หลวงปู่แบน ธนากโร
นั่งภาวนา นั่งให้องอาจกล้าหาญ อย่าทำเหมือนกับนอนเอาผ้าคลุมโปง เอาผ้าคลุมศีรษะ องอาจกล้าหาญก็หมายความว่า นั่งให้เบิกบาน สร้างความรื่นเริงเบิกบานให้เกิดขึ้น ในขณะนั่งภาวนานั้น อย่าไปคุดคู้ อย่าไปอยากจะให้ใจสงบ ความอยากทั้งหมดเป็นอันตราย ความอยากทั้งหมดเป็นอุปสรรคทำลายตัวเอง แล้วก็ทำลายสิ่งที่เกี่ยวข้อง สิ่งที่มาเกี่ยวข้องทั้งหมด
นั่งให้เรียบร้อย ดูตั้งศีรษะลงไปหาเท้าทุกส่วน นั่งเรียบร้อยแล้วหรือยัง การตั้งกายตรง ตั้งศีรษะเที่ยง แค่ไหนเพียงไรสังเกตดู แล้วก็ตั้งสติ สติก็คือทำความรู้สึกตัวขึ้นมา รู้สึกตัว ทำความรู้สึกตัวขึ้นในจิตนั้น แล้วก็ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ คุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ รวมอยู่ในใจเรานี้ ระลึกพุทโธ พุทโธๆ หรือพุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ จะกี่จบก็ได้ ไม่จำเป็นต้องสามจบ สี่จบ ห้าจบอะไร
เราระลึกนั้น ทำใจของเราให้มีการระลึก ในการนึกนั่นด้วย หรือในการบริกรรมนั่นด้วย แล้วก็ระลึกนึกเพียงแต่หรือบริกรรมเพียงแต่ พุทโธๆๆๆ คำเดียว ต้ังใจระลึก ตั้งใจบริกรรม ตั้งใจบริกรรม ตั้งใจบริกรรม ให้ใจของเราอยู่กับคำบริกรรมจริงๆ ตั้งใจให้ใจของเราแน่วแน่อยู่กับคำบริกรรมจริงๆ ถ้าหากว่าไม่ตั้งใจให้แน่วแน่ ไม่ตั้งใจให้มาก ไม่ตั้งใจให้ดี ใจของเราจะแน่วแน่เป็นสมาธิ ไม่มีโอกาส หรือไม่สามารถที่จะเป็นสมาธิได้ เพราะการกระทำของเรานี้มันไม่ทำให้ใจเป็นสมาธิ สมาธิถ้าหากว่าการกระทำของเราให้เป็นสมาธิ สมาธิจะเป็นขึ้นมา ตั้งใจให้แน่วแน่ ตั้งใจให้แน่วแน่ในการบริกรรม
“บริกรรมพุทโธจะเป็นสมถะ บริกรรมพุทโธแล้วจะต้องพิจารณา” อย่าไปคิด ส่วนมากชอบคิดว่าบริกรรมพุทโธ จิตเป็นอย่างนั้นแล้วต้องพิจารณาต่อ อันนี้เป็นสูตร อย่าไปตามสูตร สูตรของเราเป็นอย่างไร สูตรของเราเป็นอย่างไร สูตรของแต่ละคน จริตนิสัยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน จะเอาแต่สูตรตามๆกันมา สูตรตามๆกันมา นานเข้าก็ทำตามสูตรนั้น ก็ทำตามเป็นประเพณี เหมือนกับครูสอนนักเรียน การปฏิบัติธรรมจะทำอย่างนักเรียนไม่ได้ ผู้สอนปฏิบัติธรรมจะสอนอย่างสอนนักเรียนก็ไม่ได้ ต้องสอนอย่างการปฏิบัติ ครูผู้สอนก็มีการปฏิบัติด้วยในขณะสอนนั้น นักเรียนผู้เรียนก็มีการปฏิบัติในขณะเรียนนั้นด้วย
อย่างพระพุทธเจ้าแสดงธรรมเทศนา ผู้ได้สดับได้สำเร็จมรรคผลทันทีในขณะที่พระพุทธเจ้าเทศนาอยู่นั้น หรือเทศนาจบแล้ว ก็เพราะมีการปฏิบัติตามไป ปฏิบัติไปในขณะฟัง ในขณะสอนนั้น ผู้สอนก็จิตเป็นอย่างนั้น เห็นอย่างนั้น เห็นอย่างนั้น ผู้ฟังก็จิต เห็นอย่างนั้น เห็นอย่างนั้น รู้อย่างนั้น รู้อย่างนั้น รู้อย่างที่ผู้สอนนั้น จึงว่าตั้งใจฟังเทศน์ สามารถที่จะรู้ สามารถที่จะแจ่มแจ้งในธรรมเทศนาที่ได้สดับนั้น จึงว่าการบอก การเรียน การสอน จะทำเหมือนครูสอนนักเรียน จะทำเหมือนนักเรียนเรียนจากครูตามโรงเรียนประถม มัธยมไม่ได้ ไม่ได้…จะทำยังไง ทำอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนพระสาวก ทำอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงเทศนาโปรดสอนเวไนยสัตว์ สอนที่รู้จริงเห็นจริง ไม่ใช่ไปเรียนจากตำรา สอนที่รู้จริงเห็นจริงที่ได้ปฏิบัติ ผลของการปฏิบัติเป็นความรู้ เอาอันนั้นมาสอน ขณะสอนก็เห็นความจริง คำสอนนั้นเป็นสมมุติ เป็นบัญญัติ ความจริงที่รู้ที่เห็นก็เห็นแล้วอันนั้นเป็นบัญญัติ พูดเป็นภาษาสื่อกันให้เข้าใจ ผู้ฟังก็ได้สดับตามสื่อ แต่ใจก็รู้ว่าสื่ออันนี้มีความหมายมาจากความจริงอย่างไร สื่อที่ส่งมานี้มีความหมายจากความจริงเป็นอย่างไร รู้ทั้งสื่อ เข้าใจทั้งสื่อ รู้ทั้งของจริงที่สมมุติเป็นสื่อออกมา เป็นภาษาบัญญัติออกมานั่น
ฟังเรียกว่ารู้ธรรม เห็นธรรมทุกขณะ จบพระธรรมเทศนา ก็รู้แจ้งในธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงเทศนานั่น รู้แจ้งในอริยสัจ รู้แจ้งในสมุทัยสัจ ทุกขสัจ สมุทัยสัจ นิโรธสัจ มรรคสัจ รู้แจ้งทันทีก็เพราะผู้แสดงก็แสดงชัด ผู้ฟังก็ฟังตั้งใจก็สามารถที่จะถ่ายทอดทั้งสื่อ ทั้งภาษา และทางของจริงที่สมมุติเป็นภาษามันสื่อออกไปได้ ก็คือความตั้งใจ
ถ้าหากว่าไม่ตั้งใจแล้ว ไม่รู้เรื่องหรอก นโมก็ไม่รู้ว่ายังไง พุทธังก็ไม่รู้ว่ายังไง พุทโธ ธัมโม สังโฆก็ไม่รู้ว่ายังไง สติก็ไม่รู้ว่าเป็นยังไง ศีลก็ไม่รู้ว่าเป็นยังไง สมาธิก็ไม่รู้ว่าเป็นยังไง ปัญญาก็ไม่รู้ว่าเป็นยังไง แม้แต่พระนิพพานวิมุตติก็ไม่รู้ว่าเป็นยังไง ไม่รู้ ก็ของมันไม่เห็นน่ะ สื่อแต่ภาษา สื่อแต่ภาษา กินแต่ชื่อของเขา มันไม่มีรสไม่มีชาติ กินแล้วเบื่อ ฟังเทศน์ก็เบื่อ เหมือนกับกินแต่ชื่ออาหาร กินแต่ชื่ออาหาร ไม่เห็นจะอิ่มซักทีจะกินทำไม ฟังเทศน์ฟังธรรมก็เช่นเดียวกัน ฟังแล้วก็เบื่อเพราะฟังแต่สื่อ ฟังแต่ชื่อ ของจริงที่เป็นธรรมะมันไม่ได้สัมผัส ใจของเราต้องอยู่กับสติ ใจของเราต้องอยู่กับสมาธิ มีปัญญาเป็นเครื่องที่จะรับเอา รับเอา รับเอา กระแสอะไรส่งมา กระแสอะไรส่งมา รับทันที รับทันที แต่ใจของเรามันไม่มีเครื่องรับ ส่งไปขนาดไหน ส่งไปขนาดไหน มันก็เหมือนกับฝนตกลงมาภาชนะคว่ำ ฝนตกลงมาภาชนะรั่ว ไม่ค้างในหัวใจ
จึงว่าพากันตั้งอกตั้งใจให้เต็มที่ เต็มที่ที่เราสามารถ ตั้งแต่เราตื่นขึ้นมาทีเดียว การเกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน เกี่ยวข้องซึ่งกันและกันไม่จำเป็นอย่าไปยุ่งกัน อย่าไปมาหาสู่ อย่าไปพูดจาปราศรัย พูดทำไม ไปมาหาสู่กันทำไม เพราะไม่มีวันจำเป็น เรามาบวชมา บวชเพื่อศึกษาและปฏิบัติธรรม ไม่ใช่บวชมาเพื่อนัวเนีย ไม่ใช่บวชมาเพื่อคลุกคลี บวชมาเพื่อคลุกคลีบวชทำไม บวชมาเพื่อนัวเนียบวชทำไม อยู่กับบ้านมันสนุกคลุกคลี ตัวผู้ตัวเมียก็คลุกคลีได้ เราบวชมาเพื่อออกจากเรื่องเหล่านี้ แล้วบวชมาก็ยังจะมีการนัวเนีย คลุกคลี บวชทำไม ไม่ได้ประโยชน์ พูดอย่างนี้เลย
กิเลสมันคลุกคลีนัวเนีย ไม่ใช่ว่าคลุกคลีนัวเนียเฉพาะผู้หญิง ผู้ชายก็คลุกคลีกันได้ นัวเนียกันได้ การบวชออกจากบ้านคือออกจากการนัวเนียซึ่งกันและกันเนี่ยแหละคือออกจากบ้าน กิเลสมันติด แล้วมันไม่อิ่ม ยิ่งหาให้มันกิน มันยิ่งแข็งแรง ยิ่งมีการนัวเนียคลุกคลีเกี่ยวข้องอะไรต่ออะไรมาก อันนั้นมันยิ่งมีกำลังที่จะดูดไปหากันมาก ปราศจากการคลุกคลี มุ่งเพื่อความหลีกเร้น ฝ่าดง เราเป็นอย่างนี้มั้ย เราไม่เป็นอย่างนี้นั่นน่ะ เราไม่ฟังพระพุทธเจ้า สวนทางกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็มีแต่พระเทวทัตเท่านั้นหละจะเป็นแบบฉบับที่สวนทางกับคำสอนพระพุทธเจ้า เราสวนทางกับคำสอนพระพุทธเจ้ามันก็สายเดียวกันกับพระเทวทัต
ต้องดูเราเสมอ บวชเอาเรา บวชสร้างสรรค์เรา บวชตามรอยยุคลบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้บวชมาตามมาที่ชาวบ้านเค้าเดิน บิณฑบาตก็คลุกคลี กลับมาก็นัวเนีย กินแล้วก็ไม่พอ มันน่าบิดหูให้มันขาดซะเนี่ย คำสอนพระพุทธเจ้าสอนไม่สนใจนี่ หูนี่มันหูใช้ไม่ได้นี่ หลีกเร้น ไม่มีการคลุกคลีซึ่งกันและกัน หูมันมีนี่ หูอันนี้มันไม่ดีนี่ บิดให้มันขาดให้โยนใส่สระให้ปลามันกิน หมดเรื่อง ที่จริงไม่อยากเจ็บก็อย่าไปสวนทาง ใช้หูของเราให้เป็นหูดี ถ้าอยากเราไม่อยากเสียหู ใช้สายตาให้เป็นประโยชน์ ใช้สายตาให้เป็นประโยชน์ อย่าใช้แต่หูคอยแต่เค้าจะบอก คอยแต่เค้าจะบอก คอยแต่ท่านจะบอก คอยแต่ท่านจะบอก
ใช้สายตาให้เป็นประโยชน์ ใช้ใจให้เป็นประโยชน์ อะไรพอหยิบ อะไรต้องหยิบ หยิบทันที อะไรพอทำ ทำทันที พอลุก ลุกทันที พอนั่ง นั่งทันที อย่าไปแข็งกระดูกกระดี่ พอนั่ง ควรที่จะนั่ง นั่งทันที เจรจาปราศรัยผู้หลักผู้ใหญ่ ควรที่จะลุก ลุกทันที หยิบนั่นฉวยนี่ไปทันที อย่าไปอืดอาด อืดอาดเหมือนกับอะไรดึงแข้งดึงขาไว้นี่ บิณฑบาตเดินมารีบกลับ ข้อปฏิบัติเยอะแยะ จัดนั่นจัดนี่ ดูนั่นดูนี่ กลับมาก่อนข้อวัตรปฏิบัติของผู้มาก่อนทำอย่างไร นี่ คอยดูล้างบาตร คอยดูล้างเท้า คอยดูเช็ดเท้า คอยดูรับผ้าไตร ผ้าสังฆาฏิ เยอะแยะ
บางทีมีแต่เดินทอดน่อง เดินทอดน่อง เดินแกว่งแขน ไม่สนใจอะไร ของปฏิบัติข้างหน้าควรที่จะไปทำอะไร มีแต่มาอย่างนี้ ถึงแล้วอย่างนี้ สิ่งที่ควรทำ มีนะบางทีไม่สน มันลักษณะคนเบลอ คนเบลอเหรอมันจะทันกิเลสเจ้าของ ตัวกิเลสมันทำให้เป็นอย่างนั้น มันทำจนกระทั่งใจมันเบลอไปหมด มองอะไร เป็นข้อปฏิบัติมองไม่เห็น กิเลสหรือมันจะทำลายกิเลส มันก็มีแต่เบลอไปมาก เบลอมากไปหน้าเท่านั้น สิ่งที่เป็นปฏิบัติมองไม่เห็น แต่สิ่งที่จะแล่นไปหากองฟืน กองไฟ อันนั้นน่ะรวดเร็วที่สุด เรื่องของกิเลสเป็นอย่างนั้น เรื่องของจิตที่เบลอด้วยอำนาจกิเลสเป็นอย่างนั้น ข้อปฏิบัติที่จะเป็นไปเพื่อประโยชน์สร้างสรรค์ไม่เห็นดอก การกระทำที่จะเป็นไปเพื่อแล่นใส่กองฟืน กองไฟ อันนั้นรวดเร็วที่สุด
การใส่บาตรกัน พระผู้ที่ถือธุดงควัตร หมายถึงว่ารับเฉพาะบิณฑบาต ในเมื่อนั่งแล้ว อันนี้ไม่ค่อยจะเห็นด้วยเท่าไหร่ ผู้ที่จะใส่บาตรให้ใส่เวลาเดินมา จะเดินตรงไหนอยู่ขณะนั้นน่ะ มีอะไรไปใส่กันได้ เรียกว่ารับบิณฑบาต เห็นมานั่งแล้วเอามาใส่บาตรอย่างนั้น รู้สึกว่ามันตลกๆว่ะ มันก็ไม่ใช่ของบิณฑบาตทั้งนั้นน่ะ จะว่าพอใจในของใส่บาตร บางทีไม่ใส่บาตรซะ วางข้างนอก มันเป็นเรื่องตลก มันไม่เป็นไปเพื่อการขัดเกลาอะไร เป็นอยู่ว่า เออ คล้ายๆกับว่ามันตัดในการที่จะไปเลือกในหม้อน้อยหม้อใหญ่ เออ อันนี้ก็เป็นประโยชน์อยู่ แต่ก็ให้มันชัดเจนยิ่งกว่านั้น นั่งแล้วไม่เอา ต้องเป็นอย่างนั้น เลิกจากบิณฑบาตแล้วไม่รับ จึงจะถือว่าบิณฑบาต ฉันเฉพาะบิณฑบาต นี่นั่งก็ยังรับ แล้วไม่ใช่รับในบาตรนะ วางไว้ข้างนอกก็ฉัน มันมองไม่ออก ไม่ใช่จะหาตำหนินะ แต่เราควรที่จะให้มันสมบูรณ์ ผู้ที่จะใส่บาตรเอื้ออาทรด้วยน้ำใจต่อหมู่เพื่อน อันนี้ก็ต้องให้มันสมบูรณ์ ไม่ใช่ทำให้มันเสียบรรยากาศ
พระศาสนาอยู่กับผู้ตั้งใจปฏิบัติ พระศาสนาไม่ใช่อยู่กับบวชเป็นประเพณี ไม่ใช่อยู่กับชาวพุทธเต็มโลก พระพุทธเจ้าเทศนา ไม่ใช่พยากรณ์ จะว่าพยากรณ์ก็ช่าง ทรงตรัสไว้ พระพุทธศาสนาจะหมดจะสิ้นเพราะชาวพุทธ นั่น! พุทธศาสนาจะเจริญไม่ใช่เพราะว่าชาวพุทธเต็มโลก ชาวพุทธเต็มโลกบางทีมีส่วนทำลายให้เสียมากเท่านั้น ชาวพุทธน้อยก็มีส่วนทำลายให้เสีย ชาวพุทธน้อยก็สร้างสรรค์ทรงพระศาสนาไว้ได้ ทรงข้อปฏิบัติ ทรงข้อปฏิบัติ ตั้งแต่เช้า ตั้งแต่เช้าไปหาค่ำ ตั้งแต่เช้าไปหาค่ำ เราจะมั่นคงอยู่ในข้อปฏิบัติให้ครบถ้วน จะไม่ละเลยเล็กๆน้อยๆ ต่างองค์ต่างมั่นคงตั้งใจไว้อย่างนี้ งดงามที่สุด เจริญที่สุด ตามหน้าที่ที่พระพุทธเจ้าสอนให้ทำ มอบหมายให้เป็นหน้าที่ของเรา บิณฑบาตก็สำรวมทั้งไปทั้งมา กลับก็สำรวมทั้งกลับ จัดบิณฑบาตอะไรต่ออะไรก็สำรวม ฉันก็สำรวม ล้างบาตรก็สำรวม เช็ดบาตรก็สำรวม เก็บบาตรก็สำรวม ข้อวัตรปฏิบัติหลังจากฉันในโรงฉัน ก็ระมัดระวัง มีสติ มีอะไรใช้สายตาให้รอบคอบ ไม่มีอะไรแล้ว เก็บบาตร เก็บจีวร กลับกุฏิ มีสติในทุกขั้นตอน จะไปใช้ห้องน้ำก็มีสติ จะเก็บผึ่งจีวร ผึ่งบาตร มีสติ เป็นข้อปฏิบัติทั้งนั้น ตั้งใจทำเป็นข้อปฏิบัติ
ไม่ตั้งใจทำ ไม่เคารพในการทำ เดินจงกรมก็ไม่เป็นข้อปฏิบัติ นั่งสมาธิก็ไม่เป็นข้อปฏิบัติ เป็นพิธีการไป ฟังให้มันดีนะ ฟังให้มันเข้าใจ เดินจงกรมก็ไม่เป็นข้อปฏิบัติ นั่งสมาธิก็ไม่เป็นข้อปฏิบัติ ถ้าหากว่าไม่ทำด้วยความเคารพ ไม่ทำด้วยความตั้งใจ ต้องทำด้วยตั้งใจ ทำด้วยความตั้งใจ ทำด้วยความตั้งใจ นั่นคือการทำด้วยความเคารพ เคารพในพระพุทธเจ้า เคารพในพระธรรม เคารพในพระสงฆ์ คือเคารพในการกระทำของเรา คือการตั้งใจ เอาให้มันได้ผลนะเดี๋ยวเนี้ย ไอ้ทำไม่ได้ผลน่ะทำผิดนะ ผิดคือยังไงหละ ผิดคือ ไม่ตั้งใจ หรือตั้งใจไม่พอ
มันต้องลุย มันต้องสู้ ว่างั้น มันต้องสู้ มันต้องสู้ เราต้องให้ได้ เราต้องให้ได้ เราต้องเอาให้ได้! มันต้องเป็นอย่างนั้น คำว่านัวเนีย เรื่องโลกเรื่องอะไรต่ออะไรมันมี นัวเนีย เรื่องหมู่เรื่องเพื่อน เดินนัวเนีย เรื่องผู้นั้นผู้นี่มันมี ไม่ใช่มาก ก็มันมีน้อยๆก็มี ใจของเรานี่ต้องดูอยู่ตลอดเวลา มันเป็นยังไง มันไปไหน มันไปหาคลุกคลีอะไร คำว่าคลุกคลีๆ ไม่ใช่ไปคลุกคลีข้างบ้านนะ คลุกคลีกุฏินั้น คลุกคลีกับพระองค์นั้น คลุกคลีหลวงพี่องค์นี้ หลวงน้ององค์นั้น ไอ้คำว่าคลุกคลีนี่ มันไม่เฉพาะผู้หญิง ผู้ชายนะ ตัวผู้ๆคลุกคลีกัน ตัวเมียๆคลุกคลีกันก็มี มันมีแต่ทำลายเราทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักบวชอย่างเราๆ อย่าให้มันมี ถึงไม่มีอะไรนั่นคือมี มีการคลุกคลี มีการนัวเนีย ไปมาหาสู่ ไปมาหาสู่ นั่นน่ะ รับถ่ายทอดซึ่งกันและกัน ถ่ายทอดซึ่งกันและกัน เรื่องไม่เป็นเรื่อง ถ้าหากไม่ไปรับอย่างนี้ มันไม่ไปดอก ไม่พอใจอย่างในเรื่องนัวเนียอย่างที่โลกเค้าเป็น มันไม่ไปหรอก
เราไม่แก้เรา ใครจะแก้เรา พระพุทธเจ้าสอนให้เราแก้เรา สอนให้เราพึ่งเรา พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ก็จริง แต่เรานี่ก็ต้องพึ่งเราเข้าใจมั้ย ธรรมะเป็นธรรมตัดกิเลส แต่เราต้องกำจัดกิเลสเรา ไม่ใช่เรานอนอยู่จะให้ธรรมะกำจัดกิเลส มันดื้อหลายก็เอาหัวนี่โขกใส่ก้อนหินซักโป๊กสองโป๊ก ให้เลือดมันออก นั่น อันนั้นก็เป็นการดัดกิเลสเจ้าของน่ะ มันเจ็บแล้ว เอ้อ! ไอ้ตัวที่มันฟู่ เหมือนกะฟองสบู่ มันก็ยุบลงไปแล้ว ฟู่เหมือนกับน้ำเดือดปุดๆๆน่ะ มันก็ยุบลงไปน่ะ เหมือนกับเอาน้ำเทใส่ มันก็ยุบลงไป กิเลสมันฟูขนาดไหน กิเลสมันก็ยุบไม่เป็น กิเลสมันฟูขนาดไหน กิเลสมันก็ดับไม่เป็น จึงต้องมีอุบายเข้าใจมั้ย ถ้าหากว่าไม่มีอุบาย กิเลสจะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง และทุกขณะด้วย ถ้าหากว่ากิเลสมันอนุโลมได้ อนุโลมได้ คำสอนพระพุทธเจ้าทั้งหมดนี่ต้องมีส่วนอนุโลมกิเลส คำสอนพระพุทธเจ้าทั้งหมดนี่ฆ่ากิเลสทั้งนั้น
อยู่ด้วยกันไม่ใช่ว่าไม่ไปมาหาสู่แล้วจะเป็นลักษณะเป็นโกรธกัน ไม่เป็นอย่างนั้น นึกถึงกันก็นึกด้วยน้ำใจ มีอะไรเอื้ออารี มีอะไรพึ่งพาอาศัย มีอะไรช่วยกัน ไม่มีอะไรแล้วไม่ต้องเกี่ยวข้องกัน หน้าที่การงานของเรานี่ยังมองไม่เห็นช่องทาง ว่ามันจะเรียกว่ามันครึ่งตายครึ่งอยู่ หน้าที่ของเราๆ มันเหมือนกับครึ่งตายครึ่งอยู่ ไม่รู้จะตายวันไหน ไม่รู้จะตายวันไหน เราก็ยังจะไปสนุกสนานกับแสงสี ที่กิเลสมันเอามาเป็นยาหอมให้เราลืมตัว ลืมสภาพของเรา มันทำให้เราลืมตัว มันทำให้เราลืมสภาพของเรา
แล้วไอ้กิเลสมันก็พยายามจะปกปิดสภาพของเรา เอาอันนั้นมาล่อ ๆ นี่ เรียกว่าตายทั้งเป็น เย ปมตฺตา ยถา มตา ผู้ประมาทแล้วเหมือนคนตายแล้ว ประมาทก็คือสนุกสนานอยู่กับเครื่องล่อของกิเลส สนุกสนานสิ่งที่มีในโลกที่กิเลสเค้าโกหกหลอกลวงว่าเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่น่าใคร่น่าปรารถนา เป็นสิ่งที่มีค่า มีราคา ประมาททั้งนั้น ไม่เอาอะไรซักอย่างของโลกนี่ แต่เรายังเอาเราไม่ได้ เราจะเอาโลกได้ยังไง เราก็ยังเอาของเราไม่ได้ซักชิ้น เราจะเอาของในโลกได้ยังไง เทศนาสอนเราอยู่ตลอด นี่ปล่อยให้กิเลสมันเทศนาสอน นั่งมากมันก็จะเดี๋ยวเป็นเหน็บชา เดินมากเดี๋ยวก็จะเป็นโรคกระดูกทรุด ต้องพักผ่อนมากๆ อะไร!
สารพัดมันดึงไป ดึงให้เราหันหลังใส่ข้อปฏิบัติ ดึงให้เราหันหลังใส่ทางเดินจงกรม หันหลังใส่การนั่งสมาธิ ดึงจิตดึงใจของเราขณะเดินจงกรม มันก็ยังดึงไป เรื่องของมัน เรานั่งสมาธิอยู่ มันก็ยังดึงไป เรื่องของมัน มันพยายามดึงทุกขณะในเมื่อขณะใดที่มันมีโอกาส โอกาสเราต้องตัด เราต้องตัด เราต้องพยายามปิดโอกาส อย่าให้มันมีโอกาส ด้วยการตั้งใจของเรานี่
การตั้งใจเป็นธรรมะ ในเมื่อตั้งใจแล้ว กิเลสมันเข้ามาใกล้ไม่ได้ ตั้งใจแล้วมีแต่กิเลส มันจะถอยหลัง ตั้งใจแล้วกิเลสมันมีแต่จะกระดอนออกไป จึงให้พากันรู้จักคำว่าตั้งใจ ทำใจของเราให้มันเป็นอย่างคำพูดอันนี้ ไอ้คำว่าไม่คลุกคลี ไม่คลุกคลี ทำใจของเราให้เป็นอย่างที่ว่าไม่คลุกคลี หลีกเร้นจากการคลุกคลี เราทำใจของเราให้หลีกเร้น พระศาสนานี่จะคงอยู่ในโลกตลอดกาล ถ้าหากว่านัวเนีย นัวเนียๆ พระศาสนาไม่นานหรอก หมด เพราะใจมันเป็นโลก ใจมันเป็นโลก แล้วพระศาสนาอยู่ตรงไหน อยู่กับหัวใจที่โลกเต็มอยู่ในหัวใจนั้นเหรอ จึงว่าชาวพุทธเต็มโลกก็ช่างเถอะ พระศาสนาหมด ล่มจมเพราะชาวพุทธเท่านั้น ถ้าหากว่าชาวพุทธเต็มโลก ละเลยข้อปฏิบัติ ไม่มีข้อปฏิบัติ ชาวพุทธ ชาวพุทธเดี๋ยวนี้ใครเห็นคุณค่าของการรักษาศีลบ้าง พูดถึงทั่วไป ชาวพุทธเดี๋ยวนี้เงินมีค่ากว่าศีลธรรมของพระพุทธเจ้า นี่หมายความว่ายังไง ไม่มีแล้ว มันไม่มีแล้ว!
หวงที่สุด กลัวที่สุด กลัวพระพุทธศาสนาจะหมด หวงที่สุด กลัวที่สุด คนไม่มีข้อปฏิบัติแล้วกลัว คนมีข้อปฏิบัติไม่กลัวดอก จริงนะ จะกลัวยังไง จะไปไหน ไม่มีใครมาทำลายได้เด็ดขาด หวงซะขนาดไหน หวงซะขนาดไหนหละ ข้อปฏิบัติไม่มี นั่นคือการทำลาย พากันตั้งใจ ลองดูนะ พากันให้ดูคำว่าตั้งใจกัน ทำใจอย่างไรจึงเรียกว่าตั้งใจ คำว่าหลีกเร้น ทำอย่างไรจึงจะเรียกว่าหลีกเร้น การหลีกเร้นและการไม่คลุกคลีนี่เหมือนกัน ไม่คลุกคลีคือหลีกเร้น หลีกเร้นคือไม่คลุกคลี
อยู่กับเรา อยู่กับเรา อยู่กับธรรม อยู่กับการศึกษา อยู่กับการพิจารณาของจริงที่เรามีอยู่ นี่หละเรียนธรรม เรานี่จะเป็นผู้ที่ทรงศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ เรานี่หละจะเป็นผู้ที่ทรงมรรคทรงผลทีเดียว เพราะข้อปฏิบัติก็คือมรรค มรรคส่วนเหตุ ตั้งใจขึ้นมาขณะนั้น ศีลสมาธิปัญญาเกิดขึ้นแล้ว เกิดขึ้นตามกำลังของการตั้งใจ มันไม่ได้อยู่ไกลนะ ไม่ตั้งใจ ศีลก็ไม่มี ไม่ใช่โกนผมเป็นศีล นุ่งเหลืองเป็นศีลนี่ นุ่งเหลืองบางทีกลายเป็นโจรก็มีนะ โจรนั่น โจรโน่น โจรไปหานั่น โจรไปหานี่ กระโดดกระโจนไปแล้ว ลาภอยู่ไหน ยศอยู่ไหน ตะเกียกตะกาย นี่ กลายเป็นโจร กระโจนไปใส่ รูป เสียง กลิ่น รส แสงสีแว้บๆ แว้บๆอยู่ตรงไหน กระโจนใส่แล้ว เห็นแสงเห็นสีอะไรวับๆแว้บๆ กระโจนไปใส่นะนั่น นุ่งเหลืองกลายเป็นโจร โจนไปหาแต่เรื่องกิเลสตัณหา
นักบวชต้องหลีกเร้น พยายามที่จะหลีกเร้นจากเรื่องนั้น ที่กระโจนไปหา ที่กระโจนไปหา พยายามไม่เอาใจไปเกี่ยวข้อง ไม่กระโจนไป นั่น เป็นนักบวช เป็นผู้ที่ทวนกระแส เป็นผู้ที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า อย่าไปว่ามหาโจร มหาโจรนั่นแหละ ท่านผู้นั้นเป็นมหาโจร ท่านผู้นั้นเป็นมหาโจร ต่างคนก็ต่างกล่าว ต่างคนก็ต่างกล่าวหา ต่างคนก็ต่างพูดได้ พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้กระโจนไปตำหนิกัน และก็ไม่ให้กระโจนไปชมกัน ตำหนิ ตำหนิเรา ชม ชมเรา เป็นข้อปฏิบัติทั้งนั้น จึงพากันตั้งใจให้ยิ่ง ตั้งใจให้เต็มที่ ศีล สมาธิ ปัญญาจะเกิดขึ้นในขณะที่เราตั้งใจเต็มที่นั้น ศีลสมบูรณ์คือจะเอียงซ้าย เอียงขวาไปในสิ่งที่ตาหูสัมผัสรูปสัมผัสเสียงไม่มี สมาธินั้นแน่น แน่นๆๆๆ ที่มันไม่แน่นน่ะคือไม่มีความตั้งใจ ที่มันไม่แน่นน่ะคือศีลก็ไม่มีกำลังหรอก ศีลก็ไม่แน่นหนาแล้ว ศีลมันก็โลเล ศีลมันก็เหลวไหล มันไหล ไหลไปสู่ที่ต่ำเท่านั้น นั่น! ใจไม่เป็นศีลเป็นอย่างนั้น
ข้อวัตรปฏิบัติส่วนรวม ส่วนมากก็เรียกว่าพากันใส่ใจก็ได้ในสายตา แต่ข้อวัตรปฏิบัติส่วนรวมนั้น อย่าทำสักแต่ว่าเป็นพิธี ทำใจไปด้วย ทำใจไปด้วย ทำใจไปด้วย เราจะปัดกวาดนี่ จะระลึกถึงพุทโธไม่ขาด เราปัดกวาดอยู่นี่ จะระลึกถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาไม่ขาด เพราะใบไม้นั้นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาทั้งนั้น ทุกใบ แม้แต่ยังไม่หล่นลงมา ก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่ยังไม่ทันเกิด ก็ยังเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่าสักแต่ว่าทำ อย่าสักแต่ว่าทำ จะปัดศาลา จะถูศาลา จะเช็ดตรงไหนก็ช่าง อันนั้นก็ให้เป็นข้อปฏิบัติ อย่าเช็ดแต่ข้างนอก อย่าถูแต่ข้างนอก ฝุ่นละอองที่มันเกาะในเรานี่ มีความจำเป็นมากยิ่งกว่าข้างนอก ทำอะไรต้องมุ่งในการที่จะเป็นข้อปฏิบัติจิตใจไปด้วย
ข้อภายนอกก็สมบรูณ์ ภายในก็สมบูรณ์ ภายในก็แน่นหนา อย่าพอใจแต่ข้างนอก ปัดกวาดบางทีอะไรต่อมิอะไรก็ไม่รู้ บางทีเดินห่างๆก็ได้ยินเสียงแล้ว ธัมมสากัจฉาอย่างชาวโลกเค้าเป็นกัน ปัดศาลาถูศาลาก็ต้องระมัดระวัง สำรวมใจไว้ สำรวมใจไว้ กินน้ำร้อนกินน้ำชาก็ต้องระวัง อาบน้ำอาบท่าก็ต้องระวัง แต่คำว่าปล่อยใจอย่าให้มี เอ้า! ให้พากันเข้าใจว่าตั้งใจกันนะ การปฏิบัติธรรมของเราจะก้าวหน้า ถ้าหากว่าหละหลวมในการตั้งใจแล้ว มันไม่ใช่ว่ามันไม่ก้าวหน้านะ มันถอยหลัง ขาของเราไม่ใช่มันจับเราก้าวถอยหลังดอก มีแต่เราก้าวออกเอง