หลวงพ่อชา สุภัทโท
พากันตั้งใจฟังโอวาท ซึ่งคณะแสวงบุญทั้งหลายที่มาวัดป่าพงนี้ก็หลายรอบแล้ว แต่ว่าไอ้คนที่เคยมาแล้วก็มี ที่ยังไม่เคยมาก็มี วันนี้ก็คงเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน การทัศนศึกษาหรือทัศนาจร การทัศนาจร การทัศนศึกษา อันนี้ชื่อว่าเราสร้างให้มันเกิดประโยชน์ตน ประโยชน์คนอื่น สมัยก่อนชาวกรุงกับภาคอีสานนี้ ไม่มีหวังที่จะพบกัน เพราะทางคมนาคมก็ลำบาก ทุกวันนี้รู้สึกว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผู้มีกำลังปัญญามีศรัทธา ชักชวนญาติพี่น้องขึ้นมาภาคอีสานนี้ ซึ่งก็ถือว่าภาคอีสานนี้เป็นสถานที่แห้งแล้วเป็นต้น แต่ว่าเวลานี้ก็พอจะอยู่ได้ แต่บางคนชาวกรุงเทพมาไม่อยากกลับบ้านก็มี มันเป็นบางแห่ง อย่างนี้แหละที่เรียกว่า เค้าเล่าว่ามันเป็นอย่างนั้น ว่ามันเป็นอย่างนี้ ถ้าเราได้ยิน เราก็เชื่อซะว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ อันนั้นมันก็ไม่ใช่เป็นของแน่นอน ถ้าเราได้เดินมาทัศนาจร ทัศนศึกษาด้วยตนเองอย่างนี้แล้วเป็นต้น ก็จะรู้จักว่าสถานที่นี้ หรือภาคอีสานนี้มันเป็นอย่างไร ปัญหาที่จะสงสัยในอันนี้มันก็หมดไปแล้ว เพราะเรามาเห็นด้วยเองตัวเอง
ธรรมะนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น คนพูดก็ดี ท่านอาจารย์เล่าให้ฟังเทศน์ให้ฟังก็ดีเป็นต้น แต่ก็เข้าใจ แต่ยังไม่ถึง เข้าไม่ถึง เข้าไปอยู่ แต่ยังไม่ถึง อันนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น ถ้าเราฟังธรรมเองด้วยการที่คนอื่นเล่าให้ฟังให้โอวาท อย่างปัจจุบันเดี๋ยวนี้เป็นต้นก็เข้าใจเหมือนกัน แต่ว่ามันเข้าใจไม่ถึง มันเข้าใจไม่ถึง เข้าไปเฉยๆแต่ว่ามันไม่ถึง ถ้าเราเอาไปพิจารณาปฏิบัติตามความรู้ความเห็นของเราที่ได้จำมานั้น ก็เรียกว่ามีปัญญาเกิดขึ้น สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการฟัง อันนี้เป็นหลักอันหนึ่ง ฟังแล้วไปคิดพินิจพิจารณาขยายออกให้มันกว้าง และรวมเข้าให้มันน้อย แล้วขยายออกให้มันใหญ่อย่างนี้เป็นต้น เรียกว่าเราเอาไปคิด นั่นก็เกิดปัญญาขึ้นอีกแขนงหนึ่ง เป็นสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา อันนี้เป็นโลกีวิสัย
โลกุตรปัญญานั้นคือปัญญาเกิดจากการปฏิบัติ เกิดจากการรู้เอง เกิดจากการเห็นเอง อย่างญาติโยมมาถึงวัดป่าพงวันนี้ ก่อนๆก็ได้ยินเหมือนกัน เขาเล่าให้ฟัง ก็รู้จักอยู่แต่มันรู้ไม่ถึง วันนี้ได้มาด้วยตนเองถึงวัดป่าพง ได้ฟังโอวาทที่อาตมาให้โอวาทนี้ เรียกว่ามารู้เห็นเองที่วัด และมารู้ตัวอาตมาที่วัดนี้และได้ฟังธรรมะด้วยตนเอง ปัญหาที่จะเกิดขึ้นว่าวัดป่าพงนั้นไกลเท่าไร เป็นอย่างไร ท่านอาจารย์เป็นอย่างไร รูปร่างสัณฐาน วรรณะเป็นยังไง ปัญหาเหล่านี้คงจะหมดแล้ววันนี้ หลังจากญาติโยมทั้งหลายซึ่งได้มาเห็นด้วยตนเอง
อันใดก็อันนั้นก็เหมือนกันฉันนั้น ไอ้ธรรมะซึ่งเป็นของพระผู้มีพระภาคท่านประกาศไว้นั้นเรียกว่ามันเป็นธรรมะ อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราฟังธรรมะ แล้วก็รู้ธรรมะ แล้วก็ปฏิบัติธรรมะ แล้วก็เห็นธรรมะ เพียงเท่านี้ยังไม่พอ รู้ธรรม เห็นธรรม ยังไม่พอ จะปฏิบัติต่อไปอีกว่าจนกว่าตัวเราเป็นธรรม ให้จิตใจเรามันเป็นธรรม รู้ธรรมก็ไม่เอา เห็นธรรมก็ไม่เอา ปฏิบัติธรรมก็ไม่เอา เป็นต้น จะต้องเห็นธรรม จะต้องเป็นธรรม พูดก็เป็นธรรม การนึกคิดเป็นธรรม อะไรมันเป็นธรรมไปทั้งนั้น ถ้าหากว่าเราเป็นเช่นนั้น ปัญหาที่เราจะทัศนาจรไอ้ข้างนอกนั้นมันก็หมดไป แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันเกิดแก่การรู้ การเห็น การเป็น การเดินมาทัศนาจรเห็นนั่นแหละ อันนี้เป็นตัวอย่าง
ฉะนั้นการปฏิบัตินี้จึงเป็นของที่สำคัญ มันก็เปรียบกันกับที่ว่าเราไหว้พระพุทธ ไหว้พระธรรม พระสงฆ์ ก็เพราะเรานับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่ความเป็นจริงเราก็ไหว้ไปอย่างนั้นก็มี ว่าพระพุทธมันเป็นยังไงเราก็ไม่รู้จัก ได้ยินข่าวบอกพระพุทธท่านดี ท่านเลิศประเสริฐ ก็กราบท่าน พระธรรมนั้นท่านดีเลิศประเสริฐ ก็กราบท่าน พระสงฆ์นั้นท่านประพฤติปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เลื่อมใสก็กราบอย่างนี้ แต่ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นยังไง พระธรรมนั้นเป็นอย่างไร พระสงฆ์นั้นเป็นอย่างไร หารู้ไม่ เพราะยังไม่เข้าใจ เพราะขาดการปฏิบัตินั่นเอง หรือเราจะคิดไปว่าสมัยนี้ถ้าเราเกิดพร้อมพระพุทธเจ้า เราคงจะเห็นธรรมะง่ายขึ้น บัดนี้ท่านนิพพานไปแล้วนานเสีย มันสายไปแล้ว เราถึงเกิดมาพบแต่คำสอนของท่าน ถ้าหากว่าพระพุทธองค์ยังอยู่ ฉันก็จะบวชเหมือนกันแหละ ใครก็จะบวชเหมือนกันแหละ…เปล่า ไม่เป็นเช่นนั้น
พระพุทธเจ้าท่านยังไม่นิพพาน พระพุทธเจ้าท่านยังไม่ตาย พระพุทธเจ้ายังมีอยู่ และทรงพระกรุณาที่จะพยายามโปรดสัตว์ทั้งหลายอยู่ทุกเวลา แต่เราไม่ค่อยจะรู้เรื่องกัน เป็นต้น เพราะอะไร เพราะเราไม่เข้าใจในธรรมะ ธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านี้แหละ ที่มันมีอยู่ ธรรมะนี้เป็นของมีอยู่ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา พระพุทธเจ้าจะรู้ก็มีอยู่ พระพุทธเจ้าไม่รู้อันนี้ก็มีอยู่ พระพุทธเจ้าจะเกิดอันนี้ก็มี จะไม่เกิดก็มีอยู่ ส่วนนี้เรียกว่าธรรมะ ธรรมส่วนนี้ที่จะทำพระพุทธเจ้าคือสิทธัตถะราชกุมารนี่ให้เป็นพระพุทธเจ้า ก็เพราะธรรมอันนี้ไม่ขาดไปจากโลกนี้ทีเดียว อันนี้คือสัจธรรม คือความจริง มันเป็นธรรมชาติ เป็นของประจำโลกอยู่อย่างนี้ ไม่ได้ไปที่ไหน แม้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรา ท่านมีบุญญาบารมีมาก มีปัญญามาก จึงมาค้นพบของเก่ามีเอง เรียกว่าธรรมเก่าของ ของเก่าคือความจริงนี้มันมีอยู่ ท่านก็เข้าใจในสภาวะธรรมะทั้งหลายเหล่านั้น เอาไปประพฤติปฏิบัติเป็นต้น ก็รู้แจ้งแทงตลอดสิ่งทั้งหลายทั้งปวง เป็นสัจธรรมอยู่ในใจของท่าน นั่นเองธรรมทั้งหลายเหล่านี้แหละทำพระพุทธเจ้าให้เป็นพระพุทธเจ้า หรือทำสิทธัตถะราชกุมารให้เป็นพระพุทธเจ้า
สิทธัตถะราชกุมารแต่ก่อนก็เหมือนเราทุกคนที่นั่งอยู่นี่แหละ เป็นธรรมดา หรือเป็นธรรมชาติอย่างนี้ แต่ว่าพวกเรานี้ปัญญามันน้อย บุญวาสนาบารมีมันน้อย ไม่เหมือนท่าน ท่านจึงบรรลุธรรมะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นต้น จึงได้ชื่อว่าท่านตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า คือตรัสรู้ธรรมะอันแท้จริงนี่เอง ไม่ตรัสรู้อย่างอื่น ไอ้ความเป็นจริง ตา หู จมูก ลิ้น กายของท่านก็ยังอยู่อย่างเก่าน่ะแหละ ยังอยู่อย่างเก่า ตาเห็นรูป หูฟังเสียง ก็ยังเห็นอยู่อย่างเก่านั่นแหละ อันไหนสวยไม่สวย อันไหนงามไม่งาม ดีไม่ดี ก็รู้สึกอยู่อย่างเก่า แต่ว่าอันนี้มันเป็นโลกีวิสัยเป็นต้น
ท่านเกิดสองครั้ง พระพุทธเจ้าของเรา รูปกายของท่านเกิด เกิดเมื่อครั้งเดียว คือกำเนิดเกิดน่ะครั้งเดียว นามกายของท่านน่ะเกิดครั้งที่สอง สองครั้ง ครั้งที่สองก็ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า คือมันเปลี่ยน ด้านจิตใจมันเปลี่ยนไปหมดทุกอย่าง นามกายอันหยาบนั่นก็หายไปหมดเป็นต้น คือความไม่บริสุทธิ์ทั้งหลายนั่นหายไปจากจิตใจของท่าน ก็เรียกว่าท่านตายไป ท่านตายไป ที่เกิดมาแล้วก็ตายไป นามกายที่บริสุทธิ์ผุดผ่องอันเกิดมาจากวิชชาจรณะทั้งหลายนี้เป็นต้น เป็นนามกายที่เกิดเป็นครั้งที่สอง ดังนั้นจะเปรียบว่าพระพุทธเจ้าเกิดสองครั้งก็ได้ เกิดด้วยรูปกาย ครั้งหนึ่ง นามกายครั้งหนึ่ง เกิดนามที่บริสุทธิ์ผุดผ่องนี่เป็นพระพุทธเจ้า นี่ก็เพราะอะไร ท่านก็อาศัยทัศนาจรเหมือนพวกเรานี่เอง เหมือนกันกับพวกเรา ชื่อทัศนาจรเหมือนกัน ทัศนศึกษาก็เหมือนกัน แต่ว่าความรู้ความเห็นอาจจะเป็นคนละอย่างกับพวกเรา พวกเราอาจจะไปดูต้นไม้ อาจจะไปดูแผ่นดิน อาจจะไปดูต้นหญ้าแล้วก็เพลินไปอย่างนั้นก็ได้ ฉันได้ไปที่นั่นๆสนุกดี ที่นั่นไม่สนุกดี คงจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ แต่ว่าก็ยังดีกว่าคนที่ยังไม่ได้มาเห็นอย่างนั้น นี่ทัศนาจรตามธรรมชาติ
พระพุทธเจ้าท่านทัศนาจรด้วยปัญญาญาณของท่าน รู้สรรพสัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาล้วนเกิด แก่ เจ็บ ตายทั้งโลกเนี่ย ท่านก็เห็นชัด อดีตท่านก็เห็นชัด ปัจจุบันท่านก็เห็นชัด อนาคตท่านก็เห็นชัด เห็นชัดว่าโลกเนี้ยมันก็ไม่มีอะไร มีแต่เรื่องมันเป็นอย่างเนี้ย เรื่องมันเป็นอยู่อย่างนี้ ไม่ใช่อย่างอื่น มันจะดี มันจะชั่ว มันก็เป็นอย่างนี้เองของมัน เกิดขึ้นในเบื้องต้น กลางมันก็แปรไป แปรไปในท่ามกลาง ผลที่สุดมันก็เสื่อมไป ถ้าอย่างนั้นให้รู้จักว่าคุณประโยชน์ของความดีและความชั่วทั้งหลาย
ก็เหมือนกันกับที่โบสถ์วัดป่าพงวันเนี้ย ที่มาดูวันเนี้ย อาตมาก็นั่งดูคอยสังเกตดู เอ้ บางคน แหม(โบสถ์)มันสวยเหลือเกิน แต่บางคนก็ แหมไม่สวยเลย มันแปลก ไม่เหมือนโบสถ์ มันก็ไม่เป็นอะไรนะ ไอ้คนที่ว่าโบสถ์สวย กับคนที่ว่าโบสถ์ไม่สวย ก็มีราคาเท่ากัน คนที่ว่าสวย ก็ว่าคำสองคำก็กลับบ้านเค้าแล้ว ไอ้คนที่ว่าไม่สวยก็คำสองคำเค้าก็กลับบ้านเค้า เค้าไม่ได้มายืนทวงอยู่ตรงนี้กันทั้งปีกับทั้งชาติ อย่างนั้นคนที่ว่าสวยแล้วก็หนีไป คนที่ว่าไม่สวยก็หนีไป โบสถ์ยังอยู่อย่างเก่า
ตัวเราท่านทั้งหลายนี่ก็เหมือนกันฉันนั้น อย่าลืมทัศนาจรหรือทัศนศึกษาด้วยตัวเอง เดินไปโน่นข้างล่างไปถึงปลายเท้า ข้างบนไปถึงศีรษะ ทัศนาจรบนศีรษะไปหาปลายเท้า พิจารณาถึงแต่ปลายเท้าเข้ามาบนศีรษะนี่มันมีอะไรบ้าง นี่เขาเรียกว่ากาย มันมีเท่าเนี้ย ไอ้คนจะเป็นยังไงก็มีเท่านี้ ข้างบนก็ศีรษะ ข้างล่างก็ปลายเท้า หมดแค่นี้ พระพุทธเจ้าท่านให้สอนว่านี่อะไรคือกาย ให้รู้กายของเราส่วนนี้ว่ามันเป็นเสียอย่างนี้ มันมีผิวพรรณวรรณะผ่องใสไม่สะอาด สะอาดสม่ำเสมอกันทั้งนั้นแหละ เป็นอย่างนี้ แต่นี้เราก็เห็นกายข้างนอก ไอ้คนนั้นสวย ไอ้คนนี้ไม่สวย ไอ้คนนั้นสูง คนนี้ต่ำ เป็นธรรมดา แต่ยังไม่เข้าถึงกาย
ถ้าเราทัศนาจรเป็นทัศนศึกษา ในกายก็ละเอียด ไอ้ของที่กายในกายเราเนี่ยอะไรบ้าง ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าให้พิจารณากาย เมื่อเห็นกาย แล้วพิจารณากายในกายอีก มันจะเป็นยังไง ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น คือให้มันแยบคายเข้าไปอีก ว่าเรานั่งดูร่างกายแล้วก็ผิวเผินเท่านั้นแหละ ไอ้คนนั้นสวย ไอ้คนนั้นไม่สวย อย่างนี้เป็นต้น มีความรู้สึกเกิดขึ้นมา อันนี้กายข้างนอก ทัศนศึกษาให้พิจารณากายในกายนั้นมันเป็นยังไง กายในกายของคนทุกคนไม่มีอะไรจะแปลกกันซักนิดหนึ่ง ไม่มีอะไรจะแปลกสักนิดหนึ่ง พูดง่ายๆการทานอาหารตอนเช้าวันนี้หรือตอนเย็นวันนี้ก็เหมือนกัน มีแต่ของดีๆทั้งนั้นมันแปลกกันนะ แล้วก็เข้าใจว่าของมันดีนะ แต่ที่มันเข้าไปมันเป็นของดีนะ มีราคามากต่ำสูงกว่ากันทั้งนั้นแหละ เมื่อเข้าไปในท้องหละออกมาที แหม ราคาเท่ากันเท่านั้นน่ะ ไม่ได้แปลกอะไรกันเลย อันนี้ของฉันราคามาก อันนี้ของฉัน ไม่มีใครแย่งกันเลยเป็นต้น แต่เมื่อจะเข้าไป จานนี้เท่านั้น จานนั้นเท่านี่แย่งซื้อแย่งขายแย่งกินกัน แต่พอมันออกมาแล้วก็มีราคาเท่าๆกันนะ เคยเห็นมั้ย
นี่หละถ้าเราทัศนศึกษาไอ้ภายกายในกาย มันจะรู้เป็นอย่างนี้ เมื่อเห็นเช่นนี้ก็ระลึกเข้าไปอีกว่าเออ คนเรานี่ก็แปลกกันนะ จะไม่ควรยึดมั่น ไม่ควรถือมั่นนะ ก็ต้องเป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านจึงบอกว่า ไอ้การเกิดแก่เจ็บตาย ลักษณะนี่เสมอๆกันทั้งนั้น ท่านจึงให้โอวาทพวกเราท่านทั้งหลายว่า เหมือนญาติพี่น้องอันเดียวกัน เรามาด้วยกัน ไปด้วยกัน อยู่ด้วยกันนี้ เป็นญาติ ญาติคือความเกิด ญาติคือความแก่ ญาติคือความเจ็บ ญาติคือความตาย อันนี้ท่านเรียกว่าเป็นญาติกันทั้งนั้นแหละ นี่มันญาติกัน มันเหมือนกันอย่างนี้ ไอ้บางคนที่ไม่รู้สึกก็เลย เอ้ย ไม่เหมือนกัน ไอ้คนนั้นมันเป็นอย่างนี้ ไอ้คนนี้มันเป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านจับมารวมยอดเลยว่าเหมือนกัน เกิดมาก็เหมือนกัน แก่มาก็เหมือนกัน เจ็บมาก็เหมือนกัน ตายก็เหมือนกัน ไม่มีอะไรจะไม่เหมือนเลย มันเหมือนกันทั้งนั้น มิฉะนั้นพวกเราถ้าเรามองดูกายแล้วก็ให้มองดูกายในกาย ว่ามันมีอะไรบ้าง มันเหมือนกันที่ตรงไหน มันแปลกกันที่ตรงไหน
ถ้าเราเห็นธรรมะอย่างนี้สม่ำเสมอแล้วเป็นต้นนะ ราคะ โทสะ โมหะ มันก็เพลาลงไป มันเหมือนกัน มนุษย์หละมันเหมือนกันทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าไม่มีเหมือนกัน ฉะนั้นท่านจึงจัดเป็นญาติ ญาติคือความเกิด เกิดก็เหมือนกัน แก่มา ญาติคือความแก่เหมือนกัน ญาติคือความเจ็บ มันก็เจ็บเหมือนกัน ญาติคือความตาย ทุกคนมันก็ต้องตายเหมือนกันอย่างนี้ มิฉะนั้นเราไปคิดแยกซะ เราไปคิดแยกซะ เพราะว่าเราไม่รู้จักความเป็นจริง เพราะอะไร เราไปทัศนาจร ก็ไปดูแล้วก็เที่ยวไปดูเฉยๆ ไม่ใช่ทัศนศึกษา ถ้าทัศนศึกษาแล้วก็ปนกันไปด้วยกับทัศนาจร ทัศนาจร ทัศนะ ท่านว่าการดูแล จาระท่านว่าเที่ยวไป ไม่ต้องทิ้งมัน เมื่อเราเดินไปเราต้องพิจารณาเรื่อยๆไป ทัศนศึกษา อันนี้ที่บ้านเรามีมั้ย อันนี้ที่เมืองเรามีมั้ย ไอ้คำพูดเช่นนี้เราเคยได้ยินบ่อยมั้ย หรือเพิ่งได้ยินวันนี้อย่างนี้เป็นต้น เราควรจะพิจารณา อย่างทัศนศึกษา ก็มาจากกรุงเทพอย่างนี้ ก็ไปหาอาจารย์ฝั้น ไปโน่นไปนี่มาแหละ ทัศนะโลกรอบนอก ทีนี้มาถึงวัดป่าพงก็ทัศนามาเรื่อยแหละ
แต่นี้ไปมาถึงเนี่ย ทัศนศึกษา ไปเที่ยวดูในกายของเราให้รู้จักกายของเรา ให้รู้จักกาย ให้รู้เจ้าของอยู่ในกายของเราว่ามีอะไรมั้ย ให้เรารู้จักเช่นนี้ เมื่อได้เห็นเช่นนี้เราจะรู้ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา เมื่อรู้ธรรมะ เราจะปฏิบัติธรรมะ เมื่อปฏิบัติธรรมะเราจะเห็นธรรมะว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง เป็นญาติจริง ญาติความเกิดจริง ญาติความแก่จริง ญาติความเจ็บ ญาติความตาย มันเป็นจริงอย่างนั้น ทีนี้เมื่อเราเห็นฉันนั้นนี่เป็นต้น ก็พยายามปฏิบัติธรรมะให้เป็นธรรม ให้เป็นธรรม ให้เรามันเหมือนกับเขา ให้เขาเหมือนกับเรา เหมือนกันทั้งนั้น เห็นพ่อคนอื่น เราก็เรียกว่าพ่อเรา เห็นแม่คนอื่น เราก็เรียกว่าแม่เรา เห็นของเขาก็เค้าเรียกว่าของเรา ของด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เหมือนกันเท่านั้นแหละ ถ้าเห็นเป็นอันเดียวกันเช่นนี้ เราก็รู้จักธรรมะ เราก็เป็นธรรม เป็นเอโก ธัมโม ธรรมมีอันเดียวเท่านี้ คนก็คือมีคนๆเดียวเท่านี้ ไม่มีคนหลายคน ธรรมะก็คือมีธรรมอันเดียวเท่านี้ ไม่มีธรรมหลายอย่างเช่นนี้
ไอ้ความเห็นของมนุษย์ทั้งหลายมันมารวมกันเช่นนี้แล้วเป็นต้น มันก็สามัคคีกัน สามัคคีความรัก สามัคคีความเมตตาอารีย์ซึ่งกันและกัน ความสามัคคีอันนี้มันพร้อมกันแล้วเป็นต้น มันก็ยกอะไรขึ้นมา ยกคุณงามความดีขึ้นมาสู่ใจมนุษย์ได้ทั้งนั้นแหละ เหมือนเราไปยกท่อนไม้อะไรเป็นต้น เรามีคนซัก๒๐ ๓๐ คน ถ้าไม่สามัคคีกัน ยกขึ้นไม่ได้หรอก ถ้าพร้อมกัน สามัคคีกัน ก็ยกขึ้นประเดี๋ยวเดียวได้ทั้งนั้น ไอ้ของหนักมันก็เบา ของยาวมันก็สั้นเป็นต้น ของยากมันก็ง่ายขึ้น อันนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น เพราะพวกเราทั้งหลายเมื่อเห็นว่าเป็นเช่นนี้แล้ว ตั้งใจเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติแล้ว ถ้าเราไปทัศนศึกษา เราจะอยู่อย่างนี้ เมื่อเรารู้จักกันอย่างนี้ อยู่ที่ไหนก็สบาย ไม่มีอะไรเป็นพิษ ไม่มีอะไรเป็นภัย เพราะอะไร เพราะเปลี่ยนความเห็นเท่านั้นแหละ
ไอ้ความเห็นนี่เป็นสัมมามรรค เป็นมิจฉามรรค ไอ้ความเห็นผิดนี่เป็นมิจฉาซึ่งเกิดขึ้นมาภายในจิตของเรานี่เอง ไอ้โทษทั้งหลายทั้งปวงที่มันจะมีมากเกิดขึ้นมานั้น จะเป็นโทษอย่างร้ายแรงกว่ามิจฉาทิฐิแล้วไม่มีอ้ะ ไอ้ความเห็นผิดพาให้คนต่ำช้าเลวทราม พาให้คนประพฤติไม่ดีไม่งาม ตลอดประเทศชาติจะล่มจมไปก็เพราะความเห็นผิดนี่เอง พระพุทธเจ้าท่านจึงให้ความเห็นผิดนี่คือเทวทัต ท่านมองหาความดีของเทวทัต แต่น้อย ปลายเส้นขนจะมาดีก็ยังไม่ได้เลย ความบริสุทธิ์นั้น ท่านเรียกว่าไอ้ความผิดนั้นแหละเป็นต้นเป็นมิจฉาทิฐิ ถ้ามิจฉาทิฐิเกิดขึ้นมาแล้ว ความทุกข์ยาก ความลำบาก ความร้อนรนกระวนกระวายทุกประการมันพร้อม มันเกิดขึ้นมาเลย ท่านจึงว่ามันเลวที่สุด มันผิดที่สุด เพราะความเห็นผิด เป็นมิจฉามรรคเป็นต้น อันนี้ส่วนหนึ่ง เป็นส่วนที่เราไม่ควรจะศึกษา หรือว่าเราศึกษา เราปัดทิ้งมันไป นี่เรียกว่าละ ไปปฏิบัติละ
สัมมาทิฐินี่คือความสามัคคี ความเห็นชอบ เห็นว่ามนุษย์เราทั้งหลายมันเหมือนกัน เป็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย เหมือนกัน ใครๆก็เหมือนกันทั้งนั้นแหละ มีเกิดเบื้องต้น มีแปรท่ามกลาง มีแปรท่ามกลางที่สุดมันก็มีดับไป เป็นอย่างนี้ทุกๆท่านทุกๆคน ถ้ามาเห็นเช่นนี้มันก็เรียกว่า คนเราก็เหมือนกันเท่านั้นแหละ อยู่ไปเท่านั้น เหมือนกันทั้งนั้น ไม่แปลกอะไรกัน ถ้าไม่แปลกกันก็เข้าชิดกัน เข้าใกล้กัน เป็นญาติกัน เป็นมิตรกัน คือเป็นคนๆเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าความเห็นเราเป็นเช่นนี้ เราก็เป็นธรรม ไปที่ไหนก็เป็นธรรม นั่งอยู่ก็เป็นธรรม เดินไปก็เป็นธรรม ตามองเห็นก็เป็นธรรม หูฟังเสียงก็เป็นธรรม จมูกดมกลิ่นก็เป็นธรรม ลิ้นลิ้มรสก็เป็นธรรม มันเป็นซะอย่างนี้
เมื่อเราเห็นเช่นนี้เรียกว่าเราเข้าไปเห็นธรรมะ เมื่อเห็นธรรมะเราก็เห็นพระพุทธเจ้า เราใกล้พระพุทธเจ้า ถ้าเราใกล้ธรรมะ เราก็ใกล้พระพุทธเจ้า ถ้าเราเห็นธรรมะเราก็เห็นพระพุทธเจ้า ทำไม ก็พระพุทธเจ้าก็คือธรรมะนั่นแหละ พูดเรื่องจริงๆหละ ก็คือธรรมะ ธรรมะก็เหมือนกับพระพุทธเจ้านั่นเอง สิทธัตถะราชกุมารแต่ยังท่านไม่บรรลุธรรมะคือคำสอนเหล่านี้ ท่านก็เป็นคนธรรมดา ถ้าท่านเห็นธรรมะอันนี้ ท่านก็เป็นพระพุทธเจ้า ก็แสดงว่าบ่อเกิดของพระพุทธเจ้าคือธรรมะ ถ้าเรารู้จักธรรมะเป็นต้น ก็รู้จักพระพุทธเจ้า เราเข้าไปใกล้ธรรมะก็ใกล้พระพุทธเจ้า ถ้าเราเห็นธรรมะ เราก็เห็นพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้ายังอยู่ มิใช่ว่าท่านหนีไปแล้ว ท่านยังอยู่ ทุกวันนี้ท่านจะยังคอยจะโปรดสัตว์ทั้งหลาย ผู้ที่มีความเข้าใจประพฤติปฏิบัติตามเป็นต้น ก็เพราะว่าสิ่งที่ผิดมันมีอยู่แล้ว สิ่งที่ถูกมีอยู่แล้วเป็นต้น ถ้าทำผิดมันก็ผิด ถ้าทำถูกมันก็ถูก เป็นเช่นนั้น เพราะความจริงมันมีอยู่ นี่คือสัจธรรม สัจธรรมนี้ทำคนให้เป็นพระพุทธเจ้า สัจธรรมนี้ทำมนุษย์ให้เป็นมนุษย์ มนุษย์ให้เป็นเทวดา ทำให้เทวดาให้เป็นพระ เป็นต้น ก็เพราะสัจธรรมนี้ มิฉะนั้นกำเนิดที่จะเกิดมาเป็นพระพุทธเจ้า พระบรมครูเราเกิดมาจากธรรมะ เพราะท่านบรรลุซึ่งธรรมะ เห็นธรรมะ แล้วก็เป็นธรรมะ นี่ก็เพราะท่านเป็นผู้ทัศนาจร ทัศนาจร ไม่ใช่ดูไปเฉยๆ ไม่ใช่ดูเที่ยวเฉยๆแต่มีทัศนศึกษา ก็ดูไปด้วย ศึกษาว่าอันนี้มันเป็นยังไง อันนั้นมันเป็นยังไง รู้จักสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ก็มาวางเห็นว่า เรื่องทั้งหมดนี้มันก็เรื่องอนิจจังนั่นเองแหละ เรื่องทุกขัง เรื่องอนัตตา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่เราใช่เขาทั้งนั้นแหละ
เมื่อท่านเห็นชัดลงไปแล้วเป็นต้น ท่านก็เห็นอนิจจัง เห็นอนิจจังคือของไม่เที่ยง ท่านเห็นของไม่เที่ยงก็คือท่านเห็นของเที่ยงนั่นเอง เห็นของไม่จริงจังก็คือได้เห็นของจริงจังนั่นเอง เพราะปัญญาของท่าน ฉะนั้นวันนี้ที่มาพบกับญาติโยมชาวพระนครที่มาทัศนาจร มาทัศนศึกษา ให้มันปะปนกันไปเรื่อยไป มาเที่ยวนี้ให้มันได้อะไรไปในใจของเราสิ ก็มาหลายหนแล้วนะ ให้ได้อะไรส่วนใดส่วนหนึ่งไปในใจของเจ้าของ ให้เป็นที่มั่น ให้เป็นที่พอใจของตัวเรา เราไม่ต้องขาดทุนเมื่อเรามาวันนี้นะ ออกจากสถานที่บ้านเกิดเมืองนอนเรามา หลายชั่วโมงเหมือนกัน ทิ้งภาระการงานบ้านช่องมาแล้ว หาโอกาสมาฟังธรรมะและมาทัศนาจรและทัศนศึกษา ให้มันเกิดบุญ ให้มันเกิดกุศล ให้มันอยู่อย่างนี้เป็นต้น ขาก็เป๋ แขนก็เป็นง่อย เรียกว่าคนไม่สมบูรณ์นะ พวกบริษัททั้งหลายไม่สมบูรณ์ก็คือเข้าใจผิดนะ เข้าใจผิด ไปทัศนะดูเฉยๆ กลับไปบ้านไม่มีอะไรไปฝากลูก ฝากหลาน ฝากพ่อฝากแม่ ฝากตัวเขาเองก็ยังไม่มีเลยนี่ ให้ทำไง ฉะนั้นออกไปที่เนี่ย ให้ไปทัศนศึกษา ให้รู้สิ่งที่ควรรู้ ให้เห็นสิ่งที่ควรเห็น ให้ประพฤติปฏิบัติไปเช่นนี้ เห็นไปทีละน้อย ถ้าเราเพิ่มเข้าแล้วมันก็มากไปเองเป็นต้น เปลี่ยนความเห็นผิดให้มันถูกเข้า เปลี่ยนความเห็นให้มันถูก เพราะมันถูกเข้ามันก็หมดผิด หมดผิดมันก็สมบูรณ์ ทำตัวเราให้สมบูรณ์ เป็นพุทธบริษัทที่สมบูรณ์ ด้วย
เหตุฉะนั้นวันนี้ขอยุติการแสดงธรรมะแก่ญาติโยมทั้งหลาย ผลที่สุดท้ายนี้ขอให้โยมทั้งหลาย ทำจิตให้เป็นโอปนยิกาธรรม น้อมธรรมะอันนี้ไว้ในใจ น้อมใจเข้าไปหาธรรมะ อย่าน้อมธรรมะเข้ามาใส่ใจนะ อย่าน้อมอาจารย์ไปหาเด็กนะ อาจารย์โรงเรียนไปหาเด็ก ให้เด็กไปโรงเรียน อย่าไปน้อมโรงเรียนมาหาเด็กนะ มันจะขี้เกียจ อันนี้คือให้น้อมเราเข้าไปหาธรรมะ อย่าน้อมธรรมะกลับมาหาเรา เราเป็นลูกศิษย์ก็ต้องไปหาครู อย่าน้อมครูมาหาเรา ถ้าเราน้อมธรรมะมาหาเรา มันจะไม่ค่อยดี เราจะน้อมเราไปหาธรรมะ เช่นนั้นจึงเป็น คาระโว จะ นิวาโต จะสันตุฏฐี จะ กะตัญญุตา เป็นผู้ไม่ลืมกตัญญูกตเวทีของบุคคลที่มีคุณ นี่เป็นต้น
เพราะฉะนั้นวันนี้ขอด้วยอำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยจงปกปักษ์รักษาพวกท่านทั้งหลาย เดินทางไปให้สะดวก อย่ามีอุปสรรคขัดข้องในระหว่างกลางทางออกจากนี้ ให้ถึงจุดที่ประสงค์ ผลสุดท้ายถึงบ้านถึงช่องด้วยความสวัสดี ด้วยอำนาจแห่งคุณพระศรีพระรัตนตรัยอย่างล้นพ้น อันนี้ขอความสุขความเจริญจงมีแก่พุทธบริษัททั้งหลายทุกๆคนเทอญ