Skip to content

จิตหลอกลวง

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

| PDF | YouTube | AnyFlip |

จิตหลอกลวง ทำไมหลอกลวงก็คือว่า ถ้าคนหลอกคนลวงและคนชอบลักขโมยหลอกลวงคน ไม่สนใจ ถ้าไม่เห็นตนเห็นตัวเรียกว่าผีหลอก คำว่าหลอกในที่นี้หมายถึงการหลอกลวงให้หลงเชื่อว่าเป็นจริงอย่างนั้น แต่ว่ามันไม่เป็นจริง ท่านเรียกว่าหลอกลวง 

จิตที่คนเรานั้นทุกคนมีจิตอยู่แล้ว แต่อีกจิตดวงหนึ่งนั้นหลอกลวงคนเราให้ลุ่มหลงไปด้วยประการต่างๆ ท่านเทศนาว่า จิตฺเตน วญฺจิตา จิตหลอกลวงจิต หลอกลวงด้วยประการต่างๆ หลายเรื่องหลายอย่างที่มันหลอก เราทำตามความหลง เรียกว่ามัวเมาตามจิต พระพุทธเจ้าท่านว่ามันหลง คนเราหลงอยู่กับโลกอันนี้แหละ เข้าใจว่าเป็นจริงเป็นจังทุกสิ่งทุกอย่าง สมมุติว่าตนว่าตัวอย่างนี้เป็นต้น แท้ที่จริงไม่ใช่ตน ไม่ใช่ตัว เป็นสภาพอันหนึ่ง เป็นสิ่งหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นมาจากธาตุ๔ แล้วก็สลายเป็นธาตุ​๔ ไม่ทราบว่าเป็นอะไร เราไม่ได้เรียกว่าคนซะ มันก็หมดเรื่องกันไป สิ่งในโลกอันนี้มันเป็นอยู่อย่างนั้นแต่ไหนแต่ไรมา เกิดขึ้นแล้วดับไปๆ เลยเรียกว่าคน มันก็หมดเรื่องหมดราว 

เดี๋ยวนี้จิตมันมาหลอกคนเรานะสิ จิตมาหลอกจิตน่ะสิ ว่าคนอย่างนั้นอย่างนี้ ก็สมมุติว่าคนก็เลยเป็นคนจริงๆจังๆ มาไล่ลองดู อวัยวะ ๓๒ เป็นคน ผมเป็นคนมั้ย ขนเป็นคนมั้ย เล็บเป็นคนมั้ย ฟันหนังเนื้อเอ็นกระดูกเป็นคนมั้ย มันไม่ใช่คนทั้งนั้น อาการ ๓๒ ครบทั้งตนทั้งตัวหมด ยังไม่มีคนเลย จิตที่ว่านี่ที่มาอยู่ครองในตัวของเรานั้น มันเป็นเจ้าของ มันใช้บังคับให้ตาหูจมูกลิ้นกายกระทำงานการต่างๆ ทำดีทำชั่วทำบาปทำบุญ เป็นคนมั้ย จิตนั้นเป็นคนมั้ย ก็ไม่ใช่คนเหมือนกัน 

คำว่าจิตนั้นน่ะหมายความถึงเรื่องความคิดความนึกต่างหาก ผู้คิดผู้นึกก็เรียกว่าจิต ถ้าหากว่าเรียกว่าจิตจะว่าอะไรมั้ย ก็ไม่มีอะไรอีกอ้ะ เนี่ยมันหลอกคนเรา อันนี้นอกจากนั้นอีก มันหลอกคนเรา หลอกจิตให้เราเชื่อ ให้เราหลง เป็นหญิงเป็นชาย เป็นนายนั่นนายนี่ แล้วก็ทุกอย่างเป็นนายร้อย นายพัน นายพลอะไรต่างๆ เป็นตลอดถึงทำการหน้าที่ต่างๆ แผนกต่างๆ เป็นกรมเป็นกอง เป็นรัฐมนตรี เป็นนายกรัฐมนตรี ไปตามเรื่อง แท้ที่จริงเท่าเก่าน่ะคนเรา 

คนเรานี่มันเท่าเก่า เป็นอะไรก็เอาเถอะ ตัวของเรานี่แหละ ตัวนี้แหละ ทานอาหารก็ทานเข้าปากนี่แหละ ลงไปลำคอลำไส้ แล้วก็ไปอยู่ในพุง ก็ถ่ายออกไปก็เท่าเก่า เป็นอย่างนี้แหละเท่าเก่า การเจ็บการป่วยก็เท่าเก่า เจ็บหัวปวดท้องเป็นไข้หนาวก็เท่าเก่า ก็เท่านี้แหละของที่เป็น ไม่ใช่อื่นไกล สายก็นอนเท่าเก่า ไม่ได้ยืนตาย ไม่ได้เดินตายหรอก ตายแล้วก็เท่าเก่าหรอก เปื่อยเนื่อยเน่าก็ของเก่า คือว่ามันหลอก จิตนี่มันหลอกให้ลุ่มให้หลงให้สำคัญหมายมั่นอะไรต่างๆไปตามเรื่อง เกิดทิฐิมานะขึ้น สำคัญว่าเป็นตนจริงๆจังๆ เป็นเจ้าขุนมูลนาย ได้เป็นข้าราชการหน้าที่ต่างๆ เข้าใจว่าเป็นจริงเป็นจัง แต่แท้ที่จริงมันทำงานหน้าที่อันนั้นต่างหาก เป็นนายเจ้ากรมเจ้ากองเป็นรัฐมนตรีอะไรต่างๆ เป็นนายกรัฐมนตรีก็ทำงานตามหน้าที่เฉยๆนี่ เค้ามอบงานมอบการหน้าที่ให้ทำ ก็ทำไปตามเรื่อง ทำแล้วมันเอาอะไรทำ ก็กายนี้แหละทำ วาจานี้แหละทำ ใจนี้แหละทำ นอกจากกาย วาจา ใจแล้ว ไม่มีอะไรทำทั้งหมด ในตัวก็เอาอันนี้แหละไปทำ 

เมื่อคิดดูถี่ถ้วนแล้ว มนุษย์คนเราจะว่าเป็นสภาพอันหนึ่งเท่านั้นแหละ เกิดขึ้นมาแล้วก็แก่ไปเท่ากัน ก็เจ็บไปเท่ากัน ก็ตายไปเท่ากัน ไม่มีอะไรเหลือหลอ เพราะฉะนั้นให้เข้าใจเสียว่าอันนั้นเป็นสมมุติต่างหาก สมมุติที่มันเคลือบความเป็นจริงไว้ หุ้มห่อความเป็นจริงไว้ ไม่ให้เห็นความเป็นจริงเลย มันเคลือบมันคลุมห่อไว้ให้ปกปิดมิดชิดในความจริง ครั้นเลิกอันนั้นออกไปแล้ว เลิกหุ้มห่อนั้นออกไปแล้ว จึงได้เห็นความจริง อย่างที่ว่าให้ฟัง เลิกออกเสีย เป็นเจ้าขุนมูลนาย เจ้ากรมเจ้ากองอะไร เป็นรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีก็เลิกออกหมดเสีย นายอะไรก็เลิกออกหมดเสีย คนเราก็เลิกออกหมดเสีย แล้วไม่มีอะไรหรอก ความเป็นจริงเกิดขึ้นมา นั่นหละจึงได้เป็นธรรม 

ความเป็นจริงเกิดขึ้นแล้วนั่นหละ ธรรมอยู่ตรงนั้น เรามาติดอยู่เพียงแค่นี้ มามัวแต่ติดเพียงแค่นี้ มาหลงอยู่เพียงเราเนี่ยแหละจึงไม่เห็นความเป็นจริง เหตุฉะนั้นจึงว่าการปฏิบัติเพื่อชำระแก้ไขของเหล่านี้ให้หมดออกไป เห็นตามเป็นจริงแล้ว แต่ไม่ออกมาใช้ตามเป็นจริง คือของนั้นเอามาใช้ไม่ได้สำหรับโลกอันนี้ ภาษาสม มุติเช่นไรก็เป็นไปตามภาษาเช่นนั้น แต่ความเป็นจริงให้เอาไว้ต่างหาก อย่าไปพูด เรื่องอะไร อย่าไปพูด เค้าถามน่ะ อันนั้นเป็นอะไร อย่าไปพูดอันนั้น บอกไม่มีอะไร อย่าไปพูด เป็นสภาวะหนึ่งต่างหาก ก็พูดอย่างนั้นเค้าหาว่าบ้า สมมุติอย่างไรก็ต้องเป็นไปเช่นนั้น 

พระพุทธเจ้าท่านก็พูดสมมุติตามเรื่อง แต่ความเป็นจิตของพระองค์ยังมีอีกอย่างหนึ่งต่างหาก เอาไว้ภายใน ท่านจึงไม่ติด ท่านจึงไม่ผูกพัน ท่านจึงไม่เกี่ยวข้องในเรื่องทั้งหลายนั้นๆ หากว่าเราเห็นอย่างพระพุทธเจ้าแล้ว เราไม่เกี่ยวข้องผูกพันทั้งหลาย มันอยู่เป็นสุข เราอยู่สบาย เดี๋ยวนี้เราเกี่ยวข้องอันนี้ไม่ได้ไปยุ่ง หาว่าเป็นพี่เป็นน้อง เห็นเป็นญาติเป็นวงศ์ เป็นบุตรธิดา เห็นเป็นสามี เห็นเครื่องอันนี้ทั้งหลายเกี่ยวข้องพัวพันเข้าไปหมด หาว่าเป็นจริงเป็นจัง ยึดเกิดขึ้นมา มันก็เกิดขึ้นมาตามสภาวะของสัตว์ ยังมีอุปาทานยึดมั่นในสิ่งใด ในกามคุณ มันก็เกิดมาในกามโลก ในรูปภพ มันยึดในกามภพ รูปภพ อรูปภพ มันก็เกิดในภพนั้นๆ มันก็เป็นไปตามเรื่องของมัน 

เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้วจึงให้คิดถึงบุญของคุณของกันและกัน เห็นตามเป็นจริงแหละแต่ให้คิดถึงบุญถึงคุณ เพราะว่าเราเกิดขึ้นมานั้น ยากนักยากหนาที่จะได้เกิดมาเป็นคน เรามาได้กำเนิดเกิดจากบิดามารดา ได้ชื่อว่ามีคุณูปการะมากที่สุด เป็นมนุษย์นี่แสนยาก การที่เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์ในโลกนี้มากกว่ามนุษย์ อักโขหัง คือเกิดได้ในทุกประเภท อันที่มาสร้างเราเป็นคนคือบิดามารดาเราสร้างขึ้นมา ได้ชื่อว่าเราจะมี จะรวย เราจะเป็นผู้ดิบผู้ดี เราจะเป็นเจ้าเป็นนาย เป็นใหญ่เป็นโต แม้ที่สุดจะเป็นพระอรหัตอรหันต์บวชในพระพุทธศาสนา ก็ได้กำเนิดมาจากบิดามารดา ทำให้เกิดขึ้นมา จึงได้ชื่อมีคุณูปการะมาก 

พวกคอมมิวนิสต์เค้าบอกว่าเกิดขึ้นมาไม่มีคุณบิดามารดา บิดามารดาก็ต่างหาก บุตรก็ต่างหาก มันเกิดขึ้นมาตามเรื่องของใครของมัน อันนั้นมันพูดง่ายโดยการที่ไม่คิดไม่พิจารณาถึงเรื่องประโยชน์ ไม่คิดถึงเรื่องคุณูปการะประโยชน์แก่กันและกันแล้ว แหม มันมากมายเหลือเกิน เกิดขึ้นมาแล้วไม่ใช่ใหญ่ทีเดียว ต้องเป็นเด็กเติบโตขึ้นมาด้วยข้าวฟ้อนน้ำนม อบรมสั่งสอนให้มีความรู้ สร้างให้มีวิชาอาชีพ เปลืองเงินเปลืองทองมาหมดซักเท่าไรกว่าจะเป็นคนมา อายุตั้ง๒๐​ ๓๐ ไปหาเงินไม่ได้ อาศัยเงินทุนบิดามารดา โน่นน่ะคุณมากมายหลายประการ เหลือที่จะคณานับ ที่ว่าไม่มีคุณก็คือคนไม่คิดถึงคุณนั่นเอง จึงว่าให้คิดถึงคุณ อันนั้นเกิดขึ้นมาแล้ว ทั้งส่วนที่พิจารณาให้เห็นเป็นสภาพอันหนึ่งนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก 

ของที่ไม่ติดไม่ข้องอันนั้นหละเป็นของดี คือบุตรธิดา หรือว่าญาติมิตรอะไร พวกพ้องพี่น้องทั้งปวงหมด ไม่มีติดมีข้องอันนั้นเป็นการดีมาก มันติดมันข้องมันก็ต้องมาเป็นทุกข์เดือดร้อน มันเกี่ยวข้องผูกพันมันก็จะเดือดร้อนวุ่นวาย อันลูกของเราเจ็บป่วยไม่อยู่ดีสบายก็ไปยึด เข้าใจว่าเป็นลูกจริงๆ เข้าใจว่าลูกของตนจริงๆ บิดามารดาก็เข้าใจว่าบิดามารดาของตนจริงๆ เวลาบิดามารดาป่วยต้องตายหายสูญ ก็เข้าใจว่าบิดาเราจริงๆ เลยเป็นทุกข์เดือดร้อน มันเลยไม่ค่อยพ้นจากทุกข์ เพราะเหตุนี้เอง ให้พิจารณาให้เห็น อันนั้นก็ท่านก็เป็นความทุกข์ต่างหาก บิดามารดาก็เป็นความทุกข์อันหนึ่งต่างหาก เรามีหน้าที่ที่จะทะนุถนอม ในเมื่อมีชีวิตอยู่ก็บำรุงบำเรอท่านไป และเมื่อตายแล้วก็เป็นเรื่องอีกต่างหาก ไม่ใช่ว่าใครจะเอาไว้ได้ การเห็นเช่นนี้แหละจะช่วยให้เป็นของเห็นสองด้านสองทาง 

พระพุทธเจ้าท่านพิจารณาเห็นอย่างนั้น ท่านยังไม่เป็นทุกข์ไม่เดือดร้อนวุ่นวายในโลกอันนี้ ท่านว่า สัพพโลเกอนภิรตสัญญา จงพิจารณาโดยสัญญาว่าไม่ใช่อะไรทั้งหมด โลกอันนี้ไม่ใช่ของเราทั้งหมด เป็นของสูญเปล่า เป็นของว่างเปล่าจึงจะปราศจากความกังวลเกี่ยวข้อง จึงได้ชื่อว่ามีความสุขสบาย เมื่ออธิบายใหัฟังถึงเรื่องจิตมันหลอกมันลวง ถ้าเราลุ่มหลงมัวเมาด้วยประการต่างๆ สำคัญนั่นๆนี่ๆอะไรต่างๆ มันหลอกลวงทั้งหมด ความเป็นจริงนั้นไม่ใช่ทั้งนั้น สำคัญว่าตนว่าตัวก็ไม่ใช่ตนใช่ตัวทั้งนั้น เวลามันหายสูญแล้วก็ไม่ใช่ตัว บิดามารดาว่าของตน มันก็ไม่ใช่ของตน เวลาตายแล้วก็พลัดพรากจากกันหมดเรื่องหมดราวไป สิ่งทั้งหลายทั้งปวงหมดไม่ใช่ของเราทั้งนั้น ให้มันปล่อยวางได้อย่างนั้น จึงจะสงบสุข จึงจะเห็นความจริงในธรรมะ อันนี้เรียกว่าธรรม ธรรมะสัจจะของจริงเป็นอย่างนั้น เอาหละอธิบายเท่านั้นน่ะ