หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร
เทศน์วันที่ ๒๑ ก.ค.๒๕๔๖
วันพระเป็นวันพระวันแรกซึ่งเราเข้าอยู่จำพรรษา เราก็นับมา ๓ วันที่ล่วงไปได้อาทิตย์หนึ่ง ถ้าว่าตามภาษาของเจ้าอาวาสหรือภาษาสากล แต่ภาษาทางพระพุทธศาสนาเรียกว่าวันพระ ๘ ค่ำ การอยู่จำพรรษาที่เราเคยปฏิบัติกันมา อย่างพระที่เคยจำพรรษาที่นี่ เราเคยจำมาพรรษาก่อนก็มีหลายองค์ คอยสลับสับเปลี่ยนกันจำพรรษาในที่ต่างๆด้วย ก็จะได้นำตัวอย่างจากที่นี่ที่เราถือว่าเป็นที่อยู่ศึกษาดูตัวอย่างในทางปฏิบัติ ก็ส่วนที่เราออกพรรษา หรือนอกพรรษานี่เราเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆเรามักจะได้ตัวอย่างนำไปปฏิบัติฝึกจิตฝึกข้อวัตรไปในตัว
อย่างที่เข้าพรรษาทุกปีก็เข้าตรงตามเวลาตามฤดู แล้วก็มีกำหนดอยู่สามเดือนเท่ากัน สามเดือนนี้เมื่อสมัยก่อนท่านผู้เป็นบูรพาจารย์เป็นครูสายพระกรรมฐานเราอย่างสมัยหลวงปู่มั่น หลวงปู่อุบาลี ท่านมาโปรดมาเผยแพร่ศาสนาทางภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่เป็นครั้งแรก ให้เกิดมีวัดธรรมยุติฝ่ายปฏิบัติขึ้นมาก็เป็นวัดมาจนถึงทุกวันนี้ อย่างวัดเจดีย์หลวง มีอายุเก่าแก่มานาน ก็เป็นวัดสายพระกรรมฐานนั่นแหละ มันมาสร้างมาอยู่จำพรรษา มาอบรมจิต ภาวนา แล้วก็มาฝึกสอนพวกศรัทธาชาวเชียงใหม่ชาวภาคเหนือ แล้วก็โปรดสอนพุทธบริษัททั้ง ๔ให้เกิดมีขึ้น สิ่งธรรมที่ท่านสอนก็คือสอนไปตามหลักพระพุทธศาสนา สอนไปตามพระรัตนตรัย เช่นยกเอาพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ คือพระคุณทั้ง๓นี่ เป็นพระคุณหลักในพระพุทธศาสนา แล้วก็เทียบกับเวลากับเดือนที่จำพรรษาอยู่ก็มี ๓ เดือนเท่ากัน
เหตุนั้นพอคุณที่เริ่มต้นอย่างที่เราเริ่มต้นเข้านี่ เรียกว่าเข้าพรรษา เดือนต้นเดือนแรกอย่างนี้ก็เป็นการที่เราจะต้องเจริญพระพุทธคุณ หรือปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักพระพุทธคุณ คือคุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระพุทธเจ้าที่เราสวดนั่นน่ะ แต่ท่านมาอธิบายมาขยายข้อความให้เป็นภาษาของพวกเรา ภาษาไทยอย่างนี้ ภาษาที่เราเรียนรู้ให้เข้าใจอย่างที่ว่า ท่านให้เจริญภาวนาให้คำบริกรรมว่าพุทโธอย่างนี้ ก็เป็นชื่อพระพุทธคุณ เป็นคุณของพระพุทธเจ้านั่นน่ะ เป็นอารมณ์ เป็นคำแรกเพื่อให้เราเริ่มต้นเข้าต้นคุณ ต้นศาสนา รู้จักที่มาของพระพุทธศาสนา เหมือนเราเข้าพรรษา เริ่มต้นแรกๆนี่ ก็จะต้องเริ่มเจริญพระพุทธคุณ
พุทธคุณคือคุณความรู้ที่เกิดจากจิตของพระพุทธเจ้าที่ท่านได้ปฏิบัติ ท่านได้ขัดเกลากิเลส ฟอกกิเลสออกจากจิต จิตได้บรรลุได้พุทธคุณบังเกิดขึ้นมาในดวงจิตของพระองค์ แต่หากว่าพระองค์ได้ทำพระพุทธศาสนาให้เกิดขึ้นทางใจของพระองค์ที่จะเกิดขึ้นได้ พระองค์ก็ปฏิบัติหละทีนี้ มาปฏิบัติ มาขัดเกลา มาสำรอกซักฟอกกิเลสออกจากใจ ใช้พระพุทธคุณเป็นหลัก คือเป็นคำบริกรรมและเป็นอารมณ์เป็นที่กำหนดจิต กำหนดความรู้ไว้ภายใน แต่ของจิตของสัตว์ทั่วๆไปของคนทั่วๆไปนี่มันไม่ได้มีพระพุทธคุณ ไปเกิดไปมีมันมีพวกอารมณ์ที่มาจากบาปจากกิเลสต่างๆอย่างเนี่ย ที่ห่อหุ้มปกคลุมจิตใจมัน ฉะนั้นท่านจึงเอาพระพุทธคุณเข้าไป เกิดไปมีในใจหละทีนี้ ก็ไปขับไปไล่พวกอารมณ์ พวกความรู้ซึ่งไม่ใช่เป็นคุณ เป็นฝ่ายบาปฝ่ายโทษให้ออกไป
เหตุนั้นพระพุทธคุณที่เกิดมาจากใจของพระพุทธเจ้ามีมาก คือมีมากที่เรียกว่าไม่มีประมาณในการที่จะวัดจะนับ เรียกว่ามันมีมาก ไม่มีประมาณหละทีนี้ เพราะแผ่กระจายกว้างไปทั่วโลก อย่างที่เราว่า บทสุดท้ายนั่นหละ คือพระองค์เป็นผู้รู้แจ้งโลก โลกวิทู คือท่านรู้แจ้งโลกคือ ความรู้ในโลกต่างๆนี่มาบอกมาทูลจิตของพระองค์ให้รู้ทั่วรู้ถึง เรียกว่าโลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก โลกก็คือรูป คือกิเลส คือร่างกายของคนเราอย่างนี่ ไม่ใช่ดินฟ้าอากาศหรือพื้นแผ่นดินที่กว้างใหญ่ โลกคือร่างกายของผู้ชายผู้หญิงตัวของเราของเขา เป็นโลก แต่พระพุทธเจ้าท่านรู้ ท่านรู้แจ้ง ไม่ใช่รู้มืดดำ รู้ลูบคลำ แต่สัตว์โลกมนุษย์สัตว์ทั่วไป เค้าไม่ได้รู้แจ้ง เค้ารู้มืดดำลูบคลำอย่างนี้ คือความที่เค้ามีจิต รักจิต ผูกพันจิต กำหนัดยินดีอะไรต่างๆอย่างนี้ ก็เลยต้องมีความคิดผูกพันหละทีนี้ แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่มี ท่านรู้แจ้ง ท่านแยกสิ่งที่ผูกพันห่อหุ้มออกจากใจ พระคุณที่พระพุทธเจ้าได้ปฏิบัติได้ทำให้ตรัสรู้นั้นรวมย่อก็จะมี ๓ อย่าง อย่างที่ว่าพระปัญญาคุณนั้นหนึ่ง แล้วก็พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณอย่างนี้ นี่ท่านย่อเข้ามาก็อาศัยเกิดจากจิตของพระพุทธเจ้านั่นแหละได้ตรัสรู้ได้ความสว่างในทางจิตของพระองค์ ได้แผ่กระจายออกไปในรูปในโลกได้เห็นทั่วถึง
เมื่อพระพุทธเจ้าเห็นทั่วถึง พระเมตตา พระมหากรุณาธิคุณก็เกิดขึ้นในจิตของพระองค์ เกิดความสงสารสังเวชสลดจิตในชีวิตของสัตว์โลกของคนเราอย่างนี้ที่มันมัวเมา มันมืดมิดปิดบัง ท่านก็สงสารฉะนั้นจึงเกิดพระมหากรุณาธิคุณขึ้น คือคุณพระพุทธเจ้าได้เกิดขึ้นในจิตในบารมีที่พระพุทธองค์ได้บำเพ็ญมามาก ได้รวมความสว่างความดีทั้งหมดที่พระพุทธเจ้าได้สร้างได้บำเพ็ญมา ท่านก็มองเห็นไปกว้างไกลทีนี้ เห็นไปทั่วถึง ไม่มีประมาณมนุษย์สัตว์หญิงชาย สัตว์ทุกประเภทอะไรอย่างนี้ เรียกว่าถ้าพูดถึงปัญญาคุณของพระพุทธเจ้าก็ไม่จบไม่สิ้นเพราะมีมาก ท่านจึงบอกรวมว่าไม่มีประมาณ อย่างที่เราสวดในขันธปริตรที่ว่าโดยฤทธิ์ โดยอำนาจอะไรที่ว่า อัปมาโณพุทโธ คือคุณของพระพุทธเจ้าไม่มีประมาณ ที่ประมาณที่เอามาเป็นตัวอย่างฝึกสอนพุทธบริษัทนี่ท่านก็เลือกคัดมาเท่านั้นแหละ ที่ว่าพระมหากรุณาธิคุณอย่างนี้ แล้วก็พระบริสุทธิคุณ แล้วพระปัญญาคุณอย่างนี้
ที่ว่าสอนพุทธบริษัท สอนเพราะว่าท่านเห็นด้วยญาณด้วยปัญญาด้วยวิชชาความรู้ เห็นถูกแล้วพระองค์ก็สงสารทีนี้ สงสารที่สัตว์ต้องทุกข์ทรมานต้องเวียนว่ายตายเกิด ไม่รู้จักทางแก้ รู้แต่สิ่งที่จะผูกพันหรือว่ายวน คือสัตว์ทั่วไปรู้แต่สิ่งที่ทำผูกมัดว่ายวนไม่รู้จักที่จะว่ายไป คือไม่เป็นถ้าพูดง่ายๆ คือมาปฏิบัติแล้วก็ไม่เป็น เหมือนเราเอามาฝึกสัตว์ฝึกควายไถนาอะไร มันก็ไม่เป็น ผู้ที่ท่านมองเห็นท่านก็สงสาร เพราะว่าสิ่งที่เห็นอยู่สิ่งที่มีอยู่ก็มีทุกอย่างให้เราดูเราเห็นแต่ก็ทำไม่เป็น เมื่อท่านเป็น ท่านเห็น ท่านก็เห็นแต่ความสงสารว่าทำไมทำไม่เป็น เพราะว่าสิ่งทั้งหมดนี่ที่เป็นพระพุทธศาสนาหรือว่า พระพุทธคุณที่พระพุทธเจ้าได้ทำให้เกิดให้มีให้สมบูรณ์ พระพุทธเจ้าก็เอาสิ่งในรูปในร่างกายของพระองค์มาสร้างขึ้นอย่างนี้ ไม่ได้เอาจากอื่นนอกตัว คือสร้างจากรูปจากร่างกายของพระองค์ทั้งหมดให้เกิดเป็นคุณขึ้นในจิต แต่เมื่อเกิดเป็นคุณเป็นความรู้ทีนี้ไม่ใช่ว่าความไม่รู้ เป็นความรู้จึงว่าพระพุทธคุณ คือพุทธะ ก็รู้อยู่แล้ว พุทธะแปลว่าผู้รู้ เป็นจิตรู้ พุทธะ รู้คุณ รู้สิ่งที่เป็นคุณเป็นประโยชน์แก่ตนแก่สัตว์อื่นด้วย รู้ของพระองค์ก่อน สอนพระองค์ได้เท่ากับมาสอนสัตว์อื่นให้รู้ตาม เรียกว่าพระพุทธคุณทีนี้
นี่แหละท่านเอามาสอน ท่านแต่งเป็นหนังสือเป็นเล่มอย่างนี้ แต่งเป็นตำราออกมา เราจะได้เห็นสมัยก่อน พอหลังๆก็ไม่ค่อยมีให้เราได้เห็นได้อ่าน ซึ่งล่วงกาลผ่านสมัยมานาน มันจะมีแต่หนังสือรุ่นใหม่หนังสือที่คนรุ่นหลังแต่งใช้ปฏิภาณโวหารการศึกษารุ่นหลังๆมา แต่ก่อนนั้นท่านมี มีที่ว่าหนังสือพระพุทธคุณที่คุณทั้ง ๓ นั่นแหละ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณอย่างนี้ แต่ท่านจะเอามาสอนในพรรษา เพราะมันตรงกับเวลา ตรงกับผู้อยู่ปฏิบัติด้วย ผู้ที่ปฏิบัติอยู่ทั่วไปก็จะจำพรรษาอยู่ตามที่ต่างๆ ถ้าในเขตที่ท่านเอาตัวอย่างไปฝึกไปสอนได้ก็จะได้ปฏิบัติเหมือนกัน เนี่ยอย่างที่ว่าต้นพรรษาท่านก็จะสอนอธิบายเรื่องพระพุทธคุณ แต่ท่านก็อธิบายในหลักบาลี หลักที่แต่งมาเป็นคำสรรเสริญ คำสวดอย่างที่เราทำวัตรนั่นแหละ อย่างในวรรคที่เป็นพุทธคุณที่เราสวด อิติปิโสภควา อะไรเนี่ย เราว่าเป็นบทพระพุทธคุณบทต้น ให้ท่านอธิบายเป็นคำเป็นความหมายขยายข้อความให้เข้าใจอย่างนี้นะ คือให้เข้าใจที่คนที่ยังไม่รู้ไม่เข้าใจได้เข้าใจเป็นความรู้ที่จะนำไปปฏิบัติเพื่อจะไปขัดจิตใจของตัวเองอย่างนี้แล้วก็เป็นแบบเป็นตัวอย่างแล้วก็เป็นสิ่งที่ให้เราได้เอามาเทียบเท่าในความรู้การปฏิบัติของเราด้วย เราจะได้เป็นการบำรุงความรู้ความเพียร ความที่จะทำพุทธคุณให้เกิดขึ้นในตัวเรา คือจะเป็นการส่งเสริมการปฏิบัติของเราให้มีศรัทธา ให้มีศรัทธาคือความเชื่อในธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ แล้วก็ยังมีความเลื่อมใสด้วย ไม่ใช่แต่เชื่ออย่างเดียว เพราะความเลื่อมใสเพราะจิตใจขัดเกลาไปเห็นความรู้ที่เกิดมาจากการปฏิบัติอย่างนี้ เป็นความดีที่เกิดขึ้นมาในความสงบที่เราทำให้เกิดให้มีอย่างนี้ มันก็เห็นขึ้น เมื่อความเห็นความเชื่อมันก็มีขึ้น แต่ถ้าเราไม่มีความรู้ความเห็น ความเชื่อมันก็ไม่เกิดขึ้น เหมือนเราทำอะไรไม่เกิดไม่เป็นมันไม่เห็นอะไรงอกงามอย่างนี้ มันก็หมดกำลัง มันก็เสื่อมถอย
พุทธคุณก็เหมือนกัน ไม่เกิด ไม่เกิดในจิตผู้ที่ไม่เคารพหรือไม่ปฏิบัติตามอย่างนี้ อย่างที่ว่าเรานึกพุทโธอย่างนี้ เพราะว่าถ้าใจเราไม่เคารพ ไม่รักพุทธคุณจริงมันก็ไม่เกิดหละทีนี้ คือว่าเรานึกไปมันก็จะเผลอไป นึกเอากิเลสเข้ามา เราก็จะลืมไปเป็นช่วงเป็นระยะอย่างนี้เพราะกิเลสมันก็ตามกันไปเรียกว่ามันเป็นเครื่องที่จะคอยแข่งคอยแย่งกับคุณกับพระพุทธคุณอย่างนี้ อย่างนั้นกิเลสมันมีอำนาจ มันเคยครองจิตครองพื้นฐานมานาน มันไม่ยอมให้คุณพระพุทธเจ้าเข้าไปเกิดไปอยู่หละทีนี้ มันก็เลยเป็นมารเป็นข้าศึกอย่างนี่ มันแข่งกัน คือเราจะทำแต่มันก็สู้กิเลสไม่ไหว กิเลสมันเป็นเจ้าของอยู่ก่อน เหตุนั้นเราจะต้องมาศึกษามาใช้ความเพียรมาปฏิบัติน่ะทีนี้ เพื่อให้เกิดพระพุทธคุณขึ้น
พระพุทธคุณเกิดขึ้นเราถึงจะมองเห็น มองเห็นโทษเห็นบาปเห็นความมืดความดำต่างๆนะทีนี้ มันถึงจะได้เห็น จึงจะได้เห็น เหมือนกับว่าแสงสว่างกับความมืดมันเป็นคู่กัน พระพุทธคุณก็เหมือนแสงสว่าง เหมือนประทีปเมื่อลุกอยู่ในที่ไหนนี่มันก็ขับความมืดออกไป แต่ถ้าพุทธคุณดับไป ความมืดก็เข้ามา มันก็ปิดมิดมองไม่เห็นอย่างนี้ เหตุนั้นพระพุทธเจ้าท่านมีพระมหากรุณาธิคุณแก่สัตว์โลก คือสงสารท่านก็สร้างบารมีช่วยจิตของพระองค์มาก่อนได้ ท่านก็สงสารสัตว์โลกที่ยังไม่รู้ไม่เป็นไม่เห็นที่จะหลีกออกไปจากความมืดนั่นแหละ ท่านก็สอนหละทีนี้ เรียกว่ามีพระมหากรุณาธิคุณ แล้วก็มีพระบริสุทธิคุณแก่สัตว์โลกคือท่านมีความบริสุทธิ์คือท่านปฏิบัติขัดเกลาชำระกิเลสที่มันห่อหุ้มมานานออก ฟอกสิ่งที่ห่อหุ้มจิตออก เกิดความผ่องใสขึ้น เรียกว่าเกิดมาจากพระพุทธคุณที่มาจากความเมตตาความกรุณาหละทีนี้ เกิดความบริสุทธิ์ขึ้นมา ใจบริสุทธิ์ เพราะท่านก็ปฏิบัติขัดเกลาชำระจิต ไม่ใช่ว่าจะมาทำความดีด้วยสิ่งภายนอกหละทีนี้ คือทำจากการปฏิบัติ ไม่ได้เกี่ยวกับวัตถุที่นี้ส่วนนึง คือเกี่ยวกับปฏิบัติคือทำจิตของเรา คือต้องมาปฏิบัติกายของเราให้มันเกิดพระพุทธคุณขึ้น
คือเราไม่รู้ เราไม่เข้าใจ เราไม่เลื่อมใส เราไม่ศรัทธา ก็เพราะมันมีพวกกิเลสตัณหา พวกมารมันแฝงฝังอยู่ใน ฉะนั้นเวลาเราทำอะไรมันจะมีอาการ มีอารมณ์ที่จะกระซิบ มันจะพูดขึ้นมาทางใจหละทีนี้ สิ่งที่เราแก้ไม่ได้หละทีนี้ก็เห็นอยู่ ทั้งที่เรารู้ๆเห็นๆเราก็ไม่ยอมแก้ เราก็ปล่อยให้มันเป็นไป แต่ถ้าเรามารู้มาปฏิบัติ มาเจริญพระพุทธคุณให้เกิดมีขึ้น พุทธคุณมีอำนาจทีนี้ มีพลังที่จะกำจัดพวกกิเลสหละทีนี้ ถ้าไม่มีพระพุทธคุณนี่ เราจะไปแก้ด้วยทางอื่นวิธีอื่นก็ไม่ได้ทีนี้ คืออาศัยพระพุทธคุณอย่างเดียว จะเกิดขึ้น จะเกิดความบริสุทธิ์ขึ้นในจิตของเรา เกิดความสงบขึ้นในจิตเท่านั้น จะเกิดปัญญาคุณ ปัญญาคุณคือความรอบรู้ ความรู้รอบในตัว รู้รอบในสังขารนี่จะเกิดขึ้น
คือสิ่งทั้งหมดเนี่ยเป็นพระพุทธคุณน่ะทีนี้ คือคุณที่เกิดมาจากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าปฏิบัติทำให้เกิดให้มีขึ้น แต่พระพุทธเจ้าก็ปฏิบัติบำเพ็ญบารมีมาทุกอย่างที่มีในพระบารมีนะนี่ คือสร้างให้เกิดเป็นพระพุทธคุณขึ้น นับตั้งแต่ทาน ศีล ภาวนา เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ สัจจะ ขันติ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา อย่างนี้ ก็เป็นการเจริญพุทธคุณทั้งหมด ทำพระพุทธคุณให้สมบูรณ์ ให้เกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าหามาจากที่อื่นหละทีนี้ หามาจากรูป จากร่างกาย จากสิ่งที่คนเรามี เรียกว่าเป็นสิ่งที่เรามีไว้สำหรับที่จะเอามาปฏิบัติเข้ามาทำให้เกิดมี จึงว่าบารมีทำให้เกิดมีขึ้น มันมีอยู่ก่อนแล้วแต่เรามาทำให้ดีขึ้นอย่างนี้ ก็มันใสอยู่ก่อนแต่เรามาขัดให้มันใสขึ้น มันก็เป็นแต่เพียงเพิ่มแค่นั้นน่ะ ไม่ใช่ว่ามันไม่มี
ฉะนั้นคนที่ไม่ได้ศึกษา ไม่เข้าใจ เราก็จะมีแต่พวกกิเลส พวกสิ่งที่มันหลอกมันหลอน มันก่อกวนหละทีนี้ มันไม่มี พุทธคุณไม่เกิด ไม่มีหละทีนี้ มันจะเกิดเป็นแต่ความทุกข์โทษบาป มันจะทำอะไร มารทางจิตมันจะถกจะเถียงเอา มันจะมีความประมาท มันจะขาดสติ นึกพุทโธมันก็หายไป นั่นหละเป็นความประมาท ถ้าเรานึกพุทโธไม่ติด ก็ถือว่ามีความประมาทตัดตอนไป มีความลืมนั่นแหละ ความลืมท่านถือว่าเป็นความประมาท เหตุนั้นคนลืม คนขาดสติ ท่านก็บอกว่าเหมือนคนตาย เป็นคนตายอย่างนี้นะ คนตายไม่รู้อะไร เพราะว่าจิตมันไม่มีอยู่ในร่างกายอย่างนี้ อย่างนั้นขาดสติก็เป็นคนตายและเป็นคนประมาท เป็นคนขาด ไม่สมบูรณ์ พุทธคุณก็ไม่เกิดหละทีนี้ มีแต่มารแต่บาปแต่กิเลส ใจก็ไม่สงบไม่ใสไม่ร่มเย็น เพราะว่ามันมีกิเลส มีพวกสิ่งไม่ดีเป็นพิษเป็นของร้อนเป็นของสกปรกมัวหมอง นี่! เหตุนั้นการเจริญพุทธคุณก็เป็นการขับพวกสิ่งไม่ดี สิ่งที่มีความประมาทอีกที่มัวหมองต่างๆอย่างนี้ เราก็ต้องมาปฏิบัติมาเจริญอย่างนี้
อย่างที่เจริญภาวนาพุทโธอย่างนี้ ก็เจริญพุทธคุณให้เกิดขึ้นในชั้นต้นก่อน เมื่อพระพุทธคุณเกิดขึ้นแล้ว พระธรรมคุณ พระสังฆคุณก็เป็นผลตามลำดับ เพราะว่าพระพุทธคุณนั้นเป็นต้น เป็นผู้อุบัติตรัสรู้ขึ้นมาในโลกอย่างพระพุทธเจ้า ส่วนพระธรรมคุณ ท่านก็สอนให้เป็นธรรมะเป็นข้อปฏิบัติกระจายแผ่ออกไปในโลกนั่น ก็ไปจากพระพุทธเจ้าที่เดียวหละทีนี้ เหมือนอย่างเราจำพรรษาอย่างนี่ เราขึ้นต้นด้วยพุทธคุณหรือเดือนแรก เดือนต่อไป เดือนที่สองที่สามก็ต่อไปจากเดือนแรกหละทีนี้ ต้องขึ้นจากต้นเสียก่อน พระพุทธคุณ พระธรรมคุณก็จะลำดับไป จะขยายไปทีนี้ แล้วท่านจะมาแต่งมาสอนให้ตรงให้ถูกกับเวลากับผู้ที่อยู่จำพรรษา ผู้ที่ปฏิบัติเพื่อจะได้เป็นเครื่องประดับสติปัญญาความรู้ คือเจริญพระพุทธคุณให้เกิดขึ้นตามวันเวลาหรือสถานที่ เราอยู่หรือเราจำพรรษาอย่างนี้ ให้เกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้ว เราทำถูก เราทำถูกคุณพระพุทธเจ้า เราทำถูกที่ ทำถูกฤดูกาล ทุกอย่างเนี่ยมันไม่ผิดที่นี่ มันตรงตามที่มาของพระพุทธศาสนา มันเป็นไปตามหลักคุณของพระพุทธเจ้า ท่านเป็นไป ที่ว่าพุทธคุณได้เกิดได้มี ได้เจริญเติบโตเต็มที่แล้วนี่ มันก็จะต่อไป พระธรรมคุณก็เกิดขึ้นที่นี่
คือความรู้ต่างๆนี่มันไม่เป็นโลกเป็นกิเลส มันเป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีคุณ เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีสติ มีความเคารพ ไม่หลงลืมความดี ไม่หลงลืมพุทโธ คือพุทโธนี่ว่าโดยคุณ ว่าโดยการปฏิบัติ ว่าการฝึกการบริกรรมอย่างนี้ ถ้าว่าโดยผล โดยเหตุโดยผลก็จะได้แก่ความรู้ที่เกิดมาในทางจิตเรา อย่างที่เราฝึกเราบริกรรมเราปฏิบัติควบคุมจิตใจอย่างนี้ เรานึกพุทโธ เรากำหนดลมหายใจอย่างนี้ อันนั้นเป็นเหตุที่จะทำคุณ แต่เมื่อจิตมันได้เข้าถึงเกิดพุทธคุณขึ้นมาแล้วทีนี้ มันเป็นผล รู้ทีนี้ ถึงเราไม่นึกไม่บริกรรม เราไม่ไปควบคุมมันก็เป็นอยู่ เรียกว่าเป็นผลที่เกิดมีขึ้น เรียกว่าเป็นผลที่เบิกบาน (จบวีดีโอ)