หลวงปู่แบน ธนากโร
อยากเห็นพวกเทพพวกกายทิพย์กันมั้ยหละ มีนะ พวกนักปฏิบัติชอบ อยากเห็นพวกกายทิพย์ อยากเห็นพวกเทพ อยากเห็นพวกเทวดา อยากเกี่ยวข้องกับเทวดา อยากสอนเทวดา ไม่ยากดอก เห็นกายของเราที่มันหยาบๆให้มันชัดซะก่อน เรื่องกายทิพย์มันเป็นเรื่องทีหลัง กายของเราหยาบๆ ตาบอดคลำก็ยังคลำได้ ใจของเราก็ยังไม่เห็น ยังจะอวดเก่ง อยากไปเห็นกายทิพย์ อยากไปเห็นเรื่องเทวดา มันเป็นเรื่องที่น่าขบขัน
ผมของเรามีกี่เส้น มันหยาบอย่างกะตาบอดเอามือคลำก็ได้ เราก็ยังไม่รู้ว่าผมมีกี่เส้น ขนมันก็เป็นตัวเป็นตน จนกระทั่งเรียกกันว่าขน เอาใจดู ขนก็ไม่เห็นด้วยซ้ำ เล็บก็เหมือนกัน ฟันก็เหมือนกัน หนังก็เหมือนกัน เห็นอย่างที่ชาวโลกเค้าเห็น นก หนู ปู ปลิง มันก็เห็น เห็นผม เห็นขน เห็นเล็บ เห็นฟัน เห็นหนัง เห็นแล้วเกิดความยินดี เกิดความยินร้าย หมูหมามันก็เห็น เห็นอย่างนี้ไม่เรียกว่าเห็น เห็นตามสมมุติ เห็นตามภาษาของโลก ไม่เห็นอย่างภาษาของธรรมะ
เห็นอย่างภาษาของธรรมะ เห็นแล้วจะไม่เกิดความยินดีในสิ่งที่เห็นนั้น จะไม่เกิดความยินร้ายในสิ่งที่เห็นนั้น ผมจะแต่งสีสันวรรณะทรวดทรงยังไงก็ช่าง ก็เอาของสกปรกมาแต่ง น้ำอบน้ำหอมน้ำย้อมไปทา ก็ไปย้อมไปทาของสกปรกนั้น น้ำอบมันจะหอมซักขนาดไหน ประเดี๋ยวประด๋าวกลิ่นมันก็เปลี่ยนแปลงไป ผมมันก็ยังเป็นผมเหมือนเดิม ย้อมมันเป็นสีดำ ไปย้อมมันเป็นสีอะไรก็ช่าง มันก็ย้อมของปฏิกูล เอาของปฏิกูลมาย้อม มันไม่ได้หอม และมันไม่ได้เป็นสิ่งที่ย้อมนั่น
ดูกายของเราให้มันชัด เห็นชัดตามความเป็นจริงในกายทุกส่วน ในกายทุกส่วนไม่จำเป็นจะต้องเห็นชัดไปทุกส่วน เห็นส่วนใดส่วนหนึ่งให้เห็นชัดลงไป แล้วมันอาจชัดทุกส่วนเพราะส่วนไหนก็เป็นกายเหมือนกัน ส่วนไหนก็เป็นของเกิดมา แก่มา ตายเหมือนกัน ส่วนไหนก็เป็นของเกิดของตาย จึงว่าเห็นชัดลงไปแล้วส่วนใดส่วนหนึ่ง ชัดหมดในกายของเรานี้ ชัดหมดกายทั่วโลกธาตุ เพราะกายที่ไหน กายที่ไหนมันก็เหมือนกับกายอันนี้คือเกิดมาตาย
การที่เกิดมันก็อาศัยดิน อาศัยน้ำ อาศัยลม อาศัยไฟ อาศัยโลก อาศัยของที่มีอยู่ในโลก ท่านจึงว่าสังขาร การรวมตัว รวมดิน รวมน้ำ รวมลม รวมไฟ รวมกันเข้า รูปร่างเป็นอย่างนั้นๆ รูปร่างเป็นอย่างไรๆ นั่นน่ะกรรมมันแต่ง กรรมมันปั้น กรรมปั้นกรรมแต่ง แต่งรูปร่างมาเป็นคน ก็โลกเค้าก็สมมุติว่าเป็นคน แต่งรูปร่างมีขนมากๆ มีขาสี่ขา มีหางเค้าก็เรียกว่าเป็นหมูเป็นหมาไป เป็นพวกสมมุติ แต่ความจริงก็คือสังขารกองดิน กองน้ำ กองลม กองไฟมากองรวมกัน จะสมมุติว่าเป็นอะไรก็ช่าง มันไม่เป็นอย่างสมมุติ ของเกิดมาตาย จะสมมุติว่าเป็นยังไงเค้าก็ตาย ของเกิดมาแก่มาเจ็บ จะสมมุติว่าเป็นอะไรเค้าก็แก่ เค้าก็เจ็บ จึงว่าร่างกายนี้ไม่เป็นอะไรซักอย่าง จะสมมุติหรือไม่สมมุติ จะสมมุติว่าเป็นอะไร หรือจะสมมุติว่าไม่เป็นอะไร เค้าก็เป็นของเกิดมาตาย
สังขารทั้งหลายมันไม่เที่ยง สังขารในเราไม่เที่ยง สังขารทั่วโลกธาตุก็เหมือนกัน เพราะมันเหมือนกัน อาศัยกองดิน กองน้ำ กองลม กองไฟกันขึ้น เหมือนกัน จะมีใจครองหรือไม่มีใจครอง เหมือนกันหมด สังขารทั้งหลายมีใจครอง ไม่มีใจครอง สังขารทั้งหลายรูปร่างหน้าตาอย่างไร จะเป็นสังขารจะเป็นสังขารส่วนหยาบ หมายถึงกองดิน กองน้ำ กองลม กองไฟ จะเป็นสังขารส่วนละเอียดคือความเกิดขึ้นของความคิด เกิดขึ้นของความคิดจะคิดเรื่องอะไรๆก็ช่าง อันนั้นก็เรียกว่าสังขาร สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดจะเป็นรูปธรรม จะเป็นนามธรรม เรียกว่าสังขารทั้งนั้น
สังขารในเรา สังขารทั่วโลกธาตุ สังขารทั้งหลายเกิดแล้วดับไป เป็นอนัตตา สังขารทั้งหลายเกิดขึ้นมาแล้วดับไป มันไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายแล้วดับไป มันเป็นทุกข์ คำว่าไม่เที่ยง คำว่าเป็นทุกข์ คำว่าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ดับไป อันนั้นเป็นคำพูด พูดมาจากไหน พูดมาจากความจริง เกิดขึ้น เกิดขึ้นมาจริงๆ ไม่เที่ยงก็ไม่เที่ยงจริงๆ แก่ก็แก่จริงๆ เจ็บก็เจ็บจริงๆ ตายก็ตายจริงๆ แต่ความจริงความแก่ ความจริงความเจ็บ ความจริงความตายมันเป็นธรรมชาติ
ต้นไม้มันเกิดนานมันก็แก่ มันเป็นธรรมชาติอย่างนั้น ต้นไม้มันเกิดมามันตาย มันก็เป็นธรรมชาติ เราสมมุติธรรมชาติของสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ว่าเป็นต้นไม้ว่าเป็นคนเป็นสัตว์ สมมุติธรรมชาติของต้นไม้ที่เกิดขึ้นแล้วเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ เรียกว่าการแก่ สมมุติความไม่เป็นปกติว่าความเจ็บความไข้ ความอาพาธ สมมุติความสลายตัว ความตายว่าเป็นความตาย ความจริง ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันเป็นธรรมชาติของสิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้นเอง แก่ก็เป็นคำสมมุติกัน เจ็บก็เป็นคำสมมุติกัน ตายก็เป็นคำสมมุติกัน แม้ความเกิดก็เป็นคำสมมุติกัน สิ่งที่เกิดจริงๆเค้าไม่ได้รู้สึก ไม่ได้รู้เห็นอะไร
ต้นไม้มันเกิด มันก็ไม่รู้ว่ามันเกิด ฟันของเราเกิด ฟันรู้ว่าฟันเกิดมั้ย เกิดมาทีแรกไม่มีฟันแล้วฟันเกิดทีหลัง ฟันรู้ว่าฟันเกิดมั้ย ขนผมเราจะถอนเราจะโกน แล้วสิ่งที่มันยาวมาน่ะ มันรู้ว่ามันยาวมั้ย เล็บก็เหมือนกัน เดี๋ยวเราตัดเดี๋ยวเราขูดๆ ที่มันยาวมันหนาออกมา มันรู้ว่ามันยาวมั้ย หนังก็เหมือนกัน มันยืด มันยืด มันรู้ว่ามันโตขึ้นมั้ย มันเหี่ยว มันเหี่ยว มันรู้ว่ามันเหี่ยวมั้ย ถามมันดู! ถามมันดู ถามมันมันจะบอกว่า ถามแล้วใครจะเป็นคนตอบ หนังมันตอบไม่ได้ เรานี่แหละเป็นผู้ตอบ เราคือใคร คือใจของเราจะตอบ ใจของเราเป็นผู้ถาม ใจของเราเป็นผู้ตอบ ใจของเราศึกษาชัดแล้วจึงตอบมาตามที่เห็นชัดนั้น
ในเรื่องในลักษณะนี้เรียกว่าเป็นการศึกษา ภาวนาคือทำให้เกิด การที่จะเกิดความรู้ความแจ้งความชัดขึ้นมา จะต้องอาศัยการศึกษาทั้งนั้น ภาวนานี้ไม่ใช่ทำเหมือนกับหัวตอ ในเมื่อทำบนหัวตอ หัวตอมันจะรู้เรื่องอะไร มันไม่รู้จนกระทั่งมันเป็นหัวตอ ภาวนาอยากจะให้ใจรวม ภาวนาอยากจะให้ใจสงบ ถ้าหากว่ายังอยากให้รวม อยากให้สงบอยู่ ความอยากยังมีอยู่ในใจตราบใด ความอยากอันนี้หละมันจะทำให้ความสงบไม่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้น ละความอยากทุกสิ่งทุกอย่างที่มันมีอยู่ในใจ ละได้แล้วความสงบมันเกิดขึ้นในขณะที่ละความอยากนั้นได้
จึงว่าอยากเห็นเทวดาเห็นยักษ์ เทวดาเป็นกายทิพย์ เป็นของกายละเอียด ให้ดูกายหยาบๆนี่ให้เห็นชัดตามความเป็นจริงเสียก่อน เห็นกายหยาบชัดตามความเป็นจริงแล้ว เรื่องของกายละเอียดไม่ต้องปรารถนา ถ้าหากว่าตาของเรามีที่จะเห็นได้ เมื่อนั้นเห็นเอง แม้แต่อยากได้มรรคผล อยากถึงพระนิพพานก็ให้ตัดความอยากนั้นเสีย ถ้าหากว่ามีความอยากอยู่ มันอดที่จะไปโมเมไม่ได้ โมเมเป็นอย่างนั้น โมเมเป็นอย่างนี้ โมเมเป็นอะไรต่อมิอะไร ในที่สุดก็คือไม่ได้เรื่องอะไร
จึงว่าความอยากมันเหมือนไฟ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เรื่องของความอยาก เรื่องของตัณหาทั้งหมดเหมือนกับไฟ เผาหมด ของแห้งก็เผา ของสดก็เผา น้ำ ไฟมันก็ยังเผา มันเผายังไง มันเผาจนกระทั่งเดือน เผาจนกระทั่งแห้ง จึงว่าไฟมันเผาไม่เลือก ตัณหามันก็เผาไม่เลือกเหมือนกัน เผาจนกระทั่งศีล ตัณหามันก็เผาจนกระทั่งศีลหมด เผาสมาธิ ตัณหามันก็เผาจนกระทั่งสมาธิไม่มีตกค้าง เผาปัญญา เผาจนกระทั่งปัญญาเคยสว่าง เคยใส เคยแจ้ง มองเข้าไปมันมืดไปหมด ความอยากมันเผาธรรมะ เผาจิต เผาใจ เผามรรคผลนิพพาน ความอยากอันนั้นเผา
ละความอยากเสียให้หมด ใจเป็นศีล ละความอยากเสีย ใจเป็นสมาธิ ละความอยากเสีย ใจเป็นปัญญา ละความอยากเสีย ใจเป็นมรรคผล จึงว่าความอยากอันนี้ เป็นตัวอันตราย อยากได้สำเร็จมรรคผล อยากได้เห็นเทพ อยากได้เห็นเทวดา อยากอะไรก็คือตัวอยากนั่นหละคือตัวอันตราย มีแต่จะกดเจ้าของให้ต่ำลงไป ให้มืดมนลงไปอย่างเดียว ตราบใดที่ยังละความอยากในจิตในใจไม่ได้ ความสว่างกระจ่างแจ้ง ไม่ต้องไปปรารถนา เพราะปรารถนามันก็ไม่เห็น
ผมก็ไม่สนใจไปดู ขนก็ไม่สนใจจะดู เล็บฟันหนังก็ไม่สนใจจะดู กองเกิด กองแก่ กองตาย กองอริยสัจธรรม กองอริยสัจธรรมก็ไม่สนใจจะดู นี่อยากให้ใจเคลิ้ม อยากให้ใจเคลิ้มๆจะได้เห็นเทพเห็นเทวดา กิเลสมันแลาดขนาดนี้ มันกล่อมคนโง่จนกระทั่งอยู่ในกำมือ มันกล่อมคนโง่จนกระทั่งอยู่ในกำมือของมันได้ กิเลสมันไม่โง่นะ บางทีมันกล่อมจนพระกรรมฐานนี่ กล่อมจนกระทั่งอยู่ในกำมือ อย่าไปปรารถนาอะไร คุณงามความดี คุณธรรม มรรคผลนิพพาน ไม่ใช่อยู่ที่อื่น ไม่ใช่อยู่ที่วัด ไม่ใช่อยู่ที่วัดใดๆ ไม่ใช่อยู่ในประเทศใดๆ ไม่ใช่อยู่ในประเทศไทย ไม่ใช่อยู่ในภาคอีสาน ไม่ใช่อยู่ในภาคเหนือ และไม่ใช่อยู่ในประเทศอินเดีย ศรีลังกาที่ไหนดอก อยู่ในกองเกิด กองแก่ กองตาย กองนี้ อยู่ในกองอริยสัจธรรมกองนี้
ใครต้องการถึงมรรคถึงผล ให้เอาใจสัมผัสสัมพันธ์อยู่กับกองอริยสัจธรรมกองนี้ กองมรรค กองผล กองพระนิพพานมีโอกาสที่จะเจอได้ นี่เพราะอยู่ในกองอริยสัจธรรมกองนี้เอง จึงว่ากิเลสนี่มันฉลาดจริงๆ มันจูงจมูก มันจูงจมูก จูงเหมือนจูงควาย มันโง่มันก็โง่เหมือนควายอยู่นั่นน่ะ จูงไปไหนก็ไป จูงไปไหนก็ไป จูงไปไหนก็ไป! นี่ไปแสวงหาอันนั้นดี อันนั้นดี อันนั้นดี อันนั้นดี๊ กิเลสมันโกหกหลองลวงขนาดนั้น มันก็โกหกหลอกลวงได้เฉพาะคนโง่! นี่! ควายถ้าหากยังไม่เอาเชือกมาร้อยจมูก จะจูงไม่ได้หนา ควายจะเอาเชือกร้อยจมูกก็จูงไป พระกรรมฐานถูกกิเลสจูงมันก็เหมือนกับควายที่ได้เอาเชือกร้อยจมูกเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องอะไร๊ กรรมฐานทั้งนั้นหละ
กรรมฐานนั้นไม่ใช่จะ…โยมก็กรรมฐาน โยมก็มีผม โยมก็มีขน โยมก็มีเล็บ โยมก็มีฟัน โยมก็มีหนัง สรุปแล้วพระกรรมฐานทั้งนั้น พระกรรมฐานไม่ใช่ห่มผ้าดำๆ ไปบิณฑบาตตามตลาด พระบิณฑบาตห่มผ้าดำๆแบกแบกสะพายบาตรแบกกลดไปตามสถานีรถยนต์ สถานีรถไฟ สถานีดอนเมือง สถานีท่าอากาศยานโน่น พระกรรมฐานไม่ใช่อย่างนั้นนะ พระกรรมฐานเหมือนกันหมด ใครไม่มีผมมีมั้ย ใครไม่มีฟันมีมั้ย ใครไม่มีหนังมีมั้ย นี่! กรรมฐานคืออะไร เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ใครไม่มีเกสา ใครไม่มีโลมา ใครไม่มีนขา ใครไม่มีทันตา ใครไม่มีตโจ ตโจหนัง หนังฝังเนื้อ ใครไม่มีเนื้อ อัฐิ กระดูก ใครไม่มีกระดูก นี่หละ จึงว่าพระกรรมฐานทั้งนั้นหละ อย่าให้กิเลสมันจูง มันจูงเหมือนจูงควายนั่นน่ะ เห็นมั้ยหละ ไอ้ควายไม่มีเชือกร้อยจมูกมันจูงไม่ได้หนา ที่จูงได้ก็เป็นควายที่เอาเชือกร้อยก็จูงไป จูงไป จูงไปไปภาคเหนือ จูงไปภาคกลาง จูงไปจนกระทั่งนอก จูงไปจนกระทั่งประเทศศรีลังกา อินเดียโน่น
คิดแล้วก็เป็นเรื่องน่าคิด คิดแล้วก็เป็นเรื่องน่าสลดสังเวช คิดตามประสาคนไม่มีบุญ ไม่มีวาสนา บุญวาสนาไปต่างประเทศกับเขาก็ไม่มี บุญวาสนาที่จะไปกราบสถานที่ประสูติ สถานที่ตรัสรู้ สถานที่ปรินิพพานไม่มี มันก็คิดตามภาษาเรา สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า สถานที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเกิดก็คือพระพุทธเจ้าตรัสรู้ กิเลสดับเมื่อไร พระพุทธเจ้าเกิดมาแล้ว เราๆนี่ก็เหมือนกัน อริยสัจธรรมนี่ให้มันแจ้งประจักษ์ลงไป ไม่มีอะไรที่จะดับกิเลสได้ มีแต่อริยสัจธรรมเท่านั้น พุทโธเบิกบานขึ้นเต็มที่ในเมื่อกิเลสดับไป แล้วจะไปหาที่ไหนสถานที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ นี่พระพุทธเจ้าเกิด เกิดที่ไหน ก็เกิดที่ใจในขณะที่กิเลสมันดับ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้ที่ไหน ตรัสรู้เมื่อกิเลสมันดับไปนั้น พระพุทธเจ้านิพพาน ก็หมายกิเลสดับไปขณะใด ก็ขณะนั้นหละเรียกว่านิพพานแล้ว แล้วสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ นิพพาน อยู่ที่ไหน อยู่ในเมืองอินเดียนั้นเหรอ
นี่แหละกิเลส ถ้าหากเมืองอินเดียมันเป็นเมืองมรรคเมืองผล แขกมันก็ไม่เป็นแขกใช่มั้ยหละ แขกมันก็เป็นพระอรหันต์กันหมด แขกมันก็เป็นเทวดากันหมด พูดตามภาษาเราบ้าๆบอๆ คิดตามภาษาของคนฟุ้งซ่าน ใครอยากได้ยินได้ฟังก็มา คนไหนไม่อยากได้ยินได้ฟัง อย่ามาใกล้ เราไม่ปรารถนา เราไม่ปรารถนา คนฟุ้งซ่านจะปรารถนาให้คนมาได้ยินได้ฟังได้ไง โอปนยิโกๆๆ สวดกันจนกระทั่งคอจะพัง มันแตกมันพังเสียแล้ว มันตายมันก็พังน่ะ มันใกล้จะตายด้วยกันทุกคน มันยังหายใจอยู่เท่านั้นเดี๋ยวนี้ ไม่หายใจมันพาพังไปหมดแล้ว
โอปนยิโกให้น้อมเข้ามา น้อมเข้ามา ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้นั้นเป็นความสัจจ์ความจริงทั้งนั้น มีแต่ส่งไป ส่งไป ส่งไป มันจะไปเห็นอะไร มีแต่กิเลสมันจูงไป น้อมเข้ามามันก็ไม่เข้า น้อมเข้ามามันก็ไม่เข้า มันจะเข้ายังไง๊ กิเลสมันดึงไป กิเลสมันค้ำเอาไว้ ข้างในมันก็ค้ำ ข้างนอกมันก็ลากไป แล้วมันจะเข้ามาได้ยังไง ข้างในมันก็ดันออกไป ข้างนอกก็จูงออกไป ดันออกไปไหน ดันออกไปหาอาหารมาให้มัน อะไรๆๆที่เค้าว่าดี มันก็อยากได้สัมผัส นั่นหละออกไปหาให้มัน ออกไปหาอาหาร
โอ้!…คิดแล้วก็เป็นน่าสลดสังเวช จึงว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ประเสริฐที่สุด และเป็นผู้ที่เป็นประโยชน์แก่โลกอย่างยิ่ง ในเมื่อผู้ใดเข้าถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมเป็นประโยชน์แก่โลกอย่างยิ่ง ในเมื่อท่านผู้ใดเข้าถึงพระธรรม พระสงฆ์เป็นใคร เป็นประโยชน์แก่โลกอย่างยิ่งในเมื่อท่านผู้ใดเข้าถึงพระสงฆ์ เข้าถึงพระพุทธเจ้า เข้าถึงพระธรรม เข้าถึงพระสงฆ์ นั่นเข้าถึงพระศาสนา นั่นเข้าถึงพระศาสนาแล้วกิเลสมันเข้าไปใกล้ไม่ได้ พุทธานุภาเวนะ ธัมมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ อานุภาพของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ กำจัดกิเลสตัณหาออกจากจิตจากใจได้หมด แล้วกิเลสตัณหาภายนอกมันจะเข้ามาได้ยังไง แม้แต่กิเลสตัณหาภายในมันก็ยังขับไล่ มันก็ยังกำจัดออก ข้าศึกที่อยู่ภายในก็ยังกำจัดออกให้หมดให้สิ้นได้ และข้าศึกภายในมันจะกล้าเข้ามาหรือ
เรียกว่าพุทธานุภาเวนะ อำนาจของพระพุทธเจ้า ธัมมานุภาเวนะ อานุภาพของพระธรรม สังฆานุภาเวนะ อานุภาพของพระสงฆ์ ไม่มีอะไรที่จะมาเสมอเหมือน อะไรที่จะมีอานุภาพเดชานุภาพลักษณะไหน เพียงไรก็ช่าง จะกำจัด จะขับไล่กิเลสข้าศึกที่มันฝังลึกในจิตในใจ ให้มันหนีไป ไม่งั้นมันไม่หนี มีแต่พระพุทธเจ้า มีแต่พระธรรม พระสงฆ์และมีแต่อริยสัจธรรมเท่านี้เป็นหลักการที่จะเดินเข้าไปถึงคำว่าพระพุทธเจ้า คำว่าธรรมะ คำว่าพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้านั้น ให้พากันฟังให้มันชัด หูมีใช่มั้ยหละเดี๋ยวเนี้ย
หูมันก็หูอะไร หูกระทะ ตาก็มี มันตาบอด หูก็มี มันหูหนวก เดี๋ยวนี้ตาบอดหูหนวกมีเยอะ พระกรรมฐานห่มผ้าดำๆ มันเป็นการน่าโมโหจริงๆนะ บวชเป็นพระกรรมฐานทั้งที โลกเค้ายกมือสาธุการ เป็นครูเป็นอาจารย์ ยังโง่กว่ากิเลสอันนี้มันใช้ได้ที่ไหน ตายซะยังดีกว่า อยู่ทำไม ตายให้มันแล้วไปเลย มันไม่อับอายขายหน้า มันไม่เป็นเยี่ยงอย่าง มันไม่เป็นเยี่ยงอย่าง มันไม่เป็นตัวอย่างที่เป็นในทางหายนะแก่พระศาสนา
เค้าพูดอย่างนี้ใครจะว่าทิฐิ ใครจะว่ามานะ ใครจะว่ากิเลส ก็ว่าไปเลย เราพอแล้วหละ พอในการที่จะให้คนมาใกล้ พอในการที่จะให้คนมาได้ยินได้ฟัง เดี๋ยวนี้กลัว กลัวคนเข้ามาเกี่ยวข้อง กลัวความเจริญ มีแต่คิดจะหนี มีแต่คิดจะหนี ใจมันเป็นอย่างนั้น จะว่าเป็นกิเลสก็ใช่ ท่านว่าวิภวตัณหาเหรอ ไม่อยากให้มันเป็น ใครจะว่ายังไงก็ว่าเถอะ อันนี้มันเป็นเรื่องของเรา ความจริง เอาความจริงมาพูดจะเสียหายอะไร๊ เราไม่ได้พูดอวด ไม่ได้พูดว่าอะไร โน่นเสียงตึงๆตังๆ ตึงๆตังๆ นั่น! ใจมันมืด ใจมันบอด มีแต่คลำหา มีแต่คลำหา มีแต่คลำหา
จมูกมันยังบอดอีกนะ ของเหม็นของหอมมันก็ไม่รู้ คลำก้องขี้บางทียังไม่รู้เลยนะเดี๋ยวนี้ คนจมูกบอดมันจะไปรู้อะไร ตาก็ยังบอดอีก หูก็ยังหนวกอีก คลำกองอุจจาระ มันก็ยังว่า โอ้ อันนี้เหมือนกับขนมอะไรนะ ขนมเปียกปูน สังขาร สังขารทั้งหลายสิ่งที่สัมผัสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย อันนั้นเป็นสังขารทั้งหมด เรียกว่าสังขารทั้งหลาย สังขารทั้งหลายเกิดขึ้นมาแล้วดับไป สังขารที่เป็นส่วนนาม ความไหวตัว การไหวตัวของจิต นั่นคือสังขารก่อตัว สังขารที่ก่อตัวขึ้นทั้งหมดอันนั้นก็เป็นของที่ไม่เที่ยง อันนั้นก็เป็นของที่เกิดขึ้นมาแล้วก็จะดับไป ให้มันเห็นชัดๆ เห็นชัดลงไป มันจะเกิดอย่างไร มันจะเกิดอย่างไร มันจะเกิดอย่างไร มันก็เรื่องสังขารการเกิดทั้งนั้น
ถ้าหากว่าไม่รู้มันนี่ ไม่เห็นมันนี่ ไม่รู้ตัวมัน ไม่เห็นตัวมัน สังขารตัวนั้นหละ มันเป็นตัวอันตราย มันนึกยังไง ใจของเรานี่ มันจะรับรู้หรือมันจะสัมผัส ในเมื่อมันรับรู้ มันสัมผัสใจของเรานี่หละมันจะเป็นไปตามที่มันคิด มันปรุงนั้น ธรรมทั้งหลายเกิดจากเหตุ คำว่าจิตตัวนี้คือจิตตสังขาร การกระเพื่อมของจิต การไหวตัวของจิตตัวนั้นคือตัวสังขาร ให้รู้ชัดเห็นชัด ถ้ารู้ชัดเห็นชัดขณะใดขณะหนึ่ง ความปรุงความแต่งนั้นจะดับทันที ความปรุงความแต่งมันดับ และมันสิ่งที่จะเกิดขึ้นให้ใจของเราได้สัมผัสเกิดความยินดีได้ มันจะเกิดขึ้นได้ยังไง
เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของมีอยู่ทั้งนั้น ใจของเราอยู่กับใจ เราจะไม่เห็นได้ยังไง ใจ ใจของเราอยู่กับใจ ใจเคลื่อนไหวไปยังไง เราจะไม่เห็นได้เหรอ เราก็ต้องเห็นใช่มั้ย นี่ใจมันไม่อยู่กับใจนี่ ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ต่างประเทศนู่น สหรัฐนู่น ไหนก็ไม่รู้ อินเดียนู่น ศรีลังกานู่น ค้ำหัวของเจ้าของ กรรมฐานมันไม่สน มรรคผลนิพพานอยู่ที่ไหน มันไม่ได้อยู่ในกองอริยสัจธรรมนี้เหรอ อะไรมันจะเป็นธรรมที่เรียกว่าขัดเกลากิเลส มันมีแต่อริยสัจธรรมเท่านั้น ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ ไม่เห็นว่าอะไร สถานที่ไหนจะเป็นสถานที่ไหนจะเป็นสถานที่ทำให้กิเลสมันสึกมันหรอ มีแต่กิเลสมันจะเพิ่มขึ้น ขอให้มันได้รับประทานอาหารที่โอชารสคือสิ่งที่มันต้องการ
สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านต้องการ พระพุทธเจ้าเทศนามีแต่หยั่งเข้าหาสัจธรรมของจริง หยั่งเข้าหาอริยสัจธรรม เพราะมีอยู่เท่านี้ แต่เป็นธรรมเครื่องทำลายข้าศึกคือกิเลสไป นอกจากอันนี้ไม่มี เพราะสัตว์โลกทั้งหมดที่มันหลงๆ มันก็หลงกองอริยสัจธรรมนี้ หลงอริยสัจธรรม ไม่ใช่หลงอันอื่น หลงกองเกิด หลงกองแก่ หลงกองตาย หลงกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหาเป็นตัวเป็นตน หลงว่าเป็นตัวเป็นตน หลงตัวสังขารที่เกิดขึ้นมา มีความต้องการ มีความปรารถนาว่าเป็นตัวเป็นตน มันหลงอะไร มันอริยสัจธรรมทั้งนั้น มีแต่อริยสัจธรรมเท่านั้นที่จะทำลายความหลงได้
ในเมื่อความจริงมันจริงอย่างนี้อ้ะ แล้วจะไปลูบคลำอะไรกัน ธรรมะของพระพุทธเจ้าแทนองค์พระพุทธเจ้า สอนให้แจ้งประจักษ์เช่นนี้ เราอย่าไปฟังแต่กิเลสเรา มันก็มีแต่จะมืดจะบอดเพิ่มขึ้นหนักขึ้นไปทุกวันเท่านั้น มีบุญอะไรขึ้นมานี่ คำว่าบุญในวัด บุญอะไรก็ช่าง ต้องมีหัวหมอ คือกิเลสตัวใหญ่ ตัวหมอใหญ่นี่ มองหาช่องทางที่จะได้ผลประโยชน์ พอเลิกจากการบุญน่ะได้เท่าไหร่ นั่น ได้เท่าไหร่ การกุศลกลายเป็นธุรกิจ กลายเป็นขายบุญ มันเป็นเรื่องที่น่าสลดสังเวช เครื่องขยายนี่ไม่รู้กี่เครื่อง สนั่นหวั่นไหวไปหมด อันนี้ก็ยังค่อยยังชั่วในเมื่อมีไว้เพื่ออรรถเพื่อธรรม ตรงนั้นก็จอหนังตั้งไว้ ตรงนั้นก็โรงลิเกโรงละคร ตรงนั้นก็ยังโรงมวย ตรงนั้นก็โรงอะไร โรงเทค เราก็เรียกกับเค้าไม่ค่อยจะเป็น เสียงสนั่นหวั่นไหวไปหมด ใครก็อยากแข่งขัน ดึงคนมา เอาเสียงดังๆนั่นดึง รวมสิ่งเหล่านี้รวมอยู่ในวัด นี่หรือการทำ (เทปขาดตอน)
…ให้พระศาสนาเจริญเหมือนกัน จึงมีความเห็นบางสิ่งบางอย่างที่เรียกว่าไม่ถูกกับพระพุทธเจ้าท่านวางไว้เป็นคำสอน เดี๋ยวนี้ลูกศิษย์ลูกหาพระเทวทัตนี่รู้สึกว่าอยากหนาในความรู้สึกของเรา บางทีประกวดนางงาม ประกวดเทพี ประกวดในวัดก็มี ประกวดนางงาม ประกวดเทพีก็รู้อยู่นี่ การนุ่งการห่มมันเป็นยังไง เอาไปประกวดในวัด เพื่อต้องการให้คนเข้าวัด คนเข้าไปเที่ยวในวัด แล้วยังมีการเก็บค่าดูอีก เอาเงินบำรุงวัด เอาเงินอย่างนี้มาบำรุงนะ ถึงจะได้เงินก็จริง เอาเงินอย่างนี้มาบำรุงวัด วัดนั้นก็ไม่เป็นมงคลหรอก เงินเหล่านี้บางทีเป็นอันตรายแก่ผู้ได้ซะ เทวดาสาปแช่ง จัดว่าเป็นมิจฉาชีพทีเดียว ไม่เป็นธรรมในการแสวงหา ต้องคิดต้องอ่านอยู่เสมอ
เรื่องเหล่านี้มันผ่านมาในความรู้สึก เพราะตาเรามี เพราะหูเรามี มองไปทางไหนเราก็มอง อะไรมาสัมผัสตาเราก็เห็น อะไรมาสัมผัสหูเราก็รู้ (เทปจบ)