Skip to content

ไม่คบคนพาล ให้คบหาบัณฑิต

(เทศน์ให้นิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่)

หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป

| PDF | YouTube | AnyFlip |

อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญิจ เสวนาติ 

ณ บัดนี้พวกเราทั้งหลายที่ได้พากันตั้งใจมาศึกษาหลักของพระพุทธศาสนา ตามที่พวกเรามีศรัทธาความเชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้า พวกเราเป็นชาวพุทธที่สมมุติกันเอาไว้ แต่บางบุคคลก็ยังไม่เข้าใจว่าหลักของพระพุทธศาสนานั้นสอนให้ปฏิบัติกันอย่างไร ปฏิบัติเข้ามาที่ตัวของเราอย่างไร ไม่ได้สอนให้ไปดูแต่คนอื่น สอนให้มาดูที่ตนเองว่าตนเองจะปฏิบัติอย่างไร ดำรงชีวิตของตนเองไปอย่างไร ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามั้ย หรือหากว่าขัดกับคำสอนทางหลักพระพุทธศาสนาอยู่ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราควรศึกษาเพื่อจะได้รู้ ว่าพระพุทธองค์นั้นทรงสั่งสอนให้พวกเรานี่ชี้เข้ามาที่ตน ในการประพฤติปฏิบัติฝึกหัดตน เพื่อจะนำผลนำประโยชน์ให้เกิดความสุขขึ้นแก่ตน เรียกว่าหาที่พึ่งของตน 

บุคคลไม่มีที่พึ่งเหมือนบุคคลไม่มีบ้านอยู่ ไม่มีสถานที่อยู่ เป็นคนจรจัดไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ ย่อมเป็นคนที่มีความทุกข์เพราะไม่มีที่พึ่งพิงอาศัย ไม่มีที่อยู่นั่นเอง ส่วนบุคคลที่มีที่อยู่ มีที่พึ่ง เหมือนบุคคลมีบ้านอยู่ ซื้อมีสถานที่อยู่พักพาอาศัยสะดวกสบาย ได้นั่งได้นอนสบายเป็นของส่วนตัว ก็ทำให้มีอิสระ ให้มีความสุขด้วย อันนี้เององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์จึงทรงสั่งสอนให้พวกเรานั้นได้เกิดขึ้นมาแล้ว การที่พวกเราจะดำเนินวิถีชีวิตไปในทางที่ถูกต้องจึงเป็นหลักที่สำคัญ ถ้าหากพวกเรานั้นไม่ศึกษา เราก็พากันไปคบหาสมาคมสมัครรักใคร่กับบุคคลที่เป็นคนพาล 

คำว่าคนพาลนั้นพวกเราก็มาศึกษาให้รู้ เพราะว่าทำลายเสียซึ่งประโยชน์ทั้งสองอย่าง ทั้งชาตินี้ก็ทำลายตนเอง ชาติหน้าก็ทำลายตนเอง การทำลายตนเองนั้นอย่างไร คือชาตินี้เกิดขึ้นมาแล้วก็เป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน ไม่ค่อยทำกิจการงานหน้าที่อันหนึ่ง บัดนี้เกิดขึ้นมาแล้วก็ใช้ทรัพย์สมบัติ ประมาททรัพย์สมบัติ ใช้สุรุ่ยสุร่าย ฟุ่มเฟือยจนทุกอย่างลำบาก ติดหนี้ติดสินกัน ทุกข์เกิดขึ้น พระพุทธองค์เรียกว่าคนพาล 

บัดนี้อีกอย่างหนึ่งคนพาลนั้นเป็นคนที่มีโมหะ แต่รู้จักบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์และไม่ใช่ประโยชน์นั้นอีกอย่างหนึ่ง คนพาลนั้น ลักษณะของคนพาลนั้น พวกเราท่านทั้งหลาย เราจะตัดเสียสิ้นประโยชน์ของเขาในชีวิตของเขา ไม่มีทั้งศีล ๕ ศีล ๘ รักษากาย วาจา ใจของตน ปล่อยไปตามอำนาจความเห็นของตน และปล่อยไปตามอำนาจความลุ่มหลงไปกับคนพาลทั้งหลาย พาไปทำผิดกัน เมื่อไปทำผิดศีลธรรมแล้ว ก็นำแต่ความทุกข์มาให้ตลอด ไม่ได้รับความสุขอะไร ก็เรียกว่าคนพาล พวกเราท่านทั้งหลายถ้าหากพวกเราไปคบหาสมาคมคนพาลนั้นๆ ชาตินี้เราก็จะเสียประโยชน์เกิดขึ้น เพราะคนพาลเป็นคนไม่มีศรัทธาเลื่อมใสในพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่เลื่อมใส ไม่ศรัทธา 

คนพาลนั้นไม่แสวงหาประโยชน์ ไม่ได้ฟังเทศน์ฟังธรรม ไม่ได้ศึกษาทางถูกทางผิด มีหลายอย่างอย่างนี้ท่านเรียกว่าคนพาล คนพาลนี้ไม่รู้จักสังขาร ร่างกายของคนก็ไม่รู้เรื่อง ร่างกายเป็นมาอย่างไรจนมาถึงใหญ่ถึงแก่ก็ยังไม่รู้ เหมือนบุคคลที่ไม่เคยเข้าวัดฟังธรรมจำศีล ไม่ศึกษาหลักพระพุทธศาสนา มุ่งหน้าแต่พากันทำผิด มีทั้งความโลภ ความโกรธ ความหลง เราก็ควรที่จะเห็นว่าจนทุบตีกัน ฆ่าฟันรันแทงกันหมด ไม่มีศีลธรรม แย่งชิงกันทุกสิ่งทุกอย่าง เห็นไหมเขารบราฆ่าฟันกันนานาประเทศต่างๆ ตามหลักพระพุทธศาสนาเค้าเรียกว่าคนพาล จะทำลายล้างผลาญชีวิตซึ่งกันและกันเกิดขึ้น ไม่มีความสุขหรอก ประเทศที่เค้าเผ็นอย่างนั้นมันไม่มีความสุข อยู่ใกล้ๆบ้านเมืองเราก็มี ประเทศอย่างนั้น เค้าเรียกว่าขาดการศึกษา หาคบแต่เรื่องกับคนพาล พาลก็เลยพาไปหาผิด เป็นพิษเป็นภัยอันตรายแก่ชีวิตซึ่งกันและกันเกิดขึ้นอยู่ทุกวันนี้ 

เราก็พากันศึกษาว่าคนพาลนี้ไม่มีศีลธรรม ไม่มีจริยาณธรรม คำว่าคุณธรรมนั้นก็คือ เป็นผู้มีรู้จักบุญจักบาปนี่เอง รู้จักดีจักชั่ว รู้จักอะไรเป็นประโยชน์ ไม่ใช่ประโยชน์ เค้าเรียกคุณธรรม จริยาณธรรมนั้นคือเป็นคนมีจริยามารยาท อ่อนน้อมถ่อมตัว จะยืน เดิน นั่ง นอน ก็ดี ไปหาผู้หลักผู้ใหญ่ อยู่กับพ่อกับแม่ก็ดี อ่อนน้อมถ่อมตัว ไม่เป็นคนแข็งกระด้าง ไม่ดื้อดึงต่อคำสอน ไม่มีมานะทิฐิ เค้าเรียกว่าจริยาณธรรม ที่เราควรพากันศึกษา 

เหตุฉะนั้นคนพาลนั้นเราก็พอจะรู้เรื่อง คนพาลนี้เคยคบหาสมาคมคน เราไม่ดูคนก่อน ไม่ดูหน้าดูตามันดีๆ หรือดูการกระทำของเขา เขาจะพาเราล่มจมเสียหายไปก่อน พอเห็นก็คบเลยที่ว่าผู้หญิงก็ดี ผู้ชายก็ดี พอเห็นหน้าเห็นตาก็คบหาสมาคมกันเลย ไม่ถึงสองสามวันก็เกิดเรื่องแล้ว อันนั้นแหละเรียกว่าเราไม่มีสติปัญญาที่จะพิจารณาดูคนก่อน 

ทีนี้การพูดจาปราศรัยของคนพาลนั้นมันเป็นนิมิต มันหาแต่ความคิดจะหลอกลวงฉ้อโกง หาคิดเอาแต่เรื่องจะได้เป็นของส่วนตัวของมัน มันหาอุบายต่างๆ เรียกว่าคนพาลมันเป็นอย่างนี้ มันพูด เรียกว่ามันพูดประจบประแจงเก่ง มันหากุศโลบายเก่งเสียจนหลอกลวงเราให้เราหลงเชื่อ เสียทั้งเงินทั้งทอง เสียทั้งตนเองไป ดีไม่ดีเข้าคุกเข้าตารางเรือนจำได้ มันก็เป็นกันอยู่ทุกวันนี้ นั่นแหละเราไม่ดูคนก่อน พระพุทธเจ้าว่าคนไม่ดูคน การคิดการอ่านอุดมการณ์มันต่างๆ คนชนิดนั้นเราก็ไม่ได้ดู พอเราไปเห็นใหม่ๆเราก็คบๆไปเลย เป็นเพื่อนเป็นฝูงเข้าไป ก็ทำให้เกิดเรื่องราวเกิดขึ้นได้ เขาก็พาให้เราทุกข์สิ เขาก็พาเราทำผิด เหตุฉะนั้นคนพาลจึงเป็นพิษเป็นภัยอยู่ทั่วโลกเพราะเรื่องของคนพาล ขาดจากหลักศีลธรรม 

ถ้าหากบุคคลใดจะถลำเข้าไป เข้าไปคบหาสมาคม สมัครรักใคร่ไปมาหาสู่กับบุคคลพาลชนิดนี้ ชาตินี้เราจะล่มจม เพราะเค้าไม่เลื่อมใสทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เค้าไม่ศึกษาหลักพระพุทธศาสนาให้รู้บุญ รู้บาปอะไร ไม่รู้ถึงบุญคุณของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ปู่ย่าตายายก็ดี เค้าพูดจาปราศรัยนี่มีแต่คำแข้งกระด้าง มีแต่คำหยาบ คำไม่ไพเราะเสนาะหูแก่บุคคล พูดที่ยุแหย่ให้คนหมู่นั้นหมู่นี้ คนนั้นคนนี้แตกแยกกัน สารพัดเรื่องที่มันจะทำให้เสียหายนั่นแหละ เราต้องพากันพิจารณากันดูว่า ถ้าหากเค้าคบหาสมาคมคนเช่นนั้น เราก็จะเกิดเสียหายไปด้วย ทุกข์ไปด้วยเพราะเราขาดสติปัญญาดูคน 

เหตุฉะนั้นการคบหาสมาคมจึงเป็นเรื่องใหญ่ ที่ภาษิตที่ได้ยกขึ้นไว้ในเบื้องต้นนั่นเองว่า อเสวนา จ พาลานํ การไม่คบคนพาลจึงจะเป็นมงคลในข้อที่หนึ่งที่พระพุทธศาสนาเอาไว้เบื้องต้นเลย เหตุฉะนั้นพวกเราควรศึกษาการคบหาสมาคมในสังคมเสียแล้ว ในปัจจุบันนี้ยิ่งจะแย่ไปเรื่อยๆ เรื่องการเข้าสังคม เราต้องหัดเป็นคนฉลาด ให้รู้เท่ารู้ทันในสังคม ต้องเรียนนะ จะเรียนแขนงวิชาความรู้ไหนก็ช่าง แต่เรื่องสังคมนี้ต้องเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด เราจะคบหาสมาคมทั้งคนในประเทศเราและต่างชาติต่างประเทศต่างๆ แล้วต้องเป็นเรื่องที่เราศึกษา เพื่อที่จะให้เราเป็นคนที่ทันสมัยกับเหตุการณ์ โลกใดปีใด เมื่อไหร่ก็ช่างมัน ไม่ต้องพูด โลกาภิวัฒน์ไป ไม่ต้องพูดมัน ยุคสมัยใหม่สมัยเก่าไม่ต้องพูด ตัวนี้เป็นตัวสำคัญที่สุด 

ถ้าคนไม่ศึกษาแล้วจะเสียหาย แล้วคนศึกษาแล้วจะเป็นคนทันสมัยตลอด ไม่ต้องว่ายุคอะไร ไม่ต้องสมมุติขึ้นมา เราจะมีความสามารถรู้เท่ารู้ทันได้ จะได้หลีก หลีกจากคนพาลจะพาเราเสียหาย ขนาดเราพูดในปัจจุบันนี้ก็คนพาลก็พากันขายยาเสพติดให้โทษอะไรต่างๆ ไม่ใช่พุทธบริษัทในพระศาสนานี้เราควรศึกษา คนขายยาเสพติดให้โทษทุกอย่าง ไม่ใช่อุบาสก อุบาสิกา ไม่ใช่พุทธบริษัทในพระพุทธศาสนานี้อย่างแท้จริง คนนั้นไม่ใช่ชาวพุทธ แม้จะอยู่ในเมืองพุทธก็ช่าง พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนี้ ไม่ใช่ คนเป็นพุทธบริษัทเค้าไม่ขายยาเสพติดให้โทษ ไม่กินยาเสพติดให้โทษ จึงจะเป็นพุทธบริษัท คนเคารพในคำสอนพระพุทธเจ้า 

นี่แหละ เราจะดูเข้ามาหาตัวของเรานี้ เราทำผิดหรือเราทำถูก ก็ดูเข้ามาหาตัวสิ พวกเรานี่เองก็จะได้เข้าใจว่า เอ เราทำผิดอยู่นี่ เราคบหาสมาคมกันผิดอยู่นี่ มันก็จึงเกิดเรื่องราวอย่างนี้ มีโทษอย่างนี้ มีทุกข์เกิดขึ้นอย่างนี้ในปัจจุบันนี้ เพราะเราไม่ทันสมัย ไม่ศึกษาเรื่องถูกเรื่องผิดนี่เอง เราก็ศึกษาอยู่แต่วิชาความรู้ที่จะบริหารเป็นเรื่องโลกาธิปไตยที่พวกเราพากันศึกษากันอยู่ แต่เรามาขาดธรรมาธิปไตยซิ เราไม่ได้ศึกษา เราไม่มีธรรมาธิปไตย เราจึงวุ่นวายและทุกข์เดือดร้อน เป็นภัยเป็นอันตรายอย่างนี้ในโลก นี่ก็เป็นอย่างนี้ เราก็ควรที่จะได้ศึกษาเตรียมตัวของพวกเราเอาไว้ บัดนี้พวกเราท่านทั้งหลายถ้าหากรู้จักคนพาลแล้ว แล้วเราก็เว้น ละเว้นปล่อยวางอย่าเข้าไปยุ่งกับคนพาล 

ถ้าคบบัณฑิต บัณฑิตนี้เป็นคนอย่างไร บัณฑิตนี้รู้จักผลประโยชน์ทั้งชาตินี้และชาติหน้า เค้าต้องแสวงหาทรัพย์สมบัติในทางที่ชอบ เค้าต้องรู้จักรักษาตนเอง ให้คบหาคนที่เฉลียวฉลาด คนนี้แหละคนที่เราจะคบ เค้าประพฤติปฏิบัติอย่างไร เค้าเจริญรุ่งเรืองมาอย่างไร เค้ารักษาตนอย่างไร บริหารงานเค้าทำอย่างไร ถูกต้องดีมั้ย ไม่ผิดกฏหมายของบ้านเมือง เราก็ต้องดู เราบริหารในครอบครัวหรือหน่วยงานต่างๆ เค้าบริหารถูก ไม่เกิดความยุ่งเหยิงเกิดขึ้น เพราะเค้าบริหารถูกทางกาย กายของเขานั้นก็เป็นคนที่เว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากขโมย เว้นจากประเวณี เว้นจากดื่มสุราเมรัย เป็นคนมีศีลธรรม เป็นบัณฑิตเค้าเรียกเป็นคนมีศีล ๕ ศีล ๘ หรือจะมีมากกว่านั้น แต่ละบุคคลที่ปฏิบัติได้เหมือนพระสงฆ์ 

ถ้าเป็นบัณฑิตที่แท้จริงนั้นนะ เป็นพระสงฆ์ก็คงไม่รุงรังอะไรหรอก พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายที่มีศีลธรรมนั้นไม่เกิดความรุงรังเพราะไม่ทำของแตกฟองมาเทียมพุทธศาสนาให้รุงรังเกิดขึ้น ปฏิบัติไปเรื่อยๆมีแต่ความสงบ เค้าปฏิบัติไปหาความสงบ ไม่ใช่ปฏิบัติไปหาความยุ่งเหยิง ความรุงรัง ความเสียหายอะไร พวกเราท่านทั้งหลายแม้เป็นญาติโยมก็เหมือนกัน เขาปฏิบัติของเขา เอ มันดี คนนี้ เขาปฏิบัติเขาดี เขาอยู่ในศีลธรรมดี ปฏิบัติมารยาทก็ดี เราควรที่จะคบหาสมาคมคนชนิดนั้น 

ผู้หญิงก็ดี ผู้ชายก็ดี จำไว้ให้ดีเราหลายคนอย่างนี้ เมื่อเราจบอย่างนี้ ไม่รู้ใครจะโดนต่อไปข้างหน้า ต้องเตรียมตัวเอาไว้ให้ดีการเข้าสังคม ต้องพยายามที่จะเข้าหาบัณฑิตให้ได้ ถ้าเข้าบัณฑิตนั้น ถ้าเราทำอะไรไม่ดีเค้าห้ามทีเดียวเลย เราพูดเรื่องไม่ดีผิดศีลธรรม เค้าห้าม เค้าก็รู้โทษสิ่งเหล่านั้น ถ้าเราคิดอ่านอุดมการณ์ที่ไม่ดี จะเป็นภัยอันตรายเกิดขึ้นในอนาคต เค้าต้องหยุดห้ามไม่ให้เราคิดเราอ่านเรื่องอย่างนั้น เค้าเรียกบัณฑิต เค้าจะให้เราทำแต่คุณงามความดี ผลออกมาจะมีความสุขแก่ตนและส่วนรวม บัณฑิตเค้าจะสอนอย่างนี้ให้เป็นคนที่มีเมตตา นี่บัณฑิตเขาจะเป็นอย่างนี้ 

แล้วพูดจาปราศรัยก็สร้างสรรค์ไปในทางที่ดี มีความสามัคคีให้อยู่ด้วยกัน  พูดจาปราศรัยให้สนิทสนมกลมเกลียว พูดไพเราะเสนาะหู พูดแล้วฟังแล้วระคายเคืองหูของบุคคลใด บัณฑิตเค้าจะสอนไม่ให้พูด ถ้าเราพูดคุยกัน ก็ให้คุยกันแต่เรื่องที่มีเหตุมีผลมีประโยชน์ที่จะนำความสุขมาให้ทั้งตนเองและคนอื่น เค้าเรียกว่าบัณฑิต นี่การพูด การคิดการอ่านเค้าก็รู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่น มีเมตตา รู้จักเป็นอโลภะคือไม่โลภ อยากเอาทรัพย์สมบัติมาเป็นของเจ้าของ อยากเป็นเจ้าโลก เค้าห้าม แต่โทสะ เค้าไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่เคียดไม่แค้น ไม่ผูกพยาบาทอาฆาตจองเวรใคร มีเมตตาแก่เพื่อนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย อโมหะ ไม่หลงผิดจากทำนองคลองธรรม ไม่เป็นคนมีมิจฉาทิฐิ 

บัณฑิตนี่เค้ารู้จักว่าใครมีบุญมีคุณ พ่อแม่เลี้ยงดูเรามาแต่เล็กจนใหญ่ จนเป็นตัวเหมือนพวกเรานี่หละ พ่อแม่ท่านให้เครื่องนุ่งห่มอาหารการกิน ให้ที่อยู่พักพาอาศัย ให้ศึกษาเล่าเรียนต่างๆ รักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เออ นี่ ท่านมีบุญมีคุณต่อเรา รู้จักอย่างนี้ รู้จักบุญคุณของพ่อแม่ รู้จักบุญคุณของครูบาอาจารย์ รู้จักบุญคุณของปู่ย่าตายาย ถ้าบุคคลใดรู้บุญรู้คุณอย่างนี้เค้าเรียกว่าบุคคลนี้เป็นบัณฑิต เราจะเข้าไปหาเค้า เค้าจะสอนให้เรารู้เรื่องอย่างนี้ รู้เรื่องอย่างนี้ เข้าใจเรื่องอย่างนี้ เราจะดำเนินวิถีชีวิตของเราถูก เรียกว่าบุคคลมีความฉลาด แล้วเชื่อมั่นในเรื่องว่า การทำดีมีความสุข การทำบาปความชั่วมีความทุกข์ เค้าเชื่อมั่นอย่างนี้ เชื่อกรรม ถ้าบุคคลใดทำชั่ว กรรมมันเป็นบาปทั้งหลาย กรรมย่อมตอบสนองบุคคลนั้น ทำให้เกิดมีความทุกข์ 

เราคิดดูง่ายๆ เค้าติดอยู่ในคุกตารางเรือนจำในคอกอยู่ทุกวันนี้ เค้าทำอะไร เค้าทำผิดศีลธรรมมั้ย ผิดกฏหมายของบ้านเมืองมั้ย เค้าถึงเกิดทุกข์อย่างนี้ นี่ เค้าเชื่อมั่นอย่างนี้ บัณฑิตเค้ารู้ ถ้าเราไม่ทำผิด เราจะได้ไปเข้าคุกเมื่อไหร่ เหมือนพวกเรานี่อยู่สบ๊ายสบาย เดินไปตำรวจมาซักห้าพันหน้านายหรือหมื่นนาย ยิ้มใส่หน้าตำรวจได้ไม่ต้องกลัวตำรวจ ไม่ต้องกลัว เพราะอะไร เพราะเราตั้งอยู่ในศีลธรรมนั้นเอง นี้แหละ เราจะเห็นได้ชัด 

บัณฑิตนี้เค้ามีความสง่าผ่าเผย ยิ้มแย้มแจ่มใส เค้าไม่มีหวั่นไหวอะไรเพราะเค้าทำถูก บัดนี้เมื่อเราเข้าไปหา แล้วก็จะสอนพวกเรานี้ดำเนินวิถีชีวิตให้ถูกต้องไปตามบัณฑิต เหตุฉะนั้นพวกเราท่านทั้งหลายก็ควรที่จะพากันตั้งใจหาคบหาสมาคมบัณฑิต บัณฑิตนี้เป็นผู้ให้เชื่อมั่นพระรัตนตรัยที่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บัดนี้บัณฑิตนี้ก็จะชักชวนเราให้เป็นคนที่ได้ฟังเทศน์ ฟังธรรม ไปที่โน่นที่นี่ เหมือนเราชวนกันมา ไปฟังเทศน์ที่โน่นที่นี่ ถือว่าเป็นบัณฑิต เป็นคนฉลาด ชวนบุคคลอื่นไปทำความดี ละบาปความชั่ว ทำความดี เค้าเรียกว่าบัณฑิต 

เหตุฉะนั้นพวกเรา บัณฑิตนี้ก็จะชวน เมื่อไม่มีศีลก็ชวนให้รักษาศีล ถ้าพวกเราไม่มีปัญญา ไม่รู้จักสังขารร่างกายของพวกเรา เกิดขึ้นมาแล้วมันใหญ่ขึ้นมาเรื่อยๆ เป็นหนุ่มเป็นสาว ต่อไปมันจะแก่ชราภาพลงไป บัณฑิตของเรา เราต้องเตรียมตัวแล้ว เราเกิดขึ้นมาแล้วตั้งแต่เล็กจนใหญ่ขึ้นมาเรื่อยๆแล้ว มันไม่ลงไปหาที่หนุ่มหละ มีแต่จะเฒ่าแก่ไปทุกวันๆ บัณฑิตเค้าจะสอนอย่างนี้ เค้าจะเอาอะไรเป็นที่พึ่งของเรา เราต้องทำคุณงามความดี ทำบุญทำทานการกุศล รักษาศีลเจริญภาวนาเอาไว้ พัฒนาตนเองให้อยู่ในขอบเขตของศีลธรรมเอาไว้เป็นที่พึ่งของตน 

บัณฑิตเค้าสอนให้คนไม่ประมาทในชีวิต อย่างนี้บัณฑิตเค้าจะชวนให้เราทำอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ คิดอ่านอย่างนี้เรียกว่าบัณฑิต เหตุฉะนั้นประโยชน์ชาติหน้าก็คือเราทำคุณงามความดีนั่นเอง เหมือนเราทำบุญทำกุศลเนี่ยหละ ได้ช่วยเพื่อนมนุษย์ ช่วยเพื่อนนักเรียนก็ดี ช่วยนักเรียนรุ่นเล็กๆเค้ายังเป็นเด็กอยู่ก็ดี ช่วยคนทุกข์คนจนก็ดี แล้วแต่กำลังที่เราจะทำได้ เราทำเราช่วยคนอื่น 

เราอย่าไปช่วยคนอื่นจนเราหมดตัว เราทำบุญก็ทำไปแต่น้อย เราช่วยคนเราก็ช่วยไปแต่น้อย เราต้องรู้จักรักษาเงินไว้รักษาตน ให้ตนมีความสุข คนรักตนต้องรู้จักรักษาตน เงินเอามาไว้ใช้สำหรับตน แล้วแบ่งเอาไว้ใช้เสียภาษีทั้งหลายที่พวกเราเสียกัน อันนั้นน่ะ เค้าบำรุงประเทศ บำรุงเป็นส่วนรวม เป็นของทำบุญ อันนั้นทำบุญโดยไม่ได้ทำในวัด ถ้าทำอยู่ข้างนอกเสียภาษีนั้นเค้าเรียกว่าทำบุญ ไม่ได้มาทำอยู่ในวัด พวกเราได้ทำบุญทุกคนอยู่ ไม่ใช่ไม่ได้ทำ นั้นแหละ แต่อย่าไปทำมาก ทำมากจนเจ้าของนี่ทุกข์ยากลำบากนั้น อย่างนั้นเค้าเรียกว่าคนทำผิด คนเห็นผิดในการทำบุญ เค้าเรียกศรัทธาจริต เชื่ออะไรก็เชื่อไปจนหมดตงหมดตัว หมดเงินหมดทอง หมดที่พึ่งของตนเองอย่างนี้เค้าเรียกว่าคนศรัทธาจริต คนยังขาดสติปัญญา ไม่มีสติปัญญาในการทำความดีของตน 

เหตุฉะนั้นคนต้องรู้จักกำลังของตน จะถือของก็รู้จักกำลังของตนเองพอถือได้จึงถือ แต่ปฏิบัติอะไรต้องเหมาะสมกับที่เราจะปฏิบัติได้ เราจึงทำ คุยกันก็เหมือนกัน ให้เหมาะสมกับกาละเทศะที่ผ่านอะไรทุกสิ่งทุกอย่าง อย่าให้มันเกินตัว ถ้ามันเกินตัว แล้วมันจะแบกหาม มันจะเกิดทุกข์ขึ้น เหมือนเราไปกู้ไปยืมเงินคนอื่นนี้หละ เราไม่สามารถที่จะใช้ดอกเบี้ยให้เขา ใช้หนี้ให้เขา ความทุกข์มันจะเกิดขึ้น พระศาสนานีท่านห้าม ห้ามไม่ให้เป็นหนี้สินใคร ถ้าเกิดเป็นหนี้เป็นสินแล้วมันจะเกิดทุกข์ในอนาคตในข้างหน้า มีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทุกข์มากขึ้นเท่านั้น มีหนี้เท่าไหร่ ถ้าใครติดหนี้มากเท่าไหร่คนนั้นจะทุกข์มากไปตลอด ทุกข์ไปชั่วลูกชั่วหลาน ตนเองตายไปยังก็มาติดกับลูก ลูกตายไปมันก็ติดอยู่กับหลาน 

การบริหารเราต้องรู้จักบริหารตนเอง จะไปเป็นหนี้เป็นสินคนอื่นเพื่อทำให้เกิดทุกข์ ให้ระมัดระวังการยืมเงินยืมทองซึ่งกันและกัน เป็นนิสิตนักศึกษาทั้งหลาย เป็นคณาจารย์ก็ดี ก็ต้องระมัดระวังเรื่องอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านห้ามไม่ให้เป็นหนี้เป็นสินใคร มันจึงจะไม่ทุกข์ เหตุฉะนั้น พระพุทธองค์ท่านสอนสั้นๆ ทำไมไม่ศึกษา สุขของคฤหัสถ์มี ๔ อย่าง หนึ่ง สุขเกิดจากการมีทรัพย์สมบัติ สอง สุขเกิดจากจ่ายทรัพย์บริโภคสะดวกสบาย สาม สุขเกิดจากการไม่เป็นหนี้เป็นสินของใคร พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนี้ สี่ สุขจากการงานปราศจากโทษ หาเงินหาทองมาได้ด้วยความบริสุทธิ์ การงานปราศจากโทษทางกาย พูดจาปราศรัยก็ไม่มีโทษไม่มีอันตราย คิดอ่านในใจก็ไม่มีโทษ ตนจึงจะมีความสุข นี่สุขของคฤหัสถ์ ตื้นๆสั้นๆอย่างนี้ก็ควรน่าที่จะศึกษาให้ได้ 

คนเรานี้มันไม่ศึกษาที่มันจะเกิดทุกข์วุ่นวาย พวกเราทุกข์ยากลำบากวุ่นวายหมดประเทศทุกวันนี้เป็นเพราะอะไร เพราะติดหนี้ติดสินเขา ความที่ติดหนี้ติดสินก็คืออาศัยซึ่งขาดสติปัญญา เกินกำลังของตน ผิดจากหลักพระพุทธศาสนานั่นเอง ความเดือดร้อนจะเกิดขึ้นมากกว่านี้ไปอีก ถ้าไม่ระมัดระวัง ไม่รู้จักรักษา ไม่รู้จักบริหาร ตรงนี้แหละน่าสงสารเหลือเกิน หากเราเป็นนักปฏิบัติ เป็นพระอยู่ในป่าในเขา ไม่ใช่เราอยู่เฉยๆ เราไม่ศึกษาเรื่องอย่างนี้ เค้าไม่รู้ว่าเราศึกษาอะไร เค้ายังไม่เข้าใจ แต่ยังอวดดีทำให้บ้านเมืองวุ่นวายอยู่ ก็น่าสงสารเหมือนกัน 

เหตุฉะนั้นก็อยากให้เตือนพวกเรา เราจะใหญ่ขึ้นมานี่ ถ้าเกิดได้เป็นผู้บริหารประเทศขึ้น เราจะได้นำศีลธรรมนี้ไปพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรือง ให้อยู่ด้วยความผาสุขด้วยกัน ทั้งพระสงฆ์ก็จะได้อยู่สบาย ฝ่ายญาติโยมก็เป็นคนทันสมัย คนมีเหตุมีผลกันหมด ไม่ต้องยุ่งเหยิง ไม่ต้องถกเถียงทะเลาะวิวาทกันอะไร เพราะอะไร เค้ามีธรรมาธิปไตยควบคุมดูแลด้วย มีโลกาธิปไตย แล้วก็มีธรรมาธิปไตยเป็นคู่เคียงกันอยู่ ธรรมาธิปไตยเป็นของผ่อนสั้นผ่อนยาวละเอียด รู้จักถูกจักผิดนั่นเอง รู้จักอันตรายจะเกิดขึ้นข้างหน้า หรือความสุขจะเกิดขึ้นข้างหน้า เค้าเรียกว่าธรรมาธิปไตย พวกเราท่านทั้งหลายก็ควรที่จะศึกษา 

เมื่อเราศึกษารู้เรื่องอย่างนี้ บัดนี้พวกเราเป็นนิสิตนักศึกษาอยู่ ก็ขอฝากพ่วงท้ายเป็นงานของพวกเราเสีย พากันตั้งใจทำ หนึ่ง เรากำลังศึกษาเล่าเรียน เราต้องมีฉันทะ ความพอใจในการศึกษาเล่าเรียน ในหน้าที่ของตน ต้องผูกความพอใจขึ้น อย่าเป็นคนเกียจคร้าน สอง เราต้องมีวิริยะ เพียรประกอบกิจการงานของพวกเราให้ดี ก็คือมีอารักขสัมปทานั่นเอง นี่การรักษางานของตนให้ดี สาม ก็คือมีกัลยาณมิตตา ก็สอนไปแล้วว่าให้รู้จักคบบัณฑิตกัลยาณมิตร คบเพื่อนคบฝูงที่ดี สี่ สัมมาชีวิตา เลี้ยงชีวิตให้สมกับฐานะของเรา 

เป็นนิสิตนักศึกษาจ่ายเงินจ่ายทองก็ดี รู้จักว่าค่าเทอมเป็นอย่างไร ค่าหอพักเป็นอย่างไร ค่าพ่อแม่ให้มาซื้ออยู่ซื้อกินเป็นยังไง ค่าเครื่องนุ่งเครื่องห่มการศึกษาเล่าเรียนเป็นยังไง เรารู้จักประหยัด ไม่มีใครคนอื่นเค้าจะประหยัดให้เราหรอก เราต้องเป็นคนประหยัดเอง รู้จักสรรหาเงิน รู้จักแบ่งเงินใช้ รู้จักประโยชน์ ตรงนี้แหละเราต้องศึกษาเอาไว้ เมื่อหากเราเรียนจบแล้ว เราไปทำงานเราจะรู้ดี เราทำงานได้เงินเดือนมาใช้ ถ้าเราไม่รู้จักรักษา เราก็จะจนตลอดเลยทีเดียวในชาตินี้ ไม่ร่ำไม่รวย ไม่มั่งไม่มีเลย 

เหตุฉะนั้นเราก็คงพากันตั้งใจปฏิบัติให้มีฉันทะความเข้าใจศึกษาเล่าเรียน มีวิริยะ เพียรไปโรงเรียน เพียรดูหนังสือ เพียงฟังครูสอนดีๆ จิตตะเอาใจฝักใฝ่ว่าเรามาศึกษาเล่าเรียนหาวิชาความรู้นะเดี๋ยวนี้นะ เราไม่ใช่มาเล่นนะ เรามาม.ช.นี่ เรามาจากจังหวัดต่างๆ เรามาศึกษาวิชาหาความรู้เพื่อจะได้วิชาความรู้นี่ไปเลี้ยงดูตนเองให้มีความสุขในอนาคต ชั่วโมงข้างหน้านี่เค้าเรียกอนาคต หรือว่านาทีข้างหน้านี่เรียกอนาคตทั้งนั้น ในข้างหน้าที่จะเกิดขึ้น เราต้องจะทำอย่างไรชีวิตเราถึงจะสบายและมีความสุข เราจะใช้วิชาความรู้ที่เราเรียน 

ถ้าเราเรียนจบแล้ว เราก็ต้องไปสมัครเข้าทำงาน ทำงานก็ตั้งใจอีกหละ ต้องมีฉันทะความพอใจในการทำงาน มีวิริยะต้องเพียรไปทำงานอีก ขี้เกียจขี้คร้านไม่ได้ จิตตะ เราเอาใจมาทำงานถึงจะได้เงินเดือน วิมังสา จบแล้วถึงสิ้นเดือนก็ได้เงินเดือนมาใช้ เราต้องศึกษาเรื่องธรรมะ พระพุทธเจ้าสอนไว้อย่างนี้ ไม่เหมือนฝรั่งเค้าคิดอ่าน ฝรั่งเค้าคิดอ่านว่าพระพุทธศาสนานี่สอนให้คนขี้เกียจขี้คร้าน เพราะฝรั่งมันไม่ได้ศึกษาหลักพระพุทธศาสนาใน ๔ ข้อนี้เอง 

พุทธศาสนานี้สอนให้คนขยันหมั่นเพียร ไม่ใช่สอนให้คนเกียจคร้าน สอนให้รักษางานให้ดีเยี่ยมเลยทีเดียว สอนให้ฝักใฝ่ดูแลงานไว้อย่างดี นี้ ฝรั่งมันไม่รู้เรื่องอย่างนี้ มันจึงดูถูกศาสนาพุทธ พวกเรานี้ได้ภาษา ก็พากันศึกษาภาษาอังกฤษไว้ดีๆเพื่อแก้ไข เพื่อเตือนเพื่อนที่ไปถือคริสเตียน คริสตัง หรือศาสนาอะไร เป็นชาวมุสลิมต่างๆ ฮินดูก็แล้วแต่ ศาสนาพราหมณ์ หรือศาสนาโยเลอะไร ญี่ปุ่นต่างๆแล้วแต่ 

ที่เขาถือกันหลายสิ่งหลายอย่างทุกวันนี้ เช่นลัทธิต่างๆ เค้าคิดขึ้นมาแล้ว เค้าทำอะไรผิด ถ้าเราเรียนพุทธศาสนา เราเห็นจุดบอดเต็มตัวเลยทีเดียว ทุกลัทธิ ทุกศาสนามีจุดบอดทุกศาสนาที่เขาบริหารกันอยู่ เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ละเอียดสุขุมมาก ถ้าบุคคลใดศึกษามากๆ จะรู้เท่ารู้ทันรู้จักหมด โอ้ เค้าปฏิบัติได้แค่นี้ ก็ให้เค้าปฏิบัติแค่นี้ เหมือนเราเป็นนิสิตนักศึกษาเรียนม.อย่างนี้หละ เราเรียนหนังสืออยู่ประถม มัธยม นี่ เออ เด็กมันเรียนได้แค่นี้เอง มันก็เถียงกันอยู่แค่นี้แหละ เราก็รู้ เราก็ได้รู้อย่างนั้น เหตุฉะนั้นพระพุทธศาสนาจึงเป็นศาสนาที่ละเอียดคัมภีรภาพ นุ่มนวล เป็นศาสนาที่ไม่รบกวนลัทธิศาสนาใดในโลก นี่จึงเป็นศาสนาสากลที่ทันสมัย ตั้งแต่อาตมาปฏิบัติมาแล้วจะมาเข้าใจว่าเป็นศาสนาสากล ทุกชาติทุกประเทศที่จะบริหารได้จะศึกษาได้หมดจนถึงที่สุดของหลักพุทธศาสนาได้ 

เหตุฉะนั้นพวกเราท่านทั้งหลายควรแล้วที่จะศึกษา ศึกษาให้รู้จักวิถีชีวิตของพวกเรา พวกเรานี้ไม่ใช่อยู่เฉยๆ เราต้องควรหาที่พึ่งของพวกเรา เหตุฉะนั้นการหาที่พึ่งก็ดังได้กล่าวมานี้แหละ หัดเป็นคนฉลาดว่าคนไหนเป็นคนพาล คนไหนเป็นบัณฑิต อันนี้ต้องมองให้ดี 

ขอเตือนย้ำอีกทีว่าคนพาลนั้นเหมือนกับปลาเน่า คนพาลน่ะ ถ้าเราเข้าไปหามัน มันจะเหม็นไปกับมันเลย สกปรกไปกับมันเลย นี่คนพาล มันมีมากมายมายกันมาก็ไม่ต้องพรรณนามาก พรรณนาได้มากมาย เรื่องคนพาล ศึกษามามาก 

บัดนี้บัณฑิตถ้าเราเข้าไป เหมือนกับของหอม ตัวของเรายังไม่ดีนั่นเอง แล้วมันจะเป็นคนดีขึ้นมา ตามความสามารถของพวกเราที่ปฏิบัติตามบัณฑิตได้ จึงเปรียบเทียบเหมือนดอกมะลิ บัณฑิตเหมือนกับดอกไม้ ดอกไม้ที่ของหอม ถ้าเราเอาใบตอง ใบสัก ใบตองตึงนี่ ก็เอาดอกมะลิหอมๆไปวางแล้วก็ห่อ ห่อไว้ซักครู่หนึ่งก็พากันเปิดออกมา เอาดอกมะลิหนี ไปดมดู ดมดูใบสัก ดมดูใบตองตึง มันจะมีกลิ่นหอมติดอยู่ในใบตอง ทั้งๆตัวมันไม่หอม แต่มันมีกลิ่นหอมติด 

ก็เปรียบเทียบเหมือนพวกเรายังไม่ดีนี่เอง ยังไม่มีสติปัญญา เมื่อเข้าไปหาบัณฑิตแล้วบัณฑิตจะสอนให้ทำแต่คุณงามความดี พูดแต่เรื่องดี คิดแต่เรื่องดี เราก็เลยได้ของดีติดตัวของเราไป ปฏิบัติตนก็จะดีขึ้น เรียกว่าเข้าหาบัณฑิต 

เหตุฉะนั้นพวกเราท่านทั้งหลายห็ต้องการคุณงามความดี ก็ขอให้พวกเราศึกษา พวกเราสำเหนียกระลึกนึกถึงคุณงามความดีที่เราจะปฏิบัติต่อไป การเข้าสังคมจึงเป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ก็ขออำนวยอวยพรให้นิสิตนักศึกษาหรือมีคณาจารย์มาด้วย หากพวกท่านทั้งหลายได้ยินได้ฟังแล้ว สิ่งใดไม่ควรแล้วก็ให้ละทิ้งไป มันจะทำให้เกิดทุกข์ สิ่งใดที่ควรก็ฝึกปฏิบัติ ก็ฝึกหัดดัดแปลงแก้ไขพัฒนาตนเอง ให้ไปตามทำนองคลองธรรมหลักพระพุทธศาสนาในทางที่ชอบ ประกอบแต่คุณงามความดีจะทำให้ตนเองมีความสุขความเจริญต่อไป 

ก็ขอยุติการบรรยายธรรมเรื่องการคบหาสมาคม เว้นจากคนพาลเป็นมงคล การคบหาสมาคมบัณฑิตเป็นมงคลอันประเสริฐ ก็ขอยุติเพียงแค่นี้ เอวังก็มีด้วยประการะฉะนี้