Skip to content

อินทรีย์ ๕

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด (๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๒๖)

| PDF | YouTube | AnyFlip |

ธาตุขันธ์เป็นเรื่องของสมมุติ ที่ต้องหมุนไปตามหลักแห่งธรรมชาติที่ธรรมท่านสอนไว้ว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ฉะนั้นการมาศึกษาจึงไม่ควรนิ่งนอนใจในขณะที่ควรจะเป็นไปได้ ด้วยการประพฤติปฏิบัติและการศึกษาอบรมจากครูจากอาจารย์ เพราะสิ่งเหล่านี้เคยผิดหวังมาหลายครั้งหลายหนแล้ว สำหรับผู้หวังพึ่งพิงครูอาจารย์ เดี๋ยวองค์นั้นผ่านไปองค์นี้ผ่านไปอยู่เรื่อย ๆ ไม่มีการหยุดยั้ง แม้ตัวของเราเองก็จะต้องผ่านไปเช่นเดียวกัน ซึ่งไม่มีอะไรจะเหนือกว่ากันไปเลย เมื่อมีโอกาสดังที่ได้ประพฤติปฏิบัติศึกษาอบรมจากครูจากอาจารย์อยู่ ก็ควรจะตักตวงให้พอเป็นเนื้อเป็นหนังเป็นสารคุณ เป็นที่ยึดเหนี่ยวภายในใจของตนได้เป็นอย่างน้อย มากกว่านั้นก็ให้ปล่อยภายนอกโดยหลักธรรมชาติ เพราะความเพียงพอทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว การได้เห็นได้ยินได้ฟัง การศึกษาอบรมเพื่ออรรถเพื่อธรรม เพื่อถอดถอนสิ่งที่เป็นภัยก็หมดไป ๆ เพราะธรรมเป็นสิ่งที่ทำจิตใจให้มีความอิ่มพอได้โดยลำดับ จนกระทั่งถึงความพอตัว

ท่านผู้ใดปฏิบัติดีก็เป็นเรื่องของท่าน การปฏิบัติดีที่สำคัญก็คือเรื่องของเรา ความชั่วอยู่ในใจในตัวของผู้ใดก็ไม่สำคัญยิ่งกว่าที่เป็นเสี้ยนเป็นหนามทิ่มแทงหัวใจอยู่ในตัวของเรา เพราะฉะนั้นการประพฤติปฏิบัติจึงไม่เห็นสิ่งใดเป็นสิ่งที่หนักแน่น เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการประพฤติปฏิบัติ เพื่อกำจัดเสี้ยนหนามหรือแหลมหลาวที่ทิ่มแทงอยู่ภายในใจตลอดมานี้ให้หมดสิ้นไปโดยลำดับด้วยความเห็นภัย นี่เป็นความถูกต้องชอบธรรม

ท่านทั้งหลายมาอยู่ที่นี่ผมก็เคยได้พูดไม่รู้กี่ครั้งกี่หนแล้ว ผมรับนี้ไม่ใช่รับด้วยอำนาจวาสนาบุญญาภิสมภารว่ามีกว้างมีขวางมีลึกมีซึ้งอะไร สำหรับตัวของผมเองไม่ได้มีความรู้สึกอย่างนั้นเลย อยู่ปกติธรรมดา ๆ ตามสภาพของเจ้าของ แต่ที่รับก็เพราะความเห็นใจความสงสาร ได้แยกแยะจิตใจของตนออกเทียบเคียงกับหมู่เพื่อนที่มาศึกษาอบรมเกี่ยวกับเรื่องครูเรื่องอาจารย์ ผู้ให้คำแนะนำสั่งสอนเป็นที่แน่ใจเป็นที่ลงใจ ทั้งการได้เห็นได้ยินได้ฟัง การพิจารณาไตร่ตรองตามไม่ขัดแย้งต่อจิตใจ เพราะสิ่งที่ได้เห็นได้ยินได้ฟังนั้นไม่ขัดแย้งต่อธรรมต่อวินัย

การที่เสาะแสวงหาครูหาอาจารย์ที่เป็นที่แน่ใจ และปรากฏเป็นความอบอุ่นขึ้นมาภายในตนนั้นเป็นสิ่งที่หาได้ยาก เสาะแสวงเสียแทบล้มแทบตาย ดีไม่ดีไม่เจอ เลยล้มเหลวไปเฉย ๆ ต่อหน้าต่อตาเรา เพราะสิ่งตอบแทนความมุ่งหวังของเราความมุ่งหมายของเรามันไม่มี ถึงมีเราก็ไม่พบไม่เจอท่านเสีย ผลประโยชน์นี้ก็ล้มเหลวไปได้ ดังที่ผมได้เคยพูดเสมอว่า เสาะแสวงหาครูหาอาจารย์นั้นผมน่ะเสาะแสวงหามากต่อมาก เพราะเราไม่ได้ตั้งความมุ่งหมายไว้อย่างธรรมดา ๆ แม้จะตัวเท่าหนูนี้ก็ตาม การตั้งความมุ่งหมายไว้ภายในใจนี้ตั้งไว้อย่างสูงสุดทีเดียว คือวิมุตติหลุดพ้นเท่านั้น

ทั้งนี้เนื่องมาจากการได้เห็นได้ยินตามพระประวัติของพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายที่ท่านดำเนิน เขียนไว้ตามตำรับตำรา เมื่ออ่านแล้วเกิดความซึ้งใจ ความรู้สึกในตอนก่อนบวชหรือตอนต้นบวชก็ค่อยจางไป ๆ จนกลายเป็นความล้มไปหมดในความรู้สึกเหล่านั้น แล้วมีความหนักแน่นต่อผลที่พระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายท่านได้รู้ได้เห็น ท่านได้รับมาประกาศสอนโลก แม้เรียนหนังสือก็เรียนด้วยความมั่นใจที่จะออกปฏิบัติโดยถ่ายเดียวเท่านั้น นี่ละเป็นเหตุให้ตั้งความมุ่งหมายไว้อย่างสูงสุด

การตั้งความมุ่งหมายไว้อย่างสูงสุด เหตุใดการเสาะแสวงหาครูหาอาจารย์ หรือการประพฤติปฏิบัติจะไปทำแบบสุ่มสี่สุ่มห้าลุ่ม ๆ ดอน ๆ เป็นไปไม่ได้ เข้ากันไม่ได้กับเจตนาเช่นนั้น จึงต้องเสาะแสวงหาจริง ๆ ถ้าไม่สนิทใจก็ไม่อยู่ จนกระทั่งถึงพ่อแม่ครูบาอาจารย์มั่นเรา ทั้ง ๆ ที่ก็ร่ำลือว่าท่านนี่เอาจริงเอาจังเด็ดเดี่ยว ดุด่าว่ากล่าวไม่มีใครเสมอ พูดง่าย ๆ ไม่มีใครเหมือน ทั้งอุบายการแนะนำสั่งสอน ทั้งการประพฤติปฏิบัติ ทั้งความรู้ภายในใจท่าน ไม่มีใครเหมือนเท่าที่ได้ทราบมา จึงได้มุ่งมั่นที่จะให้ได้พบได้เห็นท่านให้สมใจที่มุ่งอย่างแรงกล้านี้

เมื่อไปถึงท่านแล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ความคาดความหมายตามที่เคยได้ยินได้ฟังมานั้นไม่ผิดเพี้ยนกันเลยแม้แต่น้อย จึงเป็นที่ประทับใจตั้งแต่ขณะที่ได้ยินทีแรกเรื่อยไป เพราะศึกษาอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะทางหูทางตา ได้ยินได้ฟังได้เห็นนำมาคิดมาไตร่ตรองทั้งนั้น เป็นที่แน่ใจลงใจได้ทุกระยะ ๆ หาที่จะคัดค้านต้านทานไม่ได้ แม้กิเลสจะมีเต็มหัวใจ แต่ความมุ่งหวังต่อธรรมก็มีเต็มหัวใจเช่นเดียวกัน จึงมีน้ำหนักไปตามความจริงที่หาที่ค้านไม่ได้นั้น

จนกระทั่งท่านได้ลุล่วงไป บรรดาพระเณรทั้งหลายระส่ำระสายวุ่นวายกัน แทบจะพูดได้ว่าเป็นประวัติการณ์ของพระธุดงคกรรมฐานสายท่านอาจารย์มั่นนี้ก็ได้ เพราะขาดที่พึ่ง ขาดหลักใจ ขาดร่มโพธิ์ร่มไทร ทั้ง ๆ ที่ธรรมของพระพุทธเจ้าก็มีอยู่ แต่เมื่อยังต้องพึ่งพิงอิงอาศัยครูอาจารย์แล้ว ครูอาจารย์จึงเป็นเรื่องสำคัญอยู่มากภายในจิตใจ เวลาท่านพลัดพรากจากไปสิ่งที่เคยได้เห็นก็จะไม่ได้เห็น สิ่งที่เคยได้ยินไม่ได้ยิน สิ่งที่เคยให้ความอบอุ่นแก่เราซึ่งท่านเป็นเหมือนร่มโพธิ์ร่มไทร ก็ประหนึ่งว่าขาดสะบั้นลงไปหมด ราวกับว่าศาสนธรรมนี้ไม่มีเลย ทั้ง ๆ ที่ความแน่ใจอันหนึ่งก็ไม่ได้คลาดเคลื่อนแม้นิดเดียวว่า ศาสนธรรมหาได้เคลื่อนย้ายจากความจริงไปไม่ แต่เพราะความติดพัน ความเคารพความเลื่อมใสในองค์ท่าน เป็นองค์ปัจจุบันที่ได้เห็นอยู่ประจักษ์ตาเรานี้ได้ล่วงลับไป จึงเป็นเหมือนฟ้าดินถล่ม

พระเณรก็แตกกระจัดกระจายกันไป กว่าจะเกาะกันได้ก็ ๔ ปี ๕ ปี อย่างหลวงปู่ขาววัดถ้ำ ๔ ปี ๕ ปี ท่านถึงได้มาอยู่วัดถ้ำกลองเพล แต่ก่อนท่านก็อยู่ตามป่าทางอำเภอสว่าง หมู่เพื่อนก็เข้าท่านไม่ค่อยติด ครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็แยกย้ายกันไป อย่างหลวงปู่อ่อนก็มาอยู่ที่หนองบัวบาน ทีแรกก็ไปอำเภอกุมภวา แล้วก็โยกย้ายมานี้ เราเองก็ระเหเร่ร่อนไปตามประสีประสาของเราแล้วก็ได้มาอยู่ที่นี่ ท่านอาจารย์ฝั้นก็อยู่ที่อำเภอพรรณา บรรดาพระเณรทั้งหลายก็ได้เกาะได้อาศัยท่านเรื่อยมา

นี่แหละเรื่องครูบาอาจารย์ที่เป็นที่เคารพเลื่อมใสล่วงลับไปแต่ละองค์ ๆ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ขาดประโยชน์ของผู้หวังพึ่งพิงเป็นอย่างมากทีเดียว จึงขอให้ทุกท่านได้ทำความสำนึกหรือรู้สึกไว้เสมอว่า สิ่งที่กล่าวเหล่านี้จะกระทบกระเทือนใจเราในวันใดวันหนึ่งไม่สงสัย สิ่งเหล่านี้เราจะต้องพบต้องเจอ ในขณะที่ได้อยู่ได้ประพฤติปฏิบัติจึงควรตั้งอกตั้งใจเอาให้จริงให้จังทุกอย่าง การประพฤติปฏิบัติจะยากลำบากขนาดไหนให้พึงทราบว่าคือการต่อสู้ เช่นเดียวกับนักมวยเขาขึ้นต่อกรกันบนเวที ใครจะไปพักนอนหลับอยู่ในขณะที่กำลังชกต่อยกันอยู่นั้นมีเหรอ ความยากความลำบากในขณะนั้นเขาไม่ได้ถือเป็นอารมณ์ยิ่งกว่าความหวังชัยชนะโดยถ่ายเดียว

การประพฤติปฏิบัติ ถ้าเรามาคิดถึงแง่แห่งความลำบากลำบนเกี่ยวกับการต่อสู้กับฝ่ายต่ำ เราก็จะหาชัยชนะเป็นที่พึงพอใจไม่ได้ ให้คิดเสมอ และคำที่จะกล่าวเวลานี้ก็เคยกล่าวอยู่บ้างแล้วว่า ธรรมแท้นั้นไม่ได้ทำผู้หนึ่งผู้ใดให้ได้รับความลำบากลำบน ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ใน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เฉพาะที่เป็นธรรมซึ่งสอนโลกให้ถึงจุดที่ต้องการตามขั้นตามภูมิไปนั้น ไม่ได้มีอะไรที่จะมาก่อกวนทำลายสัตว์โลกให้ได้รับความกระเพื่อมหรือขุ่นมัว หรือได้รับความทุกข์มากน้อย อุบายทั้งหมดที่ทรงสอนนั้นสอนเพื่อแก้เพื่อถอดเพื่อถอน เพื่อการต่อสู้กับสิ่งที่เป็นภัยต่อธรรม ซึ่งมีอยู่ในหัวใจของสัตว์โลกนี้แต่ละราย ๆ นั้นเป็นของสำคัญ ธรรมแท้ท่านไม่ได้มาทำความลำบากรำคาญให้แก่ผู้ใดเลย เราจึงควรนำมาติดมาฝังไว้ที่หัวใจเสมอว่า ธรรมไม่ได้เป็นข้าศึกอะไรต่อเรา กิเลสฝ่ายต่ำต่างหากที่เป็นข้าศึกต่อเรา

แม้การลำบากลำบนในการประพฤติปฏิบัติ ไม่ว่าจะรักษาศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ จนกระทั่งถึงเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาทุกท่าที่เราประกอบความพากเพียร มีแต่ท่าต่อสู้กับฝ่ายต่ำทั้งนั้น ไม่ได้ต่อสู้กับธรรมของพระพุทธเจ้า เพราะธรรมไม่ได้เป็นข้าศึกต่อผู้ใด สิ่งที่เคยเป็นข้าศึกซึ่งเป็นสิ่งที่ธรรมตำหนิติเตียนเท่านั้นที่เราได้รับความลำบาก ทั้งโดยปกติที่มันเหยียบย่ำทำลายจิตใจเรา ทั้งขณะที่ต่อสู้กัน

การประพฤติปฏิบัติประกอบความพากเพียรในอิริยาบถต่าง ๆ วิธีการต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นวิธีการต่อสู้กับฝ่ายต่ำซึ่งเป็นความทุกข์ เพราะฝ่ายต่ำนั้นเป็นต้นเหตุ ทั้งเป็นผลเหยียบย่ำทำลายจิตใจ ทั้งเป็นเหตุที่จะให้เราได้ต่อสู้ หรือเราต่อสู้กับมันเพื่อถอดถอนมันออกก็เป็นความทุกข์ ธรรมแท้ไม่ได้ทำความทุกข์ให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใดเลย เราจึงอย่าให้กิเลสทั้งหลายมาคว้าเอาสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรของเราไปเป็นเครื่องมือ แล้วย้อนกลับมาทำลายเราเสียสิ้นโดยหาคุณค่าไม่ได้ในวงนักปฏิบัติ เรียกว่าเสียท่าอย่างแหลกอย่างเหลวอย่างเลวอย่างร้าย หาจุดที่หมายไม่ได้เลย

วันนี้จะอธิบายถึงเรื่องอินทรีย์ ๕ ซึ่งเป็นข้อเปรียบเทียบยักย้ายผันแปรระหว่างกิเลสกับธรรม ที่จะยื้อแย่งแข่งดีกัน นำธรรมเหล่านี้ออกไปใช้เป็นสมบัติของตนแล้วมาทำลายเราและมาส่งเสริมเรา ในอินทรีย์ ๕ นั้นคืออะไร ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา

ศรัทธานั้นส่วนมาก แม้พระพุทธเจ้าจะประกาศสอนอยู่โต้ง ๆ เรื่อยมาก็ตามว่า ศรัทธาคือความเชื่อ ท่านหมายถึงความเชื่อต่อเหตุต่อผลต่อความสัตย์ความจริง ท่านไม่ให้เชื่อตามความจอมปลอมอันเป็นเรื่องของกิเลสหลอกลวง แต่ใจเราหาได้ทราบไม่ว่า ศรัทธานี้ความเชื่อนี้ ได้ถูกกิเลสเอาไปขยำย่ำยีเสียจนแหลก ตัวเราหาทราบไม่แม้นิดเดียว ไม่ทราบ มันเชื่อความรู้ความเห็นความได้ยินได้ฟังอันเป็นเรื่องของกิเลสล้วน ๆ มานานเท่าไร แม้ขณะปฏิบัติอยู่เวลานี้มันก็เชื่ออยู่อย่างนั้นอย่างฝังใจ ที่เราไม่ทราบว่ามันฝังใจ ถ้าเราไม่เชื่อการเห็นการได้ยินอันจะให้เกิดความรักความชัง ความเกลียดความโกรธ เราจะไปสนใจฟังดูมันอะไร ฟังมันทำไม คิดเรื่องของมันทำไม

เรื่องของกิเลสก็ทราบว่าเป็นกิเลสแล้ว มันผลิตผลดีขึ้นมาให้เราได้รับความสุขความสบายที่ตรงไหนมันไม่มี แต่ใจก็เชื่อของมันอยู่อย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่ธรรมฉุดลากขึ้นมาให้เชื่ออรรถเชื่อธรรมมันก็ไม่ยอม เหตุที่ไม่ยอมไม่ใช่เพราะเราตั้งใจแข็งกระด้างหรือต่อสู้ธรรม แต่เพราะเรื่องของกิเลสที่มีอำนาจอยู่ภายในใจ ครอบหัวใจอยู่มากพาให้ต่อสู้ธรรม หรือมันเสียเองเป็นผู้ต่อสู้ธรรม คัดค้านธรรม ลบล้างธรรม จึงเป็นการลบล้างความเชื่อของเราที่มีต่อธรรม ให้กลายเป็นความเชื่อต่อมันเสียทั้งสิ้นโดยเราไม่รู้สึกตัว นี่แหละศรัทธาความเชื่อกิเลสเอาไปใช้มันใช้อยู่อย่างนี้ แต่เราไม่รู้

อันใดที่เป็นเรื่องของกิเลสมันเชื่อได้ง่าย มันไหลไปเลย อยู่ปกติมันก็เป็นกระดาษซึมอยู่อย่างนั้นตลอด ยิ่งมีสิ่งมาสัมผัสสัมพันธ์ก็เหมือนกับเพิ่มเชื้อให้ไฟ มันจะแสดงเปลวขึ้นทันที เช่น ได้เห็นได้ยินเรื่องอะไรก็ตาม มันจะเพิ่มตัวของมันขึ้นไปความเชื่ออันนี้ นี่ศรัทธา เราฟังกันอย่างดาษดื่นว่าศรัทธาความเชื่อ หมายถึงเชื่อธรรมโดยถ่ายเดียว แต่เราลืมถึงเรื่องความเชื่อในฝ่ายธรรมนั้นถูกกิเลสเอาไปเป็นเครื่องมือของมันมาสังหารเรา เราไม่ได้คิด จึงขอให้พากันคิดสะดุดใจ หากยังไม่ได้คิดก็ขอให้คิดเสียในวันนี้

วิริยะ มันหากเพียรอยู่โดยหลักธรรมชาติของกิเลสพาให้เพียร ให้พออกพอใจเพียรนำมาคิดมาอ่านไตร่ตรองอยู่เช่นนั้น มาเคล้ามาคลึงในอารมณ์ทั้งหลายที่ผ่านมา นานเท่าไรก็ไม่เห็นว่าเป็นของเก่า เป็นของใหม่อยู่เรื่อย ๆ สด ๆ ร้อน ๆ ไม่มีสิ่งใดที่กิเลสผลิตขึ้นมาได้ผ่านพ้นไปแล้ว ว่านานเท่านั้นปีเท่านี้เดือน มันเป็นของสด ๆ ร้อน ๆ ให้เพียรคิดเพียรอ่านโดยเราก็ไม่รู้ว่าเราเพียร แต่หลักธรรมชาติของมันมันเป็นอัตโนมัติ เพียรไปในตัวของมัน เพราะกิเลสดีดเส้นบรรทัดไว้แล้ว บังคับให้เดินไปตามเส้นบรรทัด ผลักไสให้ไปตามนั้น นั่นเราก็ไม่รู้

สติ ก็เหมือนกัน มันระลึกไปในเรื่องของกิเลสเสียทั้งมวล เพราะกิเลสเอาไปใช้ ทีนี้จะพูดย่อ ๆ เข้าไปโดยลำดับ ไม่ใช่คนบ้าคนที่ทำความชั่วช้าลามกทั้งหลาย ย่นเข้ามาถึงฝ่ายที่เบาบางกว่านั้นก็คนธรรมดาเรานี้ คิดชั่วได้สบาย ๆ พูดชั่วได้สบาย ๆ ถึงไม่ทำชั่วอย่างหนักก็ทำชั่วอย่างเบาได้อย่างสบาย ๆ เป็นคนขาดสติเมื่อไร คนไม่ได้ขาดสติ มีสติ แต่สตินี้เป็นเครื่องมือของกิเลสไปแล้ว ทางหลักธรรมท่านไม่พูดว่าเป็นสติที่ชอบธรรม ไม่เรียกว่าสัมมาสติ มันเป็นมิจฉา ๆ มาเรื่อย เช่น ศรัทธาก็มิจฉาศรัทธา วิริยะก็เป็นมิจฉาไปด้วยกัน สติก็เป็นมิจฉาถ้าใช้ไปในทางกิเลส ท่านไม่นำมาพูดเฉย ๆ แต่หลักธรรมชาติ สิ่งใดที่ผิดจากธรรมเป็นมิจฉาได้ทั้งนั้น แต่มันเป็นสัมมาของกิเลสนั้นซิ เราก็เป็นตัวกิเลสทั้งตัว ใจทั้งดวงมีแต่กิเลสปกคลุมหุ้มห่อไว้เสียจนมิดไม่มองเห็นใจเลย มีแต่กิเลสออกทำงานทั้งภายในภายนอกเราจึงไม่ทราบ นี่ละหลักสำคัญ

สมาธิ ก็เหมือนกัน ถ้าเป็นเรื่องของโลกของสงสารเรื่องของกิเลสแล้วมันมั่นใจ ไม่ย่อหย่อนอ่อนข้อ ไม่กลัวเป็นกลัวตาย ลืมวันลืมคืนลืมปีลืมเดือน ลืมสังขารร่างกาย ลืมคุณงามความดีไปหมด เพลินไปตามนั่นละ มีความแน่นหนามั่นคงทางการขวนขวายเพื่อผลงานของกิเลส มันขวนขวายอยู่ตลอดเวลา เรียกว่าสมาธิในทางเหตุ กิเลสพาให้เป็น กิเลสพาให้หมุน กิเลสพาให้เสาะให้แสวงด้วยความพออกพอใจ ผลก็ปรากฏเป็นความฝังจมอยู่ภายในใจเหมือนไฟไหม้แกลบ อย่างน้อยก็เป็นเหมือนไฟไหม้กองแกลบ มันสุมอยู่อย่างนั้น นั่นผลของกิเลสแสดงออกไป มันเหนียวแน่นมั่นคงมาก ไม่ได้วอกแวกคลอนแคลนเหมือนสมาธิธรรมที่เริ่มต้น เริ่มปรากฏในขั้นเริ่มแรก นี่แยกออกไปให้เป็นมิจฉา ที่ว่าให้เป็นสมาธิไปในทางของกิเลส

ปัญญา ความเฉลียวฉลาด คนชั่วเป็นคนโง่เมื่อไร กลอุบายพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงที่จะให้เป็นไปตามความชั่ว โดยที่เจ้าตัวว่าเป็นของดี เพื่อตัวเอง มันมีความเฉลียวฉลาดแหลมคมมาก เช่นอย่างนักล้วงกระเป๋า ดูซิ นักปล้นนักจี้นักคดนักโกงนักรีดนักไถ ล้วนแล้วแต่เป็นพวกฉลาดหากินทั้งนั้น นี่ปัญญามันไปทางนั้นเสีย เป็นเรื่องของกิเลสเอาไปใช้ พละ ๕ นี้กิเลสเอาไปทรงหมด เอาไปถลุงเสียหมด ด้วยพละ ๕ หรืออินทรีย์ ๕

พละ ก็แปลว่ากำลัง แปลออกแล้ว อินทรีย์ ก็คือความเป็นใหญ่ ถ้าเรานำมาใช้ตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าจริง ๆ จะมีกิเลสตัวใดเล่าเหนืออำนาจของศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา นี้ไปได้ ต้องพังไปหมดไม่มีเหลือเลย

ศรัทธา เราเชื่อต่อมรรคผลนิพพาน มีความมุ่งมั่นมีความเชื่อมั่นต่อการกระทำของเรา เพื่อให้ทะลุปรุโปร่งไปถึงจุดที่หมายปลายทางได้แก่ความพ้นทุกข์ ถ้าลงศรัทธาได้หยั่งถึงขนาดนั้นแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจะหมุนไปตามเลย วิริยะก็เหมือนกัน ตามกันไปเลย สติมันหากพอใจระลึกในหน้าที่การงานของตน เพื่อความถอดความถอน สมาธิอะไรจะมั่นคงยิ่งกว่าสมาธิทางด้านธรรมะ อยู่ที่ไหนก็มีความมั่นคงอยู่เช่นนั้น มีความมุ่งมั่นต่องานของตน นี่สมาธิในทางเหตุของการบำเพ็ญ เดินจงกรมก็มีพี่เลี้ยง ธรรมทั้งห้านี้เป็นพี่เลี้ยงของความเพียรอยู่ตลอดเวลา ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ สมาธิทั้งฝ่ายเหตุ สมาธิทั้งฝ่ายผล เป็นต้นเป็นลำกลมกลืนเป็นอันเดียวกันไป สาเหตุได้แก่การบำเพ็ญไม่หยุดไม่ถอย ไม่ลดละ ไม่อ่อนข้อย่อหย่อนกำลัง ผลก็คือความสงบเย็นใจปรากฏขึ้นมาเรื่อย ๆ

ปัญญานำออกใช้ อะไรจะแหลมคมยิ่งกว่าปัญญาในศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า ปัญญาที่โลกเอามาใช้ ที่ยังใช้กันอยู่ทั่วไปนี้เป็นปัญญาของกิเลส ไม่ใช่ปัญญาของธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ เวลาขุดค้นเวลาฟาดฟันกิเลสจะเอาปัญญาของกิเลสไปฆ่ากิเลสฆ่ากันไม่ได้ ฆ่ากันไม่ลง นอกจากเป็นมิตรเป็นสหาย หรือเป็นสิ่งที่ส่งเสริมกิเลสให้มีกำลัง มีความเฉลียวฉลาดมากขึ้นเท่านั้น ต้องเป็นปัญญาที่ผลิตขึ้นมาจากองค์สยัมภู คือผู้รู้จริงเห็นจริง รู้โดยลำพังพระองค์เอง ไม่ได้คิดไม่ได้ค้นหรือไม่ได้ไปศึกษาจากผู้หนึ่งผู้ใดมาเลย เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงขุดค้นขึ้นมาโดยลำพังพระองค์เอง จึงเรียกว่าเป็นปัญญาธรรมล้วน ๆ แล้วสามารถปราบกิเลสให้ราบเรียบไปไม่มีสิ่งใดเหลือ นี่แหละปัญญาฆ่ากิเลส อะไรจะยิ่งกว่าปัญญา

ปัญญาของกิเลสเราก็เห็นกันทั่วโลกอยู่แล้ว ปัญญาของธรรมที่เป็นเครื่องฆ่ากิเลสเป็นปัญญาประเภทใด เอ้า ขุดค้นขึ้นมานักปฏิบัติเรา จะไม่นอกเหนือไปจากใจดวงนี้ ที่ว่า สนฺทิฏฺฐิโก ๆ จะได้ทราบประจักษ์ภายในใจว่า ปัญญาที่เป็นเครื่องฆ่ากิเลสคือปัญญาประเภทใด ไม่ใช่ปัญญาที่เราไปหยิบเอามาจากตำรับตำรา ไปฟังมาจากครูจากอาจารย์ นั้นเป็นเงื่อนหนึ่งของปัญญาหรือเงื่อนหนึ่งของธรรม เช่นเงื่อนหนึ่งของศรัทธา เงื่อนหนึ่งของสมาธิที่ท่านอธิบายไว้ เงื่อนหนึ่งของสติ เงื่อนหนึ่งของปัญญาเท่านั้น แต่เวลาจะเอามาเป็นสมบัติของตนจริง ๆ ศรัทธาก็เป็นขึ้นในตัวเอง วิริยะ สติ สมาธิ จนกระทั่งถึงปัญญา เป็นขึ้นภายในจิตซึ่งไม่เคยรู้เคยเห็นเคยเป็นเลย หากเป็นขึ้นมาโดยหลักธรรมชาติของธรรมเป็นผู้ผลิตผู้ค้นขึ้นมา ผิดแปลกกับเรื่องของโลกเป็นไหน ๆ

เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้ปฏิบัติ โดยอาศัยหลักธรรมที่ท่านสอนไว้นั้นมาเป็นปากเป็นทาง แล้วให้คุ้ยเขี่ยขุดค้นขึ้นมาเป็นสมบัติของตัวเอง นี่แหละเป็นสติเป็นปัญญาเป็นธรรมแท้ เป็นสิ่งที่ควรแก่การปราบกิเลสทุกประเภทให้เรียบราบลงไปโดยไม่ต้องสงสัย

พระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ตามเป็นสยัมภูทั้งนั้น ทรงสามารถขุดค้นขึ้นมาโดยลำพังพระองค์เอง ที่โลกทั้งหลายไม่เคยได้ยินไม่เคยได้เห็น ไม่เคยพบเลยพระสติปัญญาเหล่านี้ แต่พระองค์ทรงค้นพบโดยลำพังพระองค์เอง ควรแก่การปราบกิเลสให้เรียบราบไปได้จนกลายเป็นศาสดาขึ้นมา ทีนี้สาวกทั้งหลายที่ว่า สาวก ๆ แปลว่าผู้ฟัง ได้ยินได้ฟังเงื่อนต้นเงื่อนปลายพอเป็นปากเป็นทางจากพระพุทธเจ้าเสียก่อน แต่ไม่ใช่อันนี้จะเป็นตัวมรรคตัวผลของสาวกนั้น ๆ เพียงเป็นเงื่อนหนึ่งที่สาวกทั้งหลายจะได้หยิบยกขึ้นเป็นปากเป็นทาง ถ้ายกให้ก็เรียกว่าธรรมทั้งดุ้น ให้ไปจาระไนตัวเองด้วยการขุดค้น ด้วยการพินิจพิจารณา ด้วยความพากเพียร ด้วยความอุตส่าห์พยายามของตัวเอง แล้วธรรมทั้งหลายจะปรากฏขึ้นโดยลำพังตนเอง เพราะความสามารถของตัวเอง

คำว่าสมาธิที่มีอยู่ในแบบในตำรับตำราเป็นชื่อเป็นปากเป็นทางไว้นั้นก็จะปรากฏขึ้นที่ใจ อ๋อ นี่สมาธิแท้เป็นอย่างนี้ นี่เป็นของเรา นั่นรู้แล้ว สมาธินั้นเป็นปากเป็นทาง สมาธินี้เป็นองค์ของสมาธิแท้ เป็นเนื้อเป็นหนังแท้ เป็นตัวจริงแท้ นั่น จะเป็นสมาธิประเภทใดก็ปรากฏขึ้นกับตัวเอง เป็นผู้รับผิดชอบภายในตัวเอง เป็นผู้เสวยผลมากน้อยที่จะเกิดขึ้นจากสมาธิของตัวเอง นี่เป็นตัวของตัว เป็นเนื้อหนังของตัวแท้โดยลำดับลำดา การขุดค้นด้วยปัญญาก็เหมือนกัน ท่านสอนไว้ให้พิจารณาอย่างนั้น ๆ เราก็พิจารณาอย่างนั้น ๆ แต่ไม่เอาเรื่องของท่านมาคาดมาหมายมากางไว้เหมือนแผนที่ ยึดหลักนั้นแล้วก็เอาหลักนั้นมาเป็นวงปัจจุบันแห่งการปฏิบัติของตัวเอง ให้ปรากฏเป็นผลขึ้นมา

กิเลสไม่ได้มีในอดีตอนาคต เอาสติปัญญาไปเป็นอดีตอนาคตจึงไม่ทันกัน จึงต้องลงในปัจจุบัน สมกับกิเลสเป็นหลักธรรมชาติของมันคือปัจจุบัน อยู่ภายในใจมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ไม่เคยมีคำว่าเสื่อมว่าคลาย กาลนั้นสมัยนี้ไม่มีกิเลส แต่มันมีอยู่ในหัวใจเราตลอดเวลา อกาลิกจิต อกาลิกธรรม ของธรรม กับอกาลิกจิตของกิเลสมันก็มีเหมือนกัน ถ้าหากเราไม่ถอดไม่ถอนมันออกเมื่อไร ที่จะให้มันหลุดลอยไปจากใจเรา โดยไม่ได้ประกอบความพากเพียรด้วยหลักธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว อย่างไรก็กัปไหนกัลป์นั้นถึงไหนถึงกัน เกิดตายอยู่อย่างนี้ ๆ เหมือนกับมดแดงไต่ขอบด้ง จะไต่ไปเท่าไรจนกระทั่งมดแดงตาย ขอบด้งก็ไม่มีสิ้นมีสุด เป็นวงกลมของมันอยู่เช่นนั้น

อันนี้เรื่องของกิเลสพาให้จิตหมุนก็หมุนอยู่เช่นนั้นเหมือนกัน ไม่มีคำว่าเงื่อนต้นเงื่อนปลาย ไม่มีคำว่ากิเลสจะมีความอิดหนาระอาใจ ไม่มีคำว่ากิเลสจะมีความชราคร่ำคร่าตาฝ้าตาฟางหูหนวกตาบอด ฟันหลุดฟันถอน สกลกายทุพพลภาพ ไม่มีในกิเลส กิเลสทันสมัยตลอดเวลา เชี่ยวชาญอยู่ตลอดเวลา จึงหาอะไรมาปราบไม่ได้นอกเหนือจากธรรมเสียอย่างเดียวเท่านั้น ไม่เรียกว่าเป็นปัจจุบันอยู่อย่างไรเล่า จิตดวงไหนจะไปเกิดที่ไหนก็ออกจากความบงการ ความฉุดความลากของกิเลสทั้งนั้น

กิเลสล้าสมัยเมื่อไรพอที่จะไม่ให้ทันจิตดวงใดดวงหนึ่ง แล้วเล็ดลอดออกจากตัวไปได้มีที่ตรงไหน ไม่เคยมี กิเลสต้องครอบไว้ทุกหัวใจ เว้นเสียแต่ใจที่มีธรรมมีอำนาจเหนือกว่ากิเลส ปราบกิเลสให้หลุดลอยไปต่อหน้าต่อตาของกิเลส เพราะไม่มีกำลังต้านทานกับธรรมได้เท่านั้นกิเลสถึงจะยอมจำนน ที่จะให้กิเลสมีกำลังวังชาน้อยไม่ทันกับเหตุการณ์ ไม่ทันกับจิตของสัตว์โลกแต่ละดวง ๆ นี้ไม่มี เพราะอยู่ในใจนั้นแล้ว รากแก้วรากฝอยของกิเลสก็ฝังอยู่ที่ใจนั้นแล้ว มันคลาดเคลื่อนไปที่ไหน

จะเอากาลเอาสมัยที่ไหนมาทำลายมันได้ มันไม่ใช่กาลไม่ใช่สมัย มันคือกิเลส มันฝังอยู่ภายในใจเรื่อยมา จึงต้องอาศัยธรรมเป็นเครื่องประพฤติปฏิบัติ ได้ยินได้ฟังจากท่านแล้วนำไปคิดนำไปอ่านอย่าอยู่เฉย ๆ ถ้าอยากจะรู้จะเห็นตามธรรมของพระพุทธเจ้าจริง ๆ ดังสาวกทั้งหลายท่านรู้ตามพระพุทธเจ้า ท่านรู้ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมานี้แหละ ครูบาอาจารย์เป็นผู้แนะนำพร่ำสอนให้พอเป็นปากเป็นทางแล้วเรานำไปประพฤติปฏิบัติ ส่วนผลที่ได้ในขณะที่ฟังนั้นเราก็ยอมรับ เพราะตอนนั้นจิตเป็นหลักปัจจุบัน จิตปัจจุบัน พอฟังพับก็จับได้ทันทีและแก้กิเลสไปในขณะนั้น ๆ นี่เป็นภาคปฏิบัติภาคหนึ่ง เราไม่ปฏิเสธ

ไม่มีภาคปฏิบัติใดจะยิ่งไปกว่าภาคปฏิบัติที่ได้ยินได้ฟังจากครูจากอาจารย์ ในขณะที่ท่านอบรมด้วยความถูกต้องแม่นยำนั่นเลย เพราะฉะนั้นสาวกหรือพุทธบริษัททั้งหลายจึงปรากฏว่า ได้บรรลุธรรมต่อพระพักตร์ของพระพุทธเจ้ามีจำนวนมาก นั่นคือเป็นภาคปฏิบัติของพุทธบริษัททั้งหลายที่ได้ยินได้ฟังแล้วแก้กิเลสไปในขณะนั้นสด ๆ ร้อน ๆ เป็น สนฺทิฏฺฐิโก เพราะสติก็จ่อ ปัญญาก็จ่ออยู่ที่ตรงนั้น เป็นภาคปฏิบัติที่ตรงนั้น ธรรมก็เป็นธรรมปัจจุบัน และเป็นธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนอย่างถูกต้องแม่นยำด้วย ผู้ฟังซึ่งมุ่งความจริงอยู่อย่างล้นหัวใจแล้วทำไมจะไม่เจอของจริง ต้องเจอ เมื่อเจอต้องรู้ต้องเห็น ผู้นั้นสำเร็จขั้นนั้น ๆ เป็นจำนวนมากมายเพราะเหตุผลลงรอยกัน ความจริงต่อความจริงเข้ากันได้สนิท พระพุทธเจ้าก็สอนจริงถูกต้องแม่นยำ ผู้ฟังทั้งหลายก็ฟังเพื่อความรู้ยิ่งเห็นจริง ทำไมความจริงจะเข้ากันไม่ได้

เมื่อหลักปัจจุบันเข้าถึงกันแล้ว กิเลสมันจะปัจจุบันขนาดไหน มีรากแก้วรากฝอยลึกขนาดไหน ก็ทนสติปัญญาที่จะฟาดฟันหั่นแหลกหรือถอนพรวดขึ้นมาไม่ได้ นี่แหละที่ว่าพุทธบริษัทได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าได้บรรลุมรรคผลนิพพาน คือเป็นภาคปฏิบัติภายในจิตโดยเฉพาะ นี่เป็นภาคหนึ่ง

ภาคต่อไปก็คือ เรานำเหตุนำผลนำเงื่อนของท่านที่อบรมสั่งสอนแล้วไปประพฤติปฏิบัติต่อตัวเอง คิดค้นขึ้นมาฝึกหัดอย่าอยู่เฉย ๆ สติปัญญามีที่จะนำมาใช้ ไม่ได้จนตรอกหรอกมนุษย์เรา ไม่มีใครฉลาดยิ่งกว่ามนุษย์ ยิ่งมีธรรมเป็นเครื่องมือด้วยแล้ว ก็ยิ่งเบิกทางให้ผู้มีความสนใจใคร่ต่ออรรถต่อธรรม ใคร่ต่อความพ้นทุกข์ ใคร่ได้รู้ได้เห็นสิ่งที่ยังไม่เคยรู้เคยเห็น จะเห็นขึ้นมารู้ขึ้นมา เพราะอำนาจของสติปัญญาจากการค้นคว้าของเรานี้แล

ขอให้ทุกท่านได้ลงใจในการประพฤติปฏิบัติ จะไม่นอกเหนือจากที่กล่าวมานี้เลย จะเป็นขึ้นภายในใจสด ๆ ร้อน ๆ สิ่งนี้จะไม่เหมือนอะไร สติก็ดีปัญญาก็ดี ผลที่เกิดขึ้นจากสติปัญญาได้ปราบกิเลสลงไปโดยลำดับก็ดี จะไม่มีอะไรเหมือน จึงเรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก ๆ คือเฉพาะ ๆ เท่านั้น จะพูดอะไรออกมาก็ไม่ถูก แต่ประจักษ์อยู่กับใจโดยลำดับลำดา ที่ได้สัมผัสสัมพันธ์ธรรมเพราะการประพฤติปฏิบัติ เพราะกิเลสขาดลงไป ๆ ขาดสะบั้นลงไปจนกระทั่งถึงความบริสุทธิ์หลุดพ้น ไม่ได้ถามใครไม่ได้สงสัย เป็นสมบัติของตนโดยสมบูรณ์ขึ้นภายในใจ

นี่แหละพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายท่านรู้อย่างนี้ ท่านเห็นอย่างนี้ ท่านไม่ได้รู้ได้เห็นแบบโลก ๆ โลกเป็นโลก ใครรู้ก็เหมือนกันหมดเรื่องของโลก ธรรมนี้ใครรู้ก็เหมือนกันหมด ไม่ได้ถามกันให้เสียเวล่ำเวลา เหมือนกันหมด ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสสัมพันธ์ทางโลก เขาก็ไม่ถามกันเหมือนกัน นี่จิตสัมผัสสัมพันธ์ธรรมขั้นใดก็ตามก็ไม่ได้ถามกัน ท่านจึงว่า สนฺทิฏฺฐิโก ๆ เป็นไปโดยลำดับ ตั้งแต่ธรรมขั้นหยาบก็เป็นเรื่องเฉพาะ ๆ ตัวโดยแท้ ๆ จนกระทั่งถึงความบริสุทธิ์สุดส่วน ก็เป็น สนฺทิฏฺฐิโก สุดส่วนเหมือนกัน สุดท้ายท่านก็ว่า ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ คนโง่จะไปรู้ได้ยังไงรู้ธรรมประเภทเหล่านี้น่ะ ท่านจึงว่าท่านผู้รู้ทั้งหลายพึงรู้จำเพาะตนท่านว่า วิญฺญูหิ นั่น อันท่านผู้รู้ทั้งหลาย รู้จำเพาะตน ปจฺจตฺตํ คือ ปฏิ เฉพาะ แยกออกไปอย่างนั้นน่ะ ทางปริยัติท่านก็ว่า ปฏิ คือรู้จำเพาะตน

เวลามาศึกษาให้พากันตั้งอกตั้งใจให้ดี อย่าชินชา มันจะกลายเป็นหน้าด้านไปนะ เรื่องของกิเลสทั้งมวลที่กล่าวมาเหล่านี้ เราเป็นนักต่อสู้ อย่าให้สิ่งเหล่านี้เข้ามาแอบตัวเราได้ นอนอยู่ก็สู้ ถ้าเป็นผู้เห็นภัยจริง ๆ กิเลสมันฆ่ามันตีเราได้ มันทรมานเราได้ บีบคั้นเราได้ ทั้งยืนทั้งเดินทั้งนั่งทั้งนอนนั่นแหละ เพราะฉะนั้นการต่อสู้กับกิเลสจึงไม่นิยมว่าอิริยาบถใดสู้ได้ทั้งนั้น ไม่ให้มันมาแหยมได้ ถ้าเป็นนักปฏิบัติจริง ๆ ต้องเอาให้จริงถ้าอยากหลุดพ้น

เรื่องเกิดเรื่องตาย ตายเกิดตายสูญ นี่พูดอย่างอาจหาญ ความรู้เท่าหนูนี้ก็ตามไม่สะทกสะท้าน เพราะประกาศกังวานอยู่กับใจดวงนี้ เวลายังจับเงื่อนต้นเงื่อนปลายไม่ได้ เหมือนคนบ้าทั้ง ๆ ที่มีสติอยู่ก็เห็นได้ชัดเจนประจักษ์ใจของเราเอง การปฏิบัติคลี่คลายสิ่งเหล่านี้ออกโดยลำดับลำดา ตั้งแต่ความฟุ้งซ่านจนจะเป็นบ้าก็เห็นก็รู้ภายในใจ เพราะใจเป็นผู้เป็นเสียเอง ก็ได้รู้ได้เห็นกับตัวเอง เวลามาตะเกียกตะกายล้มลุกคลุกคลานก็รู้ เอ้า จนกระทั่งถึงตั้งตัวได้ในขั้นเริ่มแรก ถ้าเป็นเด็กก็เหมือนกับตั้งไข่ได้ นี่จิตเป็นสมาธิจิตสงบ เหอ สงบให้เห็นแล้วเหรอ นี่ก็รู้ จนกระทั่งตั้งเนื้อตั้งตัวได้ในทางสมาธิเป็นที่แน่ใจก็รู้ นั่น กิเลสก็ค่อยรวมตัวเข้ามา ที่มันกระจายออกไปนอกขอบเขตจักรวาล ซึ่งไม่เคยเห็นก็ไปเห็น เห็นด้วยความสัญญาอารมณ์ ด้วยความคาดความหมายของกิเลสนั่นแหละ มันก็รู้ ทีนี้เวลามันหดตัวเข้ามาก็รู้ จนกระทั่งพิจารณาทางด้านปัญญา

เพียงด้านสมาธินี้ เราจะรู้ได้แต่เพียงว่านี้เป็นจิต นั้นเป็นส่วนร่างกาย แต่เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนี้ยังไม่แจ่ม สิ่งที่แจ่มแจ้งก็คือระหว่างกายกับจิต กายเป็นอย่างหนึ่ง ความรู้ที่อยู่ในท่ามกลางแห่งร่างกายนี้เป็นอย่างหนึ่ง นี่เรื่องสมาธิก็ทำให้ทราบแล้วว่าจิตเป็นอย่างหนึ่ง ร่างกายเป็นอย่างหนึ่ง พอก้าวเข้าด้านปัญญาพิจารณาร่างกายค้นหาความจริงในทางร่างกาย ทุกอวัยวะทุกสัดทุกส่วนเต็มสติกำลังความสามารถจนไม่มีอะไรที่ใดเป็นที่สงสัย แล้วก็ทราบได้ชัดว่าร่างกายทุกส่วนนี้เป็นเรื่องของธาตุทั้งนั้น อาการใดก็คือธาตุ ธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ ดินน้ำลมไฟรอบหมดทั้งตัว รู้ได้ชัด รู้จนกระทั่งอิ่มพอในความรู้ ไม่อยากรู้อยากเห็นยิ่งกว่านี้ไปอีกเพราะพอตัวแล้ว นั่น ถอนตัวออกมา จิตก็ยิ่งมีความละเอียด

เมื่อจิตถอนตัวออกมาจากส่วนร่างกายนี้แล้ว ทำไมจะไม่รู้เรื่องร่างกายคนอื่นสัตว์อื่นว่า จิตเคยไปเกาะไปเกี่ยวไปยึดไปถือหรือยังไง อันเป็นเชื้อแห่งภพแห่งชาติที่จะให้เกิดให้เกี่ยวพันกัน ทำไมจะไม่รู้ เวลามันขาดจากสิ่งเหล่านี้แล้ว มันก็ขาดจากเรื่องของส่วนหยาบ ๆ ทั้งหลายเหมือนกันหมดก็รู้ นี่เรื่องเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นอาการของจิต เมื่อจิตนี้ถึงขั้นละเอียดแหลมคมแล้วทำไมจะไม่รู้ นี้เป็นแต่เพียงว่าอาการ ๆ เราฟังซิมันเป็นจิตเมื่อไร หมายออกมาตรงไหน จำอะไรได้มากน้อยก็ลืมไป ๆ ดับไป ๆ พร้อม ๆ กัน ต้องการจำก็ปรุงขึ้นมาใหม่ คิดขึ้นมาใหม่ จำใหม่ ลืมไปเรื่อย ความคิดความปรุงก็เหมือนกัน มันเป็นของมันอยู่เช่นนี้ แต่เราไปตื่นไปหลงมันเฉย ๆ ไปยึดมันเฉย ๆ เมื่อปัญญาหยั่งเข้าไปถึงความจริงแล้ว ทุกส่วนทุกอย่างมันไม่มีความหมายในตัวของมันเลย แต่เราไปให้ความหมายมันอีกต่างหากนี่นะ เราถึงได้หลง ก็กิเลสนั่นละพาให้หลงพาให้หลอก จึงได้หลง ทราบชัดเข้าไป

นี่การพิสูจน์เรื่องเกิดเรื่องตาย ตายเกิดตายสูญ ในหลักปฏิบัติพิสูจน์อย่างนี้จะไม่สงสัย มีกี่ร้อยกี่หมื่นกี่แสนดวงก็ตาม ถ้าลงได้รู้อย่างนี้แล้วประกาศตนเองได้เลย ประกาศอย่างที่ว่าไม่อยากอวด ประกาศตามความจริงไม่สะทกสะท้าน เป็นอะไรไป เมื่อปัญญาได้หว่านล้อมเข้าไป ๆ มันไปเกี่ยวโยงกับเรื่องอะไรที่จะให้เกิดภพเกิดชาติ ส่วนหยาบก็รู้ตัดขาดเข้ามา ๆ จนกระทั่งถึงรากฝอย คืออาการทั้งสี่เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ พิจารณาเข้าไปตรงไหนมันก็มีแต่อาการ ๆ ฟังแต่ว่ารากฝอย ๆ เป็นต้นของมันเมื่อไร รากมันต่างหาก เอ้า ค้นเข้าไปหลายครั้งหลายหนจนกระทั่งรู้แจ้งเห็นจริงหาสงสัยไม่ได้แล้ว รากฝอยก็ทราบชัดว่ารากฝอย ปล่อยวางไว้ตามความจริงของมัน

เอ้า รากแก้วมันอยู่ที่ตรงไหน นั่นแหละจิตพิสูจน์ตัวเอง เข้าถึงจิตละที่นี่ รากแก้วฝังอยู่ตรงกลางจิต ตัวจิตทั้งดวงเป็นรากแก้วของมันทั้งนั้น เป็นเนื้อเป็นหนังของกิเลสอวิชชาทั้งมวล แม้สติปัญญาที่เป็นมาอย่างเกรียงไกรก็ยังหลงเพลงของมันได้ แต่สติปัญญานี้ไม่หลงนาน เพราะถึงหลงก็หลงเพื่อจะรู้ ไม่ได้นอนใจเหมือนทั้งหลาย พิจารณาแยกแยะเข้าไปละเอียดเข้าไปเท่าไรก็รู้ ว่าจิตยังจะเกาะจะเกี่ยวในภพในชาติอะไรอีกก็รู้ ดังที่พระอนาคาท่านว่าตายแล้วไปเกิดในพรหมโลก เชื้อที่จะพาให้เกิดในภพนั้นมี ต้องเกาะอยู่ที่นั้นก่อน พักอยู่ที่นั้นก่อนจนกว่าจะผ่านพ้นไปได้ นี่เชื้อแห่งความเกิดมีอยู่ในจิตภูมินี้ ภูมิหยาบ เช่น กามกิเลสมันถอนตัวไปหมดแล้ว ร้างจากบ้านจากเรือนคือกามกิเลสไปหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่ร้างจากนามธรรม

พิจารณาตามเข้าไป ๆ จนกระทั่งไปทำลายกันได้หมด ตปธรรมเผาเสียแหลก รากแก้วที่ฝังอยู่ภายในจิตถูกตปธรรมแผดเผาละลายฉิบหายป่นปี้ไปหมด เป็นยังไงทีนี้เกิดไหม ไม่ต้องไปถามใครก็ได้ เอาอะไรไปเกิด มันมีเงื่อนต่อที่ตรงไหน มันหมดนี่เงื่อนพาให้เกิดแก่เจ็บตาย เกิดแล้วเกิดเล่าคืออะไร ก็คือกิเลสตัวอวิชชานี้มันพาให้เกิดแล้วเกิดเล่า ส่วนหยาบพาให้เกิดหยาบ ส่วนละเอียดพาให้เกิดละเอียด เช่น พรหมโลก ๕ ชั้น อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา นี้เป็นภพละเอียด เพราะจิตดวงนี้เหมาะกับภูมินั้นต้องไปภูมินั้น ไม่ไปภูมิอื่น ไปภูมิอื่นไม่ได้ ไม่ไป เหมาะสมกับภูมินั้นต้องไปภูมินั้น เมื่อไม่เหมาะสมกับภูมิใดเลย ไม่สมควรที่จะไปอยู่ในภูมิใดเลย ก็ขาดสะบั้นไปเลยถึงนิพพาน นั่น รู้อย่างนั้นซินักปฏิบัติ ให้มันจริงมันจังซิ

ธรรมะพระพุทธเจ้าประกาศความจริงมาได้ ๒,๕๐๐ ปีนี้แล้ว สำหรับองค์ปัจจุบันของเราทุกวันนี้ เป็นยังไง หูหนวกตาบอดให้กิเลสมันไปกล่อมเสียหมด เอาไปถลุงหมดแล้วเหรอ ตาของเราก็มีเหมือนตาพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลาย หู จมูก ลิ้น กาย ของพวกเราก็มีเหมือนพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลาย สติปัญญาของเราไม่มีเหรอที่จะคิดขึ้นมาตามหลักธรรมที่ท่านสอนไว้ให้คิดให้อ่าน นี่มันไม่มีบ้างเหรอ ทำไมไม่คิด กิเลสมีอยู่มันท้าทายเราอยู่ตลอดเวลา ฟันลงไปซิ เอาให้มันเห็นซิ เรื่องตายเกิดตายสูญมันเป็นไงให้มันเห็น

ให้พระพุทธเจ้าพาเห็นพารู้นั่นแหละดียิ่งกว่ากิเลสพาให้รู้พาให้เห็น กิเลสพาให้รู้ให้เห็นมันปิดตาให้เห็น มันปิดจมูกให้ดม มันปิดใจให้คิด เพราะฉะนั้นใจจึงบอดจึงหนวก ตาจึงบอดจึงหนวก ทั้ง ๆ ที่ตาดีหูดีนี้ถูกกิเลสมันปิดไว้หมดมันก็ไม่เห็น ตายแล้วสูญ ๆ ให้มันหลอกอยู่กี่กัปกี่กัลป์แล้วนี่ นี่แหละตัวหลอกอย่างเต็มเปา หลอกอย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ คือกิเลสหลอกสัตว์โลกนี่แหละ มันหลอกตลอดเวลา พอเปิดหน้ากากมันขึ้นแล้ว อะไรพาให้สูญวะ ตัวกิเลสเองไม่ได้สูญนี่ มันอยู่บนหัวใจนั้นแต่มันหลอกว่าตายแล้วสูญ ถ้าหากว่ามันสูญจริง ๆ กิเลสทำไมไม่บรรลัย มันอยู่ที่หัวใจ ถ้าใจนั้นสูญไปจริง ๆ ตอนที่กิเลสพังไปหมดไม่มีอะไรเหลือแล้ว จิตมันสูญที่ไหน บริสุทธิ์ นั่น

ถ้าสูญแล้วเอาอะไรมาบริสุทธิ์ เห็นชัด ๆ รู้ชัด ๆ นี่ สนฺทิฏฺฐิโก อันหนึ่ง ถ้าจะว่าสุดยอดก็สุดอยู่ตรงนี้ มีกี่หมื่นกี่แสนกี่ภพกี่ล้านของโลกธาตุนี้ก็ตามเถอะ จะไม่สนใจฟังเลย ก็รู้ได้ชัดว่ากี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านโลกธาตุนี้ก็คือโลกธาตุที่จอมปลอม เพราะอำนาจของกิเลสทั้งนั้น ไม่ได้จริงเหมือนธรรมชาติที่รู้ที่เห็นที่เป็นอยู่เวลานี้เลย นั่นเอาตรงนี้ซิยันกัน นักปฏิบัติเท่านั้นจะรู้จะเห็นความจริงตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า นอกนั้นก็ไม่ว่าท่านว่าเรา ไม่ได้ประมาทผู้ใด มีแต่กิเลส เอาแว่นตาดำมาใส่ปุ๊บพรรณนากันไปไม่จบไม่สิ้น ทั้ง ๆ ที่ให้กิเลสเหยียบคออยู่นั้นเหยียบหัวอยู่นั้นมันเอาความรู้มาจากไหน ความรู้กิเลสทั้งหมดไม่ใช่ความรู้ของธรรม ถ้าความรู้ของธรรมกิเลสต้องพังไม่มีอะไรเหลือเลย

เอาให้เห็นเอาให้รู้นักปฏิบัติ ธรรมะพระพุทธเจ้าสด ๆ ร้อน ๆ อยู่แท้ ๆ กับใจนี่ เราอยากได้ยินได้เห็นหมู่เพื่อนได้รู้ได้เห็น ตามหลักธรรมที่สอนมาเหล่านี้ไม่ได้สอนอย่างแบบปลอม ๆ แบบปาว ๆ แบบคาดคะเนนะ นี้พูดอาจหาญพูดตามความจริงเลย จะว่าหาญมากหรือน้อยก็ตาม พูดเต็มหัวใจเพราะรู้มาเต็มหัวใจ สละเป็นสละตายเพราะธรรมดวงนี้ ตั้งแต่ได้เริ่มก่อนจะไปหาครูบาอาจารย์ของเรามาแล้ว ฟังอย่างถึงใจแล้ว เอาละที่นี่จะจริงไหมถามเจ้าของ ต้องจริงซิ เราหาความจริงอยู่แล้ว นั่น

ตั้งแต่ขณะนั้นละที่นี่ตะลุมบอนกับอันนี้แหละ กับธรรมชาติที่ว่าตายแล้วสูญนี่ ฟัดกันลงไปแล้วอะไรสูญ มันก็ยิ่งเห็นโทษของกิเลสร้อยเปอร์เซ็นต์ ๆ โอ้โฮ ๆ ตัวจอมปลอมตัวนี้เหรอที่มีอำนาจครอบหัวใจโลก ครอบหัวใจหมู่สัตว์อยู่เวลานี้ ไม่มีไม่เห็นโทษเห็นภัยเลย ทั้ง ๆ ที่เหมือนลูกฟุตบอลกลิ้งไปกลิ้งมาเพราะถูกมันเตะ กลิ้งไปภพนั้นภพนี้ภพน้อยภพใหญ่เหมือนไม่มีหูมีตาเลย ทั้ง ๆ ที่ใจดวงนั้นก็เป็นดวงรู้ แต่หาความรู้ที่จะเล็ดลอดออกไปจากอำนาจของมันไม่ได้เลย นี่ซิมันน่าสลดสังเวชขนาดไหน ความกล่อมของกิเลสความแหลมคมของกิเลสที่มันหลอกสัตว์โลกน่ะ มีธรรมเท่านั้นที่จะทำลายมันได้ เปิดหน้ากากเปิดความชั่วของมันให้โลกได้เห็นได้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแต่ละองค์จึงเป็นโลกธาตุหวั่นไหว จะไม่ไหวยังไง กิเลสมันอยู่ในโลกธาตุนี้ กิเลสไม่ไหวอะไรจะไหว กิเลสกลัวธรรมอย่างเดียวไม่ได้กลัวอย่างอื่น

เหนื่อย เอาละหมู่เพื่อนตั้งใจประพฤตินะ อย่างนี้ละถ้าพูดไปแล้วมันหากเป็นเองในหัวใจดวงนี้ มันพูดธรรมดา ๆ ไม่ได้มันไม่ถึงใจนี่นะ มันหากออกของมันเองผึง ๆ อยากให้รู้ให้เห็นนี่นะ เหมือนกับว่านี่น่ะ ๆ ตาบอดอยู่หรือ อยากพูดอย่างนั้นนี่นา ทำไมไม่รู้ไม่เห็น มีอยู่ในหัวใจนี่นะ ธรรมมัชฌิมาปฏิปทา มันมัชฌิมาทั้งกิเลส มันมีอยู่ของมันอยู่นั้นน่ะ มันเหมาะสมกับที่จะอยู่ได้มันถึงอยู่ นั่น มัชฌิมาของธรรมก็เหมาะสมที่จะปราบมันได้ถึงปราบมันได้ เอาซิผลิตขึ้นมาซิ เอาจนกระทั่งถึงหลักมัชฌิมาในธรรมชาติซิ คือความบริสุทธิ์ มัชฌิมาธรรมชาตินั่นน่ะ ไม่มีคำว่าเอนว่าเอียง ไม่มีกาลสถานที่ อกาลิกจิต อกาลิกธรรม คือธรรมชาติอันนี้แล ให้มันเห็นอยู่ที่ใจนักปฏิบัติเรานี้ซิ

เอาละ การแสดงธรรมเหนื่อยมากแล้ว พอ

(พูดท้ายเทศน์)

เหมือนกับคลังกิเลส ๕๐ คลังนะท่านพระครูเวลาเทศน์ไป พอเทศน์เสร็จแล้วเจ้าของจะตายก็ยังไม่รู้ ยังเอาของมันหมุนติ้ว ๆ ถ้าจิตแย็บก็ต้องหยุด ที่จะเทศน์ไปก็ระงับ ๆ ไปเลย มันเข้ามาอยู่ในนี้ แสดงว่าจิตย้อนแล้วมาถึงจุดมันสัมผัส ธาตุมันบอก ไฟเหลืองขึ้นแล้วว่างั้น เหนื่อย วันนี้เหนื่อยมากกว่าทุกวัน เหนื่อยตอนนี้ตอนพอรู้สึกมันเหนื่อยแล้ว ไม่งั้นจะไปใหญ่กว่านี้ นี่พูดจะว่าแบบโลก ๆ ก็ว่า มันโมโหให้กิเลส มันเป็นคู่เดือดคู่แค้นกันจริง ๆ คู่กรรมคู่เวรถ้าให้พูดตามแบบโลก ๆ มันถึงใจอย่างนั้นนะ

เคยได้พูดเสมอกับหมู่เพื่อน สมมุติว่ามองเห็นกิเลส กำลังทำงานอะไรก็ตาม แม้กินข้าวก็ตามจะโดดผึงทีเดียวใส่กันเปรี้ยงเลย กิเลสตายถึงจะกลับมากินข้าวใหม่ มันเคียดมันแค้น โอ้โห มันกล่อมเราทำลายเราไม่รู้ไม่เห็นเลย ฟาดมันลงเสียจนแหลกไม่มีอะไรเหลือแล้วอะไรเหมือนจิตดวงนี้ มีอะไรไหมในโลกทั้งสามแดนโลกธาตุมีอะไรเหมือนไหม ไม่มีอะไรเหมือนเลย นั่นน่ะ เหล่านั้นมันเรื่องของกิเลสทั้งมวลนี่ มีเท่าไรมันก็เหมือนกัน ๆ เหมือนกันหมด อันนี้ไม่ได้เหมือนอะไร นั่นฟังซิ แยกออกมาซิมันต่างกันยังไง โลกุตรธรรมก็ธรรมเหยียบหัวกิเลสนั่นแหละ แปลออกสนุก ๆ เราแปลกันเอง โลกุตรธรรม แปลว่าธรรมเหนือโลก อุตร แปลว่าสูง โลก+อุตร ธรรมที่สูงกว่าโลกหรือธรรมเหนือโลก แปลออกมา เราแปลในภาคปฏิบัติก็ธรรมที่เหยียบหัวกิเลส ก็ว่างั้นซิ กิเลสต่ำกว่าเราเราก็เหยียบหัวมันได้ ถ้าเราต่ำกว่ามันมันเหยียบหัวเรา อย่าลืมคิดข้อนี้นะ เดี๋ยวนี้มีแต่กิเลสเหยียบหัวเรา โลกุตรกิเลส กิเลสเหยียบหัวสัตว์โลก

ถ้าไม่เทศน์ก็เป็นห่วงหมู่เพื่อน แน่ะ มานี่ไม่ได้มาด้วยความสมบูรณ์อะไรของสุขภาพนะ มาด้วยความตะเกียกตะกาย ความห่วงหมู่เพื่อน มันหากเป็นอยู่ในหลักธรรมชาติของใจนั่นแหละ เพราะฉะนั้นเวลาทำอะไรมันไม่ได้อย่างที่เราสอนนี่ ยิ่งมันกีดมันขวางมันปีนเกลียวกันแล้ว ถ้าหากภาษาโลกแล้วมันโมโหว่างั้นเลย มันไม่สมเจตนาที่เทศน์สอนหมู่เพื่อนอย่างเต็มหัวใจ ทุ่มลงทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรเหลือเลย แล้วทำไมจึงมาแสดงอย่างนี้ให้เห็นนี่น่ะ

แขกก็มาเรื่อย ๆ วันนี้ก็มีไม่มาก แต่ก็มาไม่ค่อยขาด เราก็ต้องรับแขกอยู่เรื่อย ๆ เจ็บเอวจนจะตายจะทำไง ก็ฝืนกันไปอย่างนั้น รู้อยู่อย่างนั้น ถ้าลำพังตามเรื่องของเจ้าของจริง ๆ แล้ว สมมุติว่าถ้าให้เลือกเอาตามชอบใจนี้ไปนานแล้วนะ ขี้เกียจอยู่ ขี้เกียจยุ่งกับเรื่องธาตุเรื่องขันธ์เรื่องอะไรทั้งนั้น มันเรื่องสมมุติทั้งหมด ที่เคยเป็นมาแล้วทั้งนั้นเป็นของแปลกที่ไหน วันไหน ๆ ตื่นตามาเช้ามีแต่เรื่องปฏิบัติต่อธาตุต่อขันธ์ ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา เรารับผิดชอบอยู่ตลอด แม้จิตจะไม่ ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นอันเป็นเรื่องของกิเลสก็ตาม ความรับผิดชอบมันก็มีอยู่ในนั้น สลัดพลั๊วะออกไปเสียไปไหนไปเถอะ ลงตมลงโคลนนี้มันเคยลงแล้ว ความรับผิดชอบจะว่าหมดอาลัยกับมันนี่ ว่าหมดความรับผิดชอบเท่านั้น หายยุ่งว่างั้นเสีย มันพาให้ยุ่งเหลือเกิน

สองวันมานี้ไม่ทราบมันวิงมันเวียนอะไร เดินไปไหนก็จะไม่ได้ ล้มลุกคลุกคลาน ลุกขึ้นยืนนั่งลงมันจะล้มเดี๋ยวนั้น หน้ามืดปั๊บทันที ต้องรีบนั่งเลย ไม่รีบมันจะล้มก่อน ถ้าล้มแล้วมันหนักมาก เรารีบนั่งเสียมันยังไม่หนัก กลัวว่าเราจะรีบทำไม่ทันมันน่ะซิ ความรู้มันรู้จิตน่ะ พอแย็บมันรู้ทันทีเลย แต่ทีนี้เรื่องของจิตเป็นเรื่องของจิต เรื่องของธาตุที่จะต้องปฏิบัติต่อกันนี่ซิ ถ้าไม่เร็วทันมันมันก็เอาจริง ๆ เช่น รีบนั่งไม่ทันนี้ล้ม มันยิ่งหนักนั่น

ที่ไม่บิณฑบาตนี่มันเดินไปไม่ไหว โซซัดโซเซคอยแต่จะล้ม ถ้าไม่แน่ใจไปมันก็เอาจริง ๆ เลยไม่ไป ไปก็เมื่อขามันก้าวไม่ออกแล้วท้องจะก้าวไปทำไมล่ะ ไม่กิน นั่น ขาไม่ก้าวก็อย่าให้ท้องมันก้าวซิ อย่าให้ลิ้นอย่าให้ปากมันก้าวซิ ไม่ให้มันกินเสียก็ดี นิสัยอย่างนี้มันเคยดัดสันดานเจ้าของมา ยังมีอยู่นะ ทุกวันนี้ก็ยังมี จะเป็นนิสัยอะไรก็แล้วแต่ แต่ก่อนมันเป็นอย่างนั้นนี่ไม่ได้คุย เราทำจริง ๆ มันบิณฑบาตไม่ได้ไม่ฉัน นี่ผมเคยปฏิบัติอย่างนั้นมา จนระลึกไม่ได้เลยว่าเราไปบิณฑบาตไม่ได้แต่เราฉันตรงไหนนี่ โน่นน่ะ หากไปไม่ได้ไม่เอาไม่ฉัน ถ้าไม่ได้มันจะไปของมันได้เองฉันได้เองนะ มันฝึกเจ้าของ

คือในระยะนั้นก็เกี่ยวกับเรื่องความเด็ดเดี่ยวของจิต ไม่ให้จิตอ่อนแอได้ พลิกอยู่ตลอด เป็นไข้มันไม่มียาแต่ก่อน ยิ่งไข้มาลาเรียด้วยแล้ว โอ้โห เวลาหนาวผ้าห่มเท่าไรก็ไม่มีอุ่น เอามาห่มเท่าไรก็หนักเฉย ๆ ไม่เห็นอุ่นเลยนี่ เอ้า มันก็สั่นจนกระทั่งจะพากุฏิโค่นล้มลงไปก็ให้เห็นนี่ว่ะ ปล่อยเลย พอจากนั้นมันก็เปลี่ยนจากหนาวมาเป็นร้อน โอ้โฮ เวลามันร้อนเป็นไฟไปหมดทั้งตัว ผ้าที่ห่มไว้ยังไงห่มไว้อย่างนั้นเลยไม่ยอมเอาออก เปียกหมด ไข้มาลาเรียนี่หนักมากนะ เวลาหายไปแล้วผมบนศีรษะนี้ร่วงเกือบหมดเลยนะ ปากนี้เปื่อยหมด คือมันร้อนในมาก ผมร่วงไปหมดเลย ริมฝีปากนี่เปื่อยหมด อยู่หนองผือก็เป็น อยู่ห้วยทรายก็เป็น เป็นมาก ๆ ก็ไปอยู่ห้วยทรายแหละ

พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านรู้นิสัยของเรา ใครเอายาอะไรมาให้เราไม่กิน เวลาเป็นโรคมันหาโรคมาจากไหน มันเกิดในกายนี่ เวลามันหายจะไปหาโอสถมาจากไหนนี่ เป็ดไก่สัตว์เต็มแผ่นดินเขาไม่เห็นมีโรงพยาบาล มีนางพยาบาลมีหมอรักษา เขายังไม่เห็นฉิบหายพันธุ์ เราทำไมเป็นนักปฏิบัติจะไปกลัวตายกลัวฉิบหายอะไรนี่วะ นั่นเป็นอย่างนั้นนะ ไม่หายมันก็ตายเท่านั้น มีเท่านั้น จิตมันก็เด็ดอยู่ในจิตนั่น เหล่านี้มันจะอ่อนขนาดไหนจิตมันไม่อ่อนด้วยนี่ ถ้าจิตไปอ่อนให้มันแล้วไปใหญ่นะ เหยียบเอาแหลกไปเลยแหละ นี่ปฏิบัติตัวมาอย่างนั้นนี่นะไม่ใช่มาพูดเฉย ๆ เคยปฏิบัติมาแล้ว

พ่อแม่ครูอาจารย์ท่านรู้นิสัยท่านมาเอง ยาเม็ดหนึ่งก็ท่านมาเสกขึ้นนี่กล่อมใจเรา เราก็เคารพท่าน ใครเอามาให้ฉันเราไม่ฉัน ท่านมาเอง เอ้า ๆ นี่ยา ถ้าฉันยานี่หายเลย นี่ ๆ ยื่นเข้ามาเลยทันที เอ้า ๆ เอาเดี๋ยวนี้มันหายเดี๋ยวนี้นะ กินแล้วมันก็ไม่หาย ท่านก็ว่าไปอย่างนั้น ถ้าท่านเอาอะไรมาให้ก็ได้ฉันทุกทีนั่นแหละ เพราะความเคารพท่าน มันก็ไม่ถึงกับเสียกำลังใจของเรานี่

ตัวอวิชชานี่สำคัญมากนะ แหม มันปิดไว้ให้โลกทั้งหลายว่าตายแล้วสูญ ๆ พิลึกจริง ๆ นะ เอามันมาฆ่าเสียแหลกแล้วแล่เอาเนื้อมันออกมาจ่ายตลาด นี่เนื้ออวิชชาเอาไปกินเสียซิเป็นยังไง มันถึงจะพอดี มันแล่แต่เนื้อสัตว์ทั้งหลายมาจ่ายตลาดเต็มสามโลกธาตุนี่ เราไม่ได้แล่เอาเนื้อของอวิชชามาจ่ายให้โลกได้กินดู มีแต่มันกินโลก โลกได้กินเนื้ออวิชชาดูหน่อยซิวะ ผมพูดจริง ๆ นะมันอาจหาญจริง ๆ นี่ ก็มันประจักษ์อยู่นี่ ถึงได้ยอมพระพุทธเจ้า ยอมจนขนาดไม่มีอะไรเหลือในชีวิตนะ เมื่อไรถึงไหนถึงกัน เอาเดี๋ยวนี้หรือ ตายเดี๋ยวนี้ได้เลย โน่นน่ะขนาดนั้นนะ ไม่ได้มีคุณค่าอะไรเลยชีวิตจิตใจยิ่งกว่าธรรม ถ้าธรรม โอ้โห ไม่ได้ ใครมาแตะไม่ได้ ถ้ามีเอาไปเถอะว่างั้นเลย จึงได้เห็นความประเสริฐของพระพุทธเจ้าที่มาเปิดความชั่วของอวิชชาให้โลกได้เห็น ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าแล้วเท่านั้นแหละ จมอยู่ด้วยกันหมดไม่มีเวลาจะออก ไม่มีทางจะออกได้เลย นี่เราได้ยินได้ฟังขนาดนี้แล้วมีนะทางออก ถ้าไม่นอนตายอยู่ไม่อยากออกเท่านั้น ความขี้เกียจมันมัดคอติดกับหมอนไว้ เราอยากพูดอย่างนี้อีก

เอาละเลิกกัน

(ถอดเสียงธรรมโดย www.luangta.com)