Skip to content

การบวช

หลวงพ่อสิงห์ทอง ธมฺมวโร

| PDF | YouTube | AnyFlip |

เชิญนั่งตามสบาย วันนี้เป็นวันประชุมพิเศษเนื่องจากการบวชคุณสุดใจ ญาติมิตรเพื่อนฝูงได้มาจากกรุงเทพเพื่อจะมาบวช บางท่านบางคนก็คงไม่เคยผ่านการบวช รสชาติของการบวชเป็นอย่างไร บางท่านบางคนก็เคยผ่านมา เรื่องการบวชนี้ยากลำบากประการหนึ่งสำหรับจิตใจ แต่ก็ง่ายสบาย ไม่มีเพศไหนที่จะสะดวกสบายเท่ากับเพศนักบวช ถ้าหากไม่เชื่อเรื่องกิเลสตัณหาเรื่องใจของตัว เพราะการบวชไม่มีธุระหน้าที่การงานด้านอื่น รักษาจิตใจของตัวสะดวกสบาย ประกอบคุณงามความดีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย 

การบวชจึงเป็นเรื่องสำคัญ หากผู้ที่ไม่เคยบวชก็จะเหมาเอาว่าการบวชเป็นของง่าย ของสบาย ง่ายสบายสำหรับท่านที่ชอบ ท่านที่มีจิตไม่คิดปรุงไปเรื่องของโลก ไม่เชื่อเรื่องกิเลสตัณหาของตัว จะยากลำบากสำหรับคนที่ชอบคิดชอบปรุง ชอบดูชอบฟัง ชอบเล่นชอบเพลินต่างๆ เพราะนักบวชมีพระวินัยห้ามกั้นเอาไว้ ตามี ก็ไม่ให้ดูสิ่งที่ไม่ควรดู หูมีก็ไม่ให้ฟังสิ่งที่ชาวโลกนิยมชมชอบ ตลอดปากมีก็ไม่ให้พูดคุยสิ่งที่ไม่เป็นอรรถเป็นธรรมเช่น ติรัจฉานกถา ตลอดถึงการอยู่กินก็ผิดแปลกแตกต่างกับฆราวาส 

ฉะนั้นการบวชจึงเป็นการทรมานด้านจิตใจ ไม่ได้ปล่อยไปตามเรื่องของความอยาก แต่สะดวกสบายง่ายสำหรับคนที่ชอบเพราะการบวชเป็นการเว้นจากสิ่งต่างๆ ถอดถอนเรื่องความติดข้องของใจ บ่วงเคยผูกมัดรัดรึงใจ แก้ไขมาจึงมาเป็นนักบวชได้ เช่นเขาว่าลูกเป็นบ่วงผูกคอ ภรรยาเป็นปอผูกศอก สมบัติข้าวของเป็นปลอกสวมตีน นี่ปลอกหรือเชือกสำหรับรึงรัดจิตใจของพวกเราท่านที่เป็นฆราวาสเป็นปุถุชน ทุกคนอยู่ในห่วงอันนี้ ถ้ามีลูก ความรักความหึงหวง จะไปไหนมาไหนก็เป็นห่วง คิดถึง เมื่อบวช ตัดออกไปเรื่องของลูก ลูกไม่มี เมียไม่มี ข้าวของนอกจากบริขารไม่มี และสิ่งที่มีก็ไม่ได้แสวงหา การบวชจึงตัดภาระสำคัญ 

ใจของเราส่วนใหญ่ที่ไม่ได้อบรมธรรมะ ไม่ได้ใคร่คิดพิจารณาตามความเป็นจริง ลุ่มหลงเพลิดเพลิน ใครมีลูกก็ถือว่าดี จะได้ดูแลรักษา ในเมื่อตัวแก่เขาจะอุปถัมภ์บำรุงอย่างนั้นอย่างนี้ ใครมีเมียก็ถือว่าดี จะเป็นเพื่อนช่วยคิด ช่วยอ่าน ช่วยแก้ ช่วยไข ปัญหาอะไรต่างๆ ช่วยการช่วยงาน ความคิดอ่านของคนทั่วไปมันอยากข้องคิด คิดไปในแง่นี้ ข้าวของเงินทองก็เหมือนกัน มีมามากเท่าไรก็จะได้ใช้สอยเป็นสาระประโยชน์ นี่ความคิดแง่คุณ ในแง่โทษไม่ค่อยได้คิดกัน 

ทางศาสนาท่านคิดรอบคอบทั่วถึง มีลูกก็ห่วงลูก มีเมียก็ห่วงเมีย ลูกที่เรามุ่งหวังตั้งใจว่าเค้าใหญ่มาจะทำการทำงาน หรือช่วยเหลือเกื้อหนุนต่างๆ ลูกบางผู้บางคน พอเติบโตขึ้นมาหรือแต่ยังเล็กยังเด็กอยู่ก็เป็นหน้าที่ของเราบำรุงรักษา เอาใจใส่ อยากจะให้ลูกสุข ให้ลูกสบาย พอมีลูกเท่านั้นแหละ ภาระหน้าที่ของผู้เป็นพ่อเป็นแม่ก็หนักเข้า กลางค่ำกลางคืนแทนที่จะนอนได้สะดวกสบาย ลูกร้องไห้พ่อแม่ก็จะต้องตื่นมาดูแลรักษา ลูกเป็นไข้ พ่อแม่ก็จะต้องเอาใจใส่ หามดหาหมอ ลูกเป็นไข้ก็เหมือนกับพ่อแม่เป็นไข้ ลูกได้ทุกข์ก็เหมือนพ่อแม่ได้ทุกข์ นี่แต่เมื่อยังเด็กยังเล็กเป็นอย่างนั้น 

พอเติบใหญ่ขึ้นมา เป็นหนุ่มเป็นสาวหรืออยู่ในวัยศึกษา หากลูกไม่ค่อยเอาถ่านให้ ศึกษาอะไรก็ไม่ทันเค้า แทนที่จะไปโรงเรียนหาความรู้ ก็ไปเล่นไปเพลินเสีย เงินทองที่ให้ไปเท่าไรไม่พอ เอาไปกินไปเล่นหมด ทำชั่วทำเสียต่างๆนานามาให้ ผู้ปกครองพ่อแม่จะเป็นอย่างไร นี่ให้ทุกข์ ให้ความลำบาก เติบใหญ่ขึ้นมาแทนที่จะมีการงานแสวงหาเงินทองข้าวของมาให้บิดามารดา ไม่เป็นอย่างนั้น ไม่เอาถ่านอะไรให้ มีแต่จะรีดจะไถพ่อแม่อยู่เรื่อยไป มันมีลูกประเภทนั้น มันลำบาก 

หากไม่มีเค้าเลย มันจะเป็นอย่างไร เราก็ไม่ได้เอาใจใส่ ไม่ได้ดูแลรักษา ไม่หนักอกหนักใจ จะพักผ่อนหลับนอนก็แสนสะดวกสบายอย่างพระเจ้าพระสงฆ์ ท่านไม่มีลูก ท่านจึงอยู่สบาย จะไปไหนมาไหน อยู่ตามดินกินตามหญ้าท่านก็สบาย เพราะลูกไม่ได้ผูกคอของท่าน หากคิดได้พิจารณาได้ในแง่มุมที่เป็นโทษ เราก็ควรจะเห็นโทษของลูกมันมาก ไม่ใช่เล่นๆ เป็นทุกข์ตั้งแต่วันอยู่ในครรภ์ จนกระทั่งวันเติบใหญ่ ไม่มีอะไรจะให้สุข ความจะพึ่งพาอาศัยเขา ความจริงแล้ว ธาตุขันธ์ของคนมันเหมือนกันหมด ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วย จะมีลูกมีญาติมากขนาดไหน ก็ช่วยเหลือไม่ได้ คนเจ็บก็จะทนเจ็บอยู่อย่างนั้น จะแบ่งให้ลูก ให้เมีย ให้เพื่อน ให้ฝูง เอ้า คนนี้เอาไปนิด คนนี้เอาไปหน่อย จะได้เบาไป สบายไป  มันแบ่งไม่ได้ มันเป็นของเฉพาะตัว เราทุกข์ก็ทุกข์อยู่อย่างนั้น เค้ามารุมล้อมขนาดไหนก็ช่วยอะไรเราไม่ได้ เมื่อเราไม่มีเขา ภาระหน้าที่ของเรารับผิดชอบมันก็ไม่มี จึงอยู่สะดวก อยู่สบาย แต่จิตที่จะปล่อยวาง ไม่ยึดถือ ไม่เกี่ยวข้อง ไม่อยากได้ เป็นจิตที่ฝึกลำบาก ฝึกยาก ฝึกได้จึงเป็นของที่มีคุณค่า มีความสุขประเสริฐ นี่เรื่องของลูก 

เรื่องของเมียก็เหมือนกัน เบื้องต้นที่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวต้องการกัน มันก็รัก กิริยามารยาทวาจา พูดไพเราะเสนาะโสตทุกอย่าง ดูอะไรสวยงามไปหมด แต่เมื่ออยู่ด้วยกันนานๆเข้า ความเบื่อมันมี เมื่อมันเบื่อเข้า เห็นอะไรก็ไม่ชอบใจพอใจ เหตุนั้นจึงมีการหย่ากันเป็นบางรายหรือส่วนใหญ่ เพราะความไม่พอใจเกิดขึ้น กิริยาที่เคยอ่อนน้อม วาจาที่เคยอ่อนหวาน อยู่ด้วยกันไปนานๆไม่รักษา ไม่ว่าผู้หญิง ไม่ว่าผู้ชาย มันแสลงแปลงเล่น ในเวลามันอยากได้ มันเป็นไปอีกอย่างหนึ่ง เวลาได้มาแล้ว มันเป็นไปอีกอย่างหนึ่ง ไม่รักษากายวาจา คงเส้นคงวา น้ำใจ คิดไปต่างๆ แหวกคอกแหวกสนามไป เคยเห็น แต่ไม่เคยมีครอบครัวก็เพราะรู้จักเรื่องของโลก จิตของเรามันกลับกลอกหลอกหลอนมากเหลือเกิน ถ้าไปเชื่อเรื่องของมัน จะไม่มีวันสงบ เชื่อเรื่องของมันจะไม่มีวันสุขวันสบาย เพราะจิตมันเป็นอย่างนั้น 

เรื่องของข้าวของเงินทองก็เหมือนกัน แทนที่ได้มาจะมีความสุขความสบาย ไม่เป็นอย่างนั้น มันพอใจประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น เดี๋ยวอยากได้อันใหม่ แต่เรายังไม่มีอะไรได้ขนาดนั้น คงจะสะดวกสบายในจิตในใจเพราะได้มาขนาดนั้น มันไปอีกแล้ว เหมือนวิ่งตามเงา ไม่มีทัน มีแต่มันวิ่งเรื่อยไปเพราะเราวิ่งตามมัน เราหยุดเสียอย่างเดียว เงามันก็อยู่ หยุดความอยากของใจก็เหมือนกัน มันอยากไม่มีฝั่งมีฝา อยากเรื่อยไป คนที่วิ่งตามความอยากเกิดทุกข์ เกิดลำบาก สมบัติที่ได้มาก็เป็นภาระจะดูแลรักษา เป็นภัยสำหรับกาย สำหรับใจ หากรักษาไม่ดี ระวังไม่ดี คิดดูง่ายๆคนที่มีของมีค่าติดตัวไป จะไปสถานที่ใด ระวังรักษา เกรงกลัวอันตรายต่างๆ และก็เป็นภัยจริงจังไม่ระวังรักษา เพราะของมีค่าติดตัวเป็นเพชรเป็นพลอยเป็นสร้อยเป็นแหวนต่างๆ หากมีมากเท่าไร ผ่านไปเค้าจะจ้องมอง คนไม่มีอะไรติดตัวไป จะนั่งที่ใด นอนที่ใด ไม่มีใครสนใจ สะดวกสบาย 

แต่พวกเราทั้งหลายไม่ได้คิดอย่างนั้น คิดเห็นแต่คุณ ทางโทษไม่ได้คิด จึงติดข้อง เมื่อเวลาแสวงหาก็เป็นทุกข์ ได้มาก็เป็นทุกข์เพราะการรักษา เสียไปก็เป็นทุกข์ใจเพราะอยากได้คืน แต่ความจริงแล้วสมบัติเหล่านั้นเค้าไม่ได้ยินดีกับใคร ใครหามาเค้าก็เป็นส่วนของคนนั้น ใครทิ้งไปเค้าก็ไม่ได้อาลัยเสียดาย ไม่ใช่ว่าเจ้าของเก่าเราอยู่นู้น เราจะไปหาเจ้าของเก่าเรา มันไม่เคยคิด เคยคำนึง ความลุ่มหลงเป็นตัวเราเอง ไม่ใช่สมบัติมันลุ่มหลง ได้น้อยได้มากขนาดไหน มันก็ไม่ได้ถือว่าเป็นของเรา มีแต่เราไปยึดไปถือของมัน แล้วการยึดถือก็ไม่ใช่ว่าจะยึดถือได้เรื่อยไป เราไม่จากมัน มันก็จะจากเราในวันหนึ่งข้างหน้า 

เรื่องสมบัติมันเป็นไปอย่างนั้น ไม่ว่าสมบัติที่มีวิญญาณหรือหาวิญญาณไม่ได้ มันเหมือนกันหมดทั่วโลก หากทุกคนได้มาถือกรรมสิทธิ์ ไปที่ไหนของที่เป็นสมบัติของตัว ติดตามไป ถ้าเป็นอย่างนั้นพวกเราท่านที่เกิดมาไม่มีแผ่นดินอาศัย ไม่มีอะไรจะอยู่จะกิน เพราะเหตุใด เพราะประเทศไทยของเราหรือทั่วโลก มีคนมีสัตว์มาเกิดนับไม่ถ้วน อย่างพูดง่ายๆที่เห็นกับตา อย่างพวกบ้านเชียงอย่างเนี้ย ที่อยู่ในเขตใกล้กับวัดของเรา เค้าขุดเจอร่างกระดูกว่าเป็นหลายๆพันปี มีถมเถ ไม่ใช่แต่บ้านเชียงแห่งเดียว ตามแถวนี้ก็มี ขุดเจออยู่ เรื่องกระดูก หม้อไหต่างๆ ก็แสดงว่าเค้าเคยมาเกิดมาตายกันแล้ว ถ้าหากเค้าเอาไปได้ แผ่นดินอันนี้เค้าเอาไปแล้ว เราไม่มีที่อยู่ที่อาศัย แต่ความหลงใหลของใจมันหลงใหลยึดถืออยากได้ แต่เมื่อได้มา เอาไปไม่ได้ จะพูดอะไรสมบัตินอกตัว สมบัติในตัว ข้าวของเงินทองภายนอกมันเป็นอีกอย่างหนึ่ง 

เนื้อ หนัง เอ็น กระดูกของเราก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่ามันจะอยู่เรื่อยไป ไม่วันใดก็วันหนึ่งมันจะต้องพัง ต้องสลาย ถึงไม่เผาไม่ฝัง ทิ้งเอาไว้เฉยๆ มันก็จะเปื่อยจะเน่าไปตามธาตุของมัน ธาตุดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ  เป็นลม เป็นไฟไป ธรรมดาของธาตุที่มาผสมกันเข้าเป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นอย่างั้น นี่คือทางค้นคิดพิจารณา ให้รู้ให้เข้าใจตามเป็นจริงเพื่อจะไม่ให้จิตของเรายึดถือติดแน่นในวัตถุนั้นๆ 

ผู้บวชมีโอกาสเวลาที่จะศึกษาจิตใจของตัว สะดวกสบายกว่าเป็นฆราวาส เพราะไม่มีการงานด้านอื่น พูดถึงการอยู่ก็เค้าสร้างให้ ถึงเค้าไม่สร้างให้ ก็เราคนเดียว จะสร้างเอาก็ไม่ยากลำบาก พอแต่อยู่อาศัย ไม่มีสัตว์ที่จะมากักขังเอาไว้ ไม่มีอะไรที่จะมาทำใหญ่ทำโตพอจะเป็นภาระ นั่งนอนที่ไหน ก็พอนั่งได้นอนได้ ไม่กลัวว่าคนนั้นจะเป็นทุกข์กับเรา คนนี้จะเดือดร้อนกับเรา เพราะเราคนเดียว มันจึงสะดวกสบาย ง่ายในความเป็นอยู่ เจ็บมาก็คิดว่า เรื่องความเจ็บ พรรคพวกเพื่อนฝูงจะรักษาขนาดไหน มันก็ไม่หาย ถ้าถึงคราวถึงสมัยมัน จะเป็นหมอดีวิเศษ เรียนจบมาจากประเทศไหนก็ตาม รักษาไม่ได้ ถ้ารักษาได้ ไม่มีคนแก่คนตาย เราเข้าใจตามเป็นจริงอย่างนั้น กรรมเรามี เกิดทุกข์ก็เสวยไป ถึงคราวถึงสมัยจะตาย ก็ตายไปด้วยความบริสุทธิ์ อย่าไปให้คนอื่นเป็นทุกข์เป็นร้อนกับเรา 

ถ้าเรามีครอบครัว ผัวเมียมันจะเป็นอย่างนั้นมั้ย ผัวป่วยเมียก็จะต้องป่วยตาม วิ่งเต้นอยู่นั้นน่ะ เป็นทุกข์ ไม่ได้หลับได้นอนถ้าป่วยหนักเข้าไป เนี่ยป่วยก็เป็นภาระหน้าที่ได้ดูแลรักษาเอาใจใส่ ด้วยความหึงหวงของจิตของใจ อยากจะให้หาย อยากจะให้ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ถึงสมบัติพัสถานข้าวของเงินทองไม่มี ก็ไปกู้คนอื่น มีที่ไร่ที่นาที่สวนก็ขายไปรักษากัน อยากจะให้หาย มันเป็นภาระหน้าที่ลำบากยากยุ่ง หากไม่มี มันเป็นอย่างไร ป่วยก็เป็นเค้า เราป่วยก็เป็นเรื่องของเรา เค้าป่วยก็เป็นเรื่องของเค้า ก็เลยสะดวกสบายง่ายในความเป็นอยู่ แต่ไม่ใช่ขาดเมตตา พอจะรักษาดูแลช่วยเหลืออะไรเค้าได้ พระพุทธเจ้าก็ช่วยเหลือแนะสอนให้รู้ให้เข้าใจตามเรื่องเป็นจริง 

นักบวชจึงเป็นโอกาสดีที่จะฝึกกายฝึกใจของตัว นักบวชเท่านั้นที่จะฝีกได้ง่ายสบายยิ่งกว่าเพศอื่น เพราะที่อยู่ที่อาศัย การอยู่การกิน การนุ่งการห่ม มีคนอื่นสนับสนุนให้ ขออย่างเดียวให้ตั้งใจประพฤติตัวให้ดี ให้เป็นสุปฏิปันโน คือประพฤติดี ไม่ผิดจากศีลจากธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า อยู่สถานที่ใดไม่ก่อความเดือดร้อนให้คนอื่นสัตว์อื่นและตัวเอง ด้วยสติด้วยปัญญา พินิจพิจารณาให้ถี่ถ้วน จะพูดจะทำอะไร ถ้าเค้าทำต่อเราอย่างนั้น พอใจมั้ย ถ้าไม่พอใจ เสียใจ เป็นทุกข์ อย่าไปทำกับเค้า อย่าไปพูดกับเค้า นี่เป็นเรื่องสติปัญญาของนักบวชจะสอนตัว สอนตัวอย่างนั้น การไม่ทำชั่ว ไม่พูดชั่วไป ได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติดี ไปอยู่สถานที่ใด ไม่มีภัยอันตรายแก่คนอื่นและตัวเอง 

ศีลธรรมคำสอนพระพุทธเจ้าสอนอย่างไร การประพฤติข้อวัตรปฏิบัติมีอย่างไร ตั้งใจรักษา ตั้งใจปฏิบัติ ไม่ให้ศีลของตัวขาด ไม่ให้ศีลของตัวเสีย เพียงรักษาศีลนอกๆ ที่พระพุทธเจ้าบัญญัติเอาไว้ ไม่ให้ตกหล่นหรือเสียหายไป เพียงแค่นี้โลกทั่วไปก็สรรเสริญ โลกทั่วไปก็ยินดีกราบไหว้เพราะเป็นสุปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติดี ตัวของตัวเองก็เยือกเย็นเป็นสุข ไปสถานที่ใดสง่างามในที่นั้น ไม่เป็นภัยต่อสังคม ไม่เดือดร้อน เพราะเราไม่ได้ทำชั่วพูดชั่วอะไร ทุกวันทุกเวลาเราอยู่ด้วยศีลด้วยธรรมของเรา ใครเค้าจะด่าจะว่า จะดูหมิ่นนินทา นั่นเป็นเรื่องของเขา แต่เราเองบริสุทธิ์อย่างไร เข้าใจอยู่อย่างนั้น รักษาศีลของตัวให้ดี คงเส้นคงวาตลอดไป ไม่มีใครเป็นผู้องอาจ จะเข้าสู่สังคมที่ไหน ไม่มีการกลัวเพราะความชั่วความเสียของตัวไม่มี องอาจกล้าหาญเรื่อยไป ไม่คิดว่าเค้าจะมาจับกุมคุมขังเพราะเราบริสุทธิ์ 

นี่ก็เย็น เรื่องจิตใจไม่เดือดร้อนไม่วุ่นวาย ปฏิบัติตรงต่อคำสอนพระพุทธเจ้าทุกระยะ ทุกเวลา จิตใจที่ใคร่คิด คิดไปนอกจากหลักของธรรมก็รู้ก็เข้าใจด้วยสติของตัว ด้วยปัญญาของตัวว่าจิตคิดชั่ว คิดผิด แนะตนสอนตัวอยู่เรื่อยไป คำสอนสอนอย่างไรปฏิบัติตรงไปอย่างนั้น นี่คือเป็นเรื่องของนักบวชทุกคนจะต้องแนะสอนตน เมื่อเราตัดความวุ่นวายกังวลภายนอก เห็นอย่างตาเห็นที่โลกของเขานิยมชมชอบว่ามันสวยอย่างนั้น งามอย่างนี้  ก็เราหลงต่างหาก ของนั้นมีอยู่แต่เรายังไม่เห็น เรายังไม่ติดไปข้อง เราเห็นแล้วทำไมไปติดไปข้องไป ไปกำหนดยินดี ไปตำหนิติชมต่างๆ ของนี่มันไม่มีความหมายอะไรนอกจากใจไปหมาย นี่เป็นเรื่องปัญญาจะพินิจพิจารณาแก้ไขเรื่องใจของตัว 

เมื่อเราพิจารณาได้อย่างนั้น ตาได้เห็น หูได้ยิน สิ่งต่างๆก็มาสอนใจตัวเอง เป็นธรรมเรื่อยไป ไม่อดธรรม พิจารณาอะไรเข้าใจชัดเจนเห็นประจักษ์ เรื่องของโลกตั้งแต่เรายังไม่เกิดมันก็เป็นอยู่อย่างนี้ เราเกิดมันก็เป็นอยู่อย่างนี้ เราตายไปมันก็เป็นอยู่อย่างนี้ ไม่มีอะไรที่ผิดแผกแตกต่างกัน เกิด แก่ เจ็บ ตายเหมือนกัน โลภ​ โกรธ หลงของเก่า ถ้าเราไม่ละ ไม่ถอน ไม่แก้ ไม่ไข มันก็จะประจำใจของเราเรื่อยไป คนที่มีโลภ มีโกรธ มีหลง สุขเมื่อไร มีแต่ทุกข์เดือดร้อนวุ่นวายเพราะความโลภ ความโกรธ ความหลงของตัว 

สอนตัวอยู่เสมอ พิจารณาตัวอยู่เสมอ ละอยู่เสมอในสิ่งที่ควรละ บำเพ็ญอยู่เสมอในเรื่องสติปัญญาให้กล้าคม แก้ไขตัดเรื่องความติดข้องของใจแล้วคนนั้นจะ…เมื่อทำอยู่อย่างนั้น เป็นญายะปฏิปันโน ปฏิบัติเพื่อธรรม ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อกิเลส เมื่อรู้เห็นเด่นชัดประจักษ์ชัดเจน ปล่อยวางสิ่งที่เคยยึดถือติดข้อง จนจิตไม่อยู่ในวงของสมมุติทึ่เคยประพฤติปฏิบัติเคยรู้เคยเห็นมา ประจักษ์ชัดเจนในจิตในใจของตน ก็เป็นสามีจิปฏิปันโน ปฏิบัติชอบยิ่ง พระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร ไม่มีการสงสัย สาวกอรหันต์เป็นอย่างไร ไม่มีการสงสัย เพราะเหตุใด เพราะใจบริสุทธิ์อย่างนั้น ใครจะมาเขียนใบประกาศนียบัตรให้ หรือใครจะไม่มาเขียนให้ มันก็ประจักษ์อยู่ในใจ ไม่มีอะไรที่จะสงสัย 

นี่คือการปฏิบัติ นักบวชต้องปฏิบัติได้ ต้องประพฤติได้ เร่งกระทำบำเพ็ญ นักบวชจึงเป็นผู้มีโชคลาภอันใหญ่หลวง บวชได้ ทำจิตทำใจให้สบาย สบายมาก ไม่มีห่วงมีหวง ไม่มีติดมีข้อง จะมีสมบัติพัสถานก็รู้ว่าสมบัติเหล่านี้เค้าเอามาบูชาความดีต่างหาก ไม่ใช่เราแสวงหา มันเกิดมาด้วยอรรถด้วยธรรม และความติดข้องว่าเป็นของๆเรา มันไม่มี เค้าให้ก็เป็นบุญกุศลแก่เขา เขาปลูกฝังหว่านพืชเอาไว้ในเนื้อนาที่เขาแสวงหาว่าเป็นทางที่ดี จะเกิดผลเกิดประโยชน์แก่เค้า เขาไม่ให้ก็ดีอีก เพราะจะไม่เป็นภาระดูแลรักษา 

ผู้ที่มีปัญญา ผู้ที่ฝีกจิตอบรมใจของตัว ครูอาจารย์ที่มีอรรถมีธรรมมาสอนโลก ท่านเคยผ่าน บางคราวบางสมัยไปอยู่ในป่า อาหารบิณฑบาตไม่มีอะไร มีแต่ข้าว หรือข้าวก็ยังนิดๆหน่อยๆ ไม่พอแก่ปากแก่ท้องของตัว เคยมี เมื่อมันไปเกิดอย่างนั้นมันเป็นอย่างนั้น ท่านก็พิจารณา ดีแล้ว มีมากมันโลภ มันอยาก มีน้อยอย่างนี้ดี เค้าจะได้ทรมานช่วยเรา เป็นเรื่องของเรา คนที่โลภมาก มันมีมาก มันฉันมาก เบรคไม่อยู่ มีน้อยอย่างนี้ดี ท่านสอนจิตสอนใจของท่านอย่างนั้น ไม่ให้ใจไปเพ่งคิดจับผิดจากคนอื่น ว่าเรามาอยู่นี้ เค้าไม่มีหูมีตา ไม่มีศรัทธาดูแลรักษา ถ้าเพ่งไปอย่างนั้นคิดไปอย่างนั้น จะทำใจของตัวให้ขุ่นมัวเศร้าหมองเดือดร้อน ถ้าท่านคิดว่า เอ้า ดีแล้ว อยู่อย่างนี้ เค้าทรมานช่วยเรา กิเลสของเราจะได้เบาบางไป เราอยู่แต่เรามีมาก อยู่สถานที่อื่นก็เคยพบเคยเห็น ฉันมาก ดื่มมากมันเป็นอย่างไร กิเลสได้ตกหล่นออกไปจากใจมั้ย มันมีน้อยอย่างนี้ ความเพียรมันจะมาก เพราะคนฉันนั้นเวลานอน มันก็น้อย ความเพียรมันก็มาก พินิจพิจารณาถูกเรื่องถูกราวแล้ว ไม่มีอะไรขัดข้อง มีมากก็ เอ๊า! ดีหละวันนี้จะได้ฉันให้อิ่มหนำสำราญ จะมีกำลังวังชาเดินจงกรมภาวนาให้มาก ท่านเคยแนะสอนตัวของท่านอย่างนั้น จึงไปสถานที่ใดไม่มีการขัดข้อง เรื่องของใจ สะดวกสบายในการไปการอยู่ 

ความเป็นจริงเรื่องใจที่มีความสุขใจ ที่มีความสงบ ใจที่มีอรรถมีธรรม เป็นใจที่ประเสริฐ แต่พวกเรามองไม่เห็น เข้าใจว่าความสุขมันอยู่ที่อื่นนอกจากใจของตัว อยู่กับวัตถุสิ่งของบ้านช่อง กับผัวกับเมียกับลูกกับเสียง ความคิดนึก คิดไปอย่างนั้น เพราะความลุ่มหลง ไม่ได้พินิจพิจารณาในด้านอรรถธรรมอย่างจริงจัง สิ่งเหล่านั้นมันเหมือนกันกับเหยื่อที่เกี่ยวเบ็ดเอาไว้ ปลาที่โง่เขลาไม่ได้พินิจพิจารณา เห็นแก่ปากแต่ท้อง ไปหุบเข้า เบ็ดเลยเกาะปากเอา เลยเกิดทุกข์ คิดว่าอาหารที่เราหุบเอากลืนเอานั้นจะเป็นประโยชน์แก่ธาตุขันธ์ จะให้ความสุข ความคิด มันไม่เป็นอย่างนั้น เบ็ดมันอยู่ภายใน พอติดเบ็ดเข้า อาหารก็เลยไม่มีรสชาติอะไร ผลที่สุดปลาตัวนั้นก็มีแต่จะตายเท่านั้น เจ้าของพบเห็นเมื่อใดเค้าก็จะเอาไปต้มไปแกงเท่านั้น 

นี่ความคิดของพวกเราท่านมันเป็นไปแบบปลาที่โง่ มันถึงโดนทุบบ่อยๆ เพราะเหยื่อที่หลอกลวงจิตใจของเราเพียงนิดๆหน่อยๆเท่านั้น ว่ามันจะเกิดความสุขอย่างนั้น มันจะเกิดความสุขอย่างนี้ แต่มันไม่สุขให้ มันกลับทุกข์เผากายเผาใจ จึงควรพินิจพิจารณา หากจิตของเราละถอนโลภ โกรธ หลง ซึ่งเป็นเครื่องเคลือบแฝงอยู่ภายในด้วยอุบายของใจ คือปัญญาธรรมะสะสางแล้ว ใจนั้นจะสงบ ใจนั้นจะสบาย ใจนั้นจะปลอดโปร่งอยู่ทุกกาลทุกเวลา เมื่อใจไม่มีกิเลสตัณหา ไม่มีอารมณ์ชั่วเสียรบกวนอย่างนั้น ไปอยู่สถานที่ใดก็ไปเถอะ อยู่โคนต้นไม้ก็สุข อยู่ป่าก็สุข อยู่ถ้ำก็สุข ยังอยู่ก็สุข ตายไปก็สุข เพราะใจเป็นสุข ใจสุขอย่างเดียวจึงเป็นสุขยอดปรารถนา ไม่ต้องไปอยู่สถานที่ใด อยู่ในป่าร่มไม้ ท่านก็สุข 

อย่างพระพุทธเจ้าหรือกษัตริย์บางท่านบางองค์ที่มาบวชป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ท่านเคยเป็นกษัตริย์มา สุข สนุกสนานในวัตถุเป็นอย่างไร ลาภยศสรรเสริญที่เคยผ่านมา จิตใจปลอดโปร่งปล่อยวางละถอนมั้ย แล้วสุขในการละถอนกิเลสตัณหา ละมานะทิฐิ โลภ โกรธ หลงภายในใจเป็นอย่างไร ท่านทราบดี ท่านจึงเปล่งอุทานอยู่สม่ำเสมอ อย่างพระยากบิล (พระภัททิยะกาฬิโคธาบุตรเถระ ผู้เป็นพระมหากษัตริย์แห่งแคว้นสักกะ) ว่าสุขหนอๆ ไปพักที่ไหน คือสุขของใจ ไม่ต้องแอบอิงพิงอาศัยอันอื่น มันสุขพอ ถ้าใจสุขแล้ว อยู่สถานที่ใดไม่มีทุกข์ ใจทุกข์แล้วอยู่สถานที่ใดไม่มีสุข ใจร้อนแล้ว จะไปอยู่ในห้องแอร์หรือแช่น้ำแข็งมันก็ไม่มีวันเย็น ใจจึงเป็นเรื่องสำคัญที่พวกเราท่านไม่ควรมองข้าม ควรละ ควรถอน ควรพินิจพิจารณาให้ทั่วถึงสาระจริงจัง 

ถ้าเข้าถึงสาระของอรรถธรรม สิ่งต่างๆที่เราเคยติดข้องยึดถือ จะเบาบาง ปล่อยวางไปตามเรื่องใจที่เห็นธรรม ถ้าใจไม่เห็นธรรม มืดดำเรื่อยไป นับวันที่จะนำความทุกข์มาให้เพราะใจหลง หลงเท่าไรก็ยิ่งลำบากเท่านั้น การที่จะหายจากความหลงของใจก็คือการพินิจพิจารณาธรรมะของพระพุทธเจ้า เช่นตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ชาวโลกทั่วไปติดข้องยึดถือว่าดีว่าชั่วต่างๆ เพราะหลง คือสัญญาไปหมาย ถ้าหากสัญญาไม่ไปหมาย ค้นคิดพิจารณาเรื่องอรรถธรรมจริงจัง สิ่งเหล่านั้นมันไม่มีความหมายอะไร ตาหน้าที่เห็นรูปมันก็เห็นไป แต่เห็นสักแต่ว่าเห็น หูหน้าที่ของมันฟังเสียงก็ฟังไป แต่สักแต่ว่าฟัง ไม่ได้ถือ ไม่ได้ยึดในสิ่งนั้นๆ จมูกก็เหมือนกัน มันไม่อคติสิ่งเหล่านี้ ของดีมันก็เห็นได้ ฟังได้ สูดดมได้ ของชั่วมันก็เหมือนกัน แต่ผู้ที่ไปยินดียินดีร้ายคือใคร นั่นแหละ เป็นที่แก้ไข เป็นที่จะชำระ 

ถ้าหากไม่มองเข้าไปภายใน ก็ไปตำหนิแต่เรื่องภายนอก ไปแก้นอก แก้ปลายเหตุมันก็ไม่หาย เรื่องธรรมะจึงเป็นโอปนยิโก เป็นเรื่องภายใน แก้ไขได้ ทุกคนเมื่อสนใจพินิจพิจารณาแก้ไข มันจะหมดไป เรื่องความติดข้องของใจ เมื่อมันหมดไปไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็ไม่สอน ครูอาจารย์ก็ไม่มี นี่มันหมดไปได้ มันปล่อยมันละไปได้ ทั้งๆที่ของเหล่านั้นมีอยู่ แต่ไม่สาบทาติดข้องในจิตในใจของท่าน คนอย่างนั้นเขาจึงถือว่าเป็นคนประเสริฐ โลกจึงนิยมชมชอบกราบไหว้บูชา เพราะตาท่านมี ไม่ติด หูท่านมี ไม่ข้อง จมูกท่านมี ไม่ยินดียินร้ายตามกลิ่นต่างๆ ลิ้นท่านมี ท่านก็ไม่เพลิดเพลินลุ่มหลงไปตามรส ท่านอยู่ในโลก ไม่ทำความเดือดร้อนให้แก่โลกและตัวท่านเอง มันจะไม่ประเสริฐอย่างไร ต้องประเสริฐวิเศษ 

ถ้าหากฝึกอบรมตัวได้ การฝึกอบรมมันก็ไม่มีใครที่จะฝึกอบรมให้เรายิ่งกว่าเราอบรมตัวของเราเอง เพราะตัวของเราเท่านั้นที่จะรู้เรื่องของเรา มันติดข้องเศร้าหมองที่ไหน มันคิดปรุงอะไรอยู่ในวงของธรรมะหรือไม่ หรือเป็นไปเพื่อกิเลสตัณหา คิดไปเรื่องของสมุทัย หรือคิดไปเรื่องของมรรค จะต้องสอบสืบพินิจพิจารณาตัวเองเพื่อแก้ไขสิ่งที่ชั่ว ละถอนสิ่งที่ชั่ว บำเพ็ญสิ่งที่ดีเรื่อยไป 

นักบวชจึงมีโอกาสเวลา​ โชคดีกว่าเป็นฆราวาส เพราะอยู่ก็อยู่คนเดียว การไปก็ไปคนเดียว สะดวกสบาย ตายก็ตายคนเดียว ไม่มีใครเป็นห่วง หวงแหน มันง่ายมันสบาย ปกติจิตของท่านก็วิเวกอยู่เสมอ สัญญาอารมณ์ไม่ค่อยได้มารบกวน ไม่เหมือนจิตของคนที่ไม่เคยศึกษา ไม่เคยปฏิบัติ ซึ่งมีแต่สัญญาอารมณ์รบกวนอยู่ตลอดเวลา นั่งอยู่นอนอยู่ก็ยังคิดยังปรุงงานที่ทำวางมือมาแล้ว ใจยังปรุงยังคิด นี่ท่านพินิจพิจารณาเพื่อละถอนกิเลสภายใน ใจของท่านจึงเบา จึงสบาย สงบเย็น 

ใครต้องการความสุข ความประเสริฐอย่างนี้ ก็ต้องลงมือประพฤติปฏิบัติตัวของตัว เพราะธรรมะเป็นของกลาง มีสิทธิ์ที่จะประพฤติปฏิบัติได้ เราไม่สบายคนเดียว คนอื่นเค้าจะสบายทั่วโลก เราก็ไม่มีความสุข เราสบายคนเดียว คนอื่นเค้าจะทุกข์ทั่วโลก เราก็สุขก็สบายอยู่อย่างนั้น ไม่มีอะไรจะไปทุกข์ร้อนกับเขา พึงศึกษาพึงพินิจพิจารณา แก้จิตแก้ใจของตัวได้ ปัญหาของโลกมันก็หมดไป เพราะปัญหามันเกิดจากใจ ความยุ่งเหยิงมันเกิดจากใจ ไม่ได้เกิดไปจากที่อื่น 

อย่าไปทำอันนั้น ทำอันนี้ให้มันเสร็จเสียก่อนถึงค่อยจะฝึกจะสอนจะปฏิบัติตัว มันไม่มีทางเพราะคนเกิดมาไม่มีใครเอาชนะงานได้ ตายไปนับแสนนับล้านไม่ได้ แต่งานของเขาถ้าหากไปขุดค้นขึ้นมาว่างานเสร็จแล้วหรือ หมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้วหรือ คิดถึงค่อยตาย เค้าจะตอบว่ายังๆทั้งนั้น เราจึงไม่ควรเชื่อเรื่องจิตใจที่มีกิเลสตัณหาโลภหลงเป็นศาสดาสอนเรา เราต้องเอาธรรมของพระพุทธเจ้าผู้รู้ผู้เข้าใจมาพินิจพิจารณา จึงจะละจะถอนกิเลสตัณหา เอาน้ำที่สกปรกมาล้างของสกปรกก็เพิ่มสกปรกขึ้น ต้องเอาน้ำที่สะอาดมาล้าง มันถึงจะสะอาดได้ ฉันใดจิตใจของเรา ถ้าไปเชื่อตามโลภ โกรธ หลงของโลก มันก็ฉันนั้น ไม่มีวันที่จะสะอาด ไม่มีวันที่จะดีวิเศษได้ ต้องเอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาแก้ไข พิจารณาหาเหตุผลตามเป็นจริงของมัน 

เมื่อมันเป็นจริงอย่างไร รู้เห็นอย่างนั้นมันก็ไม่มีปัญหาอะไร ใจจะสุข ใจจะสงบ ใจจะสบาย ถึงไม่มีความรู้มากพอจะสอนคนอื่น แนะคนอื่นได้ ความสุขความสบายมีอย่างไรเข้าใจในตัว ไม่ชั่วไม่เสีย ผู้รู้บัณฑิตทั่วไปสรรเสริญ อย่างพระปัจเจกโพธิพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ด้วยตนเองเหมือนกัน แต่ไม่เคยแนะสอนใคร ใจที่หมดกิเลสเป็นอย่างไร ท่านเข้าใจเฉพาะท่าน ถึงกระนั้นทางโลกหรือบัณฑิต พระพุทธเจ้าก็ยังสรรเสริญ ขอให้ทำตัวให้บริสุทธิ์เถอะ มันดีวิเศษทั้งนั้น ถ้าตัวไม่บริสุทธิ์ ถึงจะมีความรู้ขนาดไหน ใจยังมีโลภ มีโกรธ มีหลง มีกิเลส ทับถมโจมตีอยู่ มันไม่มีปัญหา จะเรียนได้ปริญญาอะไรก็มาเถอะ ถ้ากิเลสตัณหายังบังคับบัญชาใจของตัวได้อยู่ 

นี่การแก้ไขใจ จึงเป็นเรื่องสำคัญ มีธรรมะในใจ มีความสงบของใจ มีความปล่อยวางละถอนกิเลสตัณหา จึงเป็นเรื่องสุขเรื่องสบาย เป็นเรื่องดีวิเศษ ขอทุกคนเมื่อได้สดับรับฟังแล้ว จงนำไปพินิจพิจารณา หากเห็นว่าเป็นทางดีมีประโยชน์ก็ลงมือประพฤติปฏิบัติ หากเป็นทางชั่วทางเสียส่วนใด ก็พากันละทิ้งเสีย อย่านำมาพินิจพิจารณา การอธิบายธรรมะก็เห็นว่าพอสมควร เสียเวลาขอยุติเพียงเท่านี้