Skip to content

โอวาทปาฏิโมกข์

หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป

| PDF | YouTube | AnyFlip |

ณ บัดนี้มาถึงกาลสมัย พวกเราท่านทั้งหลาย ทั้งภิกษุสามเณร และอุบาสก อุบาสิกา ท่านสาธุชนทั้งหลาย เนื่องในวันนี้พวกเราท่านทั้งหลายได้มาประชุมในพระวิหารแห่งนี้ ในการทำพิธีหรือประกอบพิธีเวียนเทียนทักษิณาวัตร มาระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพื่อบูชาน้อมนึกระลึกถึงสมัยครั้งพุทธกาลตั้งแต่องค์สมเด็จพระศาสดาจารย์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ 

ในวันนี้เป็นวันคล้ายวันที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่วัดเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน ในกรุงราชคฤห์ ประเทศอินเดีย มีพระเจ้าพิมพิสารเป็นพระราชามหากษัตราธิราช ครองอยู่ในนครราชคฤห์แห่งนี้ เป็นเมืองใหญ่ เมืองหนึ่งของประเทศอินเดีย สมัยนั้นพระเจ้าพิมพิสารได้ถวายสวนเวฬุวัน สร้างเป็นวัด ให้เป็นสถานที่ประทับของพระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์สาวกทั้งหลาย อยู่ในสถานที่นั่น วันคล้ายวันนี้นั้น พระภิกษุสงฆ์พระขีณาสพ ก็เรียกว่าผู้บรรลุธรรมถึงที่สุดแห่งทุกข์ คือเป็นพระอรหันต์นั่นเอง อยู่ในทิศทั้ง ๔ อยู่สถานที่อื่นๆ หรือวัดอื่น ที่ท่านพักอยู่ ได้เหาะเหินเดินอากาศมาประชุมกันที่ในวัดเวฬุวัน วัดเวฬุวัน ภาษาไทยเราเรียกว่า วัดป่าไผ่ 

ในวันนี้ภิกษุสงฆ์ขีณาสพทั้งหลายนั้น ไม่มีใครเชื้อเชิญและนิมนต์มานมัสการพระพุธเจ้าอะไร แต่ว่าพระภิกษุสาวกทั้งหลายนั้น ไม่ได้นัดหมายอะไรกันแต่พากัน ฌาณมาบนอากาศ ได้มารวมกันอยู่ ๑๒๕๐ รูป เมื่อมารวบรวมกันอยู่ที่เดียวกันนั้น พระพุทธองค์ก็ทรงเล็งเห็นว่า ควรที่จะประทานพระโอวาทคำสอน คือคำตรัสสอนนั้นเป็นศีล ๒๒๗ ข้อของภิกษุนั้นแต่พระองค์ทรงบัญญัติมารวบรวมเป็น ๒๒๗ ข้อ ให้พระภิกษุเป็นผู้สำรวมระวังรักษาสุดความสามารถของตนเพื่อจะให้ศีลของแต่ละท่านและองค์นั้นบริสุทธิ์ เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์เกิดขึ้น นี่ก็เรียกว่าโอวาทปาฏิโมกข์ ที่พระภิกษุสงฆ์ในวันพระใหญ่ คือ ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ตามปักขคณนา 

ในเดือนหนึ่งนั้นพระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้สวดโอวาทพระปาฏิโมกข์ ๑๕ วันต่อครั้งหนึ่ง เดือนหนึ่งก็สองครั้ง ทุกวัดที่มีภิกษุตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไปต้องทำสังฆกรรมอุโบสถในโบสถ์หรือในศาลาวิหารที่เหมาะสมแต่ละสำนักแต่ละวัดนั้น ก็แปลว่าประกาศเรื่องศีลของพระภิกษุนี้ พระพุทธองค์ทรงบัญญัติเอาไว้แล้ว พุทธองค์ก็เลยทรงตรัสเทศนา เพื่อทวนความจำในศีล ๒๒๗ ข้อนั้น ให้ภิกษุทั้งหลายได้ยินได้ฟังทั่วกัน เหตุฉะนั้นถ้าบุคคลที่บรรลุเป็นอริยบุคคลแล้ว คือสำเร็จมรรคผลพ้นจากความทุกข์แล้ว ก็หมดเรื่องหมดราวที่จะทำศีลของตนนั้นให้เศร้าหมองเป็นอันว่าไม่มี แต่พระภิกษุที่ยังไม่บรรลุธรรม ท่านกำลังปฏิบัติอยู่เรียกว่าบรรพชิตนั้นก็ยังพากันปฏิบัติสำรวมระวังกันอยู่ นี่พระพุทธองค์จึงเล็งเห็นว่าเพื่อจะให้ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นได้เข้าใจแจ้งชัดเข้าไปอีกทีหนึ่ง ทรงบัญญัติให้มีกี่ข้อ มีเรื่องอะไรบ้าง ในวันนี้เป็นวันคล้ายวันนั้น วันนักขัตฤกษ์ นักขัตสมัย ตั้งแต่สมัยอดีตกาลที่ผ่านมา เป็นวันพระจันทร์เต็มดวง ก็คือพระจันทร์นั้นเต็มบริบูรณ์ เต็มเปี่ยม ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงโอวาทพระปาฏิโมกข์

ที่นี้ท่านทั้งหลายมาดูแล้วว่าพระภิกษุสงฆ์ ๑๒๕๐ องค์นั้น เป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งนั้นที่พวกเราได้พากันทำพิธี ประกอบพิธีเวียนเทียนทักษิณาวัตรเจดีย์เป็นสถานที่ประดิษฐานแทนพระพุทธเจ้าไว้เป็นหลักฐาน บรรจุพระบรมสารีริกธาตุหรือพระธาตุของพระอรหันต์พระเจ้าทั้งหลาย เอาไว้ในพระเจดีย์ จึงพากันประกอบพิธีเวียนเทียนรอบพระเจดีย์สามรอบตามจารีตประเพณีเพื่ออะไร เพื่อเป็นอตีตารมณ์ ระลึกถึงอดีตที่ผ่านมานั้น เป็นวันคล้ายวันนี้ พวกเราจึงได้ระลึกถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าและพระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลายเหล่านั้น เพื่อได้มีการบูชาเคารพระลึกถึงอยู่ เป็นอารมณ์ในจิตใจของพวกเราเพราะพวกเราเป็นชาวพุทธ เป็นผู้เชื่อมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้า พวกเราก็เลยพากันระลึกถึงบูชาอยู่ เรียกว่าพวกเราเป็นผู้ที่บูชาสิ่งที่ควรบูชา จึงจะนำมาซึ่งบุญซึ่งกุศลซึ่งคุณงามความดีทั้งหลายได้เป็นที่พึ่งของตนคือความสุข

เหตุฉะนั้นพวกเราท่านทั้งหลายในวันนี้จึงควรที่จะมีปลื้มปีติยินดีที่ชีวิตของพวกเรานี้ได้ผ่านมาหลายปีแล้วจนถึง ปีนี้จนถึงวันนี้ได้ จึงถือว่าเป็นผู้โชคดี ภาษิตที่เราได้คิดในเบื้องต้นนั้นว่า กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ การได้มาเกิดเป็นมนุษย์ที่ได้ร่างกายบริสุทธิ์บริบูรณ์เป็นหญิงเป็นชาย จึงได้เรียกว่าเป็นโชคดี เพราะคนเรานี่มันเกิดยาก เกิดมาแล้วมันไม่บริสุทธิ์บริบูรณ์ เป็นหญิงเป็นชายก็ดี มันยังไม่สมบูรณ์บัดนี้ถ้าเราได้เกิดมาเป็นหญิงเป็นชาย ก็เรียกว่าโชคดีอย่างนั้น 

เมื่อโชคดีแล้วอย่างนี้ กิจฉัง มัจจานะ ชีวิตัง ที่เราเกิดขึ้นมาแล้ว เรายังไม่ล่วงลับดับไป ยังมีชีวิตอยู่จนมาถึงปัจจุบันนี้ ก็ยังโชคดีอีกอย่างหนึ่ง ที่ชีวิตของเรายังมีอยู่ ได้ประกอบคุณงามความดี 

กิจโฉ พุทธนะมุปปาโท พวกเราทั้งหลายโชคดีที่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติบังเกิดขึ้นในโลก เมื่อพระพุทธเจ้าได้บรรลุธรรท ได้ตรัสรู้ขึ้นมาในโลกนี้ ก็คือจะมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้านั้นต้องสร้างบุญบารมีหลายอสงไขยแสนกำไรมหากัปป์ เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอยู่ สร้างบุญสร้างกุศล สร้างบารมีของตนเพื่อจะให้เต็มเปี่ยมก่อน ทำยาก เหตุฉะนั้นพวกเราเป็นผู้โชคดีได้มาเกิดมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ รู้แจ้งเห็นจริงในธรรมแล้วในโลกนี้ เพื่อให้พวกเรานั้นมีพระพุทธเจ้า หากเป็นพระปัจเจกโพธิ์มาตรัสรู้แล้ว แต่ก็ไม่เทศน์สั่งสอนใคร อันนี้พระปัจเจกโพธิ์ เราจะได้ทำบุญแค่นั้นเอง แต่นี้พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นตรัสเทศนา แนะนำสั่งสอนเวไนยสัตว์ทั้งหลาย 

เรียกว่า กิจฉัง สัทธัมมะสะสวนัง พวกเราเป็นผู้โชคดีได้ ยินได้ฟังเทศน์ธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าที่พระพุทธองค์สั่งสอนเอาไว้โดยย่อๆว่า ธรรมทั้งหลายเกิดจากเหตุ ดับเพราะเหตุ ถ้าไม่มีเหตุไม่มีผล ทุกอย่าง ถ้าทำเหตุไม่ดี ผลก็ออกมาไม่ดี ถ้าพูดไม่ดี ผลก็ออกมาก็ไม่ดี ถ้าคิดไม่ดี ผลก็ออกมาไม่ดี จึงเรียกว่าเหตุไม่ดี ผลก็ไม่ดี พวกเราท่านทั้งหลายที่เป็นผู้ที่เลื่อมใสในคำสอนของพระพุทธเจ้า เราต้องพินิจพิจารณาดูให้ดีเป็นเรื่องเหตุ ถ้าการพูดก็ดี ทำก็ดี คิดก็ดี มันเป็นเหตุไม่ดีแล้ว ความทุกข์จะเกิดขึ้นในภายหลัง พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนอย่างนั้น บัดนี้ถ้าเหตุดีผลก็ดี การเราทำอะไรทุกอย่าง ถ้าทำดีแล้ว ไปในทางที่ถูกต้องแล้ว ผลก็ต้องออกมาดี พูดจาปราศรัยคุยกัน ถ้าพูดในทางที่ดีมีศีลธรรม มีเหตุมีผล มีประโยชน์แล้ว ผลก็คือมีความสุขออกมา ถ้าเราคิดดี เรามีความเห็นดีถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ผลก็ออกมาดีคือความสุขความสงบเกิดขึ้น ตรงนี้แหละพระพุทธองค์จึงทรงสั่งสอนว่า ถ้าเราทำเหตุดี พูดดี คิดดีเป็นเหตุแล้ว ผลก็ย่อมดี ย่อมมีความสุขความสงบเกิดขึ้นแก่เวไนยสัตว์ทั้งหลายก็คือพวกคนเรานี่เอง 

แล้วพวกเรามาน้อมนึกระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า เราได้ยินได้ฟังจากครูบาอาจารย์ บวชสืบๆกันมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลจนถึงปัจจุบันนี้ เราก็เป็นผู้โชคดี ได้ฟังเทศน์ฟังธรรม เพื่อจะรู้เหตุดีเหตุไม่ดี รู้จักบุญจักบาป รู้จักดีรู้จักชั่ว รู้จักคุณจักโทษ รู้จักประโยชน์และไม่ใช่ประโยชน์ เราจะได้เลือกสรรหาละสิ่งที่ไม่ดีและบำเพ็ญความดี เรียกว่าละความชั่ว ทำความดี ละบาปบำเพ็ญบุญที่เราพูดกัน นี่พวกเราท่านทั้งหลายมาบำเพ็ญบุญ ตอนเช้าก็ได้ถวายอาหาร ได้รับศีล ตอนค่ำก็ได้พากันเวียนเทียนแล้วก็ได้พากันไหว้พระสวดมนต์ สรรเสริญพระรัตนตรัย มีแต่คุณงามความดีทั้งนั้นเป็นของพวกเราที่เป็นนักปฏิบัติ เรียกว่าทำทั้งอามิสบูชา ทั้งปฏิบัติบูชาด้วย ที่เรานั่งฟังเทศน์อยู่ด้วยความสงบ ทำใจของตนให้อยู่กับตนและตั้งใจฟังเทศน์ให้จิตใจสงบ ให้จิตใจสบาย ให้จิตใจรื่นเริงอยู่ในคุณงามความดีว่าตนเองได้ทำคุณงามความดีแล้ว จนถึงปัจจุบันที่นั่งอยู่ กำลังฟังเทศน์ ก็เรียกว่าพวกเรากำลังทำดี ทำคุณงามความดี บำเพ็ญความดี สร้างสมอบรมบุญบารมีของตนให้มากขึ้น เราก็เป็นผู้ที่โชคดี 

ปฏิรูปเทสวาโส จ เราโชคดีที่เราได้มาเกิดในเมืองไทย โชคดีอย่างไร โชคดีนั้นคือมีครูบาอาจารย์บวชสืบศาสนามา และจดจำคำสอนของพระพุทธเจ้า ตามกำลังความสามารถของท่าน ได้น้อมนำธรรมะท่านตรัสเทศนาสั่งสอนพวกเรา ให้รู้บุญ รู้บาป และรู้ดี รู้ชั่ว เพื่อเราจะได้ละความชั่ว บำเพ็ญความดี เป็นผู้โชคดีได้ยินเรื่องอย่างนี้ เหตุฉะนั้นพวกเราจึงเข้าใจในการทำบุญทำทานการกุศล ก็อาศัยซึ่งครูบาอาจารย์ เราจะรักษาศีลและเป็นผู้มีศีล ก็อาศัยครูบาอาจารย์ เราจะนั่งเจริญเมตตาภาวนาฝึกฝนอบรมจิตใจให้สงบเป็นสมาธิ เราก็ต้องอาศัยครูบาอาจารย์ เหตุฉะนั้นในเมืองไทยของเราจึงเป็นเมืองที่นับถือศาสนามาก เพราะมีครูบาอาจารย์อยู่ทั่วไปในประเทศแต่ละจังหวัดๆ แต่ละองค์ท่านจะจดจำคำสอนพระพุทธเจ้าตักเตือนเทศนาแนะนำสั่งสอนอบรมพุทธบริษัททั้งหลาย ผู้เข้ามาใกล้ ผู้เลื่อมใสตั้งใจอยากได้ยินได้ฟังและปฏิบัติตน ฝึกฝนอบรมตน นี่แหละจึงถือว่าเป็นประเทศที่สมควร 

อันประเทศที่สมควรนั้นแต่ก่อนก็คือประเทศอินเดีย ก็เรียกว่าเป็นชนบท เป็นชมพูทวีป บัดนี้พระพุทธศาสนาเกิดจากประเทศอินเดีย แต่อินเดียนั้นก็ยังรักษาไว้ได้คือมีประเพณีต่างๆ และการรักษาศีลและกิริยามารยาทต่างๆ ก็รักษาเป็นภูมิของพุทธอยู่ แต่หากไม่มีพระที่จะประกาศพระศาสนามาก ก็คือมีพระไทยของพวกเราไปอยู่ แต่นี้ในเมืองไทยของพวกเรานั้นก็เจริญที่สุดในโลกนี้ จะมีแต่ประเทศไทยประเทศเดียวนี้ มีพระภิกษุสงฆ์สามเณรมาก และมีผู้สนใจปฏิบัติมาก ส่วนประเทศพม่าก็มีเหมือนกัน หรือศรีลังกา แต่การปฏิบัติย่อมต่างกันอยู่บ้าง แต่องค์ปฏิบัติดีก็จะมีอยู่บ้าง แต่ถ้าพวกเราไปศึกษาและไปปฏิบัติไปเห็นก็จะต่างกัน เพราะพระแต่ละประเทศนั้นยังยุ่งเหยิงกับโลกอยู่ 

เหตุฉะนั้นฝ่ายเมืองไทยของพวกเรานั้น พระภิกษุสงฆ์อยู่ในขอบเขต ว่ากันง่ายๆคือไม่เล่นการเมือง ห้ามไม่ให้เล่นการเมือง ให้ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า นำไปปฏิบัติตามความสามารถของตน เหตุฉะนั้นพวกเราทุกท่านทุกคนจึงได้ศึกษาและปฏิบัติหาหนทางที่ถูกต้องในการดำเนินวิถีชีวิตของพวกเรา เราเป็นผู้โชคดีแล้ว ได้มาเกิดในสถานที่นี้เป็นประเทศที่จะได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ดีและสิ่งที่ไม่ดี เราจะได้เลือกสรรหาพากันศึกษาและปฏิบัติ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า นี้แหละมารวบรวมแล้วชีวิตของเรานั้นจนมาถึงวันนี้ ยังไ้ด้เดินไปเดินมาได้ หรือทำคุณงามความดีได้ ท่านโชคดีมาก 

ถ้าหากเราไปเกิดในประเทศอื่นๆ ลัทธิอื่น หรือศาสนาอื่นๆแล้ว เราจะไม่ได้ยินได้ฟังเรื่องแบบนี้เลย เรื่องบุญ เรื่องบาป เรื่องเชื่อเหตุเชื่อผล เรื่องกรรมเรื่องอย่างนี้ เพราะคณาจารย์ของเค้าจะสอนไปต่างๆกัน แล้วแต่ประเทศต่างๆ บ้านเมืองของประเทศอื่นๆจึงไม่ค่อยจะสงบ คอยรบราฆ่าฟันกัน เบียดเบียนซึ่งกันและกัน โต้แย้งกันทั่วโลกมุมโลก นั้นเราจะเห็นได้ชัด ทำไมบ้านเมืองเหล่านั้นจึงไม่สงบ เพราะขาดจากหลักคุณธรรม จริยธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า 

พระพุทธองค์ทรงสอนให้ทุกคนมีความสมานสามัคคีรักใคร่ปรองดองกันอยู่ด้วยกัน เหมือนพี่เหมือนน้อง แล้วบ้านเมืองนั้นจะอยู่ในความสงบเพราะคนมีคุณธรรม จริยธรรม เหตุฉะนั้นวันนี้พระพุทธองค์ทรงตรัสเทศนาให้โอวาทพระปาฏิโมกข์ศีล ๒๒๗ ข้อของพระภิกษุสงฆ์ ศีล ๒๒๗ ข้อนี้มาจากไหน มาจากศีล ๕ ศีล ๕ เป็นต้นเค้ามูลของศีล เรียกว่าเป็นต้นของศีล แล้วขยายปลีกย่อยออกไปจึงมีมากมายเป็นศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ข้อ ทีนี้คณะศรัทธาญาติโยมทั้งหลาย เมื่อเรามาระลึกถึงเรื่องอย่างนี้แล้ว เราควรจะพากันมาตั้งใจรักษาศีล เพื่อให้มีศีล ๕ นี่ก็ดีแล้วสมบูรณ์ ถ้าเราเผยอขึ้นไปถึงศีล ๘ เราก็ได้ฐานะดีขึ้นมาเรื่อยๆ เราปฏิบัติให้บรรลุธรรม ให้ได้เข้าใจในธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เราก็ยกฐานะของตัวเองให้สูงขึ้น 

แต่วันคล้ายวันนี้นั้น ก็แสดงเรื่องศีลของพระ บัดนี้ศีลญาติโยมที่พากันประพฤติปฏิบัติอยู่นี้ควรแล้วที่พวกเราควรปฏิบัติให้ศีล ๕ ที่ให้เราได้ศีลเป็นที่พึ่งของตน ถ้าศีลข้อที่ ๑ นั้น ถ้าหากพวกเราอยากรักษา อยากปฏิบัติให้มันเกิดขึ้นต่อตน เราต้องระลึกถึงเมตตาต่อซึ่งกันและกัน ถ้าจิตใจของพวกเรานั้นมีเมตตาต่อกันแล้ว เพื่อนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายก็ย่อมไม่ทำลายกัน ย่อมอยู่ด้วยกันได้ มีความผาสุขเกิดขึ้น ตรงนี้สิ เราก็ต้องได้ศีลข้อที่ ๑ เราจะได้เห็นอานุภาพศีลข้อที่ ๑ นี้ถ้าคนไม่เบียดเบียนกันแล้ว บ้านใดเมืองใด เราไปที่ไหนเราจะกลัวทำไม เราก็ไม่กลัวซิ ไปคบกันก็มีความสุขสบาย นี้เป็นข้อที่หนึ่ง เราควรที่จะพินิจพิจารณาดูว่ามันมีความดีอย่างไร 

ถ้าศีลข้อที่ ๒ นั้น ถ้าหากบุคคลอยู่ด้วยกันแล้ว มีเมตตาต่อกัน ไม่ขโมยของกัน ของใครของมันหามาได้แล้ว ก็เค้าก็หวงแหน เราไม่ควรจะไปแย่งเอาของคนอื่นมาเป็นของตนที่เค้าหวงแหนอยู่ ถ้าหากเรามีการงดเว้นอย่างนี้ มีเมตตาต่อกัน เห็นใจกันอย่างนี้ มันก็ไม่มีขโมย บ้านใดเมืองใดไม่มีโจรมีขโมยแล้ว จะอยู่ในความสงบมั้ย สบายมั้ย รักษาสมบัติ ไม่ต้องปิดประตูบ้าน ไม่ต้องปิดประตูรถ ของวางไว้ที่ไหนเก็บไว้ที่ไหนมันคงไม่หายซักอย่าง เพราะทุกคนมีศีลข้อ ๒ ดูอานุภาพของศีลสองข้อนี่ ข้อนี้เห็นแจ้งชัดขึ้นมา 

ถ้าหากพวกเรามีศีลข้อ ๓ ไม่ผิดประเวณีสามีภรรยาซึ่งกันและกัน ไม่แก่งแย่งกันอะไร เราสำรวมระวัง ของใครของมัน ให้อยู่รักษา ยินดีเฉพาะของตนอยู่แล้ว แล้วเราจะแตกสามัคคีกันมั้ย ไม่แตกสามัคคีกัน สามีภรรยาอยู่ด้วยความสงบ นี่มีความสงบเกิดขึ้น มีความสบายไม่วุ่นวายเกิดขึ้น ไม่มีเรื่องมีราวอะไรในเรื่องอย่างนี้ นี่ศีลข้อ ๓ ก็ต้องมีอานุภาพอย่างนี้ ให้คนอยู่ด้วยความสงบ ไม่ถิดไม่เถียงไม่โต้ไม่แย้ง ไม่แตกสามัคคีกัน 

ถ้าหากพวกเรานั้นพากันสำรวมระวังในศีลข้อที่ ๔ เราพูดคุยกันมันซื่อสัตย์ต่อกัน ไว้ใจกันได้ เราพูดแล้วไม่ยุไม่แหย่ พูดให้สมานสามัคคีรักใคร่ปรองดองกัน ถ้าหากคนแตกสามัคคีกัน เราไปชักชวนให้เขาสามัคคีกัน เมื่อเค้าสามัคคีกันแล้วควรที่จะให้เค้ามีความสามัคคีปรองดองกันหนักแน่นมั่นคงขึ้น คนก็จะอยู่ด้วยกันด้วยความสามัคคี ทีนี้การพูดจาปราศรัยไพเราะเสนาะหู เราอยู่ด้วยกัน เราพูดคุยกันแต่เรื่องดีๆ ไม่มีคำหยาบโลน ะไร ไม่มีคำเจ็บใจอะไร มีแต่คำไพเราะเสนาะหู ม่วนหูคุยกัน มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นให้ทะเลาะกัน อยู่ด้วยกันมีความสุข กันร้อยๆพันๆหมื่นๆคนแล้ว เราอยู่ด้วยกัน พูดไพเราะเสนาะหู ไม่มีทะเลาะกัน ไม่มีแก่งแย่งกัน อยู่ด้วยกัน มีความสุข ผู้พูดก็สบาย ไม่มีเรื่อง ผู้ฟังก็สบายหู ตรงนี้เราก็พากันศึกษาว่าเราต้องการอย่างนี้มั้ย 

ทีนี้เวลาพูดคุยกันนั้น สรรหาเรื่องที่มีประโยชน์ ทั้งชาตินี้และชาติหน้า เราจะอยู่อย่างไรจะมีความสุขความเจริญ จะพัฒนาอย่างไร จะแก้ไขอย่างไรนั้น ครอบครัวก็ดีหรือตัวเองก็ดี เราดูที่ตัวเอง ลองดูว่าตนเองนี้ต้องแก้ไขตนเองอย่างไร จะพูดจาปราศรัยจึงจะให้มีเหตุมีผล ไม่เสียการเสียเวลาอะไร ถ้าหากเราพารักษาศีลอย่างนี้ จะพูดจาปราศรัยกันอย่างนี้แล้ว เราก็ต้องได้ศีลข้อที่ ๔ เหตุฉะนั้นศีลข้อที่ ๔ นี่ พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนเอาไว้ ถ้าผู้ใดพูดมีความซื่อสัตย์ต่อกันดีแล้ว ท่านยกย่องว่า สัจจัง เว อะมะตา วาจา คำสัจจ์แลเป็นวาจาที่ไม่ตาย ก็เหมือนคำสอนของพระพุทธเจ้านี่เอง อะไรมันเป็นบาป อะไรมันเป็นบุญ อะไรมันไม่ดี อะไรมันดี สอนมาตั้งสองพันกว่าปีมาแล้ว ยังมั่นคงอยู่ยังเดิม เพราะเป็นสัจธรรม เป็นวาจาที่ศักดิ์สิทธิ์ พูดมีเหตุมีผล มีหลักฐาน คนเอาไปวิจัยวิจารณ์ ไปปฏิบัติ ได้รับผลรับประโยชน์ นี่พวกเราก็ควรพากันตั้งใจปฏิบัติการพูดจาปราศรัยของตน เราก็จะได้มีศีลข้อนี้ เรามองหน้ามองตา ไปพูดจาปราศรัยอยู่ที่ไหนด้วยกันก็เลยจะมีความสบาย มีความสุขเพราะพูดแต่เรื่องดีทั้งนั้น 

ทีนี้ศีลข้อที่ ๕ หากคนงดดื่มสุราเมรัยของมึนเมาเนี่ย เป็นฐานแห่งความประมาท งดมันเสีย เราไม่ต้องดื่มมันหรอก ดื่มแล้วมันมีประโยชน์อะไร เราก็นึกถึงโทษของสุราแล้ว มันทำให้เสียกิริยามารยาท เสียศักดิ์ศรีของมนุษย์ เราก็ให้พากันพินิจพิจารณาดู คนดื่มเหล้าทุกวันๆ เมาทุกวัน มันสวยงามมั้ย มันเดินสวยงามมั้ย ยืน เดิน นั่ง นอน เค้าดีมั้ย กิริยามารยาทสวยมั้ย เป็นที่สรรเสริญของนักปราชญ์มั้ย อันนี้เราต้องตัดสินใจด้วยตนเอง ถ้าหากเราละได้แล้ว เราไม่เมา ถ้าเคยเมามาแล้ว เราก็ละ ไม่ดื่มแล้วมันก็ไม่เมา มันก็เดินไปก็ตรง ยืนก็ดี นั่งก็เรียบร้อย นอนก็เรียบร้อย มีสติสัมปะชัญญะ ถ้าเราเว้นได้ เราก็ได้ศีลข้อนี้ 

ศีลทั้ง ๕ ข้อนี้ท่านเรียกว่า มนุษยธรรม ธรรมตั้งอยู่ในมนุษย์ มนุษย์อยู่ด้วยกันต้องมีศีล เป็นเครื่องก้ันกางเอาไว้ เราจะไม่ทุบตีกันก็ด้วยศีลข้อที่ ๑ เรารักษาได้ ศีลข้อที่ ๒ คนก็ไม่ขโมยของกัน ศีลข้อที่ ๓ ก็ไม่ผิดประเวณี ล่วงเกินของกัน ศีลข้อที่ ๔ ก็ไม่โกหกหลอกลวง ใครพูดตรงไปตรงมาต่อกันได้ ศีลข้อที่ ๕ เป็นผู้มีสติสัมปะชัญญะ เพราะไม่เมาเหล้าของมึนเมาเป็นฐานแห่งความประมาท ทีนี้หากเราพากันระลึกหรือปฏิบัติ มีวิรัติเจตนางดเว้นในการรักษา ก็เรียกเป็นผู้มีศีล 

ถ้าเรามีศีลนั้น เราไม่ต้องรับจากพระ ถ้าศีล ๕ เราสมบูรณ์ ถ้าพระประกาศศีล ๕ ไม่ต้องรับ ไม่ต้องสมาทาน สมาทานไปทำไม เรามีอยู่แล้วในตัวเอง เพราะเรารักษาได้ทุกข้ออยู่ เราทรงไว้ได้ทุกข้ออยู่ ๕ ข้อนี่ เราไม่ต้องรับก็ได้ ไม่เป็นอะไร พระท่านจะไม่ว่าอะไร เพราะเราปฏิบัติอยู่ เกิดเราไม่ครบทั้ง ๕ ซิบัดนี้ เราก็ต้องรับสมาทาน เพื่อจะรักษาวันหนึ่งคืนหนึ่ง หรือได้ชั่วระยะใดระยะหนึ่งแล้วแต่กำลังที่เราจะรักษาได้ 

เหตุฉะนั้นศีลจึงมีอานุภาพ ท่านจึงว่า สีเลนะ สุขะติง ยันติ คนจะไปสวรรค์ ไปเกิดในโลกสวรรค์ ก็คือการรักษาศีล สีเลนะ โภคะ สัมปะทา โภคาทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่ได้มาด้วยศีลหมื่นๆแสนๆล้านๆโกฏิก็ไม่เป็นอะไร ไม่มีใครอะไร ไม่มีคนเดือดร้อนอะไร สีเลนะ นิพพุติง ยันติ คนจะไปถึงนิพพานก็อาศัยเรื่องรักษาศีลเป็นพื้นฐาน แล้วจึงทำจิตใจให้สงบสมาธิจึงจะได้สร้างปัญญาให้เกิดขึ้น หาหนทางพ้นทุกข์ได้ ก็อาศัยเรื่องศีลนี้เองเป็นพื้นฐานที่ดี เราจะอยู่ด้วยกันมีความผาสุขได้อย่างแน่นอน 

ฉะนั้นการรักษาศีลของพวกเรานั้น รักษาที่ไหน ศีลมันตัวเดียว คือตัวเจตนาที่จิตใจเท่านั้น ตัวองค์ของศีลก็ ๕ ข้อก็ดี หรือ ๘ ข้อก็ดี ที่เรียกว่าองค์ของศีล ๑๐ ข้อของสามเณรก็เรียกว่าองค์ของศีล ๒๒๗ ข้อนั้นเป็นของภิกษุก็เรียกว่าองค์ของศีล ไม่ใช่ตัวของศีล ตัวของศีลมีตัวเจตนาตัวเดียวอยู่ที่ใจของบุคคล ถ้าเรามีเจตนางดเว้นหละได้หมด นี่เรารักษาตรงที่ใจของพวกเรานี่แหละ คือเจตนางดเว้น พิธีรักษาศีลเราจะได้ศีลสมบูรณ์ได้ก็อาศัยตัวเจตนา ถ้าเราเจตนาไม่ฆ่าสัตว์ เจตนาไม่ลักทรัพย์ เจตนาไม่ประพฤติผิดประเวณี เจตนาไม่โกหก เจตนาไม่ดื่มเหล้า อยู่ที่ใจ ไม่ใช่อยู่ที่ร่างกายของพวกเราการรักษาศีล อยู่ที่ใจ รักษาที่ใจ ถ้าใจมันงดเว้นแล้ว หมด กายทำอะไรไม่ได้ เพราะร่างกายของพวกเรานี้อยู่ใต้อำนาจของจิตใจ ใจเป็นนายกายเป็นบ่าว ถ้าใจของพวกเรานี้ ควบคุมร่างกายของเราไปตามอำนาจของจิตใจ ถ้าจิตใจมีศีลแล้ว ร่างกายก็มีศีล เพราะใจคุมเอาไว้ ไม่ให้ล่วงเกินไปได้ 

ตรงนี้แหละพวกเราท่านทั้งหลายที่เป็นพุทธบริษัทในพระพุทธศาสนานี้ เราควรที่พินิจพิจารณาเรื่องการรักษาศีลของพวกเราเป็นพื้นฐานให้ดี เมื่อเรารักษาศีลเป็นพื้นฐานที่ดีแล้วทำสมาธิ จิตใจจะสงบง่ายที่สุด ง่าย เราทำจิตใจของเราไม่สงบเป็นสมาธิได้ทุกวันนี้ก็เพราะศีลของเราขาด ศีลของเราไม่สมบูรณ์ ศีลของเราด่างพร้อยทะลุปรุโปร่ง ศีลพุทธเมืองเหนือของเรา ศีลเมืองพุทธมันขาด นี่แหละตรงนี้แหละเราก็ควรที่จะพากันรักษา ถ้ารักษาศีล ๕ ได้ก็เป็นทางแห่งสวรรค์อยู่แล้ว ถ้ารักษาศีล ๘ ก็เป็นทางของตามฐานะของบุคคลที่รักษา เราจะอยู่ด้วยกันแบบความผาสุขได้ 

เหตุฉะนั้นเรื่องในวันนี้จึงเป็นเรื่องที่เราพากันสรรเสริญ เรื่องพระพุทธเจ้าแสดงโอวาทพระปาฏิโมกข์ แสดงเรื่องศีล ทีนี้อาตมาก็แสดงเรื่องศีลนี่มันต้นของศีล ศีล ๕ เพื่อให้พวกเรานี้จะได้น้อมนำพากันประพฤติปฏิบัติตามกำลังความสามารถของตน ใครจะปฏิบัติได้สองข้อ สามข้อก็แล้วแต่ ใครปฏิบัติได้สี่ข้อ ห้าข้อสมบูรณ์ก็แล้วแต่กำลังของพวกเราจะทำได้ ถ้าใครทำได้หมดมันก็มีคุณภาพต่างกัน เหมือนอาตมาอธิบายเรื่องอานิสงส์ให้ฟังว่า เราอยู่ด้วยกันจะมีความสงบสุขมั้ย 

คนมีศีลนี่ไปอยู่บ้านของใคร เค้าก็ให้นั่งให้นอนได้ อยู่บ้านของเขาได้ หนึ่งจะไม่กลัวจะฆ่าเรา ถ้าเรามีศีลข้อ ๑ ทีนี้ข้อ ๒ นั้น เรามีเงินมีทองอยู่ที่ไหน วางไว้ใกล้ๆข้างเขาเป็นแสนเป็นล้าน มันก็ไม่ขโมยของเรา ข้อที่ ๓ เค้าจะไม่ผิดภรรยาสามีของใคร ข้อที่ ๔ เค้าจะไม่มาโกหกเรา คนๆนั้นเป็นคนมีศีล ข้อที่ ๕ มันจะไม่ดื่มเหล้าเมามายอาละวาดในบ้านของเรา ถ้ามีศีล เอาเถิดถ้าคนมีศีลไปบ้านของใครแล้ว คนนั้นสบายใจ เพราะเป็นคนที่ปลอดภัย นี่แหละพวกเราท่านทั้งหลาย ควรแล้วที่พวกเราที่จะปฏิบัติให้เกิดให้มีขึ้นแก่ตน ตามกำลังของตน แล้วจะเห็นอานิสงส์มีความสงบสุขเกิดขึ้น ตั้งแต่ยังไม่นั่งภาวนาก็เห็นความสงบ และมันมีความสุข ไปพบกันที่ไหน ไปเจอกันที่ไหน เหมือนพวกเรานี่หละมาฟังเทศน์ฟังธรรม มาประพฤติปฏิบัติธรรมคุณงามความดีอย่างนี้ เราอยู่ด้วยกันมากๆ เราไม่ถิดไม่เถียงทะเลาะเบาะแว้งกัน เพราะเรามีคุณงามความดี มีคุณธรรม จริยธรรม มีศีลธรรม พูดคุยกันแต่เรื่องทำความดีทั้งนั้น นี่เป็นเรื่องบุญเรื่องกุศลที่พวกเราจะได้เกิด ให้เกิดให้มีขึ้นแก่ตน 

เหตุฉะนั้นการที่พวกเราจะทำสมาธิ ฝึกฝนอบรมจิตใจนั้น พื้นฐานที่ดีที่สุดก็คือเรารักษาศีลก่อน เมื่อเรารักษาศีลได้แล้ว ใจของเรานั้นไม่พะว้าพะวงกับศีลข้อนั้นขาด ศีลข้อนี้ขาด เรื่องอันตรายเหล่านั้นจะมารบกวนจิตใจของพวกเราไม่มี เมื่อมันไม่มีแล้ว จิตใจก็เลยสงบนิ่ง โอ เรามีศีลนะ เรามีศีลอยู่ในตัวของเรานะ จากปฏิบัติใจก็เลยสงบ มีปีติก็ตนเองมีศีลก่อน ทีนี้ใจก็ได้สงบเป็นสมาธิ ทำได้ง่าย ง่ายๆ ภิกษุสงฆ์ท่านพยายามเหมือนกัน พยายามรักษาศีลตามความสามารถของแต่ละท่านละองค์ อยากให้บริสุทธิ์จนหมด ญาติโยมก็เลยตั้งใจทุกคนปฏิบัติกันอยู่ตามกำลังความสามารถของตน แล้วจะได้เห็นอานิสงส์ได้ เราจะอยู่ด้วยกันสบายจริงๆกันตรงนี้ ในโลกนี้ถ้าเค้าหากรู้จักพากันรักษาแล้ว แหม บ้านใด ครอบครัวใดมีศีล ครอบครัวนั้นก็สงบ บ้านใด หมู่บ้านใดเป็นคนมีศีล บ้านนั้นสงบสุข อำเภอใด จังหวัดใดเป็นคนมีศีลธรรม สงบ ประเทศใดนั้นมีศีลธรรม สงบ ไม่มีรบราฆ่าฟัน ไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น เรื่องราวต่างๆที่ไม่ดี มีแต่เรื่องดีๆอยู่ในความสงบ ตรงนี้เราก็เห็นได้ชัดเจนอย่างนี้ 

เหตุฉะนั้นพวกเราท่านทั้งหลายที่ได้มาประกอบพิธีเวียนเทียนในวันนี้ ไหว้พระสวดมนต์ก็ดี มีแต่บุญแต่กุศล บูชาในสิ่งที่ควรบูชา คือบูชาศีล เรามาปฏิบัติอีก เราปฏิบัติบูชา น้อมนึกระลึกถึงพระพุทธเจ้า และพระธรรม และพระสงฆ์สาวกทั้งหลาย เป็นบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ที่เราจะได้เป็นที่พึ่งของตน บัดนี้พวกเราควรที่จะทำจิตใจของเรานั้นให้อยู่กับตนกับตัวให้สงบ เรื่องที่ไม่ดีทั้งหลายนั้น เราควรละ ควรปล่อย ควรวางทั้งอดีตอนาคต อย่าไปคิดกับมัน ของเป็นอดีตที่ล่วงแล้วก็ให้มันมันแล้วไป เหมือนเราทำอะไรไม่ดี พูดไม่ดี คิดไม่ดี ตั้งแต่อดีตผ่านมา เราทิ้งมันหมด อย่าไปคิดถึงมัน อย่าไปคิดถึงเรื่องอย่างนั้น ทั้งสิ่งที่เป็นอนาคตเราก็ไม่ต้องไปคำนึงถึง อย่าไปกลัวเรื่องนั้นเรื่องนี้ เราเอาในปัจจุบันซิ เราเดี๋ยวนี้ เรามีศีลอยู่ เราปฏิบัติอยู่ เราสร้างความดีอยู่ในปัจจุบันนี้ ตรงนี้สิ 

ทีนี้ถ้าหากอะไรเกิดขึ้นมาไม่ดีกับตน ก็รีบละ รีบปล่อย รีบวาง เราคิดโกรธ คิดเกลียด คิดไม่ดีในใจของเรา เรารีบละทิ้งอย่าให้มันมาอยู่ในใจของเราให้มันทุกข์ เค้าเรียกว่าการปฏิบัติภาวนาเพื่อให้ชำระจิตของตน เพื่อจะให้จิตใจของเรานั้นสงบ เมื่อเราละกิเลสได้มากเท่าไหร่ ใจก็ยิ่งสงบมากขึ้นเท่านั้น ไม่วุ่นวาย ไม่วุ่นวายกับโลก เขาไม่ยุ่งเหยิง นี่เป็นเรื่องที่พวกเราจะปฏิบัติ ไม่ต้องพูดลวงโลกให้มันเสียการเสียเวลาอะไรมาก เค้าพูดคุย เค้าพูดมีเหตุมีผลให้มาก มันก็มีประโยชน์มาก พูดมากๆเฉยๆแต่มันไม่มีประโยชน์ ไม่พูดเรื่องที่เป็นประโยชน์ แล้วมันจะเสียประโยชน์เรา เสียเวลาเปล่า เรียกว่า สัมผัปปลาปา พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล ไม่มีเหตุมีผล เหตุฉะนั้นเราก็ควรพากันเลือกพูดคุยกันให้มีเหตุมีผล ชักชวนกันทำแต่ความดีพูดดีและคิดดี เมื่อเราทำเช่นนี้แล้วมันจะสงบเอง การทำสมาธิ จิตใจก็สงบเอง มามอง เอ๊ เราพากันแต่พูดดีนะ ทำดี คิดดีทั้งนั้น ใจก็เลยมีความสงบอยู่เรื่อยๆในความดี ก็เลยมีเป็นสมาธิในตัว ในอัตโนมัติของมันในตัวมันเองจิตใจ 

หรือว่าพวกเราจะแผ่เมตตา อยากให้เพื่อนมนุษย์ตั้งแต่เด็กถึงหนุ่มสาว ท่ามกลางคนจนเฒ่าจนแก่ อยากให้มีความสุข ความสุขหมดทุกคน แล้วตนเองก็จะมีความสุขเหมือนกัน เอาสั้นๆอย่างนี้ก็ได้ เอาเป็นอารมณ์อยู่ในจิตใจของพวกเรา เราไม่คิดอิจฉาพยาบาทอาฆาตใคร อยากให้คนมีความสุขหมดในโลก แต่เราก็จะสุขเหมือนกัน ไม่เบียดเบียนกันให้อยู่ด้วยกันมีความสุข นี่เค้าเรียกว่าแผ่เมตตาทั้งคนอื่นและตนเอง เมื่อคนแผ่เมตตาบ่อยๆ มันก็เป็นเจริญภาวนา คือเจริญเมตตา ก็ทำจิตใจของเราให้แช่มชื่น ให้ชุ่มชื่น ให้มีความสุขเกิดขึ้นก็สงบ เป็นสมาธิอยู่เรื่อยๆอย่างนั้นเอง 

นี่การทำสมาธิอย่างย่อๆ ที่ญาติโยมที่จะนำเอาไปปฏิบัติตน อยู่ในบ้านในช่องในครอบครัวก็ดี กับหมู่กับฝูง ในหน่วยงานต่างๆ มองหน้ามองตากันด้วยหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ให้เราเมตตาด้วยกาย พูดจาปราศรัยไม่กระทบกระเทือนกัน เค้าเรียกว่าด้วยความเมตตาในการพูด คิดในจิตในใจอยากให้มีความสุขหมด คนในโลก และตนเองก็จะมีความสุข เรียกว่าเมตตาในจิตใจ พวกเราท่านทั้งหลายควรเอาเรื่องอย่างนี้ไปปฏิบัติ ลองดูซิ มันจะได้รับความร่มเย็นเป็นสุข ถ้าความสงบสุขเกิดขึ้นแก่ตน ผลก็จะอยู่ด้วยกันมีความสุขตามความมุ่งมาดปรารถนาที่พวกเราตั้งเอาไว้ 

เหตุฉะนั้นการบรรยายธรรมมาแต่ต้นจนอวสานนี้ อาตมาภาพก็ขออำนวยอวยพรให้คณะศรัทธาญาติโยมสาธุชนทั้งหลายได้มาฟังธรรมในวันนี้ ให้พากันกำหนดจดจำข้อธรรมที่ได้บรรยายมานั้น สิ่งใดควรละ สิ่งใดควรปฏิบัติก็ปฏิบัติเอา ให้เกิดให้มีขึ้นแก่ตน ผลก็จะได้รับความสุขความเจริญเกิดขึ้นแก่ตน ดังได้อธิบายมาก็เห็นเวลาพอสมควร ตามภาษิตที่ได้คิดในเบื้องต้นว่า กิจฺโฉ มนุสฺส ปฏิลาโภ การได้มาเกิดเป็นมนุษย์เป็นโชคลาภอันดี กิจฉัง มจฺจาน ชีวิตํ เรามีชีวิตมาถึงวันนี้ก็เป็นผู้โชคดี กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺปาโท พระพุทธเจ้ามาอุบัติบังเกิดขึ้นในโลกเป็นโชคดี กิจฉัง สทฺธมฺมสฺสวนํ เราได้ยินได้ฟังเทศน์ฟังธรรมเป็นโชคดี ปฏิรูปเทสวาโส จ เรามาอยู่ในประเทศที่สมควรแล้ว ที่เราจะได้ปฏิบัติคุณงามความดีให้เกิดขึ้นแก่ตน ก็ขอยุติการบรรยายธรรมไว้เพียงแค่นี้ เอวัง ก็มีด้วยประการะฉะนี้