Skip to content

กิเลสทำให้สัตว์ตาบอด

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด (๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๒๗)

| PDF | YouTube | AnyFlip |

พระองค์ทรงทราบตลอดทั่วถึงหมดเกี่ยวกับเรื่องสัตว์เป็นสัตว์ตาย ทีนี้มันพูดยาก บรรดาพระอรหันต์องค์ไหนจะไม่รู้อย่างนั้นไม่มี พระพุทธเจ้าทุกพระองค์จึงไม่ทรงห้ามการฉันเนื้อฉันปลา เพราะเป็นสิ่งที่สุดวิสัย เราพูดได้เพียงเท่านั้น ลึกลับกว่านั้นพูดไม่ได้ รู้เต็มหัวใจพูดไม่ได้นั่นว่าไง กิเลสก็สนุกออกลวดลายซิ ออกมาอวดตัวว่าบริสุทธิ์ ไม่ฉันเนื้อฉันปลา มังสวิรัติ มันเป็นลวดลายของกิเลส กิเลสไม่ได้ละเอียดอย่างนั้น กิเลสมันจะไปให้อภัยในส่วนลึกลับอย่างนั้น มันไม่รู้นี่กิเลส แต่จิตที่ประกอบด้วยธรรมแล้วปิดไม่อยู่ ความจริงมีอยู่ตรงไหนรู้ตรงนั้น ๆ เห็นตรงนั้น

พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นท่านพูดนิด ๆ แต่ก่อนเราพิจารณา พูดเกี่ยวกับเรื่องฉัน ฉันเนื้อฉันปลานี่แหละ ฉันอะไร ๆ ก็ไม่ได้คิด ฉันเหล่านี้มันได้คิด แต่มันสุดวิสัยที่จะแก้ แน่ะ ท่านพูดแค่นั้น สุดวิสัยที่จะแก้ สุดวิสัยที่จะหักห้ามไม่ให้เป็นอย่างนี้ โลกเป็นเหมือนน้ำมหาสมุทร มันเป็นมหาสมุทรมาดั้งเดิมอย่างนั้น ใครจะไปแยกไปแยะตักตวงเอามาใช้อะไร ๆ ก็แล้วแต่บุคคลที่จะนำมาใช้ ที่จะไปกั้นน้ำมหาสมุทรไม่ให้มันไหลไม่ได้ ท่านพูดแย็บเท่านั้น หลัง ๆ มานี้เราก็มาเข้าใจซิ (พ่อแม่ครูจารย์)ท่านก็พูดไม่ออก ท่านก็รู้เหตุรู้ผลว่า การพูดออกไปมีแง่หนักเบาได้เสียขนาดไหน ผู้ฟังจะไม่ฟังไปตามความจริงที่รู้ ๆ นั้น มันจะแหวกแนวไปดังที่แหวกแนวอยู่ทุกวันนี้ เอาออกโอ้ออกอวดเรื่องมังสวิรัติ

ใครจะไปเกินพระพุทธเจ้าเรื่องความรู้ในแง่หนักเบาทุกแง่ทุกมุม ไม่อย่างนั้นจะว่าเป็นสัพพัญญูเหรอ พวกไหนใครเป็นสัพพัญญู พวกประกาศตนป้าง ๆ ว่าฉันมังสวิรัติจึงเป็นเมตตาที่บริสุทธิ์นี่หรือพวกสัพพัญญู พวกกิเลสเหยียบหัวไม่ว่า เอาลวดลายกิเลสมาเป็นเครื่องมือเหยียบย่ำทำลายเพียงฉันมังสวิรัติ แต่จิตเป็นยังไง มันอยู่ที่จิตนี้ต่างหากนี่ อันนี้เพียงเอามาอวดได้แค่กิริยา ท่านผู้ฉันท่านจิตบริสุทธิ์ขนาดไหน นั่นเอามาเทียบกันซิ มันเข้ากันได้เมื่อไร พ่อแม่ครูจารย์ท่านว่ามันสุดวิสัยจะทำยังไง ส่วนที่เป็นวิสัยใครก็มองไม่เห็น นั่นฟังซิ นี่ที่สำคัญมาก  ส่วนที่เป็นวิสัยใครก็มองไม่เห็น คือตายไม่ให้มันตาย ไม่อยากตายไม่อยากถูกเบียดเบียน ไม่อยากให้ใครฆ่าแต่เขาก็ฆ่า นี่มันสุดวิสัยอันนี้ โลกเป็นมาอย่างนี้แต่ดั้งเดิม ส่วนที่ไม่สุดวิสัยอีกแง่หนึ่งไม่มีใครรู้ ท่านว่าอย่างนี้ พูดออกมาก็ไม่เกิดประโยชน์

แต่ก่อนผมก็ไม่เข้าใจ พอปฏิบัติมาปฏิบัติไปจะว่าอวดหรือไม่อวดก็ตาม มันเข้าใจนี่จะว่าไง ไม่มีใครบอกก็รู้ มันรู้เองว่าอันไหนสุดวิสัย อันไหนไม่สุดวิสัย มันเหมาะควรยังไง ที่ท่านไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแต่ท่านยังฉันเนื้อฉันปลาอยู่ยังงี้เพราะอะไร ไม่ต้องไปตั้งปัญหาอะไรให้ลำบากละ มันซึ้งเข้าไปเลย รู้ทะลุไปหมดเลย ตั้งปัญหามาเป็นบ้าน้ำลายกันบนเวทีทำไม ปราชญ์ท่านไม่เห็นบ้าน้ำลาย สิ่งไหนควรพูดท่านก็พูด สิ่งไหนไม่ควรพูดท่านก็ผ่าน ๆ หรือเก็บไว้เสีย ๆ เพราะท่านไม่ได้มีความหิวโหย ไม่ได้มีความอยากอวดเนื้ออวดตัว ท่านไม่มี ท่านมีแต่ความจริงล้วน ๆ ความจริงก็เป็นความจริงที่บริสุทธิ์ด้วยนี่

ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่สุดวิสัยของผู้มีกิเลสที่จะรู้ได้ตลอดทั่วถึง รู้ตรงไหนไปก็จะมีแต่เรื่องของกิเลสมันแทรกเข้าไปทำงาน ๆ เรียนธรรมปฏิบัติธรรมแต่กอบโกยเอากิเลส เพราะกิเลสเข้าไปทำงานอยู่ในนั้นไม่รู้นี่ซิ ละเอียดขนาดนั้นนะกิเลส นี่ถึงได้อัศจรรย์พระพุทธเจ้า อุบัติขึ้นมาได้อย่างไร ไม่มีใครตักเตือนสั่งสอนเล้ย ทรงตะเกียกตะกายโดยลำพังพระองค์เอง เป็นสยัมภูรู้โดยลำพังพระองค์เองทุก ๆ พระพุทธเจ้า ทุกๆพระองค์ ยังอดอัศจรรย์ไม่ได้ อดแปลกในหัวใจอย่างถึงใจไม่ได้ว่าท่านอุบัติขึ้นมาได้อย่างไร เพราะพยานบอกอยู่นี่ พยานคือยังไง เราไม่ได้ยินได้ฟังอะไรจากท่านจะรู้เรื่องอะไรปฏิบัติยังไง

ดูซิกิเลสเหยียบหัวมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายอยู่เต็มหัวใจ ใครเห็นโทษของมัน นอกจากเหมือนควายให้มันจูงไปตลอดเวลาเท่านั้นทั้งหลับทั้งตื่น อาการของจิตที่คิดออกมากน้อยเพียงไรมีแต่เรื่องอันนี้จูง ๆ ทั้งนั้น เพราะไม่มีเครื่องมือทดสอบ ไม่มีกล้องพอจะส่องเห็นตัวโรคร้ายอันนี้นี่ซิ ไม่ได้ยินได้ฟังรู้ไม่ได้นี่ ต้องเป็นแบบควายตัวหนึ่งดี ๆ นั่นแหละ จะคนก็คนเถอะ ชาติชั้นวรรณะไหนก็เถอะว่างั้นเลย ควายตัวหนึ่งดีๆ ถ้าพูดเกี่ยวกับเรื่องของกิเลสซึ่งมีความแหลมหลักที่สุดบนหัวใจสัตว์แล้ว พวกเราเท่ากับควายตัวหนึ่งดี ๆ ไม่ได้ผิดอะไรเลย

แม้แต่ได้ยินได้ฟังอยู่ มันก็ยังไม่พ้นข้างหนึ่งเป็นควายข้างหนึ่งเป็นคน หรือ ๙๕% เป็นควาย ๕% เป็นคน แล้วย่นลงมาแปดสิบ เจ็ดสิบ ๕๐% เป็นคน ๕๐% เป็นควาย แล้วชำระเข้าไปด้วยภาคปฏิบัติตามหลักธรรมที่พระองค์ทรงสอนไว้ แน่ะ มันได้ยิน ๆ ได้ฟังพวกเราที่นำมาชำระ ให้ย่นลงมา ๆ ถึงห้าสิบ สี่สิบ สามสิบของความเป็นควาย เจ็ดสิบในความเป็นคน จนกระทั่งถึง ๑% ในความเป็นควาย ๙๙% ในความเป็นคน และถึงขนาดที่ว่า ๑๐๐ ทั้ง ๑๐๐​เป็นคน คนไม่ได้ยินได้ฟังจากพระพุทธเจ้า จากคำสอนของพระพุทธเจ้า จะมาถึงความเป็นคนได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ได้อย่างไร

เมื่อเทียบถึงเรื่องความแหลมคมของกิเลสแล้วแหลมขนาดนั้น ผมสลดสังเวชนะผมพูดจริง ๆ ผมไม่ได้มาพูดเล่น ๆ ให้หมู่เพื่อนฟัง ที่ถูกมันกล่อมมาเสียเท่าไร ๆ นี้ไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย เหมือนควายตัวหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่ได้ยินได้ฟังโอวาทครูบาอาจารย์ แล้วเกิดความเชื่อความเลื่อมใสในศาสนาก็มีอยู่เต็มหัวใจ แล้วก็นอกจากนั้นยังความหวังมรรคผลนิพพานนี้เป็นระดับ ๆ หวังจนถึงสิ้นสุดวิมุตติหลุดพ้น ถึงขนาดนั้นมันยังไม่พ้นความเป็นควายให้มันจูงอยู่ จากขณะเดียวเท่านั้นที่คิดถึงเรื่องมรรคผลนิพพาน แล้วก็มาตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ ก็ไม่พ้นที่มันจะจูงอยู่ตลอดเวลา ในกิริยาของจิตที่คิดที่ปรุงออกถูกกองทัพหลวงกองทัพใหญ่ของมัน มันผลักดันออกมา ผลักดันออกมา กองทัพใหญ่คือ อวิชฺชาปจฺจยา นี้หนุนออกมาให้เป็นสังขาร ให้เป็นวิญญาณความรับทราบต่าง ๆ สัมผัสสัมพันธ์อะไรไปมีแต่มันหนุน ๆ หนุนไปหมด ไม่รู้ นี่ถึงอัศจรรย์พระพุทธเจ้า

เราตะเกียกตะกายแทบล้มแทบตาย นั่งภาวนาบางวันไม่ลงเลย โมโหเจ้าของแทบเป็นแทบตาย ฟัดถึงขนาดนั้นมันยังลากจมูกไปต่อหน้าต่อตา เข้ารูปเข้าเสียงเข้ากลิ่นเข้ารส ล้วนแล้วแต่จำพวกมูตรจำพวกคูถทั้งนั้น มันไม่ให้รู้ว่ามูตรว่าคูถล่ะซิ รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส สิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรามาตลอดรอบด้านที่จะสัมผัสสัมพันธ์กัน มันมีแต่เรื่องของหลุมมูตรหลุมคูถทั้งนั้น แต่มันก็พอใจไปเข้าหลุมมูตรหลุมคูถจากการจูงของกิเลสจนได้

ครั้นพอมีหลักเกณฑ์ขึ้นบ้าง จิตสงบเยือกเย็นขึ้นบ้าง ก็เห็นความแปลกประหลาดในจิต ศรัทธาความเชื่อมั่น แม้เราจะเชื่ออยู่แล้ว นั่นก็เป็นความเชื่อด้วยการคาดคะเน ความเชื่อด้วยสัญญาอารมณ์ แต่ความเชื่อที่ปรากฏขึ้นภายในจิตใจจากการปฏิบัติของตนนี้ เป็นความเชื่อที่ออกมาจากความจริงของตัวเองจริง ๆ ไม่เชื่อด้วยการคาดคะเน คือเชื่อจากของจริงที่ได้เห็นได้รู้จริง ๆ ในเจ้าของ จากนั้นก็ค่อยมีกำลัง ๆ

ถึงจะมีกำลังขนาดไหนก็ตามเถิด สติปัญญาศรัทธาความเพียรด้วยอำนาจแห่งธรรมของเรา จะเห็นโทษของมันได้ตามกำลังความสามารถของสติปัญญาขั้นนั้น ๆ เท่านั้น ถ้าสติปัญญายังไม่หยั่งถึงตรงไหน ตรงนั้นต้องถูกกล่อมจนได้ ต้องเชื่อมันอยู่จนได้ ๆ อย่างนั้นจะว่าไง ไปตรงไหนก็เชื่อ ๆ เมื่อสติปัญญายังไม่ถึงกัน ยังไม่พอดีกันที่จะรู้จะเห็นพอจะปล่อยวาง พอจะหลบหลีกปลีกตัวหรือสลัดปัดทิ้งได้ ต้องเชื่ออยู่โดยดี ๆ นี่ที่ว่ามันแหลมขนาดนั้นนะ ละเอียดขนาดนั้นนะ มันถึงได้ครองโลกธาตุ สัตว์ตัวไหนอยู่ในกามโลก รูปโลก อรูปโลก ที่อยู่เหนือกิเลสมีไหม ไม่มีนี่ มันครอบอยู่ทุกหัวใจสัตว์เลย ไม่ว่าจะเป็นร่างหยาบร่างละเอียด ภพใดภูมิใด ล้วนแล้วแต่เป็นนักโทษในเรือนจำของมันแต่ละห้อง ๆ แต่ละประเภทของนักโทษทั้งนั้นเทียว มันละเอียดขนาดนั้น

เพราะฉะนั้นแม้นักปฏิบัติมีจิตละเอียดแหลมคมขนาดไหน ที่เลยจากความละเอียดแหลมคมของสติปัญญานั้น มันยังแหลมคมกว่าอีกกิเลส มันไม่รู้มัน พวกนี้แหละประเภทเหล่านี้แหละที่มันจูงอยู่แต่ก่อน จูงไปเรื่อย ๆ แล้วตัดเชือกมันเรื่อย จูงเรื่อยตัดเชือกเรื่อย เข้าใจเรื่อย ๆ จนถึงขั้นมหาสติมหาปัญญา ขนาดนั้นยังถูกมันจูงจมูกเข้าไปกอดอวิชชาอยู่จนได้ นั่นเห็นไหม ไปติดอยู่นั่นซิ ถูกจูงจมูกเข้าไปในกองอวิชชามหากษัตริย์วัฏจักรของมัน ให้หลงจนได้ ละเอียดไหมเครื่องกล่อมของมัน ให้เห็นว่ามีความผ่องใส มีความสง่าผ่าเผย มีความองอาจกล้าหาญ มีความอัศจรรย์ ไม่มีจิตดวงใดเสมอด้วยดวงที่สง่างามอยู่นี้ อัศจรรย์อ้อยอิ่งอยู่นี้ นั่นเห็นไหมมหาสติมหาปัญญา เลยต้องไปตามรักษาพะเน้าพะนอมันจนได้ไม่มากก็น้อย ไม่ช้าก็เร็วติดจนได้ นี่แหละเมื่อยังไม่ทันกัน

แต่ยังไงก็ตามเถอะ เรื่องของมหาสติมหาปัญญาแล้ว ถึงจะหลงลวดลายของกิเลสก็มีทางที่จะฟัดกันให้ม้วนเสื่อลงได้ ไม่สงสัยอันนี้ รอกาลเวลาเท่านั้นที่จะให้เป็นไปเหมือนจิตทั้งหลายซึ่งไม่แน่นอน ๆ อย่างนั้นไม่ได้ จิตดวงนี้แน่นอน สติปัญญานี้แน่นอนที่จะฟันสิ่งเหล่านี้แหลก เป็นแต่เพียงว่ายังไม่เหมาะกับโอกาสที่จะรู้จะเห็นกัน ที่จะฟาดจะฟันกันให้แหลกเท่านั้น นั่นละขนาดนั้นหละ ขณะที่มันจูงมันละเอียดขนาดนั้น ขอให้ทุก ๆ ท่านฟังให้ถึงใจนะ นี่พูดอย่างเปิดหัวอกให้ท่านทั้งหลายฟัง ระหว่างธรรมกับกิเลสต่างกันขนาดไหน คุณภาพกับมหันตโทษ มหาคุณกับมหันตโทษ ต่างกันอย่างไรบ้าง มันกล่อมสัตว์โลกขนาดนั้น นี่ถึงได้อัศจรรย์พระพุทธเจ้า

เรามีวาสนานะได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาเอกไม่มีอะไรที่ค้านเลยสามแดนโลกธาตุ ศาสนานี่เหนือหมด เมื่อกิเลสได้พังลงจากหัวใจด้วยอำนาจแห่งธรรมนี้ปราบเท่านั้นเหนือหมดเลย ทีนี้โทษของมันเป็นยังไง ๆ ได้เห็นหมด ทั้งส่วนหยาบ ส่วนกลาง ส่วนละเอียดโดยลำดับลำดา จนกระทั่งหมดสิ่งเคลือบแฝงภายในจิตคือสมมุติ แม้แต่อวิชชาก็เป็นสมมุติ เป็นสิ่งเคลือบแฝง เหลือแต่จิตที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ แล้วนั่นละประเสริฐสุด ถ้าจะเสกว่าประเสริฐสุด แต่ท่านก็ไม่เสก เพราะธรรมนั้นไม่ใช่ธรรมยังคนให้ตกใจให้ตื่นเต้น ให้หลงงมงาย เป็นธรรมที่บริสุทธิ์วิมุตติ ทรงความจริงล้วน ๆ ผู้รู้เข้าสู่ความจริงแล้วก็จะตื่นเต้นอะไรไม่มี ไม่เหมือนโลก นี่ที่ว่าพระพุทธเจ้าท่านอุบัติขึ้นมาได้อย่างไรโดยไม่มีผู้แนะผู้บอก ทรงตะเกียกตะกายโดยลำพังพระองค์ เอาจนผ่านได้

หนาแน่นที่สุดเลย กำแพงนี้หนาแน่นมากทีเดียว ไม่มีกำแพงในโลกนี้จะหนาแน่นยิ่งกว่ากำแพงของกิเลสตั้งแต่อวิชชาออกมา หมดทุกสิ่งทุกอย่าง ปิดบังอย่างมิดตัวเลยทีเดียว แล้วก็จูงสัตว์โลกออกสนามไปใช้งาน ที่ไหนสัตว์โลกจะแหวกว่ายไปจากอำนาจของมัน มันเที่ยวปิดเที่ยวกั้นไว้หมด เช่นว่าบาปไม่มี นั่นฟังซิ คำที่ว่าบาปไม่มีก็คือ ถ้าว่าบาปมีคนก็จะกลัวบาป สัตว์จะกลัวบาป ผู้ที่รู้ภาษีภาษาอย่างนี้จะกลัวบาปแล้วไม่ทำบาป การไม่ทำบาปก็จะต้องเสาะแสวงหาในทางที่ดี การไม่ทำบาปนั้นก็เป็นความดีแล้ว เป็นธรรมแล้วนั่น แล้วยังจะเสาะแสวงหาทางดีทางบุญทางกุศลอีก มันก็ปฏิเสธอีกว่าบุญไม่มี นั่น

เมื่อลงว่าบุญและบาปไม่มีฝังใจเชื่อตามมันแล้ว ใครจะไปสนใจละบาป ใครจะไปสะทกสะท้านในการทำบาป หิริโอตตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อบาปมีได้ยังไง ก็กิเลสลบไปหมดไม่มีอะไรเหลือแล้ว ทีนี้การแสวงหาบุญ จะแสวงหามาอะไรก็บุญไม่มี แสวงให้เสียเวล่ำเวลา เสียผลเสียประโยชน์ เสียกำลังวังชาทรัพย์สมบัติไปทำไม ก็ทำลงไปมันเป็นอฐานะเป็นไปไม่ได้ใครจะไปฝืนทำ นั่นเป็นสิ่งที่ตัด แต่ในขณะเดียวกันมันตัดเพื่อไม่ให้ออกจากอำนาจของมัน แล้วก็ลากเข้ามาสู่อำนาจของมัน

เมื่อว่าบาปไม่มีบุญไม่มีแล้ว สัตว์โลกก็จะต้องเดินตามมันต้อย ๆ ไม่มีสัตว์โลกตัวใดรายใดที่จะคัดค้านต้านทานหรือฝ่าฝืนมันเลย เชื่ออย่างหลับสนิท ทีนี้การทำลงไปจึงมีแต่เรื่องผลประโยชน์ที่มันจะกอบโกยเอาจากสัตว์ นี่ละผลงานที่มันให้สัตว์ทำงาน ความคิดความปรุงอะไรให้คิดให้ปรุงไปตามแง่ตามแถวของมัน ที่จะเป็นผลประโยชน์แก่มันทั้งนั้น ผลประโยชน์ที่จะนอกเหนือไปจากอำนาจของมันมันไม่ยอม เช่นอย่างสวรรค์มี พรหมโลกมี นิพพานมี นี่มันไม่ยอมให้เชื่อ นอกจากนั้นมันยังแสดงให้เห็นอย่างเต็มลวดลายของมันในหัวใจของชาวพุทธเรานี้ เราอย่าไปว่าที่อื่น ๆ เลย เช่นว่าเปรตว่าผีว่าเทวบุตรเทวดาไม่มี ยังกล้าปฏิเสธได้ทั้งที่ตาบอด

พระพุทธเจ้าสอนเทวดามาเท่าไร กี่พระองค์ก็สอนแบบเดียวกันหมด ทำไมจึงไปลบล้างความจริง ความมีความเป็นทั้งหลายของภพต่าง ๆ หมด เทวดาก็พวกเรานี่แหละ แน่ะฟังซิ เอาที่ไหน นรกก็คือพวกเรานี่อยู่ในหัวใจนี่ หัวใจก็เป็นหัวใจที่เป็นนรก นรกสำหรับสวมหัวใจที่เป็นตัวร้อนตัวนรกนี่ก็มีอีกตามหลักธรรมจะว่าไง ผู้ต้องหานักโทษในเรือนจำนั่นก็มี ที่เขาจับยังไม่ได้แต่เป็นทุกข์เป็นฟืนเป็นไฟอยู่ก็มี นั่นเป็นอย่างนั้น ทีนี้ยังไม่ถึงวาระก็ตกนรกหลุมเป็นฟืนเป็นไฟภายในจิตใจตนเสียก่อน ออกจากนี้แล้วก็อันนี้แหละที่จะไปติดคุกติดตะราง คือนรกหลุมต่าง ๆ ที่ท่านแสดงไว้เหล่านั้น มีปัญหาอะไร

ผู้ตาดีทั้งนั้นเห็นท่านสอนพวกเรา กิเลสมันลบล้างหมดจะว่าไง มันปิดหัวใจของสัตว์ จูงจมูกไปให้เห็นและเชื่อตามมันไปว่า พวกเปรตพวกผีพวกภพต่าง ๆ ไม่มี มีเท่าที่เห็นนี่ มีเท่าที่สายตาบอกเท่านั้นเอง เลยสายตาไปแล้วไม่มี เลยกระแสของหูไปแล้วไม่มี เลยจมูกไปแล้วไม่มี เลยลิ้นเลยกายไปแล้วไม่มี ทั้ง ๆ ที่สิ่งเหล่านั้นมีเต็มโลกเต็มแผ่นดินเต็มสงสาร มันก็ปิด มันโกหกอย่างหน้าด้านอย่างนี้เห็นไหม เราก็เชื่ออย่างหน้าด้าน จะว่าโง่หรือฉลาดเอ้าพิจารณาซิ ธรรมพระพุทธเจ้าประกาศกังวานโลกมานี้ ประกาศกังวานแต่ของจริงทั้งนั้น หาของหลอกลวงอย่างกิเลสตัวปลิ้นปล้อนนี้ไม่มีแม้เปอร์เซ็นต์เดียวเลย ขนาดนั้นจิตยังไม่ยอมเชื่อ เห็นไหมอำนาจของมันถึงขนาดนั้นเชียวนะ

อย่างเรานับว่าเป็นวาสนาบารมี เกิดมาในท่ามกลางพุทธศาสนาแล้วยังได้นับถือและได้ปฏิบัติตัวตามแนวทางนี้ด้วย เรายังมีร่องรอยมีช่องทาง มีความหวังที่จะเป็นไปตามแถวทางของพระพุทธเจ้า ที่จะถึงแดนแห่งความสมหวังเป็นลำดับลำดาไป จนกระทั่งถึงความสมหวังอันสมบูรณ์ได้ เพราะการประพฤติปฏิบัติตามศาสนธรรมของพระองค์

ถ้าจะเทียบถึงความได้เปรียบแล้ว มนุษย์เราเฉพาะอย่างยิ่งชาวพุทธและนักปฏิบัติ เป็นผู้ได้เปรียบแก่สัตว์ทั้งหลายทั่วโลกดินแดนอยู่มากมาย เพราะมีหวังทั้งปัจจุบัน แม้สกลกายความเป็นอยู่ต้องได้อาศัยปัจจัยทั้งหลายเช่นเดียวกับโลกทั่ว ๆ ไป แต่ภายในก็มีอาหารเป็นเครื่องดื่มที่เหมาะสมที่สุดได้แก่คุณธรรม ไม่ได้เอายาพิษเป็นฟืนเป็นไฟเข้ามาเผาภายในจิตใจ เหมือนอย่างที่เป็นอยู่ทั่วโลกดินแดนเพราะไม่มีธรรม เนื่องจากไม่สนใจในธรรม สิ่งที่เข้าไปเกี่ยวข้อง สิ่งที่สัมผัสสัมพันธ์ก็มีแต่ฟืนแต่ไฟ นี่จึงว่าได้เปรียบมากมาย

ขอให้ภูมิใจในอำนาจวาสนาของตัวเอง เราเกิดมาในชาตินี้ได้มอบกายถวายชีวิตกับพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เรียกว่ามอบกับธรรมชาติอันประเสริฐเลิศโลกแล้วไม่สงสัย ตายเมื่อไรก็ตายเถอะ ความพากความเพียรให้เด็ดเดี่ยวลงไป เพื่อฆ่ากิเลสตัวเสนียดจัญไร ตัวเป็นยักษ์เป็นผีกล่อมสัตว์โลกให้ล่มจมมา ไม่ว่าเขาว่าเรานานแสนนาน ไม่ว่าเขาว่าเรามากต่อมากเหมือนกันหมด ไม่มีใครที่จะนำมาแข่งกันได้ในความมากและความยืดยาวนาน เพราะการท่องเที่ยวในวัฏสงสาร เนื่องจากถูกกิเลสจูงจมูกให้ไปภพน้อยภพใหญ่

ที่มีภพดีอยู่บ้างก็เพราะมีธรรมเข้าแทรก ได้ทำความดีเอาไว้ มันจูงไปไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ยิ่งมาบำเพ็ญธรรมให้เป็นความดีโดยเฉพาะทางใจแล้ว จะได้เห็นกิเลสตัวเป็นยักษ์เป็นผีอยู่ภายในใจทุกประเภท ทั้งโคตรแซ่กิเลสจะอยู่ที่ใจหมดไม่อยู่ในที่อื่นที่ใด ดินฟ้าอากาศกว้างแสนกว้างไม่อยู่ มหาสมุทรลึกแสนลึกกว้างแสนกว้างไม่อยู่ ที่ไหน ๆ ไม่อยู่ทั้งมวล อยู่เฉพาะจิต

ธรรมพระพุทธเจ้าซึ่งก็มีเช่นเดียวกับกิเลสมีอยู่ทั่วไป ธรรมก็มีอยู่ทั่วไป เมื่อเราแยกเราแยะเราไขว่คว้าเอามาประพฤติปฏิบัติแล้ว ธรรมก็จะสัมผัสสัมพันธ์กันที่ใจ เพราะใจเป็นที่สถิตของธรรม เป็นที่สัมผัสสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นของธรรม และสุดท้ายใจก็เป็นโรงงานแห่งธรรม ทั้งเหตุและผลของธรรมจะเป็นขึ้นที่นี่ไม่เป็นขึ้นที่ไหน เห็นเต็มหัวใจแล้วทำไมพูดไม่ได้มนุษย์เราน่ะ ขอให้รู้ให้เห็นซิ

มันไม่รู้ไม่เห็นน่ะซิ ไอ้พูดแบบด้น ๆ เดา ๆ ตัวเองก็ไม่แน่นอน แล้วจะพูดให้คนอื่นได้รับความแน่นอน ให้เขาได้รับความเชื่อความไว้วางใจได้ยังไง เรายกศาสดาขึ้นมาเป็นตัวประธานเป็นสักขีพยานซิ พระองค์ทรงรู้ทรงเห็นเสียทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อทรงแสดงอะไรมาไม่ทรงสะทกสะท้าน เพราะความรู้อยู่เหนือโลกแล้ว แสดงความจริงทั้งหลายซึ่งมีอยู่ทั้งในโลกและเหนือโลก ได้อย่างเต็มพระโอษฐ์ไม่ทรงสะทกสะท้านเลย ไม่มีใครที่จะไปคัดค้าน ลบล้างความเป็นศาสดาและศาสนธรรมของพระองค์ได้

นี่ที่ว่าเวลาพระองค์ตรัสรู้โลกธาตุหวั่นไหว ก็กิเลสละหวั่นไหว แล้วก็ทำให้ผู้ที่เสาะแสวงหาธรรมนั่นแหละหวั่นไหว สะเทือนสะท้านไปหมด เช่นอย่าง สทฺทมนุสฺสาเวสุงๆ ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร นี่ฝ่ายดีฝ่ายผู้มีอรรถมีธรรม ผู้จะหวังพึ่งพระพุทธเจ้าเพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ มีความปีติยินดี สะเทือนสะท้านหวั่นไหวไปทั่วแดนโลกธาตุ ทีนี้กิเลสที่ครอบงำหัวใจของสัตว์โลกก็แสดงความน้อยอกน้อยใจ เช่น พระยาวัสสวดีมาราธิราช ซึ่งเป็นหัวหน้ามารทั้งหลาย ทำให้โลกสะเทือนสะท้านเหมือนกัน

พระองค์แสดงธรรมที่ไหนผู้ใดมาคัดค้านได้ และทรงรื้อขนสัตว์โลกไปได้ ตั้งแต่วันพระองค์ตรัสรู้แล้วเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ได้มากขนาดไหนเราคิดดูซิ และมีใครสามารถรื้อขนสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์ภัยได้ ตั้งแต่คนที่มีกิเลสหนา ๆ จนกลายเป็นกัลยาณปุถุชนขึ้นมาถึงอริยบุคคลขั้นสูงสุด มีใครแสดงได้เหมือนพระพุทธเจ้า รื้อขนได้เหมือนพระพุทธเจ้า

กิเลสตัวใดมีอำนาจสามารถที่จะรื้อขนสัตว์โลก แม้รายเดียวให้พ้นจากทุกข์มีไหม มีแต่เหยียบลงในทุกข์ ๆ เรายังไม่เห็นโทษมันอยู่เหรอ เอาพิจารณาเทียบกันให้ชัดเจนซินักปฏิบัติ สติปัญญาต้องยอกย้อนหาเหตุหาผล สติปัญญาไม่ฉลาดแก้กิเลสไม่ได้ฆ่ากิเลสไม่ได้ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนคนให้โง่ สอนคนให้ฉลาดทั้งนั้น ธรรมะ กุสลา ธมฺมา คือธรรมยังคนให้ฉลาด อกุสลา ธมฺมา คืออะไร ก็คือกองทัพกิเลสนั่นเองจะเป็นอะไรไป นี่ละข้าศึกมันเป็นคู่เคียงของธรรมอยู่นั้น ธรรมกับอธรรม เช่นว่ากิเลสมาร ๆ จะเป็นที่ไหนและเป็นอยู่ในที่เช่นไร ก็เป็นอยู่ในหัวใจของสัตว์โลกนั่นเอง

เมื่อธรรมประกาศกังวานขึ้นแล้ว บรรดาผู้ที่พอจะเป็นไปได้อย่างรวดเร็วก็ข้ามโลกข้ามสงสารผึงผัง ๆ ตั้งแต่เบญจวัคคีย์ทั้งห้าเรื่อย ๆ จากนั้นพระอรหันต์สักกี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านองค์ เหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกันตามสมบัติคุณธรรม จนกระทั่งเป็นกัลยาณปุถุชน ได้นับถือพุทธศาสนาเพื่อเป็นเครื่องยึดเครื่องเหนี่ยวมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ใครจะทำประโยชน์ได้อย่างถูกต้องแม่นยำและได้มากมายยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า เพราะความรู้จริงเห็นจริง เอาของจริงมาสอนโลกใครจะเกินพระพุทธเจ้า นั่นละจึงได้อัศจรรย์ว่าพระองค์อุบัติขึ้นมาได้อย่างไรไม่มีใครสอนเลย สยัมภู ๆ

ที่นี่ย่นเข้ามาหาสาวกแต่ละองค์ ๆ ก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้าเป็นแต่ทรงแนะแนวทางให้เท่านั้น ๆ ดังท่านสอนไว้ว่า ตุมฺเหหิ กิจฺจํ อาตปฺปํ อกฺขาตาโร ตถาคตา การประกอบความพากเพียรเพื่อยังกิเลสให้รุ่มร้อนหรือสิ้นไปจากจิตใจนั้น เป็นหน้าที่ของท่านทั้งหลายจะทำเอง พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นแต่เพียงผู้ชี้บอกแนวทางเท่านั้น ท่านชี้บอกแล้วก็ยึดเอาเงื่อนใดที่เป็นคติเข้ามาพินิจพิจารณาตัวเอง จนกระทั่งผลิตผลขึ้นมา ได้ทั้งเหตุทั้งผลเกิดขึ้นภายในตนเองแล้ว นั้นละที่นี่ก็เป็นสยัมภู ๆ ย่อ ๆ อยู่ภายในของแต่ละผู้ปฏิบัติ โดยได้อาศัยเงื่อนจากพระพุทธเจ้า

บทเวลาจะเอาจริงเอาจังจริง ๆ เป็นเรื่องสยัมภู ๆ ของตัวเอง ๆ นี่ละใน กาลามสูตร ท่านแสดงไว้ว่าไม่ให้เชื่อ ๑๐ ประการ คือ ไม่ให้เชื่อตามคำบอกเล่า ไม่ให้เชื่อตามคำเล่าลือ ไม่ให้เชื่อตามที่เห็นว่าควรเชื่อได้ ไม่ให้เชื่อว่านี้เป็นครูเป็นอาจารย์ ไม่ให้เชื่อว่านี้เป็นสิ่งที่ถูกกับจริตของตน หรือตามความรู้ความเห็นของตน ท่านไม่ให้เชื่อสิ่งเหล่านี้ นั่นฟังซิ ท่านตัดออกหมด ๆ เพื่ออะไร ก็เพื่อจะให้เชื่อใน สนฺทิฏฺฐิโก ของผู้ปฏิบัติเองเท่านั้น ไม่มีใครที่จะแม่นยำ ไม่มีใครที่จะแน่นอนยิ่งกว่า สนฺทิฏฺฐิโก ตัดสิน แม้พระองค์ท่านทรงสั่งสอนก็เป็นประเภทหนึ่งของพระพุทธเจ้าที่สั่งสอนสัตว์โลก แต่เวลาจะเอาจริงเอาจังเข้าด้ายเข้าเข็มจริง ๆ เป็นเรื่องของผู้ปฏิบัติแต่ละราย ๆ จะปฏิบัติให้รู้เป็น สนฺทิฏฺฐิโก ขึ้นมาภายในตัว นี่ละให้เชื่ออันนี้ต่างหาก

ธรรมนี้เป็นธรรมสูงมาก ไม่ใช่ธรรมสอนสุ่มสี่สุ่มห้า เช่น ประชาชนทั่ว ๆ ไป ไม่ให้เชื่อยังไงไม่ให้เชื่อครูบาอาจารย์ จะเดินทางไหนนั่น ในตอนนี้ต้องเชื่อเสียก่อนซิ เช่นอย่างเราดูตำรับตำรา ไม่เชื่อตำราจะเชื่ออะไร เอาไปเผาไฟเสียซิ เผาไฟก็เท่ากับเผาตัวเอง ไม่มีทางไปไม่มีทางออกเลยที่นี่ ขั้นที่ควรเชื่อต้องเชื่อ เชื่อครูเชื่ออาจารย์ เชื่อตำรับตำรา เชื่อคนที่ควรเชื่อได้ ต้องเอามาถือเป็นแบบเป็นฉบับ เหล่านี้เป็นความเชื่อไปโดยลำดับลำดา แต่จะหนุนเข้าไปหาความเชื่อที่ว่าเป็น สนฺทิฏฺฐิโก พอสุดท้ายถ้าเป็นสิ่งที่แน่จริงแล้ว ต้องตัดความเชื่อนั้นออกหมด ให้เป็น สนฺทิฏฺฐิโก ของตัวเองเท่านั้น

นั่นละธรรมะ บรรดาพระอรหันต์ทุก ๆ องค์จะเป็นแบบกาลามสูตรนี้ทั้งนั้น คือไม่เชื่อใคร ดังพระสารีบุตรท่านพูดตามหลักความจริงของท่าน เราเชื่อเราเองเราไม่เชื่อใคร แม้พระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนเรามาเราก็ไม่เชื่อพระพุทธเจ้ายิ่งกว่าเราเชื่อเรา ท่านว่าอย่างนี้ พระปุถุชนทั้งหลายก็นำเรื่องราวนี้ขึ้นไปทูลพระพุทธเจ้าว่า พระสารีบุตรเป็นมิจฉาทิฐิ ขนาดเป็นอัครสาวกข้างขวาของพระพุทธเจ้า ยังกลายเป็นมิจฉาทิฐิได้ ไม่ยอมเชื่อพระพุทธเจ้า

พระองค์ทรงเป็นศาสดาของพระสารีบุตรฟังซิ อัครสาวกกับศาสดาทรงสนทนาธรรมกัน เพื่อโปรดสัตว์ตาบอดหูหนวกอย่างพวกเรา ๆ ท่าน ๆ เรียกพระสารีบุตรไป ว่าไงสารีบุตร ได้ทราบว่าเธอไม่เชื่อเราตถาคตใช่ไหม ใช่พระองค์ ในส่วนที่ข้าพระองค์เชื่อข้าพระองค์เอง ข้าพระองค์แน่นอนในข้าพระองค์เอง ข้าพระองค์ไม่ให้พระองค์มาเป็นภาระ เป็นกังวลวุ่นวายหนักหน่วงเลย เป็นเรื่องของข้าพระองค์รู้เองเห็นเอง เรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก ของข้าพระองค์เอง เออ ใช่ สารีบุตร ธรรมแท้ต้องเป็นอย่างนั้น นั่นฟังซิ

พระพุทธเจ้าสอน ๆ นี้เป็นอุบายในแง่ต่าง ๆ เข้าไป พอถึงขั้นที่จะเข้าด้ายเข้าเข็มจริง ๆ ก็เป็น สนฺทิฏฺฐิโก นำผลขึ้นมาให้เห็นชัดเจนเอง ท่านสอนในกาลามสูตรเพื่อธรรมขั้นนี้ต่างหาก แม้จะธรรมขั้นใดก็ตามก็มี สนฺทิฏฺฐิโก แนบไปทุกขั้น ๆ แต่ขั้นสุดท้ายต้องเป็นอย่างว่านี้ ที่กล่าวเหล่านี้เป็นธรรมเพื่อขั้นสุดท้าย ให้เชื่อตัวเองอย่าเชื่อใคร ให้เชื่อ สนฺทิฏฺฐิโก ก็คือธรรมพระพุทธเจ้าและพระองค์ก็ทรงรู้อย่างนั้นด้วย จึงทรงแสดง สนฺทิฏฺฐิโก ขึ้นมา และประกาศธรรมให้สาวกทั้งหลายได้ทราบ เพื่อจะได้รู้เป็น สนฺทิฏฺฐิโก ขึ้นมาเป็นสมบัติของตัวเอง

นี่พูดถึงเรื่องความละเอียดลออแหลมคมของกิเลสที่ร้อยรัดหัวใจสัตว์โลก เป็นที่น่าอิดหนาระอาใจอย่างเต็มหัวใจทีเดียว แต่ยังดีเรายังมีหวังที่มีธรรมเครื่องแก้ โลกทั้งหลายไม่มีเลยมีอยู่มาก มีแต่ถูกร้อยรัดไม่มีทางออก นี่ยังมีทางออก คือการปฏิบัติธรรมตามแนวทางของพระพุทธเจ้า ไม่เห็นไปตามกิเลสที่ชี้ช่องบอกทางด้วยความคิดความปรุงในเรื่องใดก็ตาม ไม่ว่าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ตลอดถึงทางธรรมารมณ์ของใจ มีธรรมโอสถ มีสติปัญญากลั่นกรอง ๆ ในสิ่งที่สัมผัสสัมพันธ์ทั้งหลาย แล้วกลายเป็นธรรมขึ้นมา ๆ ค่อยเล็ดลอดออกไปได้มากได้น้อยด้วยอำนาจแห่งการปฏิบัติธรรม สุดท้ายก็ผ่านไปได้

มันจะหนาขนาดไหนก็หนาเถอะ กิเลสนี้พ้นอำนาจของธรรมไปไม่ได้ ขาดสะบั้นไปหมดเลย นั่นเราถึงจะได้เห็นเรื่องมหันตโทษมหันตทุกข์ เรื่องภัยของกิเลสว่าเป็นขนาดไหน และจะได้เห็นความแปลกประหลาดความมหัศจรรย์ของธรรมซึ่งไม่มีอยู่ที่ไหนเลย บทเวลาปรากฏจริง ๆ แล้วมีอยู่ที่ใจเท่านั้น ใจทั้งดวงเป็นธรรมทั้งดวง ใจทั้งดวงเป็นธรรมทั้งแท่ง ธรรมทั้งแท่งเป็นใจทั้งดวงเลย ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกัน หมดปัญหาทั้งมวล โลกจะกว้างแสนกว้าง จะมีหมื่นแสนล้านจักรวาลก็ตาม ไม่มีปัญหาอะไรในหัวใจดวงนี้ เพราะใจดวงนี้สลัดปัญหาโดยประการทั้งปวงแล้ว เพราะสลัดกิเลสนั่นเองพูดง่าย ๆ ด้วยธรรม ใจจึงสิ้นสุดวิมุตติหลุดพ้นจากคดีต่าง ๆ ซึ่งกิเลสเป็นผู้สร้างขึ้นมาภายในหัวใจ จงพากันตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้ได้รู้ได้เห็น

ใจพร้อมเสมอที่จะรู้จะเห็นในธรรมทั้งหลาย ขอให้เจ้าของใช้ความพยายาม สติเป็นเจ้าของ ปัญญาเป็นเจ้าของที่จะรักษาใจ ที่จะชำระใจ ที่จะฟาดฟันสิ่งที่เป็นข้าศึกทั้งหลายออกจากใจ มีสติปัญญาเป็นสำคัญ ศรัทธา วิริยะ เป็นเครื่องสนับสนุนจะตามกันมา ๆ เมื่อสติปัญญาทำงานได้ผลเห็นประจักษ์ตัวเอง ๆ แล้วเรื่องศรัทธาจะฝังแน่นลงไป วิริยะเป็นไปเอง สมาธิมีแต่ความหมายมั่นปั้นมือ ทั้งความแน่นหนามั่นคงของใจ ถ้าเกิดขึ้นมากน้อยต้องเป็นอย่างนั้น จนกระทั่งความหมายมั่นปั้นมือแน่นปึ๋ง ๆ เลย ปัญญาตีแผ่กระจายไปเรื่อย ๆ

เราจะเห็นแดนแห่งความพ้นทุกข์สว่างจ้า ๆ อยู่ต่อหน้าต่อตา เหมือนจะเอื้อมมือถึงกันอยู่นี่ เมื่อมองไปข้างหลังก็เห็นกองทัพกิเลสซึ่งเป็นพวกเสือร้ายพวกยักษ์พวกผีวิ่งตาม ยกมาเป็นกองพันกองพลที่จะวิ่งตามมาฆ่าเรา ธรรมก็เหมือนกับเอื้อมมือรอเราอยู่ ๆ ชั่วเอื้อม ๆ มันก็บืนซิมนุษย์เรา เห็นโทษก็เห็นเต็มหัวใจ เห็นคุณของธรรมก็เห็นเต็มหัวใจ แล้วทำไมจะไม่มีกำลัง สุดเหวี่ยงทีเดียว ถ้าลงกำลังของใจได้ปรากฏขึ้นแล้วเท่านั้น ไม่มีอะไรเหนือกำลังของใจไปได้ละ พุ่ง ๆ ทะลุไปเลย สุดท้ายก็พ้น พวกนั้นหมดหวังม้วนเสื่อ ทางนี้พ้นภัย ถึงแดนแห่งความเกษม

อย่านำคำที่ว่าลำบากลำบนเข้ามาเกี่ยวข้องนะการปฏิบัติ ให้ทราบว่านี้คือเรื่องของกิเลสล้วน ๆ ไม่มีเรื่องธรรมเข้าแทรกเลย ความขี้เกียจขี้คร้านในการประกอบความพากเพียร เพื่อจะถอนตนให้พ้นจากทุกข์ เป็นเรื่องของกิเลสผูกมัดเอาไว้ทั้งนั้น ให้รู้ ถ้ารู้นี้แล้วพอฟัดกันไป ถ้ายังไม่รู้นี้แล้วจะจมเพราะมันนะ เราไม่ต้องหาที่ไหนไกล ๆ อะไรละ เพลงของกิเลสอยู่ตามนี้ ตามประโยคที่เราจะประกอบความเพียร มันจะมัดแข้งมัดขาไว้ทันที ๆ มัดตัวไว้ไม่ให้กระดุกกระดิกได้เลย ขึ้นชื่อว่าเป็นเรื่องของธรรมมันจะมัดไว้

นี่ละคือเรื่องของกิเลส เราไม่ต้องหาที่ตรงไหน มันปรากฏอยู่กับหัวใจของทุกคนอยู่แล้ว มีแต่จะต่อสู้มันเพื่อฝืนมันเท่านั้น การฝืนได้รับความทุกข์ ทุกข์ก็ทุกข์ ทุกข์เพราะมันทุกข์มามากต่อมากแล้ว ทุกข์เพราะการต่อสู้เพื่อถอนตนออกจากทุกข์ เอ้าทุกข์ไป ไม่ยอมถอย พ้นจากข้าศึกแล้วคำว่าสุขอันเกษมไม่ต้องพูด เราต้องการบรมสุขเราจะมาท้อถอยอะไรนัก เพียงความทุกข์ซึ่งมีเพียงเท่านี้

โลกทั้งหลายเขาก็มีความทุกข์เหมือนกัน เขาไม่ได้ประกอบความพากความเพียรเขาก็ทุกข์อย่างอื่นของเขา เขายังทนอยู่ได้เพราะความจำเป็นบังคับ อันนี้เราทนอยู่ไม่ใช่ทนเพื่อความจนตรอก เราทนเพื่อความหลุดพ้นด้วยอำนาจแห่งความเพียร แม้จะได้รับความทุกข์ลำบากยากเย็นเข็ญใจขนาดไหน เรามีหวังของเราที่จะหลุดพ้นไปได้ไม่สงสัยอยู่แล้ว ความทุกข์อันนี้จึงเป็นความทุกข์ที่มีคุณค่ามาก

ทุกข์อะไร ๆ เราเคยทุกข์มาแล้วไม่มีอะไรมีคุณค่า ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์แก่เรา แต่ทุกข์อันนี้เป็นประโยชน์แก่เรามากมาย เป็นทุกข์ที่มีคุณค่ามาก ฉะนั้นให้ตั้งอกตั้งใจ ให้มีความขยันหมั่นเพียรเพื่อต่อสู้ จะทุกข์ขนาดไหนก็เอาเถอะ เราไม่ถือว่าเป็นความลำบากลำบนให้เกิดความท้อถอยอ่อนแอท้อแท้ แล้วก็ตายทิ้งเปล่า ๆ ไม่เกิดประโยชน์ อย่างนั้นเราไม่ประสงค์ เราต้องการให้เห็นเหตุเห็นผลในธรรมทั้งหลาย

จำนวนพระก็มากมาย อย่างที่ผมเคยพูดนั่นแหละ และยังจะมาอีก ขออนุญาตมาอีกแล้วจะทำยังไง ก็เห็นหัวใจแต่ละดวง ๆ มีคุณค่ามากได้ทนเอาอย่างนี้จะว่าไง ความมีมากกับความมีน้อย ความสะดวกและความไม่สะดวกต่างกันยังไงใครก็รู้ แต่เมื่อจำเป็นก็ต้องได้รับ เพราะองค์ไหนรายใดต่างมีหัวใจเหมือนกัน เสาะแสวงหาครูหาอาจารย์เหมือนกัน เราเคยเป็นมาในเรื่องเหล่านี้ จึงเอาหัวใจนี้เทียบกับหมู่กับเพื่อนแล้วก็ทนกันไป ท่านก็หัวใจเราก็หัวใจ มีมากก็มากเถอะ ให้ต่างคนต่างเป็นธรรมแล้วไม่กระทบกระเทือนกัน ไม่สนใจที่จะไปคิดเรื่องแง่ร้ายป้ายสีซึ่งกันและกัน นั้นเป็นเรื่องของกิเลสอย่านำมาใช้

เอะอะให้ดูตัวเองทันที มันเคลื่อนไหวไปเกี่ยวข้องกับหมู่คณะเรื่องอะไร ให้ดูตัวมันกระเพื่อม นี้ละตัวกิเลสมันกระเพื่อมออกมานี้ ถึงตัวถูกก็ตาม มันจะอาศัยความที่ว่าถูกนั้นเป็นตัวผิดขึ้นมาโดยเราไม่รู้ มองกันให้มองในแง่ความให้อภัยเสมอ อย่าไปถือผิดถือถูกกัน ให้เป็นความเสมอในการให้อภัยและเมตตาสงสารเพื่อนฝูงด้วยกันที่มาศึกษาอบรม ความรู้มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงในทางจิตใจไม่เหมือนกัน ถึงว่าคน ๆ เหมือนกันก็ตาม แต่จริตนิสัยหรืออุปนิสัยมีหนามีบางต่างกัน ต้องเอาพื้นเพแห่งความให้อภัยกันวางเป็นพื้นฐานไว้ นั้นอยู่ด้วยกันด้วยความผาสุกสบาย

ผู้ที่รับฟังก็ดีหรือผู้ที่ผิดพลาดประการใด เมื่อมีผู้เตือนแล้วอย่าให้กิเลสเข้ามาแทรก อย่าให้กิเลสเข้ามาทำงาน ให้ยอมรับความจริงทันที แล้วอยู่ด้วยกันได้เป็นผาสุก ไม่มีอะไรจะผาสุกยิ่งกว่าผู้ปฏิบัติธรรมที่อยู่ด้วยกันด้วยความเป็นธรรม ไม่มีอะไรจะเดือดร้อนยิ่งกว่าผู้ปฏิบัติธรรมอยู่ด้วยกันด้วยอำนาจของกิเลสมัดหัวใจ แสดงออกรายใดจะมีแต่ความท้าทาย ความอวดดิบอวดดี ความอวดรู้อวดฉลาด นี้เป็นเรื่องของกิเลสอวดตัว

กิเลสชอบอวด ถ้าเป็นธรรมแล้วไม่อวด ยิ่งรู้ขนาดไหนละเอียดเพียงไรแล้ว ยิ่งความอยากอวดเนื้ออวดตัวนี้หมดไป เห็นโทษแห่งความทะนงตนมาโดยลำดับลำดา จนกระทั่งสิ้นสุดไม่มีอะไรเหลือเลย คำว่าอยากไม่มี นอกจากถึงกาลเวลาเหตุการณ์ที่ควรจะพูด แสดงออกหนักเบามากน้อยก็ว่าไปตามเรื่อง หมดนั้นแล้วก็หายเงียบไปเลย เพราะไม่มีอะไรมาเป็นเจ้าของ นอกจากธรรมเป็นเจ้าของอย่างเดียว

ธรรมเป็นเจ้าของไม่ยึดอะไร ธรรมเป็นเจ้าของไม่เคยเป็นข้าศึกต่อสิ่งใดผู้ใด แต่ถ้ากิเลสเป็นเจ้าของแล้วเป็นข้าศึกทั้งนั้น เพราะความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ได้ คำว่า อตฺตา ๆ ต้องเข้าตัวเสมอ ๆ ก็คือเรื่องของกิเลส ไม่ยอมเห็นหัวใจของใครทั้งนั้น เห็นแก่ตัวที่สุดก็คือกิเลส เมื่อเห็นแก่ตัวแล้วต้องทำลายคนอื่นเพื่อมาเป็นปุ๋ยบำรุงตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ฆ่าตัวเองก็ไม่รู้ มันไม่ยอมให้รู้เพราะเป็นเรื่องของกิเลสอีกชั้นหนึ่ง

ผมก็ไม่ค่อยได้แสดงบ่อย ๆ ดังที่ทุก ๆ ท่านทราบแล้ว สุขภาพปีนี้แย่มากนะ รู้สึกว่าทรุดลงรวดเร็วทีเดียวผิดสังเกต ร่างกายก็อ่อนลงมาก ขันธ์ทั้งห้านี้ก็แสดงความวิการไปมาก เหมือนกับรถชำรุดทรุดโทรมลงมากนั่นเอง ใช้การใช้งานอะไรก็จะไม่ได้เรื่องได้ราว ฉะนั้นจึงขอให้ทุกท่านตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ในขณะที่มาศึกษาอบรมจากครูจากอาจารย์ และอยู่ด้วยกันให้เป็นมงคล อย่าให้มีคำว่าอัปมงคลเข้ามาแทรกในวงปฏิบัติธรรมของพวกเรา ต่างคนต่างเป็นมงคลนี้อยู่ด้วยกันแล้วเป็นมงคลทั้งนั้น มีความร่มเย็นเป็นสุข การประกอบความพากเพียรก็ไม่เป็นสัญญาอารมณ์กับผู้ใดรายใดเรื่องใด มีแต่ฟัดหัวกิเลสที่จะเอื้อมออกมาจะผุดออกมาเรื่องใด ฟันมันลงไปอย่าเสียดาย พระพุทธเจ้าทรงตำหนิมากที่สุดในโลก การตรัสรู้ก็เพื่อฆ่ากิเลสช่วยสัตว์นั่นเอง

เอาละ การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควร
(ถอดเสียงธรรมโดย www.luangta.com)