Skip to content

หลักเกณฑ์การปฏิบัติสมาธิ ปัญญา

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด (๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๒๙)

| PDF | YouTube | AnyFlip |

หลักปฏิปทาเครื่องดำเนินอันเป็นศูนย์กลางและเหมาะสมอย่างยิ่ง คือธุดงควัตร ๑๓ ข้อ นี่เป็นเครื่องดำเนิน สำหรับพระผู้เห็นภัย เพื่อจะหลุดพ้นจากภัย ให้ถึงแดนเกษมคือพระนิพพาน ส่วนประกอบภายในจิต อารมณ์ของจิต เครื่องดำเนินของจิตได้แก่กรรมฐาน ๔๐ ห้อง ดังที่ท่านแสดงไว้ จะเป็นบทใดก็ตามในกรรมฐาน ๔๐ ห้องนั้น ที่เห็นว่าเหมาะสมกับจริตนิสัยของผู้ปฏิบัติเป็นรายๆไป ย่อมยึดเอาธรรมบทนั้นๆ ที่ตนชอบ เข้ามากำกับใจที่เรียกว่าบริกรรมภาวนา ดังอนุสติ ๑๐ นี้ มีพุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นต้น อยู่ในอนุสติ ๑๐ นี้ เราจะเอาบทใด หรืออานาปานสติ เหมาะสมกับธรรมเหล่านั้น เหมาะสมบทใด เหมาะสมกับจริตนิสัยของผู้บำเพ็ญรายใด พึงนำธรรบทนั้นเข้ามากำกับใจ ให้เป็นบริกรรมภาวนาหรือกำหนดรู้เช่นลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบริกรรมหรือบริกรรมก็ได้ตามแต่ความถนัดใจ ถ้าไม่บริกรรม ก็ให้รู้ลมเข้าลมออก ลมสัมผัสที่ตรงไหนมาก พึงดั้งสติลงที่จุดนั้น เช่นดั้งจมูกเป็นต้น เป็นที่ผ่านเข้าออกของลมอย่างเด่นชัด รู้ได้ชัด สัมผัสมากกว่าที่อื่นๆ ก็กำหนดที่ตรงนั้นไว้ ให้ความรู้คือใจนั้น อยู่กับความสัมผัสของลมผ่านเข้าผ่านออกโดยไม่ต้องตามลมเข้าไป และตามลมออกมา

ในขั้นเริ่มแรกจะเป็นการฝั้นเฝือมาก หรือเพิ่มภาระให้จิตมาก จึงต้องให้กำหนดรู้อยู่เพียงลมเข้าลมออกเท่านั้น ไม่ให้จิตส่งไปสู่สถานที่อื่นใดอารมณ์ใด นอกจากลมเข้าลมออกที่ตนกำหนดอยู่นั้นเท่านั้น เราจะบริกรรมธรรมบทใดก็ตาม ให้พึงทำความรู้สึกอยู่กับธรรมบทนั้นๆเท่านั้น ประหนึ่งว่าโลกนี้ไม่มีมีอันใดในเวลานั้น มีเฉพาะคำบริกรรมกับความรู้ที่สัมผัสสัมพันธ์กันอยู่นี้เท่านั้น ท่านเรียกว่าภาวนาที่ถูกต้องเหมาะสม ในธรรมที่กล่าวมาเหล่าที่ ๔๐ ห้องนี้ (กรรมฐาน ๔๐) เป็นธรรมที่เหมาะสมกับผู้ประพฤติปฏิบัติ จะยึดเอาบทใดก็ตาม เมื่อเห็นถูกกับจริตนิสัยจึงเรียกว่าเป็นธรรมกลางๆ เป็นปฏิปทาที่ราบรื่นดีงาม

บรรดาพระสาวกอรหันต์ทั้งหลาย ท่านผ่านไปด้วยธรรมเหล่านี้แหละ ในขั้นเริ่มแรกเป็นเช่นนั้น นี่เราหมายถึงการเริ่มแรกแห่งการภาวนา ต้องมีธรรมบทใดบทหนึ่งเป็นเครื่องเกาะเครื่องยึด เครื่องกำกับของใจ ไม่เช่นนั้นใจจะหาที่เกาะที่ยึดไม่ได้ ไขว้เขวไปหมด และไม่ได้ผลอันใด ท่านจึงสอนกรรมฐานไว้ ในตัวของเรานี้ก็มีกรรมฐาน ๕ ที่อุปัชฌาย์มอบให้ตั้งแต่วันอุปสมบท คือ เกสา(ผม) โลมา(ขน) นขา(เล็บ) ทันตา(ฟัน) ตโจ(หนัง) เราจะนำคำเหล่านี้ คำใดคำหนึ่ง บทใดบทหนึ่งบริกรรม เช่นเดียวกับธรรมทั้งหลายที่กล่าวมาสักครู่นี้ก็ได้ ไม่มีอะไรขัดข้อง เพราะเป็นธรรม เป็นกรรมฐานด้วยกัน นี่เป็นธรรมฝึกหัดเบื้องต้น ต้องมีบทธรรมเป็นเครื่องยึด ไม่ใช่จะกำหนดรู้เฉยๆ เฉยๆ ดังที่จิตท่านมีหลักมีเกณฑ์แล้ว เช่นจิตท่านผู้มีสมาธิเป็นพื้นฐานอยู่แล้วนั้น ท่านจะบริกรรมหรือไม่บริกรรม หากเป็นการเห็นควรของท่านเองสำหรับผู้มีหลักใจแล้ว ส่วนผู้ที่ยังไม่มีหลักใจต้องยึดหลักธรรมนี้ไว้กับใจเป็นเครื่องยึด เป็นคำบริกรรมจึงเหมาะสม ไม่เช่นนั้นไม่ได้เรื่อง

ผู้ปฏิบัติทั้งหลายพึงกำหนดธรรมเหล่านี้ ให้เลือกเอาธรรมเหล่านี้ที่เห็นว่าเหมาะกับจริตนิสัยของตน มาปฏิบัติต่อตนเองในขั้นเริ่มแรก จนจิตเกิดเป็นสมาธิขึ้นมา คือความแน่นหนามั่นคงภายในใจ หากรู้เองเมื่อจิตสงบลงไปสงบลงไป หลายครั้งหลายหน จิตจะสร้างฐานแห่งความมั่นคงขึ้นภายในตัวเอง ความสงบเป็นครั้งเป็นคราว และถอนขึ้นมานี้ท่านเรียกว่าจิตรวมหรือจิตสงบ เมื่อจิตมีการถอนมีการสงบเข้าไปและถอนออกมา สงบตัวเข้าไปแล้วขยายตัวออกมาหลายครั้งอย่างนี้ ท่านเรียกว่าจิตสงบ เมื่อจิตสงบหลายครั้งหลายหน ในแต่ละครั้งละหนของจิตที่สงบนั้น ย่อมสร้างฐานแห่งความแน่นหนามั่นคงขึ้นภายในตัวเองเองโดยลำดับลำดา เมื่อนานเข้าก็กลายเป็นสมาธิขึ้นมา คือเป็นจิตที่มั่นคง เป็นจิตที่แน่นหนา กำหนดดูเมื่อไหร่ก็รู้ได้ชัดว่า นี้คือจุดแห่งความรู้ นี้คือจุดแห่งจิต อันเป็นความสงบประจำตัว นี่เรียกว่าจิตเป็นสมาธิ ไม่ใช่รวมลงไปแล้วเป็นสมาธิ เป็นสมาธิ แล้วเราจะเรียกว่าสมาธิในขณะที่จิตรวมก็ได้ แต่ที่ให้แน่ที่สุดก็คือ จิตรวมตัวเข้าไปหลายครั้งหลายหน จนถึงกับสร้างฐานของตนให้เกิดความมั่นคงขึ้นมา แม้จะคิดอ่านไตร่ตรองอะไรได้อยู่ก็ตาม แต่ฐานของจิตที่แน่นหนามั่นคงนั้นไม่ละตัวเอง นั่นจะเป็นความที่เหมาะสมอย่างยิ่งในคำว่า จิตเป็นสมาธิ เพราะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ในวงผู้ปฏิบัติจะทราบได้ชัดไม่ต้องไปถามใครเลย ขอแต่จิตได้สงบเข้าไปดังที่กล่าวนี้เถอะ

เมื่อสงบเข้าไป สงบเข้าไปถอนออกมา สงบเข้าไปหลายครั้งหลายหนหลายวันหลายคืนเข้าไป หากเป็นความแน่นหนามั่นคงขึ้นภายในจิตเอง นั่นท่านเรียกว่าจิตเป็นสมาธิแล้ว จิตเป็นสมาธิย่อมมีความเย็นย่อมมีความสงบตัว ไม่หิวโหยในอารมณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะอารมณ์ทางใด รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส เฉพาะอย่างยิ่งกามารมณ์เป็นสำคัญสำหรับนักบวช อันนี้เป็นข้าศึกมากภายในจิตใจและชอบมาก คิดมาก ชอบคิดมาก คิดได้อย่างรวดเร็วแต่หักห้ามได้ยาก เหล่านี้เมื่อจิตมีสมาธิคือความสงบแล้ว สิ่งเหล่านี้ย่อมสงบตัวไป แต่ไม่ใช่ขาด ไม่ใช่ละขาด เป็นเพียงความสงบของจิต คือจิตอิ่มตัว ในขั้นนี้ท่านจึงสอนให้ใช้การพิจารณา คือปัญญา ปัญญานั้นหมายถึงการถอดการถอนการคลี่คลายดูสิ่งต่างๆ ให้เห็นตามเป็นจริง แล้วละแล้วถอนไปโดยลำดับลำดาตั้งแต่กิเลสขั้นหยาบๆ จนกระทั่งถึงขั้นละเอียดสุดหลุดพ้น ท่านเรียกว่าปัญญาทั้งนั้น แต่เป็นขั้นๆ ของปัญญา สมาธิเป็นเพียงทำจิตให้สงบ เพื่อจะได้พิจารณาง่ายลงไป ผิดกับจิต ผิดกับการพิจารณา ทั้งที่จิตหาพื้นฐานแห่งความสงบไม่ได้อยู่เป็นอันมาก

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้บำเพ็ญทางสมาธิ ท่านเรียกว่า สมาธิอบรมปัญญา ดังที่กล่าวไว้ในอนุศาสน์ สมาธิปริภาวิตา ปญฺญา มหปฺผลา โหติมหานิสํสา สมาธิเป็นเครื่องหนุนปัญญาให้พิจารณาสิ่งทั้งหลาย รู้ได้แจ่มแจ้งชัดเจนโดยลำดับลำดา ปญฺญาปริภาวิตํ จิตฺตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติ ปัญญา เมื่อสมาธิได้อบรมแล้วย่อมมีความคล่องตัว คือได้รับการอบรม ได้รับความหนุนมาจากสมาธิ แล้วย่อมมีความคล่องตัวในการพิจารณา แยกแยะอารมณ์ต่างๆ จนถึงกับตัดขาดได้ ได้หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงโดยชอบ นั่นท่านว่า สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติ คือหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงโดยชอบ นี่หลักธรรมที่ท่านแสดงเป็นพื้นเป็นฐานอันตายตัวไว้ เป็นจุดศูนย์กลางโดยแท้จริง ท่านจึงสอนให้อบรมสมาธิเพื่อเป็นบาทเป็นฐาน เพื่อจิตได้มีความสงบตัวมีความอิ่มตัวในอารมณ์ทั้งหลาย อยู่ด้วยความสงบเย็นใจ เมื่อจิตมีความสงบเย็นใจแล้วย่อมพาพิจารณาอะไรเป็นการเป็นงานได้ ดีกว่าการใช้ให้จิตพิจารณา ทั้งที่จิตหาความเป็นสมาธิไม่ได้และกำลังหิวโหยในอารมณ์เป็นไหน ๆ การพิจารณาจิตที่ไม่เคยมีความสงบเลย ให้เป็นปัญญามักจะเป็นสัญญาเถลไถลออกนอกลู่นอกทางอยู่เสมอๆ ไม่ค่อยจะได้เรื่องได้ราวอะไร จนถึงกับว่าไม่ได้เรื่อง ท่านจึงเอาให้สอนสมาธิเป็นบาทเป็นฐาน เป็นเครื่องยืนยันว่าจะได้ผลในการพิจารณาทางด้านปัญญา เมื่อสมาธิมีอยู่ภายในจิตใจแล้ว ใจไม่หิวโหยใจไม่รวนเร ใจไม่กระวนกระวาย ย่อมทำหน้าที่การงานของตนไปโดยลำดับลำดาตามสติที่บังคับให้ทำ จนถึงกับได้ปรากฏผลขึ้นมาเป็นปัญญาโดยลำดับลำดา จนถึงขั้นปัญญาที่เห็นเหตุเห็นผลแล้ว และหมุนตัวไปเองโดยไม่ต้องถูกบังคับ เหมือนตั้งแต่ก่อนที่เคยบังคับกันนั้นเลยนะ นี่เป็นอย่างนี้

ในเบื้องต้นจึงต้องอาศัยคำบริกรรมเป็นพื้นฐานก่อน นี่เป็นหลักตายตัว เป็นหลักศูนย์กลางแห่งการปฏิบัติของผู้บำเพ็ญทั้งหลาย ไม่ควรจะละไม่ควรจะปล่อยวางคำบริกรรม ซึ่งเป็นเครื่องยึดของจิตในขั้นเริ่มแรก เพื่อหาหลักฐานใส่ตัวเองจึงจำต้องใช้บทบริกรรมนี้ เป็นฐานสำคัญมากอยู่เสมอ จนกว่าว่าจิตนี้ได้เริ่มเป็นสมาธิขึ้นมา ถึงกับเป็นสมาธิแล้ว คำบริกรรมเหล่านั้น ซึ่งเคยนำมาบริกรรมเป็นประจำนั้นก็ย่อมจะปล่อยวางกันได้ ด้วยความเข้าใจตัวเองว่าสมควรจะปล่อยวางหรือไม่นั้น เป็นสิ่งที่จะทราบด้วยสมาธิของตัวเอง ด้วยหลักของความรู้คือความเด่นชัดแห่งจุดของผู้รู้ของตัวเอง แล้วจะไม่บริกรรมก็ได้ โดยกำหนดเอาความรู้นั้นเป็นฐานที่เดียว อยู่กับความรู้นั้น เมื่อจะกำหนดให้ความรู้นั้นมีความสงบลงไป ก็กำหนดลงได้อย่างง่ายดาย ทีนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ที่คำว่าคำบริกรรมในกรรมฐาน ๔๐ ห้องนี้ หลักใหญ่ก็เป็นการบำเพ็ญในเบื้องต้น

ผู้บำเพ็ญในขั้นเริ่มแรกจำต้องได้ยึดธรรมเหล่านี้ไว้เป็นหลักเกณฑ์ของใจ จนกว่าใจจะได้หลักได้เกณฑ์แล้วค่อยแผ่กระจายออกไปในงานทั้งหลาย ทีนี้หาความเป็นประมาณไม่ได้ เมื่อจิตได้เป็นสมาธิแล้วฝึกหัดทางด้านปัญญา ปัญญาจะตีแผ่ออกไปโดยลำดับลำดา คำบริกรรมนั้นจะหายไปโดยหลักธรรมชาติของผู้บำเพ็ญนั่นแล เพราะฉะนั้นผู้บำเพ็ญถึงขั้นสมาธิอย่างแน่วแน่และขั้นปัญญาแล้ว ในคำบริกรรมทั้งหลายจึงหายไปโดยหลักธรรมชาติแห่งการปฏิบัติของตัวเอง คือหายค่อยหายไปเอง คือเช่นเดียวกับเราขึ้นบันได ขึ้นก้าวขึ้นไปขั้นที่หนึ่งขั้นที่สอง ขั้นที่หนึ่งก็หมดความจำเป็นไป ก้าวผ่านไปผ่านไปๆ จนถึงวาระสุดท้ายก้าวขึ้นถึงบนบ้าน นั่นนี่คำบริกรรมก็ค่อยๆเปลี่ยนตัวเองไปเช่นนั้น จนถึงขั้นปัญญาแล้วไม่ต้องบอกที่ หากรู้ในตัวเอง วิธีทำการทำงาน เหมือนโลกเค้าทำงานผู้ใหญ่ทำงานเข้าใจในงาน ทำไปได้กว้างขวางมากมาย ผิดกับเด็กเป็นไหนๆ นี่การทำงานของสมาธิที่มีหลักมีเกณฑ์แล้วกับการทำงานทางด้านปัญญา ก็เป็นเช่นเดียวกัน มีความขยายตัวออกไปโดยลำดับลำดาจนหาประมาณไม่ได้ แต่ผู้ปฏิบัติหรือผู้ดำเนินสมาธิดำเนินปัญญานั้น จะรู้ตัวเองโดยไม่ต้องไปถามใคร ว่าควรจะปล่อยคำบริกรรมมากน้อยเพียงไร หรือไม่ปล่อยเป็นยังไงในเวลาใดขณะใด หากทราบเองในผู้ปฏิบัตินั้น

ขอให้ทุกๆท่านยึดไว้เป็นหลักเป็นเกณฑ์ในการปฏิบัติภาวนา หลักใหญ่ให้จิตสงบได้นั่นแหละ เป็นของดีเพียงจิตสงบเท่านั้นก็ตัดความกังวลวุ่นวายซึ่งเคยประจำจิต เสียดแทงจิตออกได้โดยลำดับลำดาจนถึงกับเป็นขั้นสบาย เพราะฉะนั้นผู้ภาวนาจิตที่เป็นด้วยจิตที่เป็นสมาธิแล้ว จึงมักขี้เกียจในการพิจารณาธรรมทั้งหลายด้วยปัญญา นอนจมอยู่กับสมาธินั้นเสีย ไม่ออกพินิจพิจารณา สุดท้ายก็เข้าใจว่าความรู้ที่แน่วแน่แห่งความเป็นสมาธิของตนนั้นจะเป็นมรรคผลนิพพานไปเลย ในข้อนี้ผมเคยเป็นแล้ว จึงได้นำมาสอนท่าน ทั้งอธิบายให้ท่านทั้งหลายได้ทราบว่า สมาธิต้องเป็นสมาธิ ปัญญาต้องเป็นปัญญา เป็นคนละสัดเป็นคนละส่วน เป็นคนละอันจริงๆ ไม่ใช่อันเดียวกัน หากเป็นอยู่ในจิตอันเดียวกันนั่นแหละ เป็นแต่เพียงไม่เหมือนกัน จิตที่เป็นสมาธิก็เต็มภูมิได้เหมือนกัน เมื่อถึงขั้นเต็มภูมิแล้ว จะทำอย่างไรก็ไม่เกินนั้น ไม่เลยนั้นไปอีก ถึงขั้นสมาธิที่เต็มภูมิแล้วก็มีแต่ความแน่วแน่ของจิต ความละเอียดของจิตที่รู้อยู่อย่างแน่วแน่เท่านั้น จะให้มีความละเอียดแหลมคมหรือแยบคายต่างๆกระจัด แผ่กระจายออกไป ฆ่ากิเลสตัณหาอาสวะประเภทต่างๆที่มันมีอยู่ภายในใจนั้น ไม่ได้ เพราะไม่เห็น เพราะไม่รู้ ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงสอนให้พิจารณาทางด้านปัญญา ซึ่งเป็นเรื่องแยบคายยิ่งกว่าสมาธิอยู่มากมายจนหาประมาณไม่ได้นี่ นี่ล่ะปัญญาจึงเป็นปัญญา ผู้ที่เป็นสมาธิถ้าไม่ออกพิจารณาทางด้านปัญญา จะเป็นสมาธิอยู่อย่างนั้นตลอดไป จนกระทั่งวันตายก็หาเป็นนิพพานได้ไม่ หาเป็นปัญญาได้ไม่ ต้องเป็นสมาธิอยู่ตลอดไป

เนี่ยท่านจึงสอนให้ออกพิจารณาทางด้านปัญญา มีความจำเป็นอย่างนี้ให้ทุกๆท่านจำไว้ให้แม่นยำ นี่สอนด้วยความแม่นยำด้วย สอนด้วยความแน่ใจของเจ้าของ เพราะได้ผ่านมาแล้วอย่างนี้ ติดสมาธิก็เคยติดแล้ว ผมเคยได้พูดให้หมู่เพื่อนฟังมานานแสนนานหลายครั้งหลายหนจนพรรณนาไม่จบ จนนับไม่ได้นั่นแหละ ว่าได้ติดสมาธินี้มาซะอย่างจำเจ หรือติดสมาธิมาเสียจนจม พูดง่ายๆจนเป็นความขี้เกียจ จนจะเกิดความสำคัญว่าสมาธินี้แลจะเป็นนิพพาน สมาธินี่แลจะเป็นธรรมชาติที่สิ้นกิเลสจะสิ้นอยู่ตรงนี้ ตรงที่รู้ๆเนี่ย ไม่มีที่อื่นใดเป็นที่สิ้นกิเลสนะ เหมาเอาซะทั้งหมด ความจริงความรู้อันนั้น มันกลมกลืนกับอะไรอยู่ เพียงขั้นของสมาธิ ความรู้แห่งในขั้นสมาธิจะไปสามารถรู้กิเลสที่เหนือสมาธิไปได้อย่างไร เพราะกิเลสที่ละเอียดเหนือสมาธิมีอีกมากมาย เป็นยิ่งกว่าที่ความรู้ในสมาธิจะรู้ได้เป็นไหนๆ เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้แยกทางด้านปัญญา เมื่อจิตมีความสงบ จะสงบขั้นใดก็ตาม ย่อมเป็นบาทเป็นฐานเป็นเครื่องหนุนปัญญาตามขั้นของตนได้ให้พิจารณา แต่ไม่ใช่พิจารณาในขณะที่จิตสงบ ต่างวาระกัน เมื่อจิตถอยออกจากความสงบแล้ว ให้ใช้ปัญญาพิจารณา การใช้ปัญญาพิจารณาก็หมายถึงขันธ์5 นี่แหละเป็นสถานที่ที่คลี่คลาย พินิจพิจารณาเพราะนี้เป็นเป็นสิ่งที่เราติด ก่อนสิ่งใดภายนอก ติดอันนี้ก่อน ติดขันธ์ ๕ คืออะไร รูปเป็นสำคัญ รูปกายกายของเรามีอะไรบ้าง นี่เรียกว่าคลี่คลายแล้วที่นี่นะ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง

นี่อันใดที่เหมาะกับการพิจารณาของเรา เราจับจุดนั้นก่อน ธรรมชาติของสิ่งเหล่านี้ให้ดูทั้งที่เกิดทั้งที่อยู่ของมัน ทั้งความแปรสภาพของมันเป็นอย่างไรบ้าง แต่ละชิ้นละอันนี้ มันเดินทางสายเดียวกันด้วยอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาไม่ปลีก ไม่แวะ ไปทางสายเดียวกัน และมีส่วนที่เป็นอสุภะอสุภังอีกมากมาย ในบางส่วนของร่างกายเหล่านี้ เป็นอย่างไรบ้างพิจารณาสิ นี่ท่านเรียกว่าปัญญา แยกแยะดู จะดูภายนอกก็ได้ภายในก็ได้ เป็นมรรคได้ทั้งสองคือทั้งภายนอก ทั้งภายใน เมื่อพิจารณาให้เป็นมรรค คือพิจารณาโดยทางปัญญาเพื่อการถอดการถอน เป็นมรรคได้ทั้งภายนอกภายใน ถ้าเรารู้เราเห็นเราสำคัญมั่นหมายเพื่อความผูกมัดตัวเองนั้นก็เป็นสมุทัยได้ทั้งภายนอกภายใน นี่จะอธิบายให้ฟังเพียงล้างๆก่อน ไม่ได้พูดให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะยังมีแง่ที่จะพูดอีกมากมายในวงแห่งปัญญา ในขันธ์ 5 เหล่านี้ เราดูไปตั้งแต่หนังแต่เนื้อเอ็นกระดูกแล้วดูเข้าไปภายในมันมีอะไรบ้าง

นี่คือปัญญาคลี่คลายดูให้เห็นชัดเจน แต่เวลาพิจารณานั้นเราอย่าเอาความที่ว่าอยากรู้อยากเห็นอยากให้เป็นอย่างใจโดยถ่ายเดียวเข้าไปทำลายความจริง ความจริงมันเป็นความจริงอยู่แล้วให้พิจารณาสอดส่องดูตามความจริงนั้น แล้วจะเห็นความจริงขึ้นมาเมื่อพิจารณาซ้ำๆซากๆ ดูหลายครั้งหลายหน เราจะเห็นความจริงขึ้นมาเช่นอนิจจังก็จริงอันหนึ่ง ทุกขังจริงอันหนึ่ง อนัตตาจริงอันหนึ่ง อสุภะอสุภังแต่ละอย่าง ๆ จริงไปตามหลักธรรมชาติของตัวเองนี่ แล้วจริงอย่างนี้ เมื่อจริงเข้าถึงใจแล้วใจย่อมมีความคลายออกตัวเองออกไปโดยลำดับ จากความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ นี่ท่านเรียกว่าพิจารณาทางด้านปัญญา แล้วพิจารณาภายนอกก็ให้เป็นอย่างนั้น ได้ยินสิ่งใดให้ เมื่อจิตที่ควรจะเป็นปัญญาได้แล้ว พอได้ยินก็จะแปรสภาพเป็นปัญญาขึ้นมา ได้เห็นก็จะแปรสภาพเป็นปัญญาขึ้นมา ในขณะที่ได้เห็นได้ยินได้ฟังสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ จะเป็นเรื่องปัญญาขึ้นมาขึ้นมาๆ เช่นเดียวกับมันเคยสร้างเรื่องกิเลสขึ้นมาในขณะที่ได้เห็นได้ยินได้ฟังแต่ก่อนนั่นแล ไม่ผิดกันอะไรเลยเมื่อถึงขั้นปัญญาจะทราบจะรู้เป็นอย่างนั้น

นี่หละ วิธีการดำเนินให้ยึดหลักที่กล่าวมานี้เป็นทางดำเนิน อย่าหาเรื่องหาราวใส่ตัวแฝงๆเรื่องนั้น แฝงๆเรื่องนี้ไป มันไม่ถูกหลักใหญ่อยู่ตรงนี้ล่ะให้ยึดเอา ครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็ดีหรือนับตั้งแต่พระสาวกทั้งหลายลงมาก็ดี ท่านหลุดพ้นด้วยอำนาจแห่งกรรมฐาน ๔๐ นี้ ทั้งนั้นแหละ กรรมฐาน ๔๐ นี่แลเป็นฐานเป็นธรรมที่สร้างจิตท่านให้มีความสงบร่มเย็น ต่อจากนั้นไปก็สร้างทางด้านปัญญาให้รู้แจ้งแทงทะลุไป ไม่พ้นจากกรรมฐานที่กล่าวมาเหล่านี้เลย เพราะกรรมฐาน ๔๐ นี้ไม่ใช่จะเป็นอารมณ์แห่งสมถะอย่างเดียว ยังเป็นอารมณ์ของวิปัสสนาได้ด้วย เมื่อจิตควรแก่วิปัสสนาแล้วจะเป็นวิปัสสนาไปได้โดยไม่ต้องสงสัย ในขณะที่จิตยังไม่เป็นปัญญาจิตยังไม่เป็นวิปัสสนาก็เอาธรรมเหล่านี้แล มาอบรมจิตใจด้วยความเป็นสมถะ คือเพื่อความเป็นสมถะ ได้แก่ความสงบของใจ พอจิตก้าวเข้าสู่ปัญญาแล้วธรรมที่เคยเป็นสงบ เป็นอารมณ์แห่งสมถะนี่แลจะแปรสภาพเป็นอารมณ์แห่งวิปัสสนาไปได้โดยไม่ต้องสงสัย นี่หลักใหญ่อยู่ตรงนี้

เมื่อการพิจารณาทางด้านปัญญาเกี่ยวกับขันธ์นอกขันธ์ใน พิจารณาอยู่โดยสม่ำเสมอดังที่กล่าวนี้ความรู้แจ้งภายในจิตใจจะปรากฏขึ้นโดยลำดับลำดา โดยไม่มีใครบอก ไม่มีใครสอน สิ่งไม่เคยรู้จะรู้ขึ้นมา สิ่งที่ไม่เคยละก็จะละ สิ่งที่เคยติดแนบภายในจิตใจของเราจนไม่คาดไม่ฝันว่าจะแก้จะแยกจะแยะจะตัดกันออกได้ให้ขาด ก็เป็นขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจนภายในใจด้วยอำนาจของปัญญานั่นแล เพราะฉะนั้นปัญญาจึงเป็นธรรมชาติที่แหลมคมมากกว่าสมาธิเป็นไหนๆ ถ้าเรายังไม่เคยฆ่าทางด้านปัญญา มีแต่เพียงสมาธิก็จะเห็นว่าสมาธินี่เป็นความละเอียดมาก เพราะจิตที่เป็นสมาธิเต็มภูมิต้องสร้างความละเอียดให้ผู้ยังไม่เคยรู้เคยเห็นทางด้านปัญญา ว่าตัวนี้เป็นผู้ละเอียดแหลมคมมาก ละเอียดมากได้จริงๆโดยไม่ต้องสงสัย แต่พอก้าวออกทางด้านปัญญาแล้วจะเห็นสมาธินี้มันเหมือนกับเราไปเจอที่เดินทางไปเจอตะกั่ว ทีแรกก็ว่าเป็นของดีพอไปเจอเงินเข้าก็ทิ้งตะกั่ว พอไปเจอทองเข้าทิ้งเงิน แบบนั้นแหละ แล้วเราผ่านสมาธิเป็นขั้นๆ ขึ้นไป หาปัญญาเป็นขั้นๆจนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้นเป็นเช่นเดียวกัน กับเราปล่อยวางสิ่งนั้นๆ ก้าวไปผ่านไปโดยลำดับลำดานั้นเอง ดังที่กล่าวมานี้ไม่ผิด หากเป็นไปในหลักธรรมชาติของจิตนั่นหละ ความละเอียดของปัญญาเป็นเช่นนั้น

ทีนี้ธรรมชาติอันหนึ่งที่มันแทรก ที่มันเหมือนกับว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับจิตนั้นมันอยู่ที่จิต เพียงสมาธิจะไม่มีโอกาส ไม่มีทางทราบได้เลย จะกลืนกันทั้งเนื้อทั้งกระดูกทั้งก้างนั่นแหละถ้าเป็นอาหารก็ดี แล้วก็จะติดคอตายอยู่นั่น ไม่ไปถึงไหน ถ้าไม่ใช้ความพินิจพิจารณาคลี่คลายออกโดยทางปัญญาแล้ว เราจะไม่ทราบความละเอียดของกิเลสประเภทที่ฝังจมอยู่ภายในจิตใจ แล้วก็แผ่พังพานออกไปทางเวทนา ทางรูป ทางเวทนา สัญญา สังขารน่ะฟังสิ วิญญาณ แผ่พังพานออกไปนู้นรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสทั่วแดนโลกธาตุ ไปเที่ยวยึดได้หมด ออกจากธรรมชาติที่ละเอียดที่สุดของกิเลสประเภทหนึ่งภายในจิตใจนั่นแหละ นี่หละมันสร้างเรื่องราวขึ้นมาภายในตัว และแผ่อำนาจสาดกระจายไปทั่วโลกธาตุทั้ง ๓ กามโลก รูปโลก อรูปโลก ถ้าไม่ใช่จิตดวงนี้ไปเกิด ดวงไหนจะไปเกิด อะไรจะไปเกิด อื้อสิ่งที่ละเอียดที่สุด พวกพรหมโลกนี้เหมือนกันอะไรจะไปเกิด มีแต่จิตทั้งนั้นไปเกิด เพราะธรรมชาติที่แฝงอยู่ภายในจิตนั้นผลักดันให้เป็นไปเอง ให้ไปเกิด นี่นี่แหละปัญญา เมื่อสร้างเข้าไปมันเห็นเข้าไปอย่างนี้เอง เห็นเข้าไปชัดเข้าไปชัดเข้าไปไม่ต้องไปถามใคร นั่นหละผู้ปฏิบัติไม่อัศจรรย์พระพุทธเจ้าจะอัศจรรย์ใคร สิ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้าสอนแล้วทั้งนั้น

เมื่อปัญญาหยั่งเข้าไปหยั่งเข้าไปแล้วจะเห็นความละเอียดของทั้งกิเลสของทั้งปัญญาไปพร้อมๆกัน แล้วก็เมื่อได้เห็นชัด ทั้งสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่น ทั้งตัวผู้ยึดมั่นถือมั่นแล้ว ว่าเป็นภัยด้วยกัน ทำไมจะไม่ถอดไม่ถอน ทำไมจะไม่สลัดปัดทิ้งลงได้ล่ะ ต้องปัดทิ้งได้โดยไม่ต้องสงสัย ปัญญานี่แหละพาให้สลัดได้ปัดทิ้งได้เพราะเห็นด้วยปัญญา ท่านกล่าวไว้เป็นบทบาลีว่า นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา ความสว่างกระจ่างแจ้งเสมอด้วยปัญญาไม่มี จะสว่างกระจ่างแจ้งที่ไหนเล่าปัญญา ต้องสว่างกระจ่างแจ้งลงในจุดที่มืดที่ดำที่เคยเกิดเคยตายนั่นแหละได้จากดวงใจของตัวเอง นี่มันมืดที่ตรงนี้ ไม่ใช่มืดที่ไหน มันหลงที่ตรงนี้ ไม่หลงที่ไหน ตัวนี้พาให้เกิด ตัวนี้พาให้ตาย ภพใดแดนใดก็ตามไม่พ้นจากจิตดวงนี้แลเป็นผู้พาให้ไปเกิด แก่ เจ็บ ตายอยู่ในทุกแห่งทุกหน ในภพน้อยภพใหญ่ ภพนั้นภพนี้ไม่มีสิ้นสุด ก็เพราะธรรมชาติที่ละเอียดแหลมคมมากอยู่ กลืนกัน อยู่กลมกลืนกันอยู่กับจิตดวงนั้นนั่น

ทีนี้เมื่อปัญญาได้หยั่งทราบลงไปโดยลำดับลำดา ตั้งแต่เบญจขันธ์นี่เป็นของสำคัญ เอ้อ เอาส่วนหยาบนี้ก่อน มันน่ะเป็นของมันเอง ไม่ได้บอกว่าเอาส่วนหยาบก็ตาม มันน่ะเป็น เพราะมันกระเทือนจิตอยู่ตลอดเวลา รูปอันนี้ ไม่ว่ารูปนอกไม่ว่ารูปใน มันกระเทือนกันอยู่ตลอดเวลาให้เป็นอารมณ์ยุ่งอยู่เสมอ ก็เพราะรูปนอกกับรูปใน รูปเขากับรูปเรา รูปหญิงกับรูปชาย เสียงหญิงเสียงชาย เสียงเขาเสียงเรา สัมผัสเขาสัมผัสเรา นี่แหละเป็นสิ่งที่มันกระทบกระเทือนจิตใจอยู่ตลอดเวลานี่ เมื่อพิจารณาลงไปมันจะทราบสิ่งเหล่านี้ก่อน เมื่อทราบสิ่งเหล่านี้แล้วก็จะสลัดเข้ามา ปล่อยเข้ามา จนกระทั่งถึงร่างกายของตัวเองก็สลัดเข้าไปเรื่อยๆนี่ ปัญญาเหมือนกับไฟได้เชื้อ มันเผาเข้าไป เผาเข้าไป ตรงจุดใดที่มีเชื้อไฟอยู่ไฟจะลุกลามเข้าไปตรงนั้นอ้าว จนกระทั่งถึงเวทนาเป็นส่วนละเอียดนี่ เมื่อออกจากรูปไปแล้ว จะเข้าถึงเวทนา เวทนาอะไร กายเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เหล่านี้จะเห็นว่าเป็นอาการอันหนึ่งอันหนึ่ง ที่ออกมาจากใจทั้งนั้น เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับนะ เวทนาก็คือความทุกข์ ความทุกข์ไม่ทราบตัวเอง แต่เป็นจิตเป็นผู้ทราบ แล้วความสำคัญมั่นหมายที่ออกมาจากอวิชชาปัจจยานั้นทำให้ยึดมั่นถือมั่นนี่ ทั้งเวทนา ทั้งสุขเวทนา ทั้งทุกขเวทนา ทั้งอุเบกขาเวทนา ยึดได้ทั้งนั้น ถ้าลงได้หลงตัวจิตแล้ว จิตจะพาให้หลงสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด แต่เมื่อได้รู้แล้ว จะรู้เข้าไปโดยลำดับลำดาจนกระทั่งถึงตัวจิตแน่ะ เวทนาก็รู้ รู้ก็ปล่อยสัญญา สังขาร วิญญาณ รู้ ปล่อย นั่นไม่มีใครบอก หากรู้เอง นี่ล่ะเรียกว่าปัญญา

ปัญญาฉลาดอย่างนั้นเอง แหลมคมอย่างนั้นเอง รู้ชัดๆๆ ไม่มีใครมาบอกก็รู้เองๆ แล้วปล่อยเข้าไป ปล่อยเข้าไป สุดท้ายก็ขาดสะบั้นไป ทั้งๆที่ขันธ์กับจิตเนี่ยอยู่ด้วยกันครองกันอยู่นะ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณซึ่งเคยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับจิต ได้กลายเป็นคนละชิ้นละอันแล้ว จิตดวงนั้นเป็นเหมือนกับเกาะอันหนึ่ง ที่อยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นน้ำ เวลาพิจารณาเข้าไปอีก พิจารณาเข้าไปอีก จนกระทั่งถึงตัวจิต เป็นซึ่งเป็นเกาะอันนั้น แยกพิจารณาอย่างนั้น เช่นเดียวกับเราพิจารณาภายนอก มีรูปขันธ์เป็นต้น โดยทางอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แยกเข้าไป แยกเข้าไป พิจารณาเข้าไป สุดท้ายเกาะนั้นก็พังทลาย ความจริงนั้นเกาะคืออะไร นั่นแหละตัวกิเลส ตัวอวิชชา ตัวที่ละเอียดแหลมคมที่สุด สมาธิเข้าถึงได้ยังไง ธรรมชาตินั้นเข้าไม่ถึง แต่ปัญญาพังได้ ฟังสิ ไม่เจอไม่เห็น พังได้ยังไง นี่แหละปัญญา พังได้เกาะนั้นจนไม่มีไม่มีเหลือ อ๋อ เกาะนั้นมันเป็นเกาะอะไร ก็เกาะอวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา เกาะแห่งภพ เกาะแห่งชาติ เกาะแห่งความเกิดแก่เจ็บตาย เกาะแห่งมหันตทุกข์ของสัตว์โลกนั้นเอง มันจะเป็นอะไรไปนี่รู้ชัดเจน เมื่อธรรมชาตินั้นได้พังลงไปแล้ว ไม่มีเกาะ ไม่มีดอน จิตที่บริสุทธิ์เต็มที่แล้ว ไม่มีสี ไม่มีแสง ไม่มีคำว่าความสว่างกระจ่างแจ้ง ไม่มีความว่าอับเฉา เอามาพูดไม่ได้ ซึ่งเพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องของสมมุติทั้งมวล เมื่อจิตได้ผ่านอันนี้ออกไปแล้ว ไม่มีใครบอกก็รู้ แต่ไม่มีคำว่าสว่างกระจ่างแจ้ง ดังที่โลกๆทั้งหลายคาดกัน หรือเราเองก็เคยคาดจะว่ายังไง เราเคยคาดเป็นยังไง คาดมันเป็นยังไง ทีนี้ความจริงกับความคาดผิดกันอย่างไรบ้าง เมื่อได้เข้าถึงความจริงแล้ว ไอ้ความคาดความหมายมันก็ล้มละลายของมันไปเอง ล้มละลายไปเอง โดยเข้ามาคัดค้านความจริงนี้ไม่ได้เลย

นี่หละการตัดภพตัดชาติ การสร้างปัญญาขึ้นมาเพื่อรู้ในสิ่งที่ควรรู้ ในสิ่งที่ควรเห็น ท่านว่า นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา สว่างลงที่ตรงนี้แหละ ตรงที่มันมืด เกาะนั้นแหละ เป็นธรรมชาติอันหนึ่งให้ติด ให้มองไม่ทั่วถึงก็คือเกาะนี้เอง เกาะแห่งอวิชชา มันเกาะอยู่ในที่จิตนั่น จิตอยู่ติดอยู่กับจิต เมื่อถูกพังทลายลงไปไม่มีเหลือแล้ว ลำพังโดยจิตโดยทำธรรมชาติของจิตแท้ๆ แล้ว จะไม่เป็นเกาะ จะไม่เป็นจุดสว่าง.จะจับให้ได้ว่าเป็นจุดแห่งความสว่างก็ไม่ได้ จะว่าผ่องใสก็ไม่ได้ จะว่าสมองก็ไม่ถูก ไม่ถูกโดยประการทั้งปวง ถ้าเป็นน้ำก็ไม่มีสี คือน้ำที่สะอาดเต็มที่ย่อมไม่มีสี ถ้าต้องการจะให้เป็นสี ก็เอาอะไรลงไปคลุกเคล้ากับน้ำ น้ำก็ปรากฏเป็นสีนั้นๆขึ้นมา แล้วในจิตก็เหมือนกัน จิตที่บริสุทธิ์เต็มที่แล้วย่อมปราศจากสีสันวรรณะโดยประการทั้งปวง ไม่มีในจิตดวงนั้น นั่นทั้งๆที่รู้อยู่อย่างนั้น หากไม่ใช่อะไรทั้งนั้นท่านน่ะ โลกุตรธรรมเต็มภูมิ ธรรมเหนือโลก เหนืออะไร ก็เหนือธาตุเหนือขันธ เหนือสิ่งทั้งปวงที่เราเคยคาดเคยคิดเคยติดเคยพันมันแต่ก่อนนั่นแหละ มันไม่ติด ไม่พัน ไม่ยึด ไม่ถือปล่อยไปหมดโดยประการทั้งปวง

นี่หละการพิจารณาการภาวนาตั้งแต่เริ่มต้นบริกรรมภาวนามาโดยลำดับลำดา ก้าวไปอย่างนี้อย่างนี้ อย่าให้ออกนอกลู่นอกทาง ให้ดำเนินตามครูบาอาจารย์ท่านสอนอย่างไร เหมือนพระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างไร พระสาวกยึดเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ไม่เคลื่อนคลาด แล้วจนกระทั่งถึงความหลุดพ้นด้วยการยึดหลักสวากขาตธรรมของพระพุทธเจ้า (ธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว)ให้แนบสนิทกับใจ กลายเป็นสาวกอรหันต์ขึ้นมา ขึ้นมา เห็นมั้ยพวกเรา ได้กราบไหว้บูชาอยู่ทุกวันนี้เป็นโมฆะเมื่อไหร่ เป็นของพูดเล่นเมื่อไหร่ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ เป็นของเล่นเมื่อไหร่ เป็นของจริงแท้ๆ เอ้อ ธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้สร้างขึ้นมาเป็นความสว่างกระจ่างแจ้งแก่โลกแก่สงสาร เป็นของเล่นเมื่อไหร่ เป็นของจริงโดยแท้ สังฆํ สรณํ คจฺฉามิ เป็นผู้หลุดพ้นตามเสด็จพระพุทธเจ้าทันโดยแท้ไม่มีทางสงสัย ขอให้สร้างใจของเราให้มันเป็นอย่างนั้นเถอะ เราจะยอมรับหมดพระพุทธเจ้ามีกี่พระองค์ กี่ล้านกี่อะไร ไม่สงสัยนะ ธรรมเป็นยังไง ไม่สงสัยเพราะเป็นอยู่ที่ใจนี่แล้ว ใจเป็นผู้รู้ใจเป็นผู้เห็น ใจเป็นพุทธะ ใจเป็นธรรมะ ใจเป็นสังฆะผู้ทรงความบริสุทธิ์ของตนไว้เต็มสัดเต็มส่วน แล้วจะสงสัยพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ที่ไหน ยืนยันกันที่ใจดวงนี้เองนี่ นี่หละปัจจุบันจิต ปัจจุบันธรรม ท่านเรียกว่าอกาลิโก อกาลิกจิต อกาลิกธรรม เป็นอันเดียวกันอยู่ภายในจิตของผู้ปฏิบัติของผู้หลุดพ้นนั่นแหละ จะเป็นที่ไหนไป

ฉะนั้นขอให้ทุกๆท่านได้นำไปประพฤติปฏิบัติ อย่าท่อแท้อ่อนแอ อย่าโลโลกเลข อย่าเห็นว่าอันนั้นดีอันนี้ดี ไม่มีอะไรแหละในโลกนี้ เต็มไปด้วยกองอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาทั้งเขาทั้งเรา เห็นกันแล้ว เจอกันแล้ว ไม่ได้บ่นให้กันอยู่ไม่ได้ ต้องบ่นสู่กันฟัง เพื่อเป็นทางระบายความทุกข์ทั้งหลายซึ่งมันอัดอั้นตันใจจะตายอยู่นั้นน่ะออกมา เขาก็ระบาย เราก็ระบาย สุดท้ายก็มีแต่ลม เท่านั้น ทุกข์มันไม่ได้ออกมาจากหัวใจ เพราะอะไร ก็เพราะมันไม่มีอะไรเป็นของอัศจรรย์เองในโลกนี้ แม้แต่จิตของเราแทนที่จะเป็นของอัศจรรย์ ก็บรรจุความทุกข์ ความทรมานไว้ซะอย่างเต็มเอี๊ยด แล้วก็มาระบายกันเท่านั้น มันเป็นประโยชน์อะไรให้พิจารณา นักปฏิบัติเป็นนักใคร่ครวญ พระไม่ใคร่ครวญ ไม่มีใครใคร่ครวญในโลก เพศของพระเป็นเพศที่ละเอียด เป็นเพศที่สุขุม เป็นเพศที่พินิจพิจารณา เป็นเพศที่อดที่ทน เป็นเพศที่ใคร่ครวญมาก เป็นเพศที่มีความเพียร ไม่ใช่เป็นเพศที่กินแล้วนอน กอนแล้วนิน ขี้เกียจขี้คร้าน ท้อแท้อ่อนแอทำอะไรไม่คิดไม่อ่าน ดังที่เห็นๆอยู่นี่ วันหนึ่งๆ อกจะแตก การแนะนำสั่งสอนหมู่เพื่อน แล้วมองดูกิริยาอาการ มองดูอะไร มันหากโดนหูโดนตาแล้วเข้าไปโดนหัวใจอยู่จนได้ สอนเท่าไหร่มันก็ไม่พ้น ให้นำไปพิจารณาสิ คนที่เรา เราที่โง่ๆอยู่นี่แหละ เมื่อได้ฝึกตัวของตัวให้เป็นไปตามหลักธรรมพระพุทธเจ้าแล้ว จะเป็นผู้ฉลาดขึ้นมาโดยไม่ต้องถามใครละ เอาธรรมะพระพุทธเจ้านั้นเป็นเครื่องส่องทาง ดำเนินลงไปๆ หากจะมีวันฉลาดจนได้แหละ ถ้าฉลาดไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านจะสอนไว้ทำไม พระพุธองค์เคยฉลาดจากการฝึกการทรมานมาแล้ว พระสงฆ์สาวกก็เหมือนกัน ด้วยธรรมทั้งนั้น พระพุทธเจ้าก็วิเศษด้วยธรรม พระสาวกก็วิเศษด้วยธรรม

เราก็พยายามฝึกตนเราให้มันฉลาดด้วยธรรมมภายในใจ ครูบาอาจารย์ก็หมดไปหมดไป หาที่เกาชีวิตไม่ได้นะ หมดไปๆ แทบจะว่าจริงๆเแล้วเดี๋ยวนี้นะ การสอนจิตตภาวนาเป็นของสำคัญมาก พูดแล้วสาธุ เราไม่ได้ประมาทคัมภีร์ใบลานตำรับตำรา อันนั้นมันเป็นตู้เป็นหีบยามีอยู่มาก เป็นประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้นแหละ ยาในตู้นั้นน่ะ แต่ละขวด แต่ละขวด แต่ละชิ้นละอัน เป็นประโยชน์ทั้งนั้น แต่ผู้ที่จะนำมาใช้นั้นน่ะ มันฉลาดไหม ถ้านำมามาใช้ไม่ฉลาด ผู้นำมาใช้ไม่ฉลาดก็ไม่เกิดผลประโยชน์อะไร นอกจากจะเกิดโทษด้วยซ้ำ นี่แหละเป็นข้อเทียบเคียง ต้องเป็นหมอเท่านั้น เป็นผู้จะนำยาเหล่านั้นมาใช้ได้เป็นผลประโยชน์แก่คนไข้ ผู้ไม่ใช่หมอเป็นไปไม่ได้ นอกจากจะทำให้คนไข้ตาย นี่แหละพระพุทธเจ้า พระสาวก เป็นหมอชั้นเอกนำธรรมโอสถนี่แหละ คือยา มาสอนสัตว์โลก จึงสอนด้วยความแม่นยำถูกต้องทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่พื้นๆแห่งธรรม จนกระทั่งถึงวิมุตติธรรม ไม่มีผิด ไม่มีคลาดเคลื่อน คือเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ชอบแล้ว และดำเนินมาชอบแล้ว ทั้งรู้ชอบแล้วทั้งพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายรู้ชอบแล้ว สอนลูกศิษย์ลูกหา ท่านจึงสอนด้วยความถูกต้องแม่นยำ

บรรดาศิษย์ทั้งหลายที่เข้าไปอาศัยครูบาอาจารย์แต่ละองค์ แต่ละองค์ ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ ทำไมท่านจะสอนเคลื่อนคลาดหละ ท่านจะสอนผิดพลาดไปหละ ก็เมื่อท่านรู้อยู่อย่างเต็มใจ เห็นอยู่อย่างเต็มใจในธรรมทั้งหลาย บริสุทธิ์พุทโธเต็มที่แล้ว ท่านจะสอนผิดที่ตรงไหน ต้องสอนถูกต้องแม่นยำ ผู้เข้าไปเกี่ยวข้องต้องเป็นตายใจได้เลย ฝากเป็นฝากตายได้เลย หลับตาได้ ให้ท่านจูงไม่สงสัยว่าจะจูงลงนรกอจีที่ไหน จะจูงเพื่อมรรคผลนิพพานทั้งนั้น เพื่อความพ้นทุกข์โดยถ่ายเดียว ท่านผู้รู้จริงเห็นจริง ท่านสอนอย่างนั้น ท่านจูงอย่างนั้น ท่านอบรมอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเวลาท่านแสดงธรรมแต่ละครั้งละคราวนี้ ผู้บรรลุมรรคผลนิพพานจึงมีมาก จะไม่มีมากยังไง ก็มีแต่ธรรมของจริงล้วนๆ ออกมาจากพระทัยที่บริสุทธิ์ล้วนๆ ผู้หาของจริงอยู่แล้วทำไมจะไม่ยึดเอาของจริงได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเต็มหัวใจเล่านี่ นี่แหละที่ความจริงของผู้รู้ธรรมเป็นเช่นนี้ เช่นเดียวกับหมอปริญญาที่เรียนมาแล้วโดยความถูกต้องแม่นยำทดสอบทุกสิ่งทุกอย่าง ตลอดหยูกยาและวิชาความรู้นำมาใช้จึงไม่ผิดพลาด

นี่ก็พระสาวกทั้งหลายท่านเป็นเช่นนั้น แล้วครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็เหมือนกัน ผู้ที่ท่านได้ดำเนินมาแล้ว ผิดก็เป็นครูท่าน ถูกเป็นครูท่าน นำเอาทั้งผิดทั้งถูกนั้นแหละมาสั่งสอนบรรดาลูกศิษย์ลูกหาด้วยความถูกต้องแม่นยำ จะไม่ผิดเหมือนอย่างท่านที่เคยดำเนินมาก่อนนี่ เนี่ยการสอนจึงลำบากนะ การสอนทางด้านจิตภาวนา เพียงแต่เราจะจะจดจำเอาจากคัมภีร์ใบลานมานั้นดังที่กล่าวแล้วว่า สาธุ ไม่ได้ประมาท เราจะนำมาสอนไม่ถูกต้อง เพราะเราไม่รู้ว่าธรรมะบทนั้น บทนั้น จะสอนเวลาใด สอนในกาลใด สอนในขณะใด ในขั้นใดภูมิใดของจิตภาวนาของแต่ละขั้นและภูมิของผู้บำเพ็ญทั้งหลาย นี่สอนไม่ถูก นำมาใช้ไม่ถูกแน่ะ แต่ถ้าเป็นผู้รู้แล้ว เห็นแล้วในทางภาคปฏิบัติ นับตั้งแต่สมาธิขึ้นไปจนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้นแล้ว จะสอนตรงไหนสอนได้ทั้งนั้น เพราะรู้แล้วทั้งนั้นนี่ ใครจะควรสอนอยู่ในธรรมบทใด ควรจะได้สอนในธรรมแขนงใดแง่ใดๆ รู้เข้าใจ เข้าใจ ต้องสอนให้ได้ถูกต้องโดยไม่ต้องสงสัย นี่หละจึงเป็นที่นอนใจ บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายที่ไปหาครูบาอาจารย์ผู้ท่านถูกต้องแม่นยำแล้ว ผลจึงเป็นที่คาดหมายกันได้ว่า ไม่สงสัย

นี่ขอให้ทุกๆท่านได้ตั้งอกตั้งใจ เวลานี้เราอยู่ด้วยกันไม่ใช่เป็นของเที่ยงแน่นหนามั่นคงอะไรนักนะ พลัดพรากจากกันไป ทั้งไปทั้งมาทั้งเป็นทั้งตาย พลัดพรากกันอยู่ตลอดเวลา โลกคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาจะเป็นอะไรไป ถ้าไม่ใช่เป็นตั้งแต่พวกเรานี้ไปทุกรูปทุกนาม จนกระทั่งถึงครอบโลกธาตุมันเป็นแบบเดียวกันหมด จะมานอนใจได้เหรอ แล้วการเกิดจากเจ็บตายไม่ใช่เป็นของชินชาหน้าด้านนะ เป็นทุกข์จริงๆ เช่นอย่างไฟเผาเรานั่นหละ เราชินชาได้ไหม ไฟเผาเราทุกข์เผาเราก็เหมือนกัน ทุกภพทุกชาติ เกิดต้องมีความทุกข์มาแล้ว พอเริ่มเกิดก็เริ่มทุกข์มาแล้ว นี่จะว่ายังไง เริ่มปรากฏทุกข์ขึ้นมาอย่างชัดๆ แล้วตายก็เหมือนกัน ความเป็นอยู่แต่ละภพชาติ มันหาความสุขความสบายที่ไหนได้ เป็นแต่เพียงไม่พูดออกมาทุกขณะจิตที่แสดงตัวทุกขณะ ที่ทุกข์แสดงตัวภายในร่างกายของเราและสัตว์ทั้งหลาย เขาก็เป็นอย่างเดียวกัน เพราะอำนาจของกิเลสนี่แหละเป็นตัวสำคัญที่สุด ที่สร้างทุกข์ให้สัตว์โลกโดยทั่วกันได้รับความลำบากลำบน ไม่สงสัย จึงขอให้พากันพินิจพิจารณา ให้เห็นโทษของสิ่งเหล่านี้ซึ่งมีอยู่ภายในจิตใจของเรา อย่าได้ชินชากัน แล้วเร่งรีบ รีบเร่งขวนขวาย คุณงามความดีที่จะให้หลุดพ้นจากมันเสียได้วันนี้ขณะนี้ยิ่งเป็นของที่วิเศษที่สุดแล้ว ในเรื่องการพ้นจากทุกข์นะ เอาล่ะการแสดงก็เห็นว่าสมควร

(ถอดเสียงธรรมจากวีดีโอ โดยทีมงาน กรุธรรม)