หลวงพ่อชา สุภัทโท
พุทธบริษัททั้งหลาย ทั้งพระภิกษุและสามเณร และอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายที่ได้มาร่วมในงานพิธีวันนี้ วันนี้เป็นวันหนึ่งซึ่งอาตมาได้มาพบกับญาติโยมทั้งหลาย มีท่านพระครู เจ้าคณะอำเภอเป็นประธาน ดังนั้นการมาที่นี่มีประโยชน์ เพื่อประโยชน์ตน และประโยชน์บุคคลอื่นเสมอไป
สถานที่นี้อาตมาก็ได้พยายามมาบ่อยครั้งเพราะว่าสถานที่นี้มาแล้วสบายใจ ทำไมมันถึงสบายใจ สบายใจเพราะว่ามีครูบาอาจารย์อยู่ในสถานที่นี้ มีท่านเจ้าคณะอำเภอเป็นต้น มีความเห็นพร้อมเพรียงในการประพฤติปฏิบัติในทางพุทธศาสนา เมื่อมาที่นี่ก็สบายใจ จะพูดอะไรก็ง่าย จะพูดอะไรก็ไม่ต้องเกรงใจ เพราะว่าได้น้อมจิตใจมาในเส้นทางอันเดียวกันแล้ว ถึงแม้พระครูท่านจะเป็นผู้ปฏิบัติคณะสงฆ์โดยเฉพาะก็จริง แต่ว่ายังมีผลสะท้อนมาถึงผู้ปฏิบัติอยู่ในป่าด้วย ให้ความสะดวกสบาย
ดังนั้นอาตมาถึงว่ามาที่นี่แล้วมันสบายใจ มันสบายใจคือมันรู้เรื่องอะไรกันหลายๆอย่าง ไม่มีอะไร อันนี้เฉพาะที่นี่ ที่อื่นนั้นลำบาก ที่อื่นยังลำบาก เพราะว่าพุทธบริษัทเราทั้งหลายนั้นทั้งพระหรือเณร หรืออุบาสก อุบาสิกา ก็เพียงแต่ว่าเป็นอุบาสก อุบาสิกา เป็นพุทธบริษัท แต่ยังไม่ยอมรับความจริง ซึ่งพวกเราทั้งหลายหันหน้าเข้ามากราบพระ ไหว้พระ บวชในพระพุทธศาสนาแล้วก็จริง แต่ยังไม่ยอมรับความจริง ในด้านพุทธศาสนาน่ะมันมีมาก ถ้าหากว่าเป็นเช่นนี้ก็เป็นภัย เป็นภัยต่อผู้ประกาศพุทธศาสนานี้ ฉะนั้นที่นี่ไม่มีอะไร แม้ถึงท่านพระครูท่านก็ มีโอกาสท่านก็ไปเยี่ยมวัดป่าพงบ่อย ได้พูดอะไรกันหลายๆอย่าง ก็เรียกว่าท่านยอมรับ จึงเป็นที่สบายใจมาก สถานที่นี้ ที่ได้มาสร้างอยู่ที่นี่ก็เพราะท่าน ก็เพราะท่านเป็นประมุขประธานองค์หนึ่งเหมือนกัน
ดังนั้นวันนี้ก็จึงขออนุญาตญาติโยมทั้งหลาย จะขอพูดไปตามความจริง เทศน์ไปตามความรู้สึก เทศน์ไปตามความรู้สึกเพราะว่าภายในเวลานี้ก็สุขภาพอาตมาปีนี้รู้สึกว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ สุขภาพไม่ค่อยดี จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน มันขัดไปทั้งนั้นแหละ แต่ว่าก็พอที่เราอยู่ได้กับมัน ก็เรียกว่ามันเป็นอย่างนั้น ไอ้สังขารมันเป็นอย่างนั้น เมื่อมาเรียนรู้ว่าสังขารมันเป็นอย่างนั้น ก็ยิ่งมีความสบาย มันจะเจ็บ มันจะไข้ มันจะเป็นอะไรต่างๆไปก็มีความเห็นว่ามันเป็นอย่างนั้นของมัน ก็มีความสบายภายในจิตของเจ้าของอยู่เสมอ
ฉะนั้นการปฏิบัตินี้ ในทางพุทธศาสนานี้ โดยมากพวกพุทธบริษัทเราทั้งหลายนั้นยังไม่ยอมรับกัน คือยังไม่เห็น ทั้งๆเราเป็นอยู่ เราก็ยังไม่เห็นอยู่ เช่นท่านพูดว่าปลาอยู่ในน้ำ ไม่เห็นน้ำ อันนี้มันก็จริงเหมือนกัน ไส้เดือนมันอยู่ในแผ่นดิน มันไม่เห็นขี้ดิน อันนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น อันนี้ทั้งเรากราบทั้งเราไหว้ ทั้งเราสาธยายธรรมะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น ก็ยังไม่ยอมรับธรรมะของท่านไว้ในใจ อันนี้เป็นความจริง
ไอ้ธรรมะเมื่อเราฟังแล้ว ไม่ใช่ว่ามันรู้ทีเดียวนะ ไม่ใช่มันรู้ทีเดียว เปรียบให้ฟังง่ายๆ ธรรมะนี้ เหมือนกันกับผลไม้บางอย่างซึ่งเราไปบ้านญาติ บ้านเพื่อนมิตร แล้วเค้าเอาผลไม้ฝากเรา เอาผลไม้ฝาก เราก็เพิ่งหยิบเอาผลไม้ไว้ในมือเราเท่านั้นแหละ เท่านั้นแหละ ไม่ใช่ว่ามันรู้เปรี้ยวรู้หวาน รู้ฝาด รู้อะไรต่างๆ ไม่รู้อ้ะ แต่ว่าจับผลไม้แล้ว แต่ก็ยังไม่รู้รสของผลไม้ ก่อนที่จะรู้รสของผลไม้น่ะ จะต้องเอาผลไม้นั่นมาทานมากิน มาขบ มาเคี้ยว จึงจะรู้ว่ามันเปรี้ยว มันหวาน มันมีรสชาติต่างๆตามสัญญาของเรา ธรรมะนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น ทุกอย่างพระพุทธเจ้าเราท่านให้เอาตนเป็นพยานของตน ไม่ต้องเอาคนอื่นเป็นพยาน
เรื่องของคนอื่นนั้นตัดสินได้ยากลำบาก เพราะเรื่องของคนอื่น ถ้าเรื่องของเราแล้วน่ะมันง่ายที่สุดแหละ ตัดสินอย่างนี้ก็ได้ ก็เพราะความจริงมันอยู่กับเรา เพราะมีเราเป็นพยาน ธรรมะนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น เมื่อเราฟังแล้วจะต้องเอามาภาวนาให้มันเป็นศาสนา ปริยัติศาสนา ปฏิบัติศาสนา ปฏิเวธศาสนา ปริยัติก็คือการเรียนรู้ ปฏิบัติ รู้แล้วมาปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าของเรา แล้วเกิดความรู้ขึ้นมาตามความเป็นจริง อันนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น เหมือนเราได้ผลไม้มาจากเพื่อน จากญาติ ด้วยมือตนเอง ได้มาแล้วก็ยังไม่รู้รสว่ามันเปรี้ยว มันหวาน
อันนั้นก็เหมือนกัน การฟังธรรมะนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เราฟังเฉยๆก็รู้ด้วยสัญญาของเรา รู้ด้วยสัญญาของเรา ยังไม่รู้ตามความจริง ฉะนั้นมนุษย์เราทั้งหลายนั้นผู้ยอมรับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นโดยมากก็ไปพูดเรียกว่าตามสัญญาให้กันฟัง ไม่พูดความจริงใจให้ฟัง ฉะนั้นพวกเราทั้งหลายนั้น จึงไม่เข้าถึงธรรมะ ไม่สอดส่องถึงธรรมะ รู้ธรรมะ เรียนธรรมะ และปฏิบัติธรรมะ แล้วก็เห็นธรรมะ ทั้งสามสี่อย่างนี้ยังไม่บริสุทธิ์ ถ้ามีคุณสมบัติสามสี่อย่างกล่าวมานี้จะต้องให้เป็นธรรมะ ให้เป็นธรรม พูดได้ก็ดี เรียนได้ก็ดี รู้ได้ก็ดี ปฏิบัติได้ก็ดี แต่ว่าใจไม่เป็นธรรม ใจไม่เป็นธรรม แต่พูดเป็นธรรมก็ได้ ทำเป็นธรรมก็ได้ แต่ใจไม่เห็น ไม่เป็นธรรม นี่ก็เรียกว่ายังไม่สมบูรณ์แบบตามทางพุทธศาสนา
อาตมาเคยได้ผ่านมาหลายอย่างเรื่องปฏิบัตินั้น เช่นว่า อุบาสก อุบาสิกาเรานั้น สอนธรรมะให้ สอนศีลพูดง่ายๆ สอนศีล ๕ ปาณา อทินนา กาเม มุสา สุรา ไม่ค่อยยอมรับกัน กลัว เราให้ศีลยังมาขอกับเราอีก ขอก่อนเถิด ขอก่อนเถิด ขอเรื่อย อาตมาก็มานึก เอ๊ มันกลัวเราจะดี กลัวเราจะได้ของดี นี่ก็เรียกว่าเรายังไม่เห็นความจริง ไอ้ความเป็นจริงนั่นนะ มันโทษมันทั้งนั้นน่ะ ไอ้ศีลทั้ง ๕ ประการนั้นน่ะ ที่เราให้ไปแล้ว ก็ยังบอกยังขออีก อย่างน้อยก็ต้องขอให้นานๆ ขอเอาความชั่วไว้ ขอเอาความผิดไว้ ขอเอาอะไรความยุ่งยากไว้ หลายอย่างซึ่งที่เรายังไม่รู้ความจริงของศีล
อาตมาเคยได้พบลูกศิษย์ทางชาวตะวันตกที่เค้าไปเค้ามา เค้ามาถามหลวงพ่อว่า ทำไมคนเมืองไทยเนี่ยเป็นพุทธบริษัททุกคน ทำไมเค้าจึงกินเนื้อกันอยู่ แน่ะเค้าถาม โดยมากเค้าว่าไม่กินเนื้อ ไม่กินเนื้อกินปลากัน โดยมากเป็นโยมผู้หญิงฝรั่งมาถาม อาตมาว่าไม่รู้เรื่อง ไปถามคนอื่นดีกว่า คือปัญหานี่มันหนัก มันหนักเสียแล้ว เค้าจะไม่ให้กินเนื้อแน่ะ แต่เราพากันว่าไอ้เนื้อนี่มันเป็นโทษ สัตว์นี่มันเป็นโทษ ห้ามกันกลางๆ ไม่ได้ยิน อันนี้ชาวตะวันตกชอบเป็นอย่างนี้ โดยมากเค้าชอบฉันเจกัน หรือไม่เจเค้าก็เรียกว่าไม่ฆ่าสัตว์กัน ไม่ฉันเนื้อสัตว์กัน โดยมากเป็นอย่างนั้น ทีนี้เมื่อเค้ามาถึงเมืองไทยเรา เห็นพระ เห็นเณร เห็นพุทธบริษัททั้งหลายทั้งปวงมั่วสุมกับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เค้าก็เกิดความสงสัยขึ้น
อาตมาก็เลยแก้อาหาร แก้ปัญหานี่เป็นพลางๆไป “โยม เอาขนาดนั้นที่เรียกว่า คนอื่นฆ่าแล้วกินไม่ได้เหรอ รองเท้าของโยมน่ะใส่มาทำไมหนังสัตว์ ตลับมีดนั่นน่ะ กระเป๋าสตางค์นั่นน่ะ หนังสัตว์ทั้งนั้นแหละ” อาตมาก็แก้ขุ่นๆไปเท่านั้นแหละ ก็ไม่มีอะไร นี่ก็ส่งเสริมให้เค้าทำเหมือนกัน ไอ้ความเป็นจริงก็วกมาทางว่า ประเทศไทยเมืองไทยเค้าทำกันมาอย่างนี้นานแล้ว อันนี้ให้พูดเป็นส่วนบุคคลซะดีกว่า เราเห็นโทษ เราก็เลิกมันซะดีกว่า อันนี้จะไม่มีภาระอะไรมาก มันจะน้อยลง เราไม่ต้องยุ่งในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น
อันนี้พูดให้ฟังให้เราไปพิจารณาดู ทางชาวตะวันตกถ้าเค้าถึงพระ เค้าก็ไม่วันพระ แต่เค้ามาวัดทุกวัน ตอนนั่งกรรมฐานก็มาทุกวันแต่เค้าไม่มีวันพระ เราหกวัน หกวันเจ็ดวันมีวันพระก็ว่าดีแล้ว เค้าไม่มีวันพระแต่เค้ามากันทุกวัน นั่งกรรมฐาน ก็ไม่ได้พูดถึงเล่าเรื่องศีลอะไรต่างๆ มานั่งกรรมฐานกันเลย อันนี้มันไปกันซะอย่างนั้น ฉะนั้นพวกเราทั้งหลายนั้น อาตมาเห็นว่ามันพูดกันไปๆมาๆ ย่ำยีกันอยู่นั่นแหละ มันได้หลงทางซะ จะเอาจริงก็ไม่เอา จะเอาจังก็ไม่เอา ก็อยู่กันอย่างนั้น มันก็เลยเป็นของลำบากอยู่
ฉะนั้นฝ่ายพระภิกษุสามเณร พวกเราทั้งหลายนี้ก็เหมือนกัน ถ้าพูดนี่มันขัดนะ มันขัดใจคน ก็เพราะว่าธรรมะคำสอนพระพุทธเจ้านี่ทำให้คนตาย ให้พระเกิดขึ้นมา ถ้าคนไม่ตาย พระไม่เกิด ทำความผิดให้หมดไป ไอ้ความไม่ผิดถึงจะเกิดขึ้นมา พูดกันง่ายๆ คำสอนของพระพุทธเจ้านี้เหมือนกัน ทำคนให้ตาย ให้พระเกิดขึ้นมา ทำความผิดให้มันหมด ไอ้ความถูกมันจะเกิดขึ้นมา ทำความชั่วให้มันหมด ไอ้ความดีมันจะเกิดขึ้นมา สิ่งทั้งหลายที่พูดมานี้ เราจะดูการงานของเราก็แล้วกัน อย่างบ้านเรานั่นน่ะมันสกปรก มันก็ไม่สะอาดใช่มั้ย ไม่ต้องดูไกลหรอก ถ้าเราเอาไม้กวาดแล้วก็เช็ดสกปรกออก มันก็สะอาด แน่ะ ทำไมมันถึงสะอาดแล้ว เพราะความสกปรกมันหายไป บ้านเราก็สะอาด นี่ธรรมะ ง่ายๆ ไอ้ความผิดทั้งหลายไม่หมด ไอ้ความถูกมันก็เกิดขึ้นไม่ได้ มันเป็นเรื่องของง่ายๆ
แต่ว่าถ้าหากเราไม่ภาวนา ไม่รู้ว่าอะไรมันเป็นอะไรกัน โดยมากก็อย่างชาวพุทธเราทุกวันนี้ตามวัดวาอาราม ตามบ้านตามช่องของเรานั่นนะ อาตมาก็เคยดูไปนั่น ไม่รู้ว่าอะไรต่ออะไร ถ้าเข้าไปทำบุญทำทานในวัด ดื่มเหล้ากัน กินเหล้ากัน ตีกลองกัน ฟ้อนอันใดๆวุ่นวาย เลยถือเป็นของเล่น ไม่รู้เรื่องว่ามันบาปที่ไหน บุญที่ไหน ความสงบที่ไหน ความวุ่นวายที่ไหน เมื่อมาถึงบัดนี้ ที่ทำกันมานานแล้ว มีผู้มาห้ามก็โกรธให้ ก็ต้องโกรธ โดยมากกรรมฐานไม่เคยพูดมาก แต่ว่าคนโกรธกรรมฐาน แน่ะ คือท่านพูดไปตรงๆ ไอ้ความเป็นจริงนั้นน่ะ สงสารที่สุดเพราะว่าพระเณรนี่
ตัวอาตมาเองนี่หละเมื่อบวชในพุทธศาสนาแล้วก็พยายามหาพิธีที่จะป้องกัน แนะนำพร่ำสอนญาติโยมเพราะทำไม ประโยชน์ตน ประโยชน์คนอื่นให้สมบูรณ์ พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนั้น เพราะว่าอาศัยทุกสิ่งทุกอย่างนั้น อาศัยญาติโยม ที่อยู่ที่อาศัย การขบการฉัน ทุกประเภทน่ะจะต้องอาศัยญาติโยม เมื่ออาศัยญาติโยมจะต้องสงเคราะห์ญาติโยมในทางที่มันถูก ไอ้ความถูกความผิดนี้ยังไม่เห็นกันซะแล้ว ไม่เห็น ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เรื่องกัน ขัดไปหลายอย่าง
อันนี้ตั้งแต่ครั้งท่านอาจารย์เสาร์ ท่านอาจารย์มั่น สมเด็จมหาวีรวงศ์ออกประกาศพระศาสนา เข้าบ้านไหนมันแตกบ้านนั้นแหละ ท่านสมเด็จฟัง เอ้อ ท่านมั่น ท่านเสาร์นี่ให้ไปสั่งสอนญาติโยมให้กลมเกลียวกัน ทำไม๊ เข้าไปบ้านไหนแตกบ้านนั้นเลย ท่านพูดตามความจริง บางทีผัวเข้าวัด เมียไม่เข้า เมียเข้าผัวไม่เข้า พ่อแม่เข้าลูกไม่เข้า ลูกเข้าพ่อแม่ไม่เข้า ทำไมมันถึงมันเป็นอย่างนั้น ท่านสมเด็จมหาวีรวงศ์องค์ก่อนน่ะ ก็ให้โทษท่านอาจารย์เสาร์ อาจารย์มั่นน่ะ มันไปพูดอะไร มันไปทำยังไง ให้ไปสั่งสอนประชาชนให้กลมเกลียวกัน เข้าบ้านไหนแยกกัน บางทีผัวเมียแยกกัน พี่น้องแยกกัน อะไรมันแยกกันทั้งนั้นแหละ
อันนี้ท่านยังไม่เข้าใจ ท่านเจ้าคุณสมเด็จองค์ก่อนยังไม่เข้าใจ ไอ้ความเป็นจริงธรรมะมันถึงเป็นอย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นมันก็ไม่มีอำนาจธรรมะ ธรรมะของพระพุทธเจ้ามีอำนาจมาก ถ้าทำคนเปลี่ยนจิตใจไม่ได้ มันก็ไม่ใช่ธรรมะที่มีอำนาจ ทำปุถุชน สามัญชนให้เป็นอริยชนก็เพราะธรรมะ เห็นธรรมะ มันถึงมีอำนาจ คนมีความเห็นผิด ได้ฟังธรรมแล้ว มีความเห็นถูกขึ้นมา มันเปลี่ยนไปงั้น ธรรมะมันต้องเป็นอย่างนั้น ทีนี้ท่านสมเด็จท่านว่าเข้าไปตรงไหน ก็ต้องกลมเกลียวกัน พี่น้องกลมเกลียวกัน พ่อแม่กลมเกลียวกัน ลูกหลานกลมเกลียวกันทั้งนั้นอย่างนั้น ไอ้ความเห็นท่านเป็นอย่างนั้น แต่ว่าเมื่อพูดถึงธรรมะ มันไม่ใช่อย่างนั้น แต่เนี่ยจิตมันไม่เหมือนกัน คนหนึ่งหยาบ คนหนึ่งละเอียด เมื่อไปพูดถึงธรรมะแล้ว คนนึงก็เห็นธรรมะ คนนึงไม่เห็น เห็นเป็นพิษเป็นภัย ฉะนั้นการวุ่นวายถึงเกิดขึ้นมา
ตลอดทุกวันนี้อาตมาก็เคยเผชิญมาหลายแล้ว เรื่องไปตั้งวัดป่าที่ไหนๆก็ดี ครั้งแรกต้องทะเลาะกัน บ้านเจ้าของยังทะเลาะกันเลย ไม่ใช่คนอื่น พ่อแม่เจ้าของยังทะเลาะกัน ไม่ใช่อื่นหรอก เมื่อพูดขึ้น ธรรมะขึ้นน่ะ มันตัดขึ้นมาซะ มันต่าง ฉะนั้นหละอาตมาถึงเป็นห่วง ลูกศิษย์ลูกหาไปที่ไหนๆหละเป็นห่วงมาก เพราะว่าคนยังไม่รู้นะ คนยังไม่รู้ มันเอาจริงๆน่ะไม่รู้ คนไม่รู้อยู่จะทำไง ความไม่รู้หละมันเอา
เหมือนกันกับคน คนเราน่ะสมัยโบราณกาลชอบจะเป็นอย่างนี้ ชอบถือผีกัน ตามบ้านนอกเราน่ะ ถ้ามีอีกซักคนหนึ่งนะ ไปทำนาก็รวย หาเงินก็รวย เลี้ยงสัตว์ก็รวย แกก็ขยัน ถ้ามันรวยขึ้นๆแปลกประหลาดซะแล้ว มันต่างคนว่างั้นแหละ ก็มองไปในแง่ผิด นี่ตาแก่คนนี้เห็นคงมีของทำนาซะแล้วมั๊ง เห็นแกมีมนต์ทำไร่แล้วซะละมั้ง เห็นแกมีมนต์เรียกสัตว์แล้วมั้ง ก็เนี่ยมันแปลกเพราะมันรวยกว่าเขานี่ แล้วก็ไม่ดูความขยันเค้า ไม่รู้ความเพียรเค้า เห็นแต่ความร่ำรวยเค้าเกิดขึ้นมา ดูเหมือนจะทำไงมันเป็นปอบหละ
เด็กคนนึงได้ยินว่าเป็นปอบเลย ปอบ สองคน ปอบทั้งนั้นๆ เลยเป็นปอบไป คนนึงว่ามันจะเป็นปอบหรอก ไอ้คนที่สองว่าปอบเลย เลยตั้งกันเป็นปอบ ตั้งกันเป็นปอบมันก็เป็นนี่น่ะ ตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้านมันก็ยังเป็นอยู่ ตั้งเป็นกำนัลก็ยังเป็น ตั้งเป็นปลัดก็ยังเป็นอยู่เนี่ย ตั้งให้กันเป็นปอบมันก็เป็นทั้งนั้นแหละ ทำไมมันไม่เป็นหละ คนนี้ก็ปอบ คนนั้นก็ปอบ ทั้งบ้านทั้งเมืองมันก็เป็นปอบขึ้นมานั่นแหละ ฆ่ากันแกงกันสารพัดอย่าง นี่มันเกิดมาอย่างนี้ เพราะเราไม่รู้เรื่องมันเป็นอย่างนั้น
ไอ้การสมมุตินี่แหละมันเป็นหละ สมมุติขึ้นเป็นเลย สมมุติให้เป็นอะไรก็เป็นอยู่อย่างนั้นแหละ มันเป็นขึ้นอย่างนั้น ให้เป็นผีเป็นปอบขึ้น มันก็เป็นเดี๋ยวนั้น การสมมุตินี่มันเป็นขึ้นมา อย่างเราน่ะ เกิดขึ้นมาไม่มีชื่อหรอก เกิดขึ้นมาว่านายสี ก็เป็นนายสีมาทุกๆวันนี่ ไม่ได้เป็นนายมีหรอก ถ้าผู้หญิงก็เรียกว่านางสา มันก็เป็นนางสามาทุกวันนี่แหละเพราะสมมุตินี่เอง มันไม่ได้เป็นนางโสมหรอก นี่มันเป็นมาอย่างนี้ ถ้าเรามุ่งมั่นว่าให้ตั้งชื่อโดยสมมุติอย่างนี้ มันก็เป็นอย่างนี้เรื่อยๆมา อันนี้คือคนไม่รู้เรื่องอะไรกันเลยเป็นต้น หาต้นเหตุไม่มี
มิฉะนั้นการฟังธรรมะเราจะต้องมาภาวนา ภาวนานั่นคือการมาพินิจ มาพิจารณาแยกส่วนออกไป มีเหตุผล ให้เห็นเหตุผลมันตามความจริง ให้มันแน่นอน ให้จิตใจมันสงบระงับ ในสมัยโบราณกาลมีบึงบ่อซึ่งมีต้นไม้ใหญ่ๆคลุมอยู่ เราเกิดมาเป็นเด็ก เกิดมาทีหลัง ไปเห็นปลา ไปเห็นเต่า เห็นจระเข้อยู่ที่นั่นแหละ คนนึงว่า หนองนั้นน่ะมันเข็ดน่ะ ลือชาปรากฏกันไป ถ้าหากว่าใครอยากจะดูจระเข้ อยากจะดูเต่า เอาดอกไม้ไป เอาเทียนไป ขอเจ้าที่เจ้าฐานนั้นน่ะให้ปล่อยสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ขึ้นมาให้เห็น อธิษฐานแล้วก็นั่งอยู่นั่นแหละ ไม่หนี นั่งอยู่บนคูนั่น บนสระนั่น จระเข้ใจจะขาดมันก็ฟูขึ้นมาเท่านั้นแหละ เต่าใจจะขาดมันก็ฟูขึ้นมาน่ะ นั่นเจ้าที่เจ้าฐานนั่น ท่านได้เห็นแล้วเท่านี้แหละก็เชื่อกันไปทั้งบ้านทั้งเมืองเลย คนที่คิดว่า เออ มันใจจะขาดมันก็ฟูขึ้นมานั่นแหละให้เราเห็น ไม่มีใครคิดอย่างนี้ ผีทั้งนั้น ที่มันมีอิทธิฤทธิ์ต่างๆอย่างนี้ นี้คนเห็นไปอย่างนี้ซะโดยมาก มันก็ไม่เห็นความจริงมันซะ
ธรรมะนี้ก็เหมือนกันฉันนั้นหละ ทุกวันนี้เราอยู่ด้วยธรรมะ เข้าใจมั้ย อยู่ด้วยธรรมะ เราอยู่เพื่อธรรมะกัน ธรรมะคือความที่ถูกต้อง พูดง่ายๆว่าธรรมะคือความที่ถูกต้อง เราอยู่ด้วยความถูกต้องกันมันถึงสบาย ถ้าเราอยู่ด้วยความไม่ถูกต้องทางกาย ทางวาจา ทางใจ อยู่ยาก อยู่ลำบาก เดือดร้อนวุ่นวาย เพราะไม่อยู่ตามธรรมะ เพราะไม่มีธรรมะในใจของเรา ทุกสิ่งทุกส่วนนั้นแหละ ธรรมะเป็นที่พึ่งของเรา พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้พวกเราพิจารณาธรรมะ ให้ปฏิบัติธรรมะ เพราะธรรมะนั้นให้เราอยู่เย็นเป็นสุข
ถ้าหากว่าเรามาเทศน์มาสอนกัน คนที่ไม่รู้เรื่อง ได้ยินก็ “ฮึ ให้มันกินธรรมนั่นน่ะ อย่าไปกินข้าวเลย” โดยพูดกระแทกแดกดันไปข้างๆคูๆเสีย แต่ความจริงนั้น ถ้าพิจารณาธรรมะให้เห็นธรรมะ ให้มันง่าย ให้มันถูก ให้มันต้องขึ้น เช่นว่าบ้านเราเนี่ย วัดเนี้ยมันเป็นป่าช้า หลายๆบ้าน ทีนี้เมื่ออาจารย์ริคมาอยู่ ก็มาคิดว่า เอ้อ ไอ้นี้มันบ้านพ่อเรา บ้านแม่เราเว้ย บ้านญาติเรา ควรจะให้ปรับปรุงให้มันสะดวกอะไรต่ออะไรต่างๆ เช่นว่ามาสร้างเมรุกันเสีย พยายามให้ญาติโยมเอามารวมๆกัน มาเผาที่เดียวกันนี้ มันจะได้เป็นมิตรกัน จะได้เป็นญาติกัน มันจะเป็นสามัคคีกัน เผาที่นี่ก็ไม่ต้องตัดต้นไม้อะไรต่างๆให้มันวุ่นวาย ต่อไปก็ทำศาลาที่พักศพให้มันง่ายๆขึ้น
อันนี้เป็นความคิดที่ถูกต้องแล้ว แต่มันไม่ถูกต้องกันคนบางคน มันก็เกิดปัญหาขึ้นมา เช่นว่าแดนนาเราเป็นต้น พ่อแม่เราทำให้ ไอ้คดๆงอๆ เลี้ยวไปเลี้ยวมา วกไปวนมานี่ มีตาแก่คนนึงว่า เฮ้ย อย่าทำเลย มันเปื้อนนา ตัดให้มันตรงซะน่า ไม่เอา มันงอให้มันงออย่างนี้ มันจะเป็นอะไรหละ ไปทำมันทำไมอย่างนี้เป็นต้น อันนี้ก็เหมือนกันฉันใด ถ้าหากว่าไม่ใช่บ้านเรา ญาติเรา พี่เรา น้องเรา อะไรเรานะ จะมาทำทำไม นี่ทพเพื่อประโยชน์ นี่ทำเพื่อประโยชน์ตน ทำเพื่อประโยชน์คนอื่น ถึงท่านอาจารย์ริคท่านมาตายไป ลูกหลานเราเกิดขึ้นมา จะได้ทำอย่างนี้ จะมารวมๆที่เดียวกัน จะทำบุญสุนทานที่เดียวกันมันก็สบาย
ไอ้พวกเรามันก็ไม่เห็น ทำไมไม่เห็น เพราะไม่เคยทำมา ไม่ได้ทำอย่างนี้ เคยหามไปโน่น เอาไข่โยนขึ้นไปถึงปลายไม้โน่น โยนไปเหอะ มันแตกตรงไหน ก็เผาตรงนั้นแหละ ต้นไม้ในป่ามันรกๆก็ไปตัดต้นไม้ทิ้ง เอามันตรงนั้นแหละ ว่าเค้าจะอยู่ตรงนี้ อย่างนี้เป็นต้น อันนี้ประเพณีอันนี้แก้ยาก แก้ลำบากเหลือเกิน ให้ญาติโยมทั้งหลายเอาไปพินิจพิจารณา ถ้าหากว่าบ้านเราทุกบ้าน ทั้งห้าบ้าน หกบ้านเนี่ย ทำที่นี่เป็นศูนย์รวม เมื่อตายมาแล้วจะได้มาเผากัน ที่ที่เผาศพก็ให้สะอาด พระท่านนั่งก็ให้สะอาด ทำอะไรก็ให้สะอาด มันก็ดีขึ้น ประหยัดทุกสิ่งทุกประการ
ทุกวันนี้ต่อไปบ้านเมืองของเรานั่นน่ะ ต้นไม้มันจะน้อย ที่มันจะคับแคบ อย่างนี้เป็นต้น เพราะญาติโยมไปหาเหตุ ไปโทษพระอะไรต่ออะไรวุ่นวาย ที่ดินประมาณ ๑๘๖ไร่ เดี๋ยวนี้ทำกำแพงรอบหมดแล้ว ขนาดนี้จึงมีความสบาย ทุกวันนี้ข้าราชการในเมืองเสร็จงานแล้ว กินข้าวแล้ว เอารถ เอาครอบเอาครัวนั่งใส่รถบรรทุกไปที่วัดป่าพง ไปอยู่สบาย ไปนั่งสบาย ไปดูกระแต ไปดูกระรอก ไปดูไก่ป่า ไปดูสารพัดอย่าง เป็นเหตุให้สบายใจ เดี๋ยวนี้เราสบายใจเสียแล้ว
นี่หละให้พวกเราทั้งหลายควรได้ภาวนา ให้ภาวนาให้มันดี เกิดมาถ้าเรามาพิจารณาธรรมะแล้ว มันก็รู้เรื่องของมันทุกอย่าง ฉะนั้นการปรับปรุงบ้านเมืองของเรานั้นน่ะ ดีมาก เช่นพระ พระนี่หละตัวสำคัญเหมือนกันแหละ ผู้มีเจตนาเนี่ยให้ท่านพัฒนา ช่วยท่าน ท่านไม่เอาอะไร ท่านไม่เอาอะไรกับญาติโยมทั้งหลายหรอก ท่านตอนเช้ามาท่านก็บิณฑบาต ให้ข้าวคนละก้อนๆน่ะ ฉันไม่หมดหรอก พอ ท่านรักษาป่าไว้ก็เพื่อกุลบุตรลูกหลาน เพื่อประโยชน์สาธารณะทั่วไปเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่นหรอก แต่ว่าคนคิดผิด คิดไม่ค่อยดี คิดไม่ค่อยถูก ให้คิดลึกๆ ให้พิจารณา อาตมาเคยผ่านมานี่หลาย บางทีห้ามกินเหล้า สุมอยู่ในบ้านเลยนั่น มัดกรรมฐานเช่นนี้ก็เลยว่าไปต่างๆ อันนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ฉะนั้นการที่ท่านมาพัฒนาบ้านเมืองน่ะดีแล้ว โยมนะทุกๆคน พิจารณาไปเถอะ ถ้าใครเห็นว่ามันผิด ก็จงอย่าเสียว่ามันผิดถึงร้อยเปอร์เซ็นต์นะ ให้ดูๆกันไปก่อนว่าพระท่านทำยังไง ท่านมีความหมายอย่างไร งานรู้จักนะ นี่มันงานรู้จัก ไอ้ความหมายนี้ เพราะว่าทำไมถึงไม่เชื่อคน ก็โยมไม่เชื่อใจของโยมนั่นแหละ ยังไม่เป็นธรรมะ นั่น มันเป็นขโมยในใจ นี่เห็นว่าพระจะเป็นขโมย เรามักมากอยู่ในใจของเรา ก็นึกว่าพระจะมักมาก อะไรทั้งนั้นน่ะ ต้องวัดที่ตัวเจ้าของ ไอ้ความเป็นจริงนั้น อยู่ไปนานๆสิ พิจารณานานๆเถอะ ดูเหตุผลดีๆซิ อาตมาเห็นว่ามันเป็นประโยชน์ ฉะนั้นในที่นี้จึงได้ถวายที่นี่แก่พระครูดูแลพิจารณา ให้มันสะดวก ให้มันสบาย กุลบุตรลูกหลานที่เข้ามาสู่ที่นี่ ต่อไปเราจะได้พระที่ดี ได้เณรที่ดี ลูกหลานเราจะได้บวชที่นี่
ถ้านานๆไปนะมันจะบวชไม่ได้ เหมือนทางเชียงราย เชียงคำ นึกว่าต้องกินข้าวเย็นถึงอยู่ได้ ไม่ได้กินข้าวเย็นไม่บวช อาตมาอยากไปถามอยู่ โยม ทำไมจึงให้พระกินข้าวเย็น โอ๋ ให้กินข้าวเย็นขนาดนี้ ท่านก็ยังไม่อยากจะอยู่เล้ยนะ มีพระกรรมฐานไปกินข้าวทีเดียวหละทีนี้ ไม่ฝันซะแล้วว่าจะทำได้ เนี่ย ถ้ามันคล้อยไปทางต่ำๆน่ะมันเร็วเหลือเกิน มันง่ายๆ ไม่ต้องไปสอนมันหรอก ไม่ต้องไปสอนมันเลย บวชกินข้าวเย็นกันถึงจะอยู่ กินกันเรื่อยๆหลายวัด กินเลย ต่อไปน่ะ ต่อไปน่ะไม่ได้กินข้าวเย็นไม่ได้อยู่น่ะ คือบวชต้องกินข้าวเย็น ไม่มีพระอยู่ก็ต้องให้ข้าวเย็นให้พระให้ลูกให้หลานได้กิน การให้ข้าวเย็นให้พระให้ลูกหลานไม่เห็นเป็นโทษ ไม่เห็นเป็นภัย เพราะมันพร่องไปแล้ว อันนี้เรียกว่าคำสอนของพระน่ะมันเสื่อมไปแล้ว เราไม่รู้เรื่องแต่เราก็สบาย อะไรทุกอย่างมันจะเสื่อมไปก็ต้องเป็นอย่างเนี้ย
อันนี้ขอญาติโยมเราทั้งหลายนั้นจงพากันช่วยกัน ช่วยกันปฏิบัติ ถ้าหากว่าพวกเราทั้งหลายนั้นอยู่กันด้วยธรรมะนั่น เราจะสบายยิ่งกว่านี้ ง่ายกว่านี้อีก สบายกว่านี้ มีความสุขกว่านี้ สีเลนะ สุคติง ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปทา สีเลนะ นิพพุติง ยัติ ตัสมา สีลัง วิโสทะเย นี่เอาสิ มีศีลเป็นสุขมั้ย ไม่ไปเบียดเบียนใคร ไม่ไปฆ่าใคร ไม่ไปวุ่นวายใคร มันก็สบายเท่านั้นแหละ ทำไมมันจะไม่เป็นสุขหละ มันเป็นสุขทั้งนั้นแหละ แต่เราไม่พิจารณาความจริงตามธรรมะ
ฉะนั้นเราจะไปคิดเอาเฉยๆมันไม่ได้ อันเนี้ยมันจะต้องไปภาวนา ไปคิดพินิจพิจารณาให้ใจเรามันยอมรับ เช่นว่าคำที่ลึกซึ้งไปยิ่งกว่านี้ เช่นว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อะไรก็ไม่ใช่ตัวของเรานะ ไม่ใช่ตัวเรานะ ไม่ใช่ของของเรานะ พอได้ยินเท่านี้แหละ โยมลุกพรึบเลย “ไม่ใช่ตัวของเรา เอาไว้ทำไม” ฟังไม่ดีนะ ฟังไม่ดีนะ ฟังไม่ถูกธรรมะนะ ทีนี้ที่เราเรียกว่าตัวเราหรือของๆเราน่ะ มันมีจริงมั้ย ได้มั้ย ใครได้อะไรมั้ย ตายไปได้อะไรมั้ย มีมั้ย ที่ว่าตัวเรานั่นมีมั้ย ได้ไปมั้ย ของเราน่ะได้ไปด้วยรึเปล่า นี่คือเราไม่คิดดู ไอ้ความเป็นจริงเราจะว่าตัวเรา จะว่าของเราซักวันอะไรก็ตาม มันไม่ได้หรอก
อันนี้ท่านบอกให้ชัดเจน อันนั้นไม่ใช่ตัวเรานะ ไม่ใช่ของของเรานะ เท่านี้เราฟังไม่ถูก ฟังไม่ถึง ก็เกิดโลภ เกิดโกรธ เกิดหลงขึ้นมา เถียง ไอ้ความเป็นจริงมันเป็นอย่างนั้น ใครเคยได้อะไรมั้ย เคยได้ตัวเรามั้ย อำเภอแวง อำเภอโพนทองเรานี่ เสลภูมิเรานี่แหละ ตัวเราเคยได้มั้ย ของเราเคยได้มั้ย โอย มีพระท่านมาบอกว่าไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ของเรา มันสาธุเถอะน่า ท่านพูดถูกแล้วน่า แต่เรายังไม่ถูก แต่ว่าเราเข้าใจว่าเราถูกนา
อย่างพระองคุลีมารโจรกับพระพุทธเจ้านั่น ไปร้องตะโกนว่าพระพุทธเจ้าเดินไปอยู่ยังไม่หยุด ไปหาว่าพระพุทธเจ้าไม่หยุด วิ่งไปจะไปประหัตถ์ประหารท่าน ทำไมพระสมณะโกหกเนี่ย ทำไมว่าหยุดแล้ว ทำไมถึงเดินไปอยู่หละ ท่านวกมาถามว่า อย่างนั้นโยมฉันนี่หยุดแล้ว คือหยุดการเบียดเบียนสัตว์แล้ว การเบียดเบียนมนุษย์แล้ว การเบียดเบียนอะไรทั้งหลายๆน่ะฉันหยุดแล้ว แต่เธอยังไม่หยุด ไม่ใช่ว่าการเดินนี่หยุด จิตของข้าหยุดแล้ว คำเท่านี้ผู้มีนิสัย พระองคุลีมารโจรหยุดชะงักเลย เอ้อ หยุดขนาดนี้เราก็ไม่รู้จักเว้ย มันเห็นแต่ว่าเดินฉึบๆๆไป หยุด พอเห็นว่าหยุด จิตหยุดนั้นไม่เห็น
ไอ้ความเป็นจริงนั่นนะ ไอ้ที่มันหยุดน่ะเรื่องจิตมันสำคัญมาก เช่นว่าการเกิดตายเหล่านี้แหละ การเกิดตาย การเกิดการตายนี่ เราทุกวันนี้ไม่เห็นการตายกันน่ะ ทุกวันนี้ เห็นแต่ว่าร่างกายนี่มันตายไป ลมหายใจไม่มีชื่อว่ามันตาย คนทำผิดๆอยู่เดินไปเดินมาอยู่นี่คือคนตายแล้วไม่รู้จัก ไม่มีใครรู้หรอก คนตายเดินไปก็ได้ พูดก็ได้ กินข้าวอยู่ก็ได้ อะไรก็ได้ ไม่เห็นคนตายเราชนี่ ไม่เห็น แต่ใจมันประมาทอยู่ ไม่รู้สึกความผิดชอบอะไรต่างๆนั่น เหมือนกันกับสัตว์ ท่านเรียกว่าคนตายแล้ว ปมาโท มจฺจุโน ปทํ คนประมาทแล้วคือคนตายแล้ว เราหายใจอยู่นึกว่าเราไม่ตาย ตายเยอะแยะไปแล้ว ตายจากคุณงามความดี ตายจากสิ่งที่เป็นประโยชน์ ตายจากมนุษย์ จิตอันนี้มันตาย
ไอ้ความเกิดแก่เจ็บตายนี่ ร่างกายนี่อาตมาว่าไม่ยากหรอก มันจะทุกข์ยากมันทำไม พ่อแม่เลี้ยงมา เอาข้าวกับอาหารให้กินมา มันก็โตมาขนาดนี้ อาตมาว่ามันไม่ยากหรอก เกิดกับตายนี่มันนาน เกิดแบบนี้ตายแบบนี้มันง่าย มันตายทุกวันๆนี่ วันนี้ตายกี่หนก็ไม่รู้เรื่อง บางทีโกรธคนนั้น ตายจากโกรธคนนี้ โลภคนนี้ มันโกรธ มันวุ่นมันวาย มันตาย คณะนี้เอาอันนี้ คณะนั้นทิ้งอันนั้น วุ่นวาย วันหนึ่งตายกี่หน ไม่รู้เรื่อง เราไม่รู้เรื่องว่าการเกิดการตายของเรา แต่เราเห็นแต่ว่าไอ้คนนอนหลับตาไม่มีลมนี่ตาย อย่างนี้ อันนี้เรียกว่าทางจิต คนเรามันมีกายกับจิตเท่านั้นแหละ ไอ้เรื่องจิตนี่น่ะมันเกิดมันตาย มันถึงยากลำบาก บางวันถึงร้องไห้เรื่อย มันทุกข์ มันยาก มันลำบาก ไอ้ที่เกิดครั้งเดียว ตายครั้งเดียวมันไม่ยากหรอก มันง่ายๆ ไอ้ที่มันตายทุกวันๆ วันนี้มันเกิด วันนี้มันตาย สารพัดอย่างนี้แหละ มันทุกข์มันยาก มันลำบาก มันหลายภพหลายชาติก็เพราะเรื่องจิตใจนี่มันตาย เรื่องกายมันไม่ยากหรอก มันง่ายๆ มันนิดเดียว นิดเดียว
เรื่องผู้ใหญ่ เรื่องเด็กอันนี้เราก็ไม่รู้เรื่องกัน เรื่องคนแก่ เรื่องคนหนุ่มนี่ เราก็ไม่รู้จักเหมือนกัน เราไม่เห็นว่าผมหงอกแก่แล้ว อย่างนี้ ไอ้ความเป็นจริงเรื่องร่างกายนี่มันเรื่องของร่างกาย เรื่องมันโตมันเล็กคือเรื่องหัวใจของเรา เรื่องจิตใจของเรา ใจมันใหญ่ ใจมันสูง ใจมันกล้า ใจมันแข็ง เฒ่าจนหัวหงอกมันก็ยังเหมือนเด็กอยู่เยอะไป เห็นมั้ย โกรธง่ายๆ เครียดง่ายๆ ยังเป็นเด็กอยู่ ยังไม่โตหรอก เป็นยุวชน คนไม่เห็น เห็นว่าแต่ว่าเราแก่แล้ว เฒ่าแล้ว แก่แล้ว มันร่างกาย คนเรานี่มีแต่ร่างกาย ใจไม่มีรึ เรื่องจิตนี่เป็นของสำคัญมาก เป็นปรมัตธรรม ฉะนั้นเราควรรับฟังแล้วไปพิจารณาให้มันเห็นชัด
ฉะนั้นอาตมาจึงเห็นว่าพุทธบริษัทเรานี้ยังไม่ยอมรับความจริง ว่าอนิจจังมันไม่เที่ยง ก็ยังไม่รับความจริง อันนี้ไม่ใช่ตัวเราก็ยังไม่ยอมรับ อันนี้ไม่ใช่ของเราก็ยังไม่ยอมรับ ให้เป็นของเรา ให้เป็นตัวเราเสียแท้ๆ มันก็ไม่มีอะไรจะได้ หมด ไม่มี มันจริงแล้วนะ มันจริงอยู่อย่างนั้น ฉะนั้นธรรมะนี้เรานั่งทับมันอยู่ นอนทับมันอยู่ อะไรมันอยู่ทุกอย่างแหละ แต่เราไม่เห็นมัน ท่านจึงเปรียบว่าปลาอยู่ในน้ำ ไม่เห็นน้ำอย่างนี้ ไส้เดือนมันอยู่ในดิน กินขี้ดิน ไม่เห็นดิน
อันนี้มาถูกกับอาตมาอีกแหละ อาตมาเป็นเด็กๆ ไปพบคนแก่คนหนึ่งฟันหลุดออกไปหมดซะ แกไปกินข้าวอยู่นั่น อาตมาไปหัวร่อ ไอ้คำข้าวโตๆใหญ่ยัดเข้าไป อาตมาคิดว่า เอ้ ไอ้ฟันมันหลุดไปแล้ว ไอ้คำข้าวทำไมจึงไม่คำเล็กๆ ทำไมคำโตๆอย่างนั้น ยังไม่รู้จัก ยังเข้าใจว่าคนแก่นี่โลภโมโทสันมาก เมื่อมาถึงอาตมาเข้าน่ะ เมื่อสามสี่ห้าปีหลังเข้าไปนั่น ฟันอาตมาหลุดออกหมด ไม่มีฟันอยู่ประมาณ ๗๐ กว่าวัน แล้วไปกินข้าวดูนะ เอ้ย ไอ้คำข้าวเล็กมันเป็นไม่ได้ มันวิ่งอยู่นั่น คลำไม่ทัน คลำไม่เห็นน่ะ มันวิ่งทางโน้นทางนี้อยู่ จำเป็นจะต้องเอาคำข้าวใหญ่ๆยัดให้มันเต็ม มันถึงเคี้ยวได้ เอ้อ เราก็เกือบจะตายแล้วจึงรู้จักคนแก่คนนั้นว่ามันเป็นอย่างนั้น
อันนี้คือความไม่รู้จัก ฉะนั้นจึงว่าปลาอยู่ในน้ำไม่เห็นน้ำ ไส้เดือนอยู่ในดิน มันไม่รู้จักดิน เห็นดินจริง ถ้าเราเห็นคนแก่อยู่ แต่เราไม่รู้จักคนแก่ ถ้าเราแก่แล้วฟันเราหลุดออกหมด จึงจะรู้ว่าคนแก่นี่ มันเป็นซะอย่างนี้ ทำไมมันถึงรู้อย่างนี้ มันเป็นพยาน สิขีภูโต เอาตนเองเป็นพยานของตน พยานข้างนอกด้วย พยานข้างในด้วย อัชฌัตตาธัมมา พะหิทธาธัมมา ทั้งภายในด้วย ทั้งภายนอกด้วย ที่มันเกิดขึ้นมาเราจึงรู้จัก ฉะนั้นอาตมาจึงเชื่อแน่ว่า เราไม่แก่ เราไม่รู้จักคนแก่ ไม่รู้จักคนแก่ เมื่อเราแก่แล้วฟันหลุด เราจึงรู้จักคนแก่ มันเป็นซะอย่างนั้น
ฉะนั้นบรรดาสาธุชนทั้งหลายนั้น ให้พากันเปลี่ยนความคิด มันจะขาดทุนนะ มันจะขาดทุน มีวัดหนองป่าพงสมัยก่อน มีญาติโยมก็มาปฏิบัติครั้งแรก มีตาแก่คนนึง โอ้ย คนหลงใหลคนนั้น ให้มันไป พวกมึงไปวัดป่า มึงตายกูจะไปเอาเมียมึง ให้มันไปหมด ไม่ถึงกี่เดือนนะ ตาย ไล่เค้ามา เมียเราไปเสีย แต่ก่อนนะเหล้านี่พระพุทธเจ้าท่านห้ามมัน มันเป็นของเบียดเบียนศาสนา ไป เราพากันไปกินให้มันหมด ตายก่อนเหล้ามันหมด เนี่ย คือพูดไปเรื่อยๆไป ไม่ได้เรื่องได้ราว ผลที่สุดก็ตาย เหล้าก็ยังไม่หมด ว่าจะไปเอาเมียเขา เค้าเอาเมียเราไปด้วย ตายก่อนเขาเราจะทำไงหละ นี่แหละพูดกันไปอย่างเนี้ย เราไม่รู้จักธรรมะ ฉะนั้นถ้าหากเราซึ่งเป็นชาวพุทธทั้งหลายมารับธรรมะนะ มารับธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มายอมรับว่ามันเป็นจริงอย่างนั้นๆ จริงๆซะแล้ว เท่านั้นเราก็จะเข้าถึงพระพุทธ เข้าถึงพระธรรม เข้าถึงพระสงฆ์
เรื่องศีลนี่ก็เหมือนกันน่ะ ถ้าเราพิจารณานานๆ เราจะละมันนานๆ อาตมาไปพบคนแก่คนนึงอายุ ๘๐ กว่าปี เดินก็ไม่ได้ “โยม หยุดไปทอดแหรึยัง” “หยุดแล้วครับ” “หยุดเพราะเหตุอะไร” นึกว่ากลัวบาป ไม่ใช่ไปทอดแหไม่ได้ เดินไม่ได้ มันถึงหยุดกัน หยุดแบบนั้นน่ะ เราจะหยุดกันแบบนั้นเรอะ นี่ หยุดก็ต้องเห็นโทษมันว่า เออ อันนี้มันเป็นงานอย่างอื่นนะ ไม่ค่อยดี เรามันแก่แล้ว เราควรหยุดซะ มันเป็นบาปเป็นกรรม ถอยออกมาซะ อันนั้นคนแก่คนนั้นหยุดไปทอดแหเพราะอะไร เพราะอายุ๘๐กว่าปี ไปไม่ได้ มันจะล้มตายก็เลยหยุด มันหยุดเพราะมันไปไม่ได้ อันนึงหยุดเพราะกลัวบาปกลัวความผิด มันต่างกันอย่างนั้น หยุดเหมือนกันนะ แต่มันต่างกัน อันนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น
ถ้าเรายอมรับธรรมะตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พวกเราน่ะจะเกิดปีนี้ เกิดเดือนนี้ เกิดในชาติอันนี้ ไม่ต้องชาติหน้าแล้ว รู้จักธรรมะเดี๋ยวนี้ ของอันนี้พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าธรรมะนี่เห็นปัจจุบันนี่ เห็นนรกในปัจจุบันนี้ เห็นสวรรค์ในปัจจุบันนี้ เห็นพระนิพพานในปัจจุบันนี้ ไม่ต้องตายแล้วถึงจะเห็นหรอก ไม่ต้องตายถึงจะเห็น อตีตา ธัมมา อนาคตา ธัมมา ปัจจุปันนา ธัมมา นะ เราทุกคนนั่งอยู่เดี๋ยวนี้น่ะ เราตะครุบทั้งผล ตะครุบทั้งเหตุ ผลคืออะไร ผลคือผลของอดีตที่เป็นอยู่อย่างนี้ เหตุคืออะไร คือเหตุในปัจจุบันนี้จะเป็นอนาคตต่อไป ทุกคนเป็นไปอย่างนี้ ฉะนั้นจงพากันตระหนักในธรรมะ พากันไปภาวนาและไปยอมรับ ไม่รับเฉยๆ ก็ต้องเห็นยอมรับ
ฉะนั้นบรรดาสาธุชนทั้งหลายนั้นค่อยๆแก้ตัวของตัวซะ อย่าไปมองอย่างอื่นมาก ให้มองในตัวของเรา ฉะนั้นพระพุทธเจ้าน่ะ ธรรมะอยู่ในตัวเรา ไม่ใช่อยู่ที่อื่น แต่เราก็ไม่รู้ว่าตัวเราอยู่ที่ไหน อยู่ตรงไหน ไม่รู้เรื่อง ฉะนั้นจึงไม่ยอมรับ ฉะนั้นวันนี้ขอญาติโยมทั้งหลายทุกๆคนนะให้รับไปพิจารณา อย่าเพิ่งว่ามันผิด หรืออย่าเพิ่งว่ามันถูก เอาไปรับพิจารณาให้ปัญญาเราเกิด ถ้าอะไรเรารับพิจารณา อันนั้นมันจะเกิดผลขึ้นมา
อาตมาเคยสั่งสอนประชาชนมาหลายหมื่นหลายแสนคนแล้วว่า โยมศีล ๕ เอาไหมหละ บางคนก็ว่าให้ผมไปดูก่อนครับ ผมจะพิจารณาพยายามต่อไป อีกคนหนึ่ง ผมไม่เอาหรอกครับ ผมทำไม่ได้ สองคนนี่มีผลต่างกัน ไอ้คนที่ยอมรับ ผมจะไปพิจารณาดูก่อนครับ ไอ้คนนี้เปิดทางเจ้าของ เปิดประตูเอาเจ้าของ คนที่ว่าผมไม่เอาหรอกครับ ผมไปไม่ไหวแล้ว ไอ้คนนี้ปิดประตูเลย ไม่มีวันที่จะเกิดขึ้นแล้ว ไม่มีวันจะสร้างคุณงามความดี เพราะเค้าไม่รับรู้อะไรเลย อันนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ฉะนั้นการฟังธรรมะนั้น ทุกแห่งธรรมะมันดีทุกแห่งนั่นหละทุกอย่าง ไม่ต้องมากมายอะไร ไม่ต้องไปเรียนมันมากนะโยม อันนี้มันผิด เราละมันเสีย เห็นว่าอันนี้มันถูกแล้วเป็นต้น เราก็ประพฤติปฏิบัติมันเสีย
อย่าง สพฺพปาปสฺส อกรณํ กุสลสฺสูปสมฺปทา สจิตฺตปริโยทปนํ การไม่กระทำบาปอะไรทั้งปวงนั่นหละดี เอตํ พุทฺธาน สาสนํ อันนี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า อันนี้เป็นหัวใจของพระพุทธเจ้า กุสลสฺสูปสมฺปทา ทำจิตใจของเราให้สบายสะดวก เป็นบุญเป็นกุศล เอตํ พุทฺธาน สาสนํ อันนี้เป็นหัวใจพระศาสนา สะจิตตะปะริโยทะปะนัง ผลที่สุดนั้นใจเราก็สบาย กรรมใดที่มนุษย์ทั้งหลายทำแล้ว ภายหลังคิดมาแล้วเดือดร้อน กรรมนั้นไม่ดี กรรมใดที่มนุษย์ทั้งหลายทำไปแล้ว คิดขึ้นมาได้เมื่อไรเป็นต้น กรรมนั้นสบายสะดวก แล้วกรรมนั้นดี ให้เราคิดเช่นนี้
ฉะนั้นบาปบุญคุณโทษทั้งหลายนั้นให้มองดูที่ใจของเรา เรื่องของคนอื่นนั้นตัดสินยาก เรื่องของเรานี่ตัดสินได้ เพราะเราเห็นเราอยู่ทุกวันทุกเวลา ถ้าเราพิจารณาตามธรรมะรับรู้ข้อประพฤติปฏิบัติของพระพุทธเจ้าแล้ว และรู้ตัวของเจ้าของแล้ว พระพุทธเจ้าเห็นบาปบุญคุณโทษ เห็นผิดถูกที่อยู่ในจิตใจของเจ้าของ ฉะนั้นสาธุชนเราทุกคนรีบ ต้องพยายามควรที่สุดที่จะเห็นตัวเจ้าของ
เราพยายามเรื่องของเรา อย่าเข้าใจว่าเราไม่มีเวลาภาวนา เวลาเรามีภาวนา ถ้าเรารักภาวนา เราต้องมีเวลา บางคนเข้าใจว่า ผมไม่มีเวลาภาวนา ไม่มีเวลาโอกาส อาตมาได้ถามว่า โยม โยมเคยทำงานมั้ย เคยทำงานมีโอกาสหายใจมั้ย มีครับ ทำไมจะไม่มีโอกาสหายใจ ใครมีโอกาสหายใจ คนนั้นก็มีโอกาสภาวนาเท่านั้น อันนี้เราคิดย้อนกลับมา อย่าเพิ่งด่วนไปไกลเลย
ฉะนั้นวันนี้ขอญาติโยมทั้งหลายทุกคน จงเข้าอกเข้าใจในธรรมะ การพูดธรรมะไปมากๆ การพูดธรรมะไปนานๆ มันก็ไม่มีอะไรมากมาย พูดซักคำ หรือสองคำ สามคำ ให้เราเข้าใจเสีย จะทำยังไง อันนี้ดีกว่า ฉะนั้นการประพฤติปฏิบัตินั้นมันเกิดจากการเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจแล้วก็อยู่อย่างนั้นแหละ ไม่เข้าใจ ถ้าหากว่าเราไปดูอะไร ไปเห็นอะไร แต่มันรู้ในใจ มันลายในใจ ไปทำมันก็เป็น ถ้าไม่มีอยู่ในใจแล้วเราทำไม่ได้หรอก จะไปทำอะไรก็ไม่ได้ ก็ไม่ได้ จะทำบ้านทำช่องมันมีอยู่ในใจเราแล้ว เราจึงทำเป็น จะทำเรือทำแพ มันมีในใจแล้ว มันจึงเป็น ไม่มีในใจเราทำไม่ได้หรอก ทุกอย่างจะทำไปต้องมีในใจทุกอย่างจึงทำได้ ให้เข้าใจอย่างนี้ เรียกว่าเราเข้าใจในธรรมะ
ผลที่สุดนี้ขอญาติโยมทุกๆคน ได้ฟังแล้วจึงน้อมกลับไปเป็นโอปนยิกธรรม นำธรรมะทั้งหลายเหล่านี้เข้าไปรวมที่จิต ให้จิตดูจิต ให้จิตเป็นคนเห็น ให้จิตเป็นคนรู้ ให้จิตเป็นละ ให้จิตเป็นคนวาง สิ่งที่อาตมาต้องการวันนี้ก็คือต้องการจิตใจญาติโยม ไม่ต้องการอย่างอื่นมากมาย อะไรมันก็พอๆอยู่แล้วหละ ต้องการจิตใจญาติโยมให้หันเหกลับมาในทางธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้นน่ะเป็นส่วนมาก ฉะนั้นผลที่สุดนี้ขอให้ญาติโยมทั้งหลายจงตั้งอกตั้งใจประพฤติดีด้วยกาย ประพฤติดีด้วยวาจา ประพฤติดีด้วยใจ เป็นสุปฏิปันโน อุชุปฏิปันโน ญายะปฏิปันโน สามีจิปฏิปันโน ให้เอาคุณสมบัติทั้งสี่ประการนี้ของสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอาแนบไปในจิตของเจ้าของนั้น จะได้ไม่เสียทีเกิดมาพบพระพุทธศาสนา ขอญาติโยมทั้งหลายจงมีอายุ วรรณะ สุขะ พละ ตลอดกาลนานเทอญ