธรรมะไม่ใช่ว่าจำกัดเฉพาะเรา ธรรมะไม่จำกัดเฉพาะพระอริยสงฆ์ที่เป็นเท่านั้น มีอยู่ทั่วไปถ้าใครทำได้ ก็กายเราก็มี ใจเราก็มี ก็เมื่อกายเรามี ก็เมื่อใจเรามีล่ะ แล้วมันอยู่ที่ไหน ก็อยู่กับกายกับใจเนี่ยล่ะสิ เราจะไปหาอะไรที่ไหนล่ะ ทำไมไม่นึกถึงตัวเองให้มาก สงสารตัวเองมั้ย เผื่อว่ามันเป็นอะไรขึ้นมา อดหลับอดนอนมา ๕ วัน ๕ คืน เกิดเป็นลมมา ชักดิ้นชักงอมามันไปเลยจะทำยังไงล่ะ แล้วจะไปเอาอะไรที่ไหน
เดี๋ยวนี้เราก็เพื่อว่าจะพึ่งพาบารมีคือบุญกุศลที่เราพากันประพฤติปฏิบัติกันอยู่เนี่ย เราก็หวังพึ่งอันนี้นะ เราจึงเอาตัวของตัวเองมาเมตตาตัวเอง มากระทำความดีก็เพื่ออย่างนี้ พอมันออกไปเวลาไหน มันจะออกไปสิ ก็ต่อเมื่อข้าพเจ้ามีบุญมีกุศลแล้ว บุญกุศลมันมีกับข้าพเจ้าแล้ว จะไปก็ไปสิ เราก็ไม่ได้ห่วง เราก็ไม่ได้ว่า นี้มันก็จะไปด้วยเป็นบุญเป็นกุศล มันก็จะไปเป็นเทวดานั่นน่ะ นี่ ก็บุญกุศลที่เราทำมันไม่ได้สำเร็จอรหันต์ มันก็ต้องไปเทวดาสิ แม้แต่โสดาบันก็ยังไปเป็นเทวดาน่ะ โสดาบัน สกิทาคา จะว่าสวรรค์ไม่ดียังไงล่ะ สวรรค์มันก็ดี ไอ้แค่ดาวดึงส์ก็ให้มันได้เถอะน่า ดึงกันไปดึงกันมาอยู่นี่ล่ะ กลัวแต่มันไม่ได้น่ะล่ะ อย่าไปปฏิเสธ อย่าไปคิดใหญ่ อย่าไปคุย อย่าไปอวดดี ไม่อยากได้หรอกสวรรค์ดาวดึงส์สวรรค์อย่างนั้นอย่างนี้ อย่าไปอวด มันไม่ใช่ของเห็นง่ายๆ ไม่ใช่ของไปง่ายๆ เราต้องคิดให้ดีสิ
เพราะฉะนั้นน่ะ ควรที่จะมากระทำจิตของตัวเองให้เกิดความสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ เพื่อเป็นการเมตตาตัวเอง แล้วมายึดเอาพระพุทธเจ้านี้ล่ะเป็นสรณะ ก็คือว่าเป็นที่พึ่ง พระธรรมเจ้าเป็นสรณะ คือเป็นที่พึ่งที่อาศัย พระสังฆเจ้าเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งที่อาศัย ทีนี้พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน พระธรรมเจ้าอยู่ที่ไหน พระสังฆเจ้าอยู่ที่ไหน เราจะไล่บี้ก็ พระองค์เป็นที่พึ่ง พึ่งที่ไหน พระธรรมเป็นที่พึ่ง พึ่งที่ไหน พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง พึ่งที่ไหน จะมัวมาพึ่งพระสงฆ์ที่มานั่งอยู่นี่เต็มวัด ไม่มีทางหรอก พวกนี้มีแต่พึ่งโยมทั้งนั้น ตื่นเช้ามาอุ้มบาตรไปขอโยม ไม่ใช่ว่าสงฆ์นี้นะเป็นสรณะที่พึ่ง สงฆ์ในจิตในใจเรานี่น่ะ
พุทธะก็คือผู้รู้คือใจ ใจเรามันเข้าไปรู้ไปเห็นซึ่งพระธรรม คือธรรมะอันที่มีอยู่ในจิต เรื่องมรรคเรื่องผล สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานมันจะเข้าไปรู้ นั่นก็เรียกว่ารู้พระธรรม พอรู้พระธรรมแล้วก็ปฏิบัติตามธรรมนั้น ก็คือใจเรานั้นปฏิบัติตามองค์ธรรมที่เราได้รู้ได้เห็นในตัวเองนั้น นั้นเรียกว่าพระสงฆ์ มันเป็นอย่างนั้น เราจะไปเข้าใจว่าพระสงฆ์จะไปนั่งคอยเรา อย่าไปเข้าใจแบบนั้น ตกไกลนะแบบนั้น พูดกับแบบตรงๆเลยไม่ต้องอ้อมค้อม ไม่ต้องหลอกใคร ไม่พูดกินใครนะนี่นะ ใครให้กินจึงกินนะ ใครไม่ให้กินไม่กินนะเนี่ย พูดให้มันตรงๆเลยล่ะ
จะไปพึ่งยังไงล่ะ พึ่งพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหนล่ะ ท่านเป็นตนเป็นตัวมารอรับหรือเปล่า ท่านไม่ได้มารอรับอะไรกับเรา แต่เรามาสร้างสรรค์จิตของเรานี้ให้เป็นพุทธะคือความเป็นพุทโธ ยังใจของเรานี้ให้เกิดความสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้วเกิดความรู้แจ้งแสงสว่างขึ้นมา ยังคุณธรรมให้เกิดขึ้นในจิตในใจของตัวเอง เมื่อเกิดขึ้นในจิตในใจของตัวเองแล้ว ตัวเองได้เกิดความรู้ปัญญาอย่างไรซึ่งเราได้รู้ได้เห็นในภายในของตัวเองนั้น เราก็จะต้องปฏิบัติตามอันที่เราได้รู้ได้เห็นนั้นให้มันถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เมื่อเราประพฤติและปฏิบัติให้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมอันที่เราได้รู้ได้เห็นนั่นแล้ว นั่นล่ะ พระพุทธ พระธรรมเป็นสรณะที่พึ่ง เรียกว่า อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
เมื่อเราได้สร้างสรรค์ซึ่งคุณพระรัตนตรัยทั้งสามนี่รวมเข้าไปสู่ดวงจิตใจเราแล้ว ก็เลยกลายมาเป็น อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน อันนี้เราจะต้องพึ่งเรา จะไปพึ่งใครอะไรไม่ได้ทั้งนั้น นี่ เรียกว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์น่ะมาอยู่กับเรา ให้มาเข้าใจกันอย่างนี้ซะเถอะ มันจึงจะปฏิบัติกันง่าย แล้วมันจึงจะได้ไม่เห่อไปโน่น เห่อไปนี่ เดี๋ยวก็เห่อไปตรงนั้น เดี๋ยวก็โห่ไปตรงนี้ ไปแล้วไม่รู้ว่าจะไปเอาที่ไหน มันได้อะไรมาน่ะ ไปไม่เห็นใครได้อะไรมา ใจมันก็อยู่อย่างเก่านั่น มันไม่รู้จักจิตจักใจตัวเองเลย
ไปแล้วมันก็ไปเห็นวัดนี้ วัดนี้สวยเว้ย สร้างดีเว้ย งามเว้ย แน่ะ พอไปเห็นวัดนั้น วู้ย วัดนี้ไม่ดีเว้ย เกะกะ มีแต่ของเก่าๆคร่ำคร่ำ ไม่รู้จักสร้าง แน่ะ เราไปอันหนึ่งเราก็ไปชมซะ เราไปอีกอันหนึ่งมันก็ไปติซะ มันได้แค่ติกับชม ไอ้ตัวธรรมะแทนที่มันจะได้กับตัวเองมันก็เลยไม่ได้ มันก็เลยได้แค่ติกับชม นั่น นั่นหรือธรรมะ มันไม่ใช่ธรรมะนะ มันติกับชม มันเป็นโลกบาลธรรม เป็นธรรมประจำโลก ก็ไปชมก็เรียกว่าสรรเสริญ ไปตินั่นก็คือนินทา นั่น ไอ้ตัวของตัวเองน่ะมันดีแค่ไหนล่ะ แล้วไปติเขา ตัวของตัวเองมันดีแค่ไหนล่ะไปชมเขา หาได้มองถึงตัวเองไม่ ใครเป็นทั้งนั้นล่ะ ไม่ว่าใครทั้งนั้นน่ะ เป็นกันหมด
โดยลักษณะนี้น่ะติชม แทนที่จะมาติตัวเอง แทนที่จะมาชมตัวเอง แทนที่จะมาตรวจตัวเอง แทนที่จะมาวัดตัวเอง แทนที่จะสำรวจตัวเอง เปล่า เราเข้ามาอยู่วัดเนี่ย มันวัดตัวเองมั้ย วัดศีลวัดธรรมมั้ย วัดจิตวัดใจมั้ย เปล่า ถือว่าเข้ามาวัด ถือว่าตัวเองเป็นวัด นี่มันไม่ได้สำรวจตรวจตราอะไรตัวเองเลย ใจของเรามีความสงบมั้ย ใจของเรามีความสุขมั้ย ใจของเราประกอบไปด้วยความเป็นบุญเป็นกุศลมั้ย ไม่ได้สำรวจกันเลย มีแต่ทำกันตะพึดตะพือ ไม่รู้ว่าจะทำอะไร อะไรก็มีแต่เอาทั้งนั้น เอาทั้งนั้น ไอ้ตัวภายในล่ะทำไมไม่เอาล่ะ
ผลักให้มันเข้าไปอยู่ในมุมความสงบเสียบ้างสิ ไปให้แต่มันไปประเจิดประเจ้อ ไปให้แต่มันฟุ้งซ่าน ไปให้แต่มันท่องเที่ยว แล้วมันจะเที่ยวไปถึงไหนกัน เที่ยวไปแล้วมันเห็นสวรรค์นรกมั้ย เที่ยวไปแล้วมันเห็นนิพพานมั้ย เห็นมรรคผลนิพพานมั้ย ก็ยิ่งเที่ยวไปยิ่งไกลไป เรื่องของเรามันมักจะเป็นกันอย่างนั้นน่ะ ไม่ได้มองถึงตัวเองเลย
ยิ่งอายุอานามของเรามาถึงขนาดนี้ล่ะ ๕๐ ๖๐ ๗๐ ๘๐ มาแล้ว มันใกล้เข้าไปแล้ว ไอ้มัจจุราชเค้ามาเตือนอยู่ทุกขณะ เค้าจองเราไว้แล้ว เค้ามาหมายหัวเอาไว้แล้วเห็นมั้ย แต่ก่อนมันดำ เดี๋ยวนี้มันขาว มันหายหัวไว้น่ะ นั่นล่ะพญามัจจุราชมันหมายเอาไว้แล้ว ฟันแต่ก่อนน่ะมันเต็มปาก แล้วมันก็ถอดออกเป็นซี่ๆ บางคนมันไม่เหลือซักซี่นา แล้วพญามัจจุราชน่ะมันจองใช่มั้ย ไอ้สังขารร่างกายของเราแต่ก่อนน่ะมันสดใสสะอาดเปล่งปรั่งแข็งแรง เดี๋ยวนี้ล่ะมันย่น มันเหี่ยว จะลุกจะเดิน ลุกมันก็โอย เดินมันก็โอย เห็นมั้ยล่ะ เพราะอะไร ก็มัจจุราชมันจอง มัจจุราชมันเตือน อย่าไปคิดอะไรให้มาก ยังไงมันก็ตายอยู่วันยังค่ำล่ะ เกิดมาแล้ว เชิญเถอะ ขี่เครื่องบินไปเถอะ หนีตาย เครื่องบินไปตกทะเล เสร็จ นั่น ก็มันจะหนีตายไปได้เหรอ มันหนีไม่พ้นหรอก
ไอ้เรื่องตายน่ะมันหนีไม่พ้น มันจองไว้แล้ว แต่ว่ามันยังไม่จัดการให้เรียบร้อยเท่านั้นล่ะ ต่อเมื่อที่มันยังไม่จัดการให้เรียบร้อยนี่ล่ะ เราควรที่จะหาเครื่องมือเอาไว้สำหรับที่จะต้านทาน หรือว่าหาอะไรพอที่จะเป็นสมบัติของเราที่จะต้องเดินไปในข้างหน้า ได้แก่บุญกุศลอันที่เราได้ทำการกระทำนี่มันก็เป็นบุญ แต่ว่าบุญอันนี้มันก็ยังไม่เท่าไรนัก สู้ว่าบุญอันที่เรามาเจริญบำเพ็ญภาวนา ทำจิตใจของตัวเองมีความสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิให้ได้ บุญอันนี้มันจะต้องเห็นทันอกทันใจ เห็นในขณะที่มันมีความสงบนั้นแหละ มันไม่ได้รอวันรอคืน มันได้เดี๋ยวนั้น มันก็เห็นเดี๋ยวนั้น ว่ามันเป็นบุญก็คือมันเป็นสุขขึ้นมาเดี๋ยวนั้น พูดง่ายๆ มันสงบเดี๋ยวนั้นมันก็สุขขึ้นมาเดี๋ยวนั้น มันก็เป็นบุญให้เห็นเดี๋ยวนั้น นี่
ถ้ามันเห็นปัจจุบัน แต่ว่าการกระทำอย่างนี้เราก็ยังว่าคาดอนาคต ยังเป็นอนาคตอยู่ ถือว่าเราได้ทำดีแล้ว คิดว่าอนาคตถ้าเราตายไป ก็คงจะเป็นบุญเป็นกุศล ก็จะคงเป็นสมบัติของเรา แต่เราก็ยังไม่เห็น นี่ มันเป็นแต่เพียงว่าเราคาดหมาย ถ้าเรามีจิตมีใจของเราให้มีความสงบเท่านั้นล่ะ เราพอจะรู้ว่าความสุขนั้นมันมีกับตัวเอง ว่าบุญกุศลมันมีกับตัวเอง รู้ว่าบุญนั่นเข้าถึงเรา รู้ว่าเราเข้าถึงบุญ เดี๋ยวนี้มันยังไม่รู้ไม่ชี้อะไรนะ ไม่รู้ว่าอะไรเป็นบุญ ไม่รู้ว่าอะไรเป็นบาป เค้าว่าบุญก็บุญกับเขา เค้าว่าบาปก็บาปกับเขา เดี๋ยวนี้มันยังเชื่อตามเขาอยู่ เรียกว่าตัวของตัวเองมันยังไม่รู้และยังไม่เห็นยังไม่เข้าใจ
เพราะฉะนั้นในเรื่องการที่เรามาบำเพ็ญกุศลเนี่ย มันเป็นหน้าที่ของตัวเอง และตัวเองจะต้องได้รับผลเอง แต่อาศัยว่าท่านพ่อเป็นเหตุ เป็นสาเหตุที่จะชักจูงให้เราได้มาบำเพ็ญกุศล นี่ก็ถือว่าท่านพ่อน่ะเป็นผู้ที่ให้ความดีแก่เราโดยทางอ้อม โดยที่เราไม่รู้สึกตัว ที่เราได้พากันมาทำบุญ มาบวชกันบำเพ็ญภาวนากันเพราะใครล่ะ ก็เพราะท่านพ่อนั่นล่ะ ก็ท่านมรณภาพไปแล้วล่ะ ก็เอาวันคล้ายวันมรณภาพแต่ละปีๆมาทำกัน ก็สาเหตุอันนี้ล่ะเป็นเหตุให้เราได้บุญเดี๋ยวนี้ นี่เราจะได้บุญก็เพราะอันนี้อันหนึ่ง และอีกอันหนึ่งเราก็มาทำสิ เมื่อมาทำแล้วเราก็ได้บุญไปอีกอ้ะ นี่เรียกว่ามาสร้างบารมีของตัวเองนั้นน่ะ เพิ่มขึ้นไปโดยลำดับๆ
ทีนี้การที่จะไปสู่ซึ่งนิพพานนั้นน่ะ ไม่ใช่ว่าไปด้วยความยากจนนะ ไม่ใช่ว่าจะไปด้วยความจนๆนะ ไปพระนิพพานนี่ ไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ ความอุดมสมบูรณ์ของพระนิพพานนะมันคืออะไร คือบารมีทั้ง ๑๐ นั้นน่ะสมบูรณ์ ถ้าบารมีทั้ง ๑๐ ไม่สมบูรณ์อย่าไปหวังเรื่องพระนิพพาน ทานบารมีก็สมบูรณ์ ศีลบารมีก็สมบูรณ์ เนกขัมมะบารมีก็สมบูรณ์ ปัญญาบารมีก็สมบูรณ์ วิริยะบารมีก็สมบูรณ์ ขันติบารมีก็สมบูรณ์ สัจจะบารมีก็สมบูรณ์ อธิษฐานบารมีก็สมบูรณ์ เมตตาบารมีก็สมบูรณ์ อุเบกขาบารมีก็สมบูรณ์ คือสมบูรณ์ไปหมดทั้ง ๑๐ ประการ ทั้ง ๑๐ บารมี ทั้ง ๑๐ ทัศน์ นั้นล่ะจึงจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน
ทีนี้ทานของเรามันสมบูรณ์หรือยัง ศีลของเรามันสมบูรณ์หรือยัง การบวชของเรามันสมบูรณ์หรือยัง ปัญญาของเรามันสมบูรณ์หรือยัง ความเพียรของเรา มันสมบูรณ์หรือยัง ขันติความอดทนของเรามันสมบูรณ์หรือยัง สัจจะบารมีของเรามันสมบูรณ์หรือยัง อธิษฐานบารมีของเรามันสมบูรณ์หรือยัง เมตตามันสมบูรณ์หรือยัง อุเบกขามันสมบูรณ์หรือยัง มันไม่มีพอเสี้ยวนะ แล้วมันจะไปพระนิพพานได้ยังไง
ใครมาว่า ขึ้นมาธรรมาสน์ ก็ไล่ไปที่พระนิพพาน ไล่ไปที่พระนิพพาน ให้มันสร้างบารมีให้มันได้ก่อน ไม่บอกมันก็ไปเองหรอกพระนิพพาน บอกให้มันทำจิตให้มีความสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ เกิดความรู้แจ้งเห็นจริงขึ้นมา บารมี ๑๐ ทัศน์มันจะเต็มสมบูรณ์นั่นน่ะ โอ้ยไปเอง ไม่มีใครบอกหรอก ไม่มีใครบอกละกิเลส ละอย่างนั้นอย่างนี้ ละโลภโกรธหลง ไม่มีใครบอกหรอก พวกนี้มันเต็มสมบูรณ์ เข้าไปตั้งหลักฐานอยู่นั่นแล้ว ไปตั้งกองทัพอยู่นั่นแล้ว พวกนั้นมันถอยล่นออกไปก็ มันก็สมบูรณ์ของมันสินั่น มันละของมันเองซิ
อันนี้คุณธรรมแม้แต่นิดเดียว ไม่มี! จะบอกกันไปละกิเลส โอ๋ย กิเลสมันจะหัวเราะเยาะเย้ยเอาล่ะสิ กิเลสไม่ใช่โง่นา ไอ้เรื่องกิเลสมันไม่ใช่โง่นะ มันปัญญาดีกว่าสัตว์โลกนะ สัตว์โลกไม่สามารถที่จะหนีจากมันได้นะ ปัญญาน่ะมันรอบคอบ มันกักกันสัตว์เห็นมั้ย ให้เรามาเกิดมาแก่มาเจ็บมาตายอยู่เนี่ย ปัญญาของกิเลสมันครอบงำแล้วมันกีดกันของเราเท่าไหร่ อย่าไปเข้าใจว่ากิเลสน่ะเป็นของที่ว่าชุ่ยๆนะ อย่าคิดว่ามันจะรู้ธรรม มันจะไปท่องหลักธรรมหลักเกณฑ์อะไรได้หมดทุกสิ่งทุกอันแล้ว คิดว่ากิเลสมันจะถอยเหรอ อย่าไปเข้าใจง่ายๆอย่างนั้น กิเลสมันไม่ได้ยอมใครง่ายๆ อย่างความโลภเนี่ย เราเห็นมั้ยล่ะ ละได้มั้ยล่ะ ไม่มีทาง แน่ะ!
ไปหาพระก็ถามหวยล่ะ สองตัวบ้าง สามตัวบ้าง ช่วยหน่อย โปรดหน่อย เนี่ยมันโลภมั้ยละ มันละได้มั้ยล่ะกิเลสน่ะ พระก็อยากได้เหมือนกัน อ้าว บอกไปตัวนั้นนะ แทงไปตัวนั้นนะ แล้วมันละหรือกิเลส ไม่ได้ละหรอก ก็มันอยากเหมือนกันนี่ ต่างคนต่างอยาก ต่างคนต่างโลภ ถ้าจิตมันมีความสงบตั้งมั่นสมาธิแล้วมันไปตั้งหลักฐาน แล้วมันไปตั้งกองทัพอยู่นั่นแล้ว ด้วยความมั่นคงคือเป็นสมาธิแล้ว ปัญญามันก็เกิดขึ้นมา กิเลสมันก็ละไปเอง ไม่ต้องมาหาคนบอกให้ยากหรอก ไอ้กิเลสตัวเองก็ยังไม่เห็นแล้วมันจะไปละอะไรล่ะ มันไม่ใช่จะละง่ายๆ ละกิเลสก็คือละตัวเอง ตัวของตัวเองน่ะมันเป็นก้อนกิเลสทั้งหมด เห็นมั้ยล่ะ มันเกิดมาจากไหนล่ะ มันก็เกิดมาจากกิเลสไม่ใช่เหรอ ที่มาละกิเลสคือมาละตัวเองละได้ไหมล่ะ
ถ้าไม่เห็นทางสุขโดยอัตโนมัติซะก่อนมันจะไปละได้หรือละกิเลส เราจะมาพิจารณาสังขารร่างกายของเรา จะมาเพ่งมันเป็นของเน่าของเหม็นและเป็นของที่อืดเฟ้อขึ้นมา น้ำเลือดน้ำเหลืองไหล เป็นหนอนเป็นเหนินบ่อนอยู่อย่างนั้นอย่างนี้ มันจะเพ่งไปได้ซักกี่นาทีละเฮ่ย ไอ้จิตมันไม่หาความสงบไม่มี มันจะไปเพ่งอะไรได้ มันไม่ได้หรอก ถ้ามันมีความสงบในตัวเองแล้ว ปัจจตังน่ะที่เราว่ากันอยู่ ปัจจตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ ไอ้วิญญูชนมันจะรู้เฉพาะตน มันมีอยู่แล้วน๊า แต่เรามันไม่ได้ฝึกฝนมันเนี่ย มันมีอยู่ในนั้นน่ะ ขอให้มันสงบไปเถอะ วิญญูชนจะพึ่งรู้เฉพาะตน มันมีอยู่ในตัวเราพร้อม มันไม่จำเป็นที่จะให้คนอื่นเค้ามาบอกเล่าเก้าสิบ ขับไล่ให้เราละกิเลสหรอก มันละไม่ได้หรอก มาละกิเลส ไม่ว่าแต่นี้ล่ะ มันจะแบกยกปรมาณูมานะ อ้าว มึงหนีนะกิเลส ไม่ละกิเลส กูโยนปรมาณูใส่นะ! เหวย! ไม่มีทาง
คำว่ากิเลสมันจะหมดน่ะไม่มีทาง มันมีแต่เพิ่ม นั่น ถ้าหากว่าปรมาณูคือความสงบตั้งมั่นอันจิตที่มีความละเอียดอ่อนอันเกิดขึ้นด้วยปัญญา เมื่อปัญญามันเกิดขึ้นมาแล้ว ภายในจิตของตัวเอง เรียกว่าปรมาณู ซึ่งมันเกิดในจิตนั้นล่ะ มันจะทำลายรากฐานซึ่งกิเลสมีความโลภ ความโกรธ ความหลง อวิชชา ตัณหา มานะทิฐิ มันจะถอนรากถอนโคน จิตมันก็จะได้ถอดถอนออกมา แล้วก็มาอยู่โดยเฉพาะลำพัง เป็นไทไม่ใช่เป็นทาส และไม่เข้าไปแทรกซึมเข้าไปอีกในตัวกิเลสนั้น เป็นอัตโนมัติ นี่เรียกว่าจิตเป็นอิสระ
ทีนี้มันจะเป็นได้มั้ยล่ะ เราจะมาทำจิตให้เป็นอิสระ ไม่เป็นทาสกิเลสอย่างนั้นน่ะ มาเป็นไทได้มั้ย มันก็เป็นไม่ได้อีกล่ะ ที่มันไม่ได้ก็เพราะอะไร มันก็เพราะอย่างนี้ล่ะ ก็เพราะใจมันนี่ล่ะมันไม่อยู่ ไอ้ใครมันก็รู้ธรรมะ มันท่องมาได้ ดูในพระไตรปิฏกดูจนหมดทุกตัวมันก็รู้ล่ะสิ มันรู้กันทุกคนน่ะ ยอมยกให้ในเรื่องความรู้นี่ เรานี่ไม่รู้หรอกไอ้เรื่องตำรานี่ ในไตรปิฎกคงจะมีอยู่หรอก ซักหน้าสองหน้าเท่านั้น เคยไปดูไตรปิฎก ไม่เคยไปดูไปค้นอะไรมากหรอก เรานี่ไม่มีไอ้เรื่องความรู้หลักธรรมะที่มาท่องจดจำนี่ไม่เหมือนคนอื่น จำไม่ได้ แต่ว่าขึ้นมาธรรมาสน์แล้วมันเทศน์ไปได้นี่มันมายังไงไม่รู้นะนี่ แต่มันไปได้ก็เทศน์อย่างนี้ไปได้ แต่จะให้ไปจดจำพระไตรปิฎก ไม่มีหรอก หลักธรรมก็ไม่มีอีกด้วย มีก็ไม่มาก
ถึงรู้มันก็ไม่ได้ เราก็รู้ว่าถึงรู้มากมันก็ไม่ได้ ก็ละกิเลสไม่ได้ ยิ่งอวดตัวอีกล่ะ เป็นที่โอ้อวดอีกล่ะ หาว่าตัวเองเก่งตัวเองรู้เหยียบหัวคนไปอีกล่ะ นั่น กลายเป็นกิเลสไปอีกล่ะ หนักไปอีกล่ะ รู้มาก ทิฐิก็มาก สำคัญว่าตัวเองเป็นผู้รู้ แน่ะ แทนที่มันจะละกิเลสได้ เว้อ ยิ่งรู้มากยิ่งกิเลสมาก รู้น้อยๆเหมือนอย่างเรามันก็กิเลสมันก็จะมากเหมือนกัน แต่ว่ามันมีส่วนว่าหลบทัน แต่ว่าไม่ได้ละนะ หลบเอา อันนี้หลบเอา ไม่ละหรอก
นี่ล่ะ วิธีการที่เราจะต้องทำตัวของตัวเองเพื่อจะดำเนินเข้าไปสู่จุดคือความสุข ถ้าเราไม่ถึงความสุขที่แท้ก็เอาแค่สวรรค์ แค่ดาวดึงส์นี่ก็ดีโขอยู่แล้ว เลยดาวดึงส์ก็ยามา ดุสิตา ก็แล้วแต่เราจะไป ไม่ว่า แต่อย่าลงมาชั้นจาตุม มันต่ำเกินไป ตั้งแต่ดาวดึงส์ไปซะ ไปเป็นลูกน้องพระอินทร์อยู่นู่น ดี นี่ทำบุญกุศลมันก็เป็นอย่างนี้แล่ะ อย่าไปเข้าใจว่าจะไปโน่นไปนี่ วุ้ย อย่าไปประมาทมัน อย่ามาหาประมาทดาวดึงส์ สวรรค์นี่เรื่องมันเป็นอย่างนั้น โดยมากมันเป็นไปอย่างนั้น อันนี้ไม่อยากให้ประมาท ให้ทำไปมันจะรู้เองว่าจะไปมรรคไปผล ไปนิพพงนิพพานมันรู้เอง ทำไปซะก่อน อย่าเพิ่งไปตัด อย่าเพิ่งไปดูถูก อย่าเพิ่งไปทำลาย อันเป็นธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า
สวรรค์ก็เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า พรหมโลกก็เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า พระองค์ไปเห็นมาแล้ว อันนี้ล่ะ ทั้งที่เราอยู่ทุกวันก็ยังอาศัยเทพเจ้าเหล่าเทวดาทั้งหลาย เราก็ยังอ้อนวอนระลึกถึงอยู่ ให้มาช่วยอันนั้นอันนี้ ก็อาจจะมาช่วยก็ได้แต่เราไม่เห็น บางทีก็ดลบันดาลให้เราได้ตามความประสงค์ นี่ เรียกว่า ภะวะตุสัพพมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา ขอเหล่าเทวดาจงมารักษาท่าน มันก็มาอย่างนี้ล่ะ นี่ล่ะให้เราเข้าใจอย่างนี้ ที่พระสงฆ์ทั้งหลายท่านให้พรของเราบั้นสุดท้าย พอจบภะวุตุสัพ ก็เลิกกัน ก็คือเทวดานี่ล่ะ
ทีนี้จะพูดถึงเรื่องเทวดามันก็ยืดยาวสิ ที่ไปคุยกับพระพุทธเจ้าอยู่โน่น เมืองสาวัตถีโน่น ทูลถามปัญหาพระพุทธเจ้าเมืองสาวัตถี จะมาคุยกับเทวดาก็หมดคืนนี้ เราเหนื่อยเอาล่ะพอ พวกโยมมันเหนื่อยนั่งมาตั้ง ๕ วัน ๖ วันมาแล้ว เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ว่าให้ฟังแค่นี้ก็พอ แล้วก็ขอให้พากันรักษาจิตรักษาใจตัวเองให้เมตตาจิตเมตตาใจตัวเอง ให้สงสารจิต สงสารใจตัวเองกลัวมันจะไปตกทุกข์ได้ยากลำบากในอนาคต เรียกว่าในอนาคตข้างหน้า ในสัมปรายภพข้างหน้า ขอให้ใจของเรานั้นเมื่อยังไม่ถึงซึ่งพระนิพพาน ขออำนาจบุญกุศลอันที่เราได้กระทำนี้ จงได้ส่งผลให้เราไปสู่สุคติโลกสวรรค์ ถ้าหากจะไปสูงกว่านั้นก็สุดแท้แต่อำนาจบุญบารมีของเราที่ได้สะสมเอาไว้
แต่เราก็อย่าได้พากันประมาทในเรื่องชีวิตคือความเป็นอยู่ของตัวเองอยู่ว่า ตัวเองนั้นยังหนุ่มอยู่ ยังสาวอยู่ ยังไม่แก่ไม่เฒ่า แล้วตัวเองก็ยังไม่มีโรคมีภัยอะไรที่จะมาเบียดเบียนหรือว่าเรายังมีชีวิตอยู่แล้วเราจะไม่เป็นอะไร อันนี้ก็อย่าได้พากันประมาท เพราะความตายนั้นมันไม่ได้เลือกเฟ้นและไม่ได้เลือกเว้นใครทั้งสิ้น จะเป็นหญิงก็ตาม จะเป็นชายก็ตาม จะเป็นพระสงฆ์องคเจ้าก็ตาม จะเป็นภิกษุสงฆ์สามเณรก็ตาม จะเป็นเด็กเป็นเล็กก็ตาม ไอ้เรื่องมัจจุราชนั้นเค้าก็ไม่ได้ไว้หน้าเราทั้งนั้น ถึงเวลาของเขาเขาก็จัดการของเขาไปตามหน้าที่ เมื่อเขาได้จัดการไปแล้ว จำเป็นเราก็จะต้องเป็นไปตามอำนาจของพญามัจจุราช แต่ว่าส่วนด้านจิตใจของเราซึ่งมาอาศัยในร่างนั้น เมื่อมันออกจากร่างไปแล้ว มันก็จะล่องลอยไปตามหน้าที่ของมัน เรียกว่าไปตามคติของกรรม เรียกว่ากุศลกรรมบ้าง อกุศลกรรมบ้าง แล้วแต่กรรมดีกรรมชั่ว แล้วแต่ว่าที่เราได้กระทำเอาไว้
ส่วนบุญกรรมอันนั้น หรือว่ากุศลกรรมอันนั้น หรือว่าอกุศลกรรมอันนั้น มันก็จะส่งผลให้เราท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏไม่มีที่สิ้นสุด แต่เมื่อมันไม่มีที่สิ้นสุดอะไรก็ตามเถิด แต่ขอให้เราได้ไปสู่สุคติโลกสวรรค์หรือว่าจะไปสู่พรหมโลกอะไรก็แล้วแต่ ขอให้มันไปถึง ขอให้พ้นจากนรกหมกไหม้อย่างที่อเวจีมหานรก หรือว่าเปรตสัตว์เดรัจฉานเหล่านี้ ขอให้เราไปอยู่สุคติ มันจะอยู่นานซักกี่แสนนานกี่แสนโกฏิอะไรก็ตามมันเถอะ มันจะอยู่ร้อยกัปป์พันกัปป์หมื่นกัปป์แสนกัปป์อะไรก็ตาม ขอให้มันไปอยู่สวรรค์เสวยความสุขอยู่นั้น จนกว่าพระพุทธเจ้าที่จะได้มาตรัสรู้ข้างหน้า
เมื่อพระพุทธเจ้าได้มาตรัสรู้ข้างหน้า อำนาจบุญบารมีได้สร้างสมอบรมเอาไว้นั้น มันก็จะดลบันดาลให้ลงมาสู่มนุษย์โลก แล้วก็จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วก็ได้พบพระพุทธศาสนา คือพระพุทธองค์ ก็ได้ฟังคำเทศนาของท่าน เมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนาของท่านก็ด้วยบารมีของเราที่ได้สร้างสมอบรมมานั้น ก็จะดลบันดาลให้เรานั้นได้รู้ธรรมเห็นธรรมแล้วก็จะได้สำเร็จมรรคผลได้โดยในขณะนั้น แล้วก็จะได้ดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพาน ก็ถึงซึ่งความสุข อันนี้ขอให้บรรดาท่านทั้งหลาย ซึ่งอาตมาภาพได้ชี้แจงแสดงพระสัทธรรมเทศนามา ณ โอกาสบัดนี้ ก็เห็นจะสมควรแก่กาลเวลา