Skip to content

มรณานุสติธรรม

หลวงพ่อประสิทธิ์ ปุญญมากโร

วันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๐ ธรรมเทศนา ณ วัดป่าหมู่ใหม่

| PDF | YouTube | AnyFlip |

ฟังเสียงซึ่งเป็นเสียงธรรมของพระพุทธศาสนามาช้านาน ยาวมาถึง๒๕๕๐ปีนี่ นี้คือเป็นเสียงธรรมของพระพุทธเจ้าที่ท่านได้แสดงไว้กับโลกมนุษย์เรา ยาวนานซึ่งอายุของพวกเราที่เกิดกันอยู่ที่มาฟังธรรมอยู่ขณะนี้ก็มีนิดเดียว สู้เสียงธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านสอนมา ๒๕๐๐ กว่าปีไม่ได้ เหตุนั้นวันนี้พวกเราก็ต้องแสดงความตั้งใจ แสดงความดีใจในสถานที่ฟังธรรมแห่งนี้ เพราะว่าการฟังธรรมที่นี้ซึ่งมีธรรมที่ทำให้เกิดขึ้นเป็นต้นของงานก็คือท่านอาจารย์กำแพง ผู้ท่านได้ถึงแก่ชีวิตหรือมรณภาพไปจากพวกเรา ก็ได้เป็นผู้ที่ได้ทำการปฏิบัติธรรม การบำเพ็ญกุศลประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนาให้เกิดมีขึ้นที่นี่ แล้วก็มีพวกญาติโยมหรือศิษยานุศิษย์ของท่านที่เคารพนับถือท่านมากมายหลายภาคหลายจังหวัดมาร่วมกันทำบุญ ได้ร่วมกันฟังธรรม ณ ที่แห่งนี้ เราก็เป็นผู้ที่ได้ยินธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ไว้ยาวนาน 

ให้พวกเราตั้งจิตฟังด้วยความที่ว่าเรายังมีบุญ เรายังไม่ได้ตายไปจากร่างกาย จากพระพุทธศาสนา ดังที่ภาษิตที่ยกไว้นั้นว่า มรณธมฺโมมฺหิ มรณํ อนตีโต เราทุกคนมีความตายประจำร่างกายทุกคน เรามีความตายประจำร่างกายแต่เรายังไม่ถึงเวลาตาย เรายังมีชีวิตอยู่ ไม่เหมือนอย่างอาจารย์กำแพง ท่านได้ถึงแก่ความตาย ถึงแก่มรณะไป อันนั้นเรียกว่าเป็นธรรมที่เป็นอดีตไปแล้ว ส่วนพวกเรายังเป็นปัจจุบันธรรมอยู่ คือยังมีชีวิตอยู่แต่ยังไม่ตาย แต่ความที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราก็เป็นผู้ที่มีธรรมทีนี้ 

ดั่งท่านบอกว่าเรามีร่างกายผู้ชายผู้หญิงทุกคนก็คือผู้มีธรรม มีสมบัติประจำตัวทั้งหมด เราเป็นผู้ที่ไม่ได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้า เราไม่ได้คิดให้เป็นธรรม เราคิดว่าตัวของเราร่างกายของเรา เรามีความผูกพันในร่างกายของเราธรรมดา มีชีวิตขึ้นมาตั้งแต่เกิด แต่พระพุทธเจ้าท่านมาสอนให้เรารู้ตัวของเราว่าเป็นธรรม เป็นสมบัติที่ล้ำค่าในร่างกายในชีวิตของเราแต่ละคนนี่ สมบัติทั้งหลายในโลกนี้จะมีมากมายนับประมาณไม่ถ้วน ท่านบอกว่าไม่มีคุณค่าเท่าร่างกายของเราแต่ละคน​ซึ่งมีไม่มาก ไม่กว้าง ไม่ไกล ไม่ใหญ่ ท่านบอกอย่างนี้ นี่คือหลักธรรมพระกรรมฐานที่ท่านปฏิบัติและท่านได้ฟังในจิตที่ภาวนาอยู่นี่ ท่านจะได้ยินในจิตว่าเป็นของที่มีคุณค่ามากเพราะว่าสมบัติทั้งหลายในโลก อย่างที่พวกเราเป็นญาติโยมนี่ เป็นฆราวาสนี่เราก็มุ่ง เราก็อยากจะได้สมบัติภายนอกให้หาได้มากๆ ให้ได้มี ให้ได้เหลือกินเหลือใช้อย่างนี้ เราไม่ได้คิดดูธรรมะคุณความดีที่มีในตัวเรา ไม่เข้าใจว่าสมบัติที่มีคุณค่ามากกว่า คือพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามีคุณค่ามากกว่าคือตัวของพวกเราซึ่งเป็นหลักสมบัติหรือเป็นต้นสมบัติที่เราได้มาจากเกิดคือร่างกายของพวกเรานี้

แต่ความคิดธรรมดาของเราเรียกว่าคนธรรมดาก็คิดว่าดี ที่เรามีร่างกายให้เราได้เป็นเจ้าของได้เกิดได้มีชีวิตอยู่อย่างนี้ เราคิดรู้แต่เพียงเท่านี้ เราก็มีความรักความผูกพัน ความหวงแหนในรูปร่างกาย รักษาร่างกายกับจิตเป็นชีวิตคู่กันมาอย่างนี้ตลอด แต่ถ้าเราเอามาปฏิบัติทีนี้ เราเอามารู้ตามหลักธรรมคำสอนพระพุทธเจ้าว่าเป็นสถานที่ที่เกิดที่มีในศาสนา มีธรรมะตลอดถึงมีพวกโภคะสมบัติต่างๆก็จะมีในรูปร่างกายของเรานี่ทั้งหมด ท่านเลยเอาธรรมคือคำสอนพระพุทธเจ้าที่สอนไว้กับร่างกาย สอนไว้กับชีวิตของพวกเราชาวพุทธเนี่ยแหละ สอนสืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าของเรายังมีพระชนม์ชีพอยู่ ก็ยาวนานมาถึงพวกเรา พวกเราก็ได้ฟังต่อเนื่องกันมาจนตลอดถึงพระอริยเจ้า ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติ ท่านฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าสืบทอดไม่ให้ขาดสายจนมาถึงพวกเราทุกวันนี้ ให้พวกเราได้รู้ว่าตัวของเราเป็นหลักของพระพุทธศาสนาและเป็นที่มาของพระพุทธศาสนาและเป็นที่ดับที่ไปของพระพุทธศาสนาด้วย 

อย่างที่ว่าความตายอย่างที่เราเคยสวด เคยได้ยินประจำในชีวิตของเรา เราก็พูดกันได้ยินกันประจำ ท่านให้เรามารู้มาพิจารณามาปฏิบัติมาแก้ไขในเรื่องของความตายนั่น ให้ตั้งสติขึ้นไว้กับร่างกาย อย่างที่ว่า มรณธมฺโมมฺหิ ให้รู้จักว่าความตายของเราที่ยังเป็นอยู่ทุกวันนี้ ยังไม่ถึงเวลา ยังไม่ถึงเวลาตาย ยังมีลมหายใจเข้าออกอย่างนี้ เราก็รู้ว่าความตายก็ยังเป็นอนาคต ยังอยู่ข้างหน้า ยังไม่มาถึง ชีวิตคือลมหายใจเราปัจจุบัน แต่เราก็น้อม น้อมความตายที่อยู่ข้างหน้า ที่มันยังไม่มาถึงเข้ามาใส่จิตของเราให้ได้รู้ขึ้นในปัจจุบันในจิตที่เรารู้อยู่เนี่ยว่า นี่คือความตาย ความตาย ชีวิตร่างกายของคนเรานั้นเราป้องกัน เรากำหนดเอาเองไม่ได้ เป็นชีวิตของพญามัจจุราชที่จะนำเราไป หรือจะกำหนดหรือจะตัดสินชีวิตของเรา พญามัจจุราชท่านพูดเป็นชื่อ เป็นชื่อของธรรม ถ้าพูดเป็นภาษาของเราก็เรียกว่าความตาย เป็นเจ้าของกำกับร่างกายของเรามาแต่เกิด ความแก่ความเจ็บความตายนั่นเป็นผู้กำกับ พญามัจจุราชเป็นเจ้าของควบคุมเราอยู่ตลอด เราเป็นผู้ที่ใต้อำนาจอยู่ในเครือข่าย อยู่ในเชือกผูกรัดของพญามัจจุราช 

จึงว่า มรณธมฺโมมฺหิ เมื่อเรากำหนดเอาแต่หลักความตายมาเป็นธรรมข้อเดียวเท่านั้น เราก็จะรู้ธรรมขึ้น รู้จักว่าธรรมมันเกิดความตายเกิดจากร่างกายที่เรามีอยู่เนี่ยแหละ แต่เราไม่ตายมันก็ทำให้เกิดขึ้น อย่างที่เราทำกิจทุกอย่างทุกวันนี้เราก็ทำเพื่อความตาย เราก็ทำเพื่อป้องกันตาย เราก็เพื่อรักษาชีวิตไม่ให้ตายว่าอย่างนี้ อย่างชาวบ้านนี่เรามุ่งหวังตั้งใจคิดจะสร้างหลังสมบัติทรัพย์สินเงินทองต่างๆอย่างนี้ เราก็มุ่งมาเพื่อว่าเอามาไว้เพื่อป้องกันตาย เพื่อใช้เพื่อบริโภครักษาชีวิตร่างกายให้เป็นอยู่ อันนี้มันก็เป็นจุดหมายเกี่ยวกับความตายทั้งหมดทีนี้ เหตุนั้นถ้าเรากำหนดเรื่องความตาย เราก็จะรู้ธรรมได้ด้วยหลักร่างกาย หลักชีวิต หลักความตายที่มีประจำตัวของเราทุกคนได้ 

เมื่อเรามากำหนดให้ภาวนามรณานุสตินี่ คือมีสติระลึกอารมณ์เดียวเท่านั้นคือเรื่องความตายเท่านั้น ให้มันรู้เรื่อง จึงให้รู้ด้วยจิตของเราที่เป็นความรู้ที่มีอยู่ที่เป็นหลักธรรมหลักพระศาสนาที่เราเอามาเป็นเครื่องกำหนดดูจนมีผู้รู้ดูตามสิ่งที่ไม่มีความตาย เอามากำหนด เอามาดูอย่างที่ว่าเอามากำหนดมาพิจารณาร่างกายอย่างนี้ ทีแรกก็ต้องฝึกเอามาคิดเอามากำหนด เอามาพิจารณาให้มันมีอารมณ์อยู่ในตัวของเรา ให้มันมีความกระฉับอยู่กับตัวของเรา ให้มีความรู้อยู่ติดกับตัวของเรา ด้วยอาการความตายนั่นแล้วก็ให้นึกว่ามรณานุสสติ คือสิ่งที่เราเห็นที่เราดู เราพิจารณาอยู่นี่ก็คือตัวตายอันนี้ คือเป็นตัวอย่างที่เราสวดกันอยู่กรรมฐาน ทุกคนจะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้ ท่านว่าอย่างนี้ เราก็รู้อยู่ว่าไม่มีใครล่วงพ้นความตายที่มีร่างกายด้วยกันมาในโลกนี่ พวกที่ทุกคนทั่วโลกเราก็จะเห็นกับตามาประจำว่าจะมีคนตายให้เห็นอยู่ตลอดอย่างนี้ เราไม่ต้องไปหาดู เรากำหนดมาดูที่ร่างกายที่ตัวของเรา เรามีอยู่เป็นผู้รู้ มีผู้ที่บอกเรื่องความตายอยู่ในตัวของเรา แต่เราไม่รู้เรื่องว่ามันเกิดมาจากไหน มันทำไมจึงตาย และใครมาทำให้ตาย เราก็จะได้แก้ความรู้อีกเพื่อจะได้มีสติปัญญาที่เราอาศัยเข้าใจคุณธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ว่าตาย เพราะว่ามันมีเรื่องที่จะให้เป็นให้ตายอย่างที่ว่าต้นมันก็ไม่ตาย 

ความเกิด อย่างที่ว่าความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย อันนี้ท่านถือว่าเป็นธรรมทูต เป็นธรรมที่ดี เป็นเทวธรรมที่จะสอนให้เราเป็นเทวบุตรเทวดาได้ เราเป็นญาติเป็นโยมก็ถ้ามารู้ธรรมอย่างนี้ เราก็เป็นจิตเทพจิตผู้ดีหละทีนี้ เราไม่ไปทำบาปทำทุกข์ ทำผิดคำสอนพระพุทธเจ้า ก็เรียกว่าเป็นทางที่ให้เราเกิดเป็นเทพเป็นพรหมผู้ดีได้ เพราะว่าเรารู้จักว่าที่เกิดที่มาของเรา ความเกิด เราเกิดได้มาจากธรรม จากสมบัติของกรรมที่จำแนกแบกแบ่งมาให้เรา เราได้มาแล้วเราจะต้องรักษาปฏิบัติ จะต้องดูแลให้ดี ไม่ให้เป็นบาป ไม่ให้เสียหาย ไม่ให้ทำลายต่างๆอย่างนี้ อย่างที่เรารับศีลมีศีล เราก็รับมาเพื่อรักษาสมบัติ รักษาชีวิต รักษาความตายของเรานะแหละ คือคนมีศีลแล้ว การรักษาดีปลอดภัยแล้ว คนมีศีลแล้วไม่ทำผิดศีลไม่คร่าชีวิตเขาแล้ว มันก็ไม่มีความเสียหาย ไม่มีความวิบัติ ไม่มีวิบากเกิดขึ้น 

ท่านบอกว่าตลอดถึงที่การที่เรามาปฏิบัติจิตของเราให้รู้จักหลักมรณานุสติธรรม เราก็เกิดความสงบจิต เกิดความสลดสังเวชในจิตของเรา เพราะว่าเราไม่เคยเข้าใจ เราไม่เคยปฏิบัติ ไม่เคยเจริญสติในหลักมรณานุสติอย่างนี้ พอเราปฏิบัติเอา มีความรู้เข้าไปถึงจิตภายในของเรา เราก็เกิดความกลัวบ้าง ความสลดสังเวช ความที่จะเกิดปัญญาที่จะหาทางแก้ความเกิดตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าหละทีนี้ เราจะแก้อย่างไร แก้ไม่ให้มันเกิดมันตาย เราจะต้องมาแก้มาเริ่มต้นหละทีนี้ เราจะต้องมาปฏิบัติ จะต้องมาแก้ที่กรรมที่นำมาเกิด มาเกิดเป็นร่างกายอย่างนี้ มันมีความเกิดมันมีร่างกายเป็นที่อาศัย จิตเป็นที่อยู่เป็นเจ้าของครองมาอย่างนี้ มันก็มาเกิด แต่ถ้ามันไม่มีร่างกายมันเกิดไม่ได้หละทีนี้ อย่างที่ใครเกิดก็เหมือนกัน สัตว์เกิดก็เหมือนกัน ทุกประเภทหละ มันจะต้องมีมาจากร่างกาย มาจากที่ก่อที่เกิดอย่างนี้ แต่ถ้าเราจะแก้ เราก็ต้องแก้ที่ตายที่เกิดอย่างนี่ จะไม่ให้มันเกิด จะต้องป้องกัน จะต้องถอดถอนจะต้องแยกแยะส่วนต่างๆออกอย่างนี้ อย่างที่เรามีบ้าน เราไม่ให้บ้านเป็นรูปเป็นหลังนี่เราจะทำอย่างไร เราก็จะต้องลื้อ เราก็จะต้องล้างจะต้องถอนออกอย่างนี้ มันก็จะไม่เป็นรูปเป็นหลังหละทีนี้ ไม่เป็นบ้านไม่เป็นที่อยู่ของจิต 

เหตุนั้นท่านมาปฏิบัติเพื่อแก้ความเกิดทีนี้ มาฟังธรรม มาฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ท่านมาปฏิบัติเพื่อแก้ความเกิดในหลักธรรมทูต เรามาแก้อย่างนี้ทีนี้ เรามาปฏิบัติมาคิดกันมา มาใช้ปัญญา ใช้ความรู้ที่มีอยู่กับตัวของเรานั่นน่ะ เราก็มาดู มันเกิดที่ไหน มันเกิดที่กายที่กรรม มันเป็นตัวทำตัวประสงค์ตัวปรุงแต่งขึ้นมาอย่างนี้ เราจะต้องมาแก้ตรงนี้ แต่คนเราอย่างชาวบ้านนี่เค้าไม่ค่อยคิดจะแก้เพราะเขาติดโลกหลงโลกมานาน ไม่ว่าใครน่ะ ตลอดถึงพระสงฆ์สามเณรก็เหมือนกัน ถ้าเรามาบวช เรายังไม่ปฏิบัติ เราก็ยังไม่รู้เรื่องแก้ ไม่รู้เรื่องที่จะปฏิบัติ จะต้องมีผู้มีบารมี มีศรัทธา มีปัญญาเกิดขึ้นเสียก่อนถึงจะรู้จักเรื่องที่จะแก้กรรมแก้ความเกิดได้ คือเห็นโทษเห็นทุกข์ ก็อาศัยความเห็นอันนั้นเป็นหลักที่จะเข้าไปแก้ความเกิดได้ อย่างเราชาวบ้านเราไม่เห็นธรรมเห็นทุกข์ทีนี้ เราเห็นความสุข เราเห็นความดี เราเห็นว่าร่างกายเราเป็นสิ่งที่เราเป็นเจ้าของครอบครองเป็นผู้ที่จะแต่งเอาได้อย่างนี้ อย่างที่ว่าเราเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเราจะตายอย่างนี้ เราก็เกิดความทุกข์ เกิดความทรมานในจิตในกายขึ้น เพราะเราไม่ได้พิจารณาให้เห็นไปตามความเกิดความทุกข์ความลำบากต่างๆนี่ เราเห็นความสุข เราเห็นความสบาย เราเห็นชีวิตที่เราได้อาศัยด้วยร่างกายของเรายังไม่มีอะไรที่จะเตือนที่จะสอนเราทีนี่ อย่างเรายังไม่เจ็บไม่ป่วย ยังอยู่ดีสบายอยู่นี่ แต่ว่าหลงความสุขทีนี้ หลงร่างกาย แต่ถ้าเวลามันทุกข์เอามากๆ หรือเวลามันทุกข์จนป้องกันไม่ได้ แก้ไม่ไหวถึงตายอย่างนี้ มันก็ไม่มีใครหละทีนี้ที่จะไปหลบหลีกได้ ไม่มีใครที่จะป้องกันไว้ได้

นี้ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้เราก็เป็นผู้ที่จะต้องเอาธรรมะที่พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เรามาแก้ความเกิด แก่ เจ็บ ตายนั่นให้ได้ เราก็แก้ไปได้ในส่วนที่เราพอรู้ได้ ส่วนที่ยังลึกยังมองไม่เห็นเราก็ตั้งใจไว้ทีนี้ เวลาเราทำบุญ เราทำความดีต่างๆ เราฟังธรรมะที่ไหน เราก็เอาความรู้ธรรมะ เอาคำสอนพระพุทธเจ้าที่ท่านสอนยาวมาตั้ง๒๕๐๐กว่าปีนั่น เอามาปฏิบัติมาแก้มาสอนจิตของพวกเราที่เราหลงตามมายาวนาน ตั้งหลายพันปีนั่นน่ะ เอามาแก้ คือมันไม่รู้จักความทุกข์รู้จักโทษ ไม่รู้จักความลุ่มหลงในร่างกายอย่างนี้ เราก็จะได้เอาความรู้พวกนี้ไปสอนจิตของเราอย่างนี้ เอาไปทักจิตของเราให้มันรู้ให้มันตื่นขึ้น อย่างที่ว่ามันมีความสุขอย่างนี้ มันสุขที่ไหน ความสุขของร่างกาย ความสุขของชีวิตชาวบ้านก็คือได้กินอิ่มนอนหลับ ไม่เจ็บไม่ไข้ ไม่มีโรคภัยเบียดเบียนทรมานแค่นั้น นั่นเราก็มีความสุขในชีวิต แต่เราหาไปจริงๆหละทีนี้ แล้วมันไปสุขที่ไหน นี่ เราจะต้องไล่ไป ในการที่เราฟังธรรมเราก็จดจำหละทีนี้ เราก็ปฏิบัติเราก็ใช้สติดูไปอย่างนี้ ให้รู้ ไม่ใช่ว่าเราส่งความรู้ความคิดไปนอกตัวเรา หรือไปใส่เสียงธรรมอย่างนี้มันก็ไม่ถูกที่ เราจะต้องน้อม ต้องกำหนดคืนมาหาจิต หากายของเราให้รู้ว่ามันเกิด มันเป็นอยู่ที่นี่ เรื่องธรรม เรื่องเทศน์ เรื่องแสดงต่างๆนี่ มันแสดงอยู่ในที่ของเรา อยู่ในตัวของเราหมด 

อย่างที่ว่ามรณานุสติอย่างนี้ มันก็ตายให้เราเห็น คือความตายที่เป็นธรรมะที่สอนเราอยู่ปัจจุบันท่านบอกว่า ก็คือความตายสั้นๆ อย่างที่เราตายเวลาเรามานั่งฟังธรรมที่นี่ เราเกิดมานั่ง แต่เรานั่งนานมันเหนื่อยแล้วหมดเวลา เราก็ต้องเลิกไป ก็ย้ายไปลุกไป นี่ มันก็ตายไปแล้วทีนี้ เพราะมันเกิดที่นี่มันก็ตายที่นี่ ท่านให้เอาความดีความรู้ต่างๆนี่มาสอนให้เกิดเป็นปัจจุบันขึ้น ให้เห็นความเกิดตายสั้นๆ ถ้าเราเห็นอนาคตที่เราจะตายไปหลายสิบปีข้างหน้าอย่างนี้ อันนี้มันเป็นความที่ไม่ถูกปัจจุบันธรรมท่านว่า ต้องมาดูชีวิตปัจจุบันสั้นๆอย่างนี้ 

แล้วก็ยังสั้นเข้าไปอีกคือดูลมหายใจเข้าออกของเรา คือดูชีวิตที่ละเอียดอ่อนที่สั้น ท่านจึงสอนให้เราภาวนา ให้อานาปานสติ ให้กำหนดดูลมหายใจเป็นเครื่องประกอบอันนี้ ก็อาศัยว่าบอกให้เรารู้ความตายอันสั้น ความตายปัจจุบันที่เรามีอยู่ คือตายอย่างที่ว่า เกิด…เราหายใจเข้าไป มันเกิด มันได้เข้าไปข้างในตัว แต่หายใจออกไปมันก็ตายไป แต่ตายไปแล้วมันอยากเกิดอีก เราก็สูดลมหายใจเข้ามาอีกอย่างนี้ สูดเข้ามาอีก มันหมดคุณค่าที่จะอยู่ในตัว และก็ต้องพ่นออกไปอีกอย่างนี้ มันเป็นการสอนความเกิดตายอยู่ในตัวของเราตลอดหละทีนี้ 

ถ้าเรากำหนดสติภาวนาอย่างนี้มันสอนให้เรารู้จักความตายในปัจจุบัน รู้จักความตายในร่างกายของเราที่มีอยู่ประจำทุกคน ให้รู้จักมรณานุสสติ มีสติรู้อยู่ว่าเราตายทุกขณะทุกระยะทุกเวลาหละทีนี้ ไม่ใช่รอวันตายในข้างหน้าหลายปีข้างหน้าอย่างนี้ หรือบางทีเราคิดว่าเรายังแข็งแรง หรือเรายังอายุไม่มาก เรายังไม่ถึงเวลาตายอย่างนี้ เราก็คิดได้ แต่ความตายมันไม่เป็นไปได้อย่างนั้น 

ก็ยกตัวอย่าง อย่างอาจารย์กำแพงอย่างนี้ อายุท่านก็ไม่ได้เข้าแก่ชราหลายสิบปี แต่ท่านก็ตายมรณภาพไปดังที่พวกเราได้มาร่วมประชุมทำบุญในงานศพอยู่เนี่ย พอรู้ข่าวว่าท่านมรณภาพ คนที่รู้จักกันก็ยังตื่นว่า เอ๊ะ ทำไม ท่านก็ไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วยทรมาน แต่ไม่น่าจะตายอย่างนี้ เราก็พูดกันไปอย่างนั้น แต่เรื่องความตายมันไม่เป็นไปตามที่เราพูด ตามที่เรานึก มันเป็นไปได้สั้นๆง่ายๆอย่างนี้ อย่างที่ว่าลมหายใจเข้ามันไม่ออก ลมหายใจออกมันไม่เข้า ท่านก็บอกว่ามันก็ตายเดี๋ยวนั้น เหตุนั้นคนที่มารู้จักเรื่องความตายในปัจจุบันก็จะเป็นคนที่จะตื่นขึ้น คือรู้ชีวิต รู้ธรรมขึ้นในตัว รู้จักที่จะสร้างคุณความดีให้ตัวเอง จะเป็นคนไม่ประมาทในชีวิตท่านว่า เพราะว่าเรื่องชีวิตของเรานั้น มันเป็นของที่มีนิด มีไม่ยั่งยืนนาน ท่านบอกว่าเมื่อมีอะไรมากระทบถูกต้องมันก็ตายง่ายๆอย่างที่เราเห็นกันทั่วไปอย่างนี้ 

นี่แหละเมื่อเราท่านทั้งหลายได้รู้จักหลักธรรมที่เกิดจากการที่เรากำหนดเอาความตายเป็นหลักอย่างนี้ เราก็จะเป็นผู้ที่รู้จักแก้ รู้จักแก้ความตาย รู้จักสืบสายมาจากความเกิด ว่ามันมาจากที่ไหน มันก็มาจากความเกิด มันก็ต้องมาถึงความตายได้ ต้นกับปลายมันก็เป็นเครื่องบอกให้เรารู้อย่างนี้ เราต้องเอาความรู้ของพระพุทธเจ้าทีนี้ ของพระพุทธศาสนาไปบอกไปสอนจิตของเรา ไปว่ากับความคิดของเรา ที่เราคิดเป็นเรื่องของโลกธรรมดา อย่างที่เราพูดว่า มรณธมฺโมมฺหิ เราแปลว่าเรามีความตายเป็นธรรมดา ความตายเป็นธรรมดาแต่ถ้าเรามาเข้าใจในหลักธรรมในการปฏิบัติ เราก็รู้แต่ว่าความตายเป็นธรรมเทศนา ความตายเป็นเครื่องสอนจิตของเราให้รู้ว่ามันเกิดมาจากที่ไหนแล้วอะไรมันตายอย่างนี้ เราก็จะได้ทบทวน จะได้ใคร่ครวญแล้วจะได้รู้เรื่องหละทีนี้

อะไรมันตายอย่างนี้ ก็ร่างกายมันไม่ทำงาน ชีวิตลมหายใจมันหยุดทำงานอย่างนี้ ก็รู้แล้วว่าคือความตาย แต่ส่วนจิตของพวกเราดั้งเดิมนั่นมันไม่ตาย ท่านก็เปรียบเหมือนว่าจิตกับร่างกายก็เหมือนเจ้าของกับบ้าน เจ้าของบ้านกับบ้านอย่างนี้ เมื่อบ้านเราอยู่ไม่ได้ เราก็ต้องย้ายออกไป เราจะต้องเที่ยวไปที่อื่น แต่ส่วนบ้านมันก็ตามเราไปไม่ได้ทีนี้ อย่างร่างกายน่ะ มันก็อยู่ตายอยู่กับที่ นิ่งอยู่กับที่ นั่น ส่วนเจ้าของบ้านมีอะไร เราจะเก็บสมบัติไปในบ้านที่เราเกิดมาอยู่ตลอดชีวิตของเราหลายสิบปีแต่ละคน เราจะย้ายบ้านไปที่อื่น จะไปหาที่ที่จะไปอยู่ ที่จะไปหาความดี ความสะดวกสบายต่างๆ อย่างเราย้ายบ้านอย่างนี้เราก็จะต้องอาศัยมรดกสมบัติที่เราหาได้จากบ้านนี้ จากที่นี่จากชาตินี้ที่เราจะไปสร้างชาติหน้า อันนี้เป็นสำหรับชาวบ้านคนธรรมดา 

แต่พระพุทธเจ้าพระอริยเจ้าท่านไม่ได้ไปสร้างทีนี้ ท่านเอาไว้กับที่ ท่านไม่ได้ไปก่อ ไม่ได้ไปเกิด เพราะท่านมีสมบูรณ์แล้ว ท่านมีล้นเหลือพอ ท่านเอาทิ้งแล้ว อย่างพระพุทธเจ้าพระอริยเจ้าของเราท่านทิ้งให้โลกหมดทีนี้ เราก็จะมาได้สมบัติสืบทอดมาถึงพวกเราทุกวันนี้ อย่างที่เรามีอยู่ เราได้อยู่ทุกวันนี้ก็สมบัติของพระพุทธเจ้า ของบรรพบุรุษที่ทิ้งมา สิ่งทั้งหลายที่เราได้อยู่ เราก็เป็นสมบัติของคนตายทั้งนั้นแหละทีนี้ เป็นสมบัติที่ท่านได้ทิ้งมาแต่เราก็หลงมาเป็นเจ้าของมาถือมาดีใจมาหวงแหนอะไรต่างๆกันอย่างนี้ เพราะเราไม่รู้ที่มาที่ไป เราก็ถือว่าเป็นเจ้าของจริงๆ เราให้คนอื่นเราแบ่งใครเราก็ไม่ยอม ก็เกิดกิเลสขึ้น เกิดความโลภขึ้น เกิดความโกรธขึ้น เกิดความหลงขึ้น ก็เพราะเรามาคิดเอา มาถือเอาอย่างนี้

นี่แหละเมื่อพวกเราท่านทั้งหลายได้ถือเอาหลักความตายมาเป็นเครื่องสอนจิต มาเป็นเครื่องปลุกจิตของเราให้รู้ขึ้น ให้รู้จิตรู้ตัวขึ้นหละทีนี้ ให้รู้ว่าที่เราถือว่าตัวของเรา เราเป็นสมบัติของเราหรือสิ่งต่างๆที่เราได้มา เราเป็นของเราทั้งหมดอย่างนี้ อันนี้ความคิดหลงคิดไม่ถูก แต่ถ้าเรารู้ว่าเป็นสมบัติของธรรม เป็นสมบัติของพระพุทธศาสนา เป็นสมบัติของท่านผู้รู้ที่จะมาสอนเราให้แก้ไข ให้คืนไว้ที่เดิม เราไม่มาหวง เราไม่มาผูกพันอย่างนี้ เราเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างที่เราเป็นชาวบ้านอย่างนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเรารู้ธรรมรู้ที่มาของศาสนาของพระพุทธเจ้าของเรา เราก็จะได้ไม่หลงทางโลกทีนี้ เราก็จะได้รู้กายรู้จิตของเรา มีสติระลึกตัวอยู่ในมรณานุสติตลอดนั่นน่ะ ถึงเราพูดกันทั่วๆไป เราก็พูดอยู่อย่างที่เรามีคนตายมีญาติมีใครต่อใครมากมาย ก็พูดกันเวลาตาย ก็ เอ้อ ไม่เห็นใครเอาสมบัติติดตัวไปได้ซักอย่าง เราก็พูด แต่เวลาเราทำนั่น มันก็ไม่เป็นไปตามคำพูดทีนี้ คือการทำมันยังเป็นกิเลสมันยังความหลง ความถือต่างๆอย่างนี้ แต่คำพูดเราก็พูดว่า เอาไปไม่ได้ แต่กิเลสมันไม่ว่า มันก็ทำให้เรารัก เราถือ เราหวงแหนต่างๆ นี่คำพูดกับการทำมันไม่ถูกกัน 

เหตุนั้นเรามาปฏิบัติเรามาฟังธรรมของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจ รู้จักโลกรู้จักธรรมหละทีนี้ ส่วนที่เป็นโลกก็คือให้อยู่ตามโลก ส่วนที่เป็นธรรมก็เอาเข้าไปไว้ในใจ แล้วไปปฏิบัติใจให้มีธรรมอยู่ มีสติมีผู้รู้อยู่ตลอดทีนี้ นั่นน่ะ ท่านบอกว่าเป็นที่ของพระพุทธเจ้าพระอริยเจ้านะนั่น เป็นธรรมที่ไม่ตาย ที่ท่านเรียกว่าอมตธรรม หรือเรียกว่า อมรณะธรรม คือเป็นธรรมที่ไม่ตาย คือธรรมของพระพุทธเจ้า แต่ทีนี้เราชาวพุทธทั้งหลาย เราควรจะปฏิบัติ ควรที่จะพิจารณาให้เข้าใจถึงกิเลสของเราห่อหุ้มมากมายหนาแน่นเพียงใด เราก็พยายามที่จะขัดเกลา พยายามที่จะแก้ไขตามสติกำลังของพวกเราที่จะทำได้ทีนี้ นอกนั้นเราก็ต้องใช้ความอดทน ใช้ความศรัทธาความวิริยะต่างๆให้เข้มแข็งขึ้น เพราะว่าเรามาแก้กรรมแก้กิเลสแก้โลกที่เขามาห่อหุ้มเรามาก่อนนี่ มันหนาแน่นมันลึกลับ เพราะว่าโลกเค้าเป็นเจ้าของมาก่อนอย่างนี้ 

ส่วนธรรมส่วนศาสนา พระพุทธเจ้าท่านมารู้มาสอนตอนหลังก็จะเอามาแก้ไข เราจะต้องใช้วิธีใช้กำลังที่จะปฏิบัติทีนี้ ขัดจิตใจของพวกเราให้มันรู้จัก ให้รู้จักที่ว่าความตาย อย่างที่ว่า มรณา …มรณธมฺโมมฺหิ มรณํ อนตีโต ซึ่งเรามีความตายเป็นธรรมดาจะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้ เราก็จะได้รู้จักทางแก้ไขทีนี้ จะแก้ไขไม่ให้ตาย คือแก้ไขที่จิตของเรานั่นแหละ ที่ความคิดที่ความเกิดที่มันมีอยู่นั่นน่ะ ที่มันเกิดนั่นเกิดนี่แล้วมันก็ตายนั่นตายนี่ คิดที่นี่ก็เปลี่ยนความคิดไปที่นั่นก็ตายไปแล้ว เรื่องลมหายใจก็เหมือนกัน เราหายมาตั้งแต่วันเกิดจนถึงปัจจุบันนี่ เรานับไม่ถ้วนหละทีนี้แต่ละคนน่ะ อย่างว่ามากมาย แต่เราไม่ได้ตัวหยุด ไม่ได้ตัวสงบ ไม่ได้ตัวพัก อย่างพระพุทธเจ้าของเรา อย่างนั้นเราเอาชีวิต เอามรณานุสสติมาสร้างความดี ซึ่งเป็นเครื่องแก้ความไม่รู้ บาปกิเลสต่างๆนั่นน่ะ ให้เป็นตัวแก้ได้ทีนี้ เกิดเป็นความดีความรู้ขึ้นมา เราก็แก้ได้ เปลี่ยนแปลงความรู้ความคิดได้ เราก็จะเป็นผู้มีภูมิ มีชั้น มีธรรม มีเครื่องอยู่ทีนี้ เรียกว่าเป็นผู้ที่พ้นจากนรก ไม่ตกอบายภูมิได้ เพราะเรารู้จักทางหลีกทางแก้อย่างนี้

เมื่อพวกเราท่านทั้งหลายที่ได้มานั่งฟังธรรมะ และก็มานั่งบำเพ็ญบุญในงานศพอาจารย์กำแพงผู้ที่ท่านได้ถึงแก่มรณภาพไป เราผู้มีชีวิตอยู่เรายังมีร่างกายตัวที่จะทำกรรมดีให้เกิดมีในตัวของเราทุกคน ที่เราจะต้องมารู้จักเรื่องความตายให้เข้าใจชัดเจนแล้วเราก็เป็นผู้ที่จะทำความดีให้ชีวิตร่างกายของเรามีคุณค่าตามฐานะกำลังของเราแต่ละคน นอกนั้นบุญกุศลทั้งหลายที่ได้มาบำเพ็ญร่วมกันในวันนี้ บุญของเราที่เราได้ ก็อย่างที่เราเริ่มพิธีทำมานั่นน่ะ ได้ฟังพระอภิธรรม ได้สมาทานศีล ๕ ได้ฟังพระสัทธรรมเทศนาในหลักของมรณานุสติธรรมโม ให้เข้าใจเรื่องความตายซึ่งมีประจำตัวของเราแต่ละคน แล้วให้รู้จักที่จะปฏิบัติเพื่อแก้ความตายให้หายไปจากตน ให้เราหลุดพ้นจากบาปกรรมกิเลสต่างๆที่เค้าเป็นเจ้าของมาก่อนอย่างนี้ เราก็มีกุศลอันยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในการฟังธรรมที่เรียกว่า ธัมมัสสวนมัย ก็เกิดขึ้นในใจ 

บุญกุศลทั้งหลายใดที่พวกเราได้ทำนี้เราก็น้อมจิตรวมการอุทิศส่วนกุศลแผ่ผลไปให้ดวงจิตดวงวิญญาณของท่านอาจารย์กำแพงผู้ท่านถึงแก่มรณภาพไปจากพวกเรานั่น ด้วยความเคารพรักความห่วงใยความที่คุ้นเคยรู้จักเป็นญาติมิตรกันมาอย่างนี้ เราก็ร่วมแผ่เมตตาจิตแผ่กุศลไปให้ท่าน ให้ดวงจิตดวงวิญญาณของท่านได้รับรู้และได้อนุโมทนาในกุศลที่พวกเราท่านทั้งหลายศรัทธาญาติพี่น้อง ตลอดถึงบรรดาพระสงฆ์สามเณรที่เป็นเพื่อนสหธรรมิกซึ่งเป็นกำลังในการอุทิศส่วนกุศลให้ท่านได้รับรู้แล้วขอให้ท่านได้รับรู้ด้วยดวงวิญญาณของท่าน ให้ท่านได้รับอนุโมทนาในกุศลทั้งหลายนี้ ก็ขอให้ท่านได้พ้นจากทุกข์ มีความสุขเจริญอยู่ในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังได้อธิบายมาก็พอสมควรแก่กาลเวลา เอวัง ก็มีด้วยประการะฉะนี้

https://youtu.be/tNtairDGxF4