Skip to content

เทศนาสอนอาสาหมู่บ้าน

หลวงพ่อชา สุภัทโท

| PDF | YouTube (start 27:26)| AnyFlip |

ต่อแต่นี้ไปจงพากันตั้งใจฟังแล้วก็ตั้งอยู่ในความสงบเพราะว่าเวลานี้เป็นเวลาที่จะได้อบรมธรรมะซึ่งทางราชการเช่น ผู้ว่าการจังหวัดอุบลราชธานีได้เขียนหนังสือมาเรียนว่า วันนี้มีผู้อาสาหมู่บ้านจะมาอบรมที่วัดหนองป่าพง ดังนั้นท่านจงช่วยสงเคราะห์อนุเคราะห์ด้วยการแนะนำสั่งสอนทุกประการเท่าที่ควร ดังนั้นนอกนั้นไปก็ยังมีประชาชนมาสมทบเป็นพิเศษมั่งก็มี อันใดก็ตามเป็นต้น 

ไอ้ความเป็นไปหรือความเป็นมาของชาวมนุษย์เราทั้งหลายซึ่งเกิดอยู่ร่วมกัน มันเป็นกลุ่มก้อนอันหนึ่งๆ เมื่อเป็นกลุ่มก้อนอันหนึ่งๆแล้ว ต่อไปมันก็มากขึ้นๆ มันขยายตามส่วนบุคคล ขยายกว้างออกไป และการบริหารการงานของเราจะแคบอยู่อย่างเดิมมันไม่ได้ มันต้องขยายออกไปเรื่อยเป็นต้น ต้องช่วยกัน ถ้าผู้ที่สมัครเป็นผู้อาสาหมู่บ้านทั้งหลายนี้ ก็มีหมายความว่าเราจะต้องมีธรรมะตั้งอยู่ในใจของเราเช่น มีพรหมวิหาร หรือเป็นวิหารธรรม มีเมตตา มีกรุณา มีมุทิตา มีอุเบกขาเป็นพื้นฐานตั้งอยู่บนรากฐานของความรู้สึกของเราทุกคน 

นี่คือธรรมะ คือให้มีความเมตตา กรุณา ปราณีทุกถ้วนหน้าเสมอไป ทั้งๆที่ว่าเราซึ่งจะเห็นว่าไม่ใช่ญาติเรา พี่ๆน้องๆเราไม่ใช่ ไอ้ความเป็นมาของชาติทั้งหลายนั้นก็เป็นเพื่อน เป็นมิตร เป็นลูกเป็นหลานกันทั้งนั้นหละ ไม่ใช่ว่าเป็นคนอื่น ถึงแม้ว่าจะไปอยู่คนละบ้าน ต่างอำเภอ ต่างจังหวัดก็จริง แต่ว่าก็เหมือนเมล็ดข้าวอันหนึ่ง ซึ่งมันเกิดอยู่ในรวงอันหนึ่ง ในต้นอันหนึ่ง ในกองอันหนึ่งของข้าวนั่นเอง เมื่อมันมากขึ้น มันกระจายออกไป เมล็ดหนึ่งมันก็มีต้นหนึ่ง ต้นหนึ่งก็มีหลายรวง มีหลายเมล็ด มันก็ต่างกันไป แปรกันไป ก็เป็นต้นข้าวคนละต้นๆ แต่มันก็เป็นคนละต้น มันก็เป็นต้นข้าวต้นเดียวนั่นเอง ซึ่งมันขยายแผ่พืชออกจากในกออันเดียวกัน ในต้นอันเดียวกันฉันนั้น 

พวกเรานี้ก็เหมือนกันฉันนั้น เดิมทีก็เกิดเป็นพ่อเดียว แม่เดียวกันนั่นเอง ถ้ามันขยายไปๆ ต่างคนก็ต่างไป แต่พอมันไม่แน่นอน สะดวกที่ไหนก็ไปที่นั่น ใครชอบที่ไหนก็ไปที่นั่น เลยเป็นเหตุให้พวกเราทั้งหลายกระจายกันออกไปทั่วอีสาน เมื่อกระจายห่างๆไป ลืมตัวกันเสียเป็นต้น เห็นหน้าคนหนึ่งก็ว่าไม่ใช่ญาติของเราแล้ว เห็นหน้าคนหนึ่ง บ้านหนึ่ง ก็ไม่ใช่บ้านเราแล้ว อย่างนี้เป็นต้น ไอ้ความจริงนั้นมันก็เป็นญาติเกิด มันก็เป็นญาติแก่ มันก็เป็นญาติเจ็บ มันก็เป็นญาติตายตรงนั้น 

ดังนั้นพระบรมครูเราท่านจึงให้มีธรรมะ เอาจิตใจเข้าสู่ธรรมะ เอาธรรมะตั้งอยู่บนรากฐานบนพื้นจิตใจเราทั้งหลาย คือให้ช่วยกัน ให้ช่วยกันทุกๆคน ใครมันเป็นทุกข์ อะไรที่เราพอช่วยได้เราก็ช่วยเป็นต้น อย่างนี้ ให้นึกอย่างนี้ ให้คิดอย่างนี้ทุกคน ที่เราอยู่ร่วมกันในพื้นปฐพีนี้ก็คือ พ่อของเรา แม่ของเรา ญาติของเรา ลูกหลานของเราด้วยกันทั้งนั้น แต่ว่ากระจัดกระจายไปหลายปีหลายเดือนเป็นต้น ก็หลงกัน เกิดเป็นคนๆอื่น รบกัน ตีกัน แทงกัน วุ่นวายกันสารพัดอย่าง ตามประสาสัตว์ที่มันหลงนั่นเอง ไอ้ความจริงนั้นมันก็เป็นคนๆเดียวกัน เป็นคนพ่อเดียวกัน ไม่ใช่อื่นไกลเป็นต้น 

ทีนี้พอมีความเห็นเช่นนั้น ความเข้าใจผิดเป็นเหตุมันก็เกิดรบราฆ่าฟันกัน หลงไป หลงฆ่ากัน หลงแย่งกัน หลงรบกัน เท่านั้นหละ มันไม่มีเรื่องอะไร มันเพราะความหลงเท่านั้น ความเป็นจริงมันก็ญาติพี่น้องกันทุกๆคน มิฉะนั้นโดยส่วนมากก็ผู้ปกครองประเทศชาติก็อยากให้แต่ประเทศชาติราบรื่นไป เช่นผู้เป็นประธานในเมืองไทย เช่นในหลวง ราชินีเป็นต้น ก็มีความต้องการอยากจะให้กุลบุตร กุลธิดาทั้งหลายรู้จักกันโดยสัญชาติว่ามันเป็นญาติกัน หรือเป็นคนๆเดียวกันเป็นต้น ฉะนั้นจึงกำชับทั้งหลายทั้งปวงนี่ ขยายบทบาทอะไรต่างๆ ที่จะให้ความสะดวกแก่บ้านเรา เช่นว่ากลุ่มผู้ที่อาสาชาวบ้านทั้งหลายนี่ต่างถิ่นก็ต่างอยู่ ต่างจากอำเภอกัน หยิบเอาอำเภอนั้นบ้าง อำเภอนี้บ้าง มารวมกันศึกษา ใครยังไม่รู้อันใดก็ศึกษาอันนั้นให้เข้าใจ เพื่อจะสนองบุญคุณของพ่อแม่พี่น้องเราทั้งหลายให้อยู่เย็นเป็นสุข นี่เป็นต้น 

ดังนั้นผู้ที่เราเข้าไปอาสาชาวบ้านทั้งหลายนั้นก็เป็นผู้มีธรรมะ ธรรมะคือความเมตตา เข้าไปในบ้านนี้ มองเห็นคนแก่ๆก็นึกว่านี่แม่เรานะ ผู้ชายแก่ๆก็นึกว่านี่พ่อเรานะ อายุสูงกว่าเรา อันนี้พี่แล้วนะ อย่างนี้เป็นต้น อันนี้น้องเรา ลูกเรา หลานเราทั้งนั้น ให้ทำความเห็นอย่างนี้ทุกคน พยายาม การช่วยความปลดทุกข์ได้ยากเป็นต้นต้องให้สม่ำเสมอกัน เมตตาคือความรัก เมตตาคือความรักมันมีสองอย่าง อย่างหนึ่งคือมันรักโดยเฉพาะเจาะจง อย่างหนึ่งมันรักโดยเฉพาะทั่วถึงกัน อย่างหนึ่งมันก็รักตัวของเรา รักลูกของเรา รักหลานของเรา รักตระกูลของเรา ตระกูลอื่นจะเป็นไงก็ช่าง ไม่สนใจ เป็นต้น อันนี้ก็รักเหมือนกัน รักในตระกูลของเรา ญาติของเรา พี่น้องของเรา แต่ว่ามันแคบเกินไป มันแคบ ความคิดเช่นนี้มันแคบ ก็เป็นเมตตาเหมือนกัน แต่เป็นเมตตาในพรหมวิหาร 

พระพุทธเจ้าต้องการอยากให้เป็นเมตตาอัปปมัญญา อัปปมัญญาโดยทั่วถึงกัน ไม่ใช่ว่ามาจากถิ่นไหนก็ตามเหอะ จะเป็นยังไงมาก็ตามเหอะ เรามีความเห็นพอใจเหมือนๆกัน คนที่ห่างกับคนที่อยู่ใกล้กันก็เหมือนๆกันทั้งนั้น มีความรักเสมอกัน ให้ความเห็นเสมอกัน ให้ความสุขเสมอกัน ตามมีตามได้อย่างนี้ อย่างนี้เรียกว่าความสงบโดยทั่วถึง เป็นอัปปมัญญาธรรม เป็นธรรมที่อยู่ในจิตสันดานของพวกเราทั้งหลายผู้รักษาชาวบ้าน คือมนุษย์เราทั้งหลายนั้นถึงว่าจะเป็นอะไรก็ตามทีเถอะ ที่มาเกิดมาร่วมกันแล้ว คนอื่นเป็นทุกข์ เราเป็นสุข เราก็เป็นสุขไปไม่ได้ อย่างคนนั้นเนี่ย มันเป็นทุกข์ไม่มีข้าวกิน เรากินคนเดียว เอาสิ อยู่ด้วยดิ เดี๋ยวก็แบ่งเท่านั้นน่ะ มาแบ่งมาปล้นเอาเท่านั้นแหละ นี่คืออยู่คนเดียวไม่ได้หรอก 

ถึงแม้ว่าไม่ใช่มนุษย์ สัตว์ เอาสิ เห็นมั้ย โยนข้าวให้สุนัขกินสิ โยนก้อนโตๆให้ตัวหนึ่ง อีกตัวหนึ่งอย่าให้มัน เดี๋ยวก็วิ่งมากัดกันเท่านั้นแหละ แย่ง เพราะอะไรหละ เพราะมันไม่ได้กินข้าว มันไม่ได้ส่วนแบ่ง ถ้าให้ส่วนแบ่ง ไอ้ตัวนั้นก้อนหนึ่ง ตัวนี้ก้อนหนึ่ง ก็ต่างคนต่างกินก็ไม่ทะเลาะกัน ไอ้คนเราก็เหมือนกัน สัญชาติญาณก็เหมือนกันเท่านั้นแหละ คนหนึ่งกินสบายนอนสบาย อย่างนี้เป็นต้น ไอ้พวกเป็นโจรมันก็ไม่ได้กิน ไม่ได้รับส่วนแบ่งมันก็ไม่ได้กิน ไม่ได้กินมันก็มองหน้าคนที่มีข้าวกิน มองไปมองมาก็นึกอยากจะกินข้าวเหมือนกัน อย่างนี้มันก็อยากเกิดขึ้นมา มันก็ไปแย่งเอาเท่านั้นแหละ มันเกิดเป็นขี้ขโมยนา เนี่ย อย่างนี้เป็นต้น ไอ้คนเรามันก็ชอบจะเป็นอย่างนี้ 

อันนี้เราเป็นผู้รักษาชาวบ้าน ให้ชาวบ้านของเราเจริญ เข้าไปในกลุ่มไหน ให้เขายกมือไหว้ ไอ้ที่อาสาชาวบ้านมาแล้วอย่างนี้เป็นต้น เข้าที่ไหนก็อยู่เย็นเป็นสุข ถึงแม้ไม่มียา ไม่มีอาหารให้ พูดกันว่าคุณยายเป็นยังไงคะ คุณตาสบายดีเหรอ เนี่ย มันก็สบายแล้ว สบายด้วยความดีใจ ไอ้พวกที่มีคุณธรรมมันก็สบายใจ อย่างนี้เป็นต้น พอเห็นพวกเราเข้าไปก็เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ยังไม่ได้วางยา ยังไม่ได้ให้อะไรเลย พูดเท่านั้นแหละ คือความเข้าใจนั่นแหละ ได้ยินเสียงไพเราะเสนาะโสต ใจมันก็สบาย พวกหมู่บ้าน รักษาชาวบ้านทั้งหลายคือให้ไปปลุกใจ ไปปลุกใจว่าให้พวกเราเป็นอันเดียวกัน พวกเราทำเป็นตัวอย่างของเด็กๆ เป็นตัวอย่างของเด็กน้อยเป็นต้น อบรมให้ชาวบ้านรักษาบ้าน อบรมให้ชาวบ้านรักษาตัวเอง อบรมให้ชาวบ้านมีความสามัคคีซึ่งกันและกัน ให้จัดแบ่งสรรปันส่วนกันพอสมควร ใครๆก็คิดอย่างนี้ ใครๆก็พยายามอย่างนี้ มันก็ไม่มีอะไรแล้ว บ้านเมืองเรามันก็เจริญขึ้นเท่านั้น 

ไอ้ที่บ้านเมืองนั้นไม่เจริญทุกวันนี้เพราะอะไร เพราะอะไร เพราะคนมีเมตตาไม่ทั่วถึง อาตมาเคยพบคนแก่ๆกลุ่มหนึ่ง แล้วก็มีเด็กที่ข้างๆบ้านมันดื้อ เดี๋ยวมันก็ปล้นที่นั้น เดี๋ยวมันก็ปล้นที่นี้ นานๆมาก็มาทำให้บ้านเรา คนแก่ๆทั้งหลายมารวมกันมาสอนลูกหลาน เฮ้ย หนู พวกหนุ่มทั้งหลายนั่นน่ะ ถ้าหนูจะไปปล้น จะไปขโมย ก็ไปปล้นโน้นบ้านอื่น ไกลๆบ้านเราโน่น ไปอำเภอเดชอุดมนู่น ไปพิบูลนู่น อย่ามาปล้นอำเภอวารินเราเลย นี่คนแก่สอนลูกหลาน ให้ไปปล้นอำเภอพิบูล ให้ไปปล้นที่อำเภอเดชอุดม อำเภอวารินอย่ามาปล้นเลย มันบ้านเรา ไอ้คนแก่นี่ก็สำคัญเหลือเกินนะ ก็นึกว่าคนแก่มันมีปัญญานะ ให้ไปปล้นบ้านอื่น บ้านเราอย่ามาปล้นเลย ไอ้คนแก่ก็เห็นแก่ตัวเต็มทีเดียวเลย ถ้าหากว่าเราพากันอยู่เมืองพิบูลน่ะ ไอ้เด็กข้างบ้านมันดื้อ เราจะบอกว่า เฮ้ย ไปปล้นอำเภอวารินมันดีกว่า อย่ามาปล้นอำเภอเราเลย แล้วจะเป็นไงกันน่ะ ฮื้อ จะดีมั้ย เด็กข้างๆบ้านเดชอุดม มันทำความวุ่นวายให้ชาวบ้าน แล้วจะพูดว่า เฮ้ย หนุ่มๆทั้งหลายนั้นน่ะ อย่ามาวุ่นวายกันเลย นู่น ไปอำเภอวารินโน่นดีกว่า อันนี้มันบ้านของเรา อย่ามาทำเลย ถ้าทำอย่างนี้มันจะดีมั้ย นี่คนแก่นึกว่ามีปัญญา ไอ้ความเป็นจริงมีปัญญาทราม แล้วก็มีปัญญาเหมือนกันแต่ปัญญาทราม ปัญญาที่มันใช้ไม่ได้อย่างนี้ไม่เป็นธรรมะ อย่างนี้ก็ไม่เป็นธรรม เรียกว่าเมตตาก็เมตตาเจาะจงทั้งหลายเหล่านี้ 

พวกเราทั้งหลายนี่ก็เหมือนกันฉันนี้ ไอ้คนที่เกิดมาก่อน ก็เฒ่าไปก่อน แก่ไปก่อนแล้วก็ตายไปก่อนพวกเรา แล้วก็หมดภาระแล้ว พวกเรานี่สิ หนุ่มๆสาวๆเนี่ยจะทำยังไง เราจะเป็นคนที่ปกครองบ้านเมืองต่อไป จะรักษาประชาชนต่อไปให้มีสันติสุขในบ้านในเรือนของเราทุกถ้วนหน้ากัน ก็เป็นภาระของเรา ถ้าเราทำไม่ดี จะเป็นยังไง ไอ้ความไม่ดีจะไปไหน มันก็กลับมาอยู่กับเรานั่นแหละ เราไม่รู้จักภาษานี่ เราไม่มีปัญญาเป็นต้น ไอ้ความโง่ก็วิ่งมาถึงเรา ไม่ถึงเราก็ถึงลูกเรา ไม่ถึงลูกก็ถึงหลานเรา ถึงเพื่อนเรา ถึงบ้านเรา เป็นต้น อย่าคิดอย่างนั้น ฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงให้มีเมตตา ทุกๆคนทุกวันนี้อยู่ด้วยความเมตตา ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในทุกเวลานี้ก็เพราะธรรมะไม่มีในใจของตน 

คนเราถ้าไม่มีธรรมะก็เหมือนกันกับสัตว์ สัตว์ไม่มีธรรมะ เคยเห็นสุนัขมั้ย เอาข้าวก้อนนึงโยนให้ตัวนั้นกิน ตัวนี้ไม่ได้กิน เห็นก็วิ่งไปเลย กระโดดกัดเลย กิน เอาก้อนข้าวไปกินเปล่าๆ ไอ้ตัวนั้นก็ร้องเอ๋งๆๆไปเรื่อยๆไปนี่ มนุษย์เราก็เหมือนกันฉันนั้นถ้าไม่มีธรรมะ มีความอิจฉา มีความพยาบาทกัน เพราะมันอยู่อย่างสัตว์นั่นเอง ถ้าเราไม่มีธรรมะ บ้านเมืองเรามันก็เดือดร้อน ลูกเราเกิดมามันจะสอนยาก เรามีลูก มันจะสอนยาก เรามีหลาน มันจะสอนยาก เรามีใคร เรามีสามี มีครอบครัวเราก็สอนยาก พูดไม่ฟังกัน นี่เพราะอะไร เพราะไม่มีธรรมะ แต่คนผู้ที่หลงใหลนี่ เฮ่อ ธรรมะนี่กินได้เหรอ ไปวัดไปเฮอะ ได้อะไรมานะ ได้ธรรมะที่ไหนมา เอาธรรมะไปกินได้มั้ย ไอ้ความเป็นจริงที่มันไม่กินธรรมะมันถึงเกิดการเดือดร้อน ถ้าได้กินธรรมะ ได้มาเพื่อเป็นธรรม พูดมาไปเพื่อเป็นธรรม อะไรๆได้มาด้วยธรรมะ ได้มาด้วยความซื่อสัตย์สุจริตอันนั้น อันนั้นสบาย ตามนั้นคือความถูกต้องอยู่แล้ว ภายหลังก็ไม่เดือดร้อนไม่วุ่นวาย นี่เรียกว่าเรากินธรรมะกัน ถ้าเราไม่ได้กินธรรมะกันก็วุ่นซะแล้ว ทะเลาะเบาะแว้งกันไม่ได้หยุดเป็นต้น 

นี่หละบ้านเมืองของเราเป็นต้น ที่จะอยู่เย็นเป็นสุขเพราะความสามัคคีกัน ถ้าความสามัคคีกันที่จะเกิดขึ้นเป็นต้นเพราะทำงานตามหน้าที่ของเรา พ่อแม่ก็ทำหน้าที่ของพ่อแม่ให้ถูกต้อง ลูกก็ทำตามหน้าที่ของลูกให้ถูกต้อง ครูก็ทำหน้าที่ของครูให้มันถูกต้อง นักเรียนก็ทำตามหน้าที่ของนักเรียนให้มันถูกต้อง พวกเราก็เหมือนกันฉันนั้น เป็นผู้อาสาหมู่บ้าน จะมีข้อกฏระเบียบเป็นอย่างไร อันนั้นก็ให้ค่อยๆคำนึงถึงว่าเราต้องทำงานตามหน้าที่ของเรา ว่ามันจะดีหรือว่ามันจะชั่วอะไรก็ช่างมัน ท่านให้ทำอย่างนี้เราก็ทำอย่างนี้ ท่านให้พูดอย่างนี้เราก็พูดอย่างนี้ ทำให้ตรงไปตรงมาตามหน้าที่ของเราฉันนั้น อย่างนั้นถ้าพวกเราไม่สามัคคีกัน ก็อิจฉากัน ก็พยาบาทกัน ทะเลาะกันให้เด็กๆมันเห็น จะไปสอนเด็กๆให้มีสามัคคีกัน ตัวพวกเราก็สามัคคีกันไม่ได้ สอนเด็กๆให้มันขยัน แต่ตัวเราขี้เกียจเดียจคร้าน เด็กมันจะเอาอะไรมั้ย 

นี่เรียกว่าเราเป็นครูคน  เราเป็นครูคนจะต้องสอนตนให้เป็นครูคน เป็นครูคน จิตใจมันสูงกว่านักเรียนนักศึกษาทั้งหลายเป็นต้น เหมือนกับพ่อแม่คนนั่นแหละ เราเป็นพ่อเป็นแม่คนจิตใจก็ให้สูงกว่าเด็กๆ ลูกหลานเราอย่างนั้น จึงปกครองลูกหลานของเราได้ เขาจึงกลัว แล้วจะมีอำนาจ พูดตรงไปตรงมา มีวาทะอันอ่อนหวานเป็นต้น มีวาทะอันศักดิ์สิทธิ์ มีความรู้สึกนึกคิดเหนือมนุษย์ทั้งหลายเป็นต้น แล้วก็มีธรรมะประจำใจอยู่เสมอ อันนี้เป็นธรรมะที่เราทั้งหลายควรจะพิจารณา 

นี่อาสาหมู่บ้าน บางทีก็จะไปบ้านโน้น บางทีก็จะไปบ้านนี้ สารพัดบ้านเลยที่จะต้องไปๆกัน ก็อย่าไปถือเลย ไปถึงบ้านที่เราไม่รู้ภาษาของเขา ไม่รู้สมมุติของเขา ไม่รู้บัญญัติของเขา เราอย่าไปถือตัวในที่นั้น อันนี้ถ้าเราไปถือตัวที่นั่น จะผิดภาษากัน ก็จะเข้ากันลำบากเหมือนกัน ท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตโตก่อนท่านเป็นพระกรรมฐาน ไปปฏิบัติอยู่โน่น ภูเขาทางไกลอย่างนั้น ท่านไปนั่งอยู่ เค้าก็เดินมา มาถามท่านว่า “เอ้อ มึงมาจากไหนนี่” “เออ กูมาจากโน้น” “มึงกินเข่าแล้วบ่” “เออ กูกินแหล่วหละ” เค้านึกว่า มึงๆกูๆ นี่ดีที่สุดแล้ว เราไม่รู้เรื่องก็โกรธสิ เค้าถามว่ามึงมาจากไหน ไม่อยากจะพูดแล้ว คอแข็ง ท่านอาจารย์มั่นท่าน เค้าถามว่า มึงมาจากไหน เออ กูมาจากโน้น มึงกินเข่าแล้วบ่ กูกินแล้ว เลยสบายไปเลยนะ นี่เรียกว่าท่านรู้จักคน เราไม่รู้จักคน ภาษาเค้าถือว่า มึงๆกูๆมันดีที่สุดแล้ว ถ้าเราไม่เคยได้ยินเป็นต้น เราก็ไม่ฉลาดในคำพูดอันนั้น ก็โกรธให้เค้า เกลียดให้เค้า เสียประโยชน์เปล่าๆ อย่างนี้เป็นต้น 

ดังนี้เราเป็นผู้รักษาหมู่บ้าน ก็เรียกว่าหมู่บ้านนั้นได้อาศัยเรา ทางความรู้สึกนึกคิดอะไรทุกประการนั้นเป็นต้น ฉะนั้นขอพวกกุลบุตรลูกหลานทั้งหลายขึ้นถูกให้เป็นเจ้าหน้าที่เช่นนี้เป็นต้นตามทางการ  ขอจงพากันประพฤติปฏิบัติด้วยน้ำใสใจจริง ปลอบจิตใจผู้ใหญ่และเด็กๆทั้งหลายเป็นต้นให้เข้ามาสู่ศีลธรรมด้วยกันทั้งนั้น ทุกวันนี้มันเสียซะแล้ว เสียไปซะครึ่งหนึ่ง เสียไปเป็นส่วนที่ว่า เราจึงพากันรู้สึกเป็นบางแห่งซะแล้วว่ามันเดือดร้อนเพราะอะไร เนี่ย คือศีลธรรมนั้นมันค่อยๆเสื่อมไปจากมนุษย์ทั้งหลาย เราก็คอยมารู้ว่ายิ่งสนุกสนานกันไปเรื่อยๆเป็นต้น สมัยนี้มันเสื่อมไปทุกทีๆ เมื่อมันเสื่อมเข้าไปแล้ว ก็ไปให้ความเดือดร้อนมันเกิด โวยวายกันทีหลัง แก้ไขไม่ค่อยจะทัน คนนี้เป็นยังไง คนโน้นวุ่นวาย อย่างดีเฉพาะแต่ว่าผู้ที่มีสติปัญญา รู้สึกตัวอยู่เสมอว่าอันนั้นมันผิด อันนั้นมันไม่ดี ก็ไม่ทำด้วย ทำก็ทำเล็กๆน้อยๆอะไรทั้งหลายเป็นต้น ไม่ให้มากกับเขา 

เพราะว่าเราจะเป็นผู้อบรมชาวบ้านทั้งหลายก็ดี อยู่ในนอกก็ดี อยู่ข้างในก็ดี มีข้อประพฤติปฏิบัติให้ดีได้เหมือนกัน ถึงว่ายังหนุ่มๆก็ปฏิบัติได้ อย่าเพิ่งไปทิ้งให้คนแก่เลย โดยมากไอ้ผู้หญิงก็ดี ผู้ชายก็ดี หนุ่มๆสาวๆ ไปพูดว่า แก่ซะก่อนถึงจะเข้าวัดกัน เดี๋ยวนี้ยังเข้าไม่ได้หรอก ให้มันแก่ซะก่อน ทิ้งให้คนแก่ทั้งนั้นหละ ไม่รู้ว่าคนแก่มันดีที่ตรงไหน เห็นมั้ย บ้านเรามีคนแก่ๆมั้ย เดินแข่งกับเราทันเรามั้ย สู้เราได้มั้ย คนแก่ฟันหลุดน่ะไม่ดี หูก็ไม่ได้ยิน ตาไม่สว่างแล้ว ลุกขึ้นก็โอ้ย นั่งลงก็โอ้ย เมื่อเราเป็นหนุ่มๆว่าแก่ซะก่อนเถอะ นึกว่าแก่มันจะมีกำลังมากๆเหรอ นี่เราอย่าไปคิดเช่นนั้นสิ ไอ้ความดีความชั่วทั้งหลายเรามีชีวิตอยู่ เรารีบทำสิ อะไรความชั่วเราไม่ทำมันขึ้นนะ อะไรมีความดีเราพยายามเท่านั้น ไม่ใช่แต่ไปทำอะไร ไอ้คนหนุ่มนี่มันทำได้ เราไปทิ้งให้คนแก่ เห็นคนแก่มั้ย คนแก่บ้านเราเป็นไง ลุกขึ้นทีก็โอยๆ นั่งขึ้นทีก็โอยๆ ไม่รู้ว่าเป็นยังไง ขนาดนั้นเรายังหลับหูหลับตาว่าให้มันแก่ซะก่อนจึงจะเข้าวัด แล้วมันจะเห็นกันเหรอเนี่ย นั่งก็ไม่ทน ฟังก็ไม่ถนัด วุ่นวาย อย่าให้มันแก่ซี่ เราทำของเราไปเรื่อยๆ แก่นั่นมันก็หนุ่มเสียก่อนมันถึงมาแก่ใช่มั้ย ไม่ใช่ว่าแก่แล้วมาหนุ่มนะ มันหนุ่มแล้วมันก็แก่นะ 

ไอ้ความเป็นจริงมันแก่มาแต่โน้นแน่ะ เรารู้สึกว่าเราหนุ่มมั้ย เรามันแก่มา เกิดวันนั้นมาก็แก่วันนั้น แต่ก่อนเราอยู่ในท้องแม่เห็นมั้ย มันก็โตขึ้นมาๆ มันแก่ขึ้นนั่นแหละ แล้วก็ออกมา แล้วก็คลอดออกมา มันแก่ ถ้ามันไม่แก่มันไม่ออกมาหรอก อยู่ในท้องนั่นแหละ มันออกมาแล้วมันก็โตขึ้นมาทีละน้อยๆ มันแก่ ถ้าไม่แก่มันไม่โตมาถึงขนาดนี้หรอก เข้าใจมั้ย มาถึงบัดนี้รู้ภาวะเดียงสาเหล่านี้เป็นต้น ก็เรียกว่ามันแก่มาแล้ว แต่เรายังไม่เคยเห็นว่าเราแก่ แก่ไม่รู้สึกตัว ถ้าไม่แก่มันไม่โตขนาดนี้หรอก ให้เข้าใจว่าบัดนี้เราแก่แล้ว จะต้องมีหลักธรรมะประพฤติปฏิบัติดี ไอ้ตอนที่สุดท้าย พอนานๆไป คุณงามความดีเราได้ สร้างคุณงามความดีไว้ในเฉพาะตั้งแต่วันนี้ หนุ่มๆนี้ไป ภายหลังมันก็สบาย ทำกรรมดีไว้ ภายหลังไม่เดือดร้อน กรรมนั้นมันก็ดี ทำกรรมอะไรที่ไม่ดีภายหลังก็มาเดือดร้อน กรรมนั้นก็ไม่ดีแล้ว ให้เราเข้าใจอย่างนี้ ไม่ใช่เพราะอะไร  ทันมั้ยหละ อย่างนี้เป็นต้น เราเป็นหนุ่มเป็นเด็กควรพิจารณาให้มันรอบคอบ 

เรื่องศีลธรรมนี่เป็นเรื่องสำคัญ เรื่องศีลธรรมเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ไม่ใช่ไม่ถูกต้องตรงนั้น คนจนก็ปฏิบัติได้ คนรวยก็ปฏิบัติได้ ใครก็ปฏิบัติได้ในทางที่มันดีนะ ฉะนั้นความดีนี่แหละ เป็นกระดูกสันหลังของมนุษย์ทั้งหลาย ชีวิตตั้งในมูลฐานของความดีนั้นเลิศประเสริฐมาก มนุษย์เรามีความดีน่ะมันเหลืออยู่ “เออ ไม่เหลือหรอก ไอ้ความดีนั่นน่ะ” แม้ว่าเราตายไป ความดีก็ยังตั้งอยู่ในโลก เห็นมั้ย เป็นต้นไอ้ความดีนี่มันยังอยู่ ไอ้ความดีนี่มันไม่ตาย เมื่อเห็นรูป เมื่อเห็นอะไรเป็นต้น เรานึกถึงความดีแล้วก็สบาย ยังเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรตลอดกาลนาน 

เพราะฉะนั้นพวกเราทั้งหลายซึ่งเป็นคนๆหนึ่ง กลุ่มหนึ่งซึ่งทางการได้จัดให้เป็นคนพิเศษอันหนึ่ง ที่เรียกว่าอาสาหมู่บ้าน รักษาหมู่บ้าน ให้หมู่บ้านทั้งหลายนั้นได้อาศัยเมื่อเกิดความเดือดร้อนวุ่นวายมา วิ่งไปหา แก้ไขให้สมควรเป็นต้น ให้สงบระงับ ให้มีความอยู่เย็นเป็นสุข นับว่าเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ให้ชาวมนุษย์เราทั้งหลายเป็นต้นพึ่งพาอาศัยอยู่ตลอดกาลพอสมควร เพราะฉะนั้นความดีนี่เมื่อเราจะตายไปแล้วเป็นต้น ก็ยังมีอยู่ตลอดเวลา เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานี่ ท่านนิพพานไปแล้ว ความดีของท่านน่ะยังอยู่ ความดีมันยังอยู่อย่างนี้ มันเหลืออยู่ ไอ้ความดีมันเป็นอย่างนี้ คล้ายๆเราบริโภคข้าววันนี้ บริโภคไปหมดแล้วแต่ความอิ่มยังเหลืออยู่นะ มันยังมีอยู่ แต่ข้าวมันหมดแล้ว แต่ความอิ่มมันยังเหลืออยู่ เนี่ย เราก็เหมือนกันฉันนั้น เมื่อเลิกจากโลกนี้ไปแล้ว ความดีเราเหลืออยู่เป็นต้น เพื่อให้อาศัยกุลบุตรลูกหลานเราโดยต่อไปทั้งนั้น ฉะนั้นบัดนี้ก็เป็นเวลาอันที่จะบรรยายธรรมะมาให้ฟังพอสมควร ต่างคนต่างเคารพ ต่างคนต่างคารวะ ใครมีหน้าที่อะไรทำอะไรก็ทำตามหน้าที่อันนั้น ก็ไม่มีเรื่องอะไรทั้งนั้น 

ฉะนั้นขอพวกนี้ที่เป็นอาสาหมู่บ้านทั้งหลายนั่น หมู่บ้านทั้งหมดนั้น เราจะเป็นผู้ที่อาสา เป็นผู้สงเคราะห์ เป็นผู้ให้ความเห็น เป็นผู้ให้ความรู้ เป็นผู้ที่ให้ความสบายอกสบายใจ นั่นก็เป็นหน้าที่ของพวกเราทังหลาย ใครมีปัญญามาก ใครมีความรู้มาก ใครมีความฉลาดมาก ยิ่งเกิดปัญญาอันดี ยิ่งเกิดผลมากอย่างนั้น การกระทำเช่นนี้เรียกว่าเป็นสุปฏิปัณโณเหมือนกัน เป็นผู้ปฏิบัติดี ไอ้ความดีนี้เป็นต้นเป็นรากศรีของศักดิ์ศรีของพวกเราทั้งหลายที่เกิดมาในมวลมนุษย์นี้ ดังนั้นจึงพากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติหน้าที่การงานอันนี้ให้สมบูรณ์บริบูรณ์ ตามที่ความต้องการของทางราชการให้เราเป็นผู้อาสาหมู่บ้านอันนี้ ให้สมความมุ่งหวังของเจ้านาย ของเจ้าหน้าที่ทุกกลุ่มเป็นต้น 

บัดนี้เมื่อพวกท่านทั้งหลายได้โอกาสมารับฟังธรรมะ ก็จงเอาธรรมะอันนี้ไปปฏิบัติ วันนี้ไม่ใช่ฟังเทศน์เอาบุญ วันนี้ฟังเทศน์ให้เกิดความรู้สึก ให้มันรู้จักบาป ให้ม้นรู้จักบุญ ให้มันรู้จักผิด ให้มันรู้จักถูก ให้มันรู้จักดี ให้มันรู้จักชั่ว รู้จักคุณค่าของธรรมะเป็นต้น จึงไปปฏิบัติได้ ในสมัยโบราณเราก็ฟังเทศน์ก็ฟุบเลย สรุปก็พนมมือไหว้ลุกเลย พระเทศน์ไปก็คุยกันไปเรื่อยๆ ไม่รู้เรื่อง พระเทศน์อะไรก็ไม่รู้เรื่อง ผลที่สุดพระจบแล้วก็กราบ นั่นเรียกว่าฟังเทศน์เอาบุญ ไม่ฟังเทศน์ให้มีความเข้าใจ เอาบุญอย่างนั้น บัดนี้เราฟังเทศน์ให้เข้าใจ ให้เกิดปัญญา เมื่อเข้าใจ เอาไปพิจารณา ประพฤติปฏิบัติให้มันเป็นการเป็นงานขึ้นไป 

นี่หละที่บรรยายมานี้ให้เป็นโอปนายิกาธรรม พวกเธอทั้งหลายจงน้อมนำเข้าไปพินิจพิจารณาประพฤติปฏิบัติตามหน้าที่ของตนๆทุกๆคน ด้วยอำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยจงปกปักษ์รักษาคุ้มครองพวกท่านทั้งหลายที่น้อมจิตใจมาฟังโอวาทคำสอนในวัดหนองป่าพงวันนี้ จงให้มีความสุขกายสบายใจตลอดกาลนานเทอญ